24
'สารบัญ'
กันตธีร์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะรู้สึกตื้นตันอะไรได้ขนาดนั้นกับคำง่ายๆ คำนี้ แต่เขาเชื่อว่าเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายร้อยชีวิตต้องคิดเหมือนกันแน่ๆ
เขานั่งใส่เลขหน้าทีละตัวอย่างเป็นสุขหลังจากที่ตรวตเชคครั้งสุดท้ายจนพอใจ ขณะนี้เขาเลยนั่งทำสีหน้าล่องลอยอยู่หน้าจอให้โชติภัทรที่อยู่ข้างๆ หัวเราะแซว
"โชไม่เข้าใจหรอกว่ามันฟินแค่ไหน...นี่ถ้าส่งพิมพ์ออกมาเป็นเล่มนะ รู้สึกเหมือนพ่อจะได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก"
"ครับๆ งั้นรีบทำพิธีลงเลขเด็ดแล้วไปกินข้าวกัน จะทุ่มแล้ว" คนนั่งรอว่ายิ้มๆ พร้อมกับช่วยจัดข้าวของที่กระจัดกระจายไปหมดให้เข้าที่
ชายหนุ่มเพ่งความเรียบร้อยโดยรวมตั้งแต่หน้าปกยันบรรณานุกรมใหม่อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจหยุดอาการย้ำคิดย้ำทำแล้วปิดโน้ตบุ๊คตรงหน้า
โชติภัทรดึงเก้าอี้สองตัวมาซ้อนกันก่อนจะยกไปเก็บ แต่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกลับโวยวายขึ้น ทำให้กันตธีร์ดึงของจากมือเอาไปคืนที่ห้องพักเจ้าหน้าที่ให้แทน
หลังจากที่คบกันโชติภัทรก็ยอมเฉลยลายแทงในการหาเก้าอี้ เจ้าตัวออกตัวว่านี่เป็นความลับสุดยอดที่ไม่เคยบอกใครเลยพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์...นั่นทำให้เขายิ่งอยากให้มันเป็นความลับสุดๆ ขึ้นไปอีก เพราะมันเหมือนเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับเราสองคนไปแล้ว
...เลยเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้หวงเอามากๆ ก็ตอนนี้
"ได้...ได้ โอเค...ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปเอง" โชติภัทรทำหน้ายุ่งยากใส่โทรศัพท์ในตอนที่เดินตามมา
"มีอะไรหรือเปล่า" เขาถามทันทีที่อีกฝ่ายวางสาย
"แม่แวะมาทำธุระแถวนี้แล้วรถเสียสตาร์ทไม่ติด ตอนแรกโทรตามวีไปช่วยขนของ แต่เห็นว่าตายคาlabไปแล้วเลยให้ฉันไปแทน" ชายหนุ่มอธิบาย "โทษทีนะ แต่วันนี้คงไปกินข้าวด้วยไม่ได้แล้วล่ะ"
"อ้อ...แล้วนี่อยู่ที่ไหน"
กันตธีร์หยุดคิดเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายตอบชื่อห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะหันไปบอกคนข้างๆ
"งั้นไปด้วยกันนี่แหละ"
"เฮ้ย!" โชติภัทรสะดุ้ง "ไม่ต้องก็ได้"
"ก็รถเสียไม่ใช่หรือ โชไปช่วยขนของก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปส่งถึงบ้านแล้วก็ต้องกลับมาหออีก จะได้เอารถฉันขับไปเลยไง" พูดพร้อมกับดึงแขนให้เดินตามไป
"แต่..."
"ไปๆ ไปกัน เดี๋ยวแม่โชรอ"
ว่าจบก็ลากให้ไปด้วยกันแบบไม่ฟังข้อค้าน จับลูกชายคนกลางยัดใส่รถตัวเองแล้วขับไปส่งให้แม่เขาอย่างรวดเร็ว ตอนที่กันตธีร์ถอยจอดที่ใกล้ๆ แล้วให้โชติภัทรลงไปหาแม่ก่อนเขาก็แอบชะโงกดูทิศทางลมไปด้วย หญิงวัยกลางคนร่างผอมบางที่กำลังคุยกับช่างซ่อมรถดูค่อนข้างกระวนกระวาย ก่อนจะมีท่าทีโล่งใจชัดเจนเมื่อพวกเขามาถึง
"สวัสดีครับ" กันตธีร์ยกมือไหว้นำ
"สวัสดีจ้ะ ลำบากเราเลย จริงๆ ไม่ต้องก็ได้นะ เดี๋ยวแม่กลับแท็กซี่ก็ได้จ้ะ" อีกฝ่ายรับไหว้เขาพร้อมกับพูดอย่างเกรงใจ
"ไม่เป็นไรครับ ผมว่างอยู่พอดี"
"แล้วเล่มโปรเจคล่ะ" โชติภัทรที่เปิดท้ายรถเอาของอยู่ร้องถาม
"ก็เพิ่งเคาะสารบัญไปเมื่อกี้ไง" เขาหันไปตอบกลับฉับไวแล้วหันมาว่าเสียงอ่อนกับคนที่อาวุโสกว่า "ให้ผมไปส่งนะครับคุณแม่ ขนของเยอะๆ ไปเรียกแท็กซี่ก็ลำบากอยู่นะครับ"
ช่างที่กำลังประเมิณสภาพรถหันมาจะคุยเรื่องรายละเอียด ซึ่งคนเป็นแม่ก็สะกิดลูกชายตัวเองให้ไปคุยแทน แต่เมื่อกันตธีร์เล็งเห็นแล้วว่าโชติภัทรดูจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเลยหันไปช่วยคุยจนเรียบร้อยรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องมาลากรถไปที่อู่และค่าซ่อมค่าอะไหล่ต่างๆ
ใบหน้าของนักศึกษาแพทย์คนเก่งดูว่างเปล่าสิ้นดีเมื่ออยู่ต่อหน้าเรื่องเครื่องยนต์...นั่นทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
คนที่เก่งมากๆ ก็มีเรื่องที่ไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนกัน
สองหนุ่มช่วยกันแบกของหลังรถขนไปยังเจ้าmazda2คันเก่งไม่นานก็เรียบร้อย แม่ของโชติภัทรเป็นหญิงร่างเล็กมากผอมบางราวกับจะปลิวไปตามลม ถ้าหากไม่มีคนช่วยคงลำบากมากทีเดียว
กันตธีร์จะเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับแต่อีกฝ่ายเอาตัวมาแทรกไว้ทันที
"ฉันขับเอง" เงยหน้าบอก
"ธีร์รู้จักบ้านฉันหรือ" ถามกลับมานิ่งๆ
"โชก็บอกทางไง"
"งั้นฉันขับเองดีกว่า"
เขาจ้องตาเจ้าของบ้านวัดใจอีกครู่หนึ่งจึงยอมแพ้เพราะเห็นว่าอีกคนที่รออยู่ดูรีบร้อน ชายหนุ่มเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ผู้อาวุโสแล้วจึงยัดตัวเองเข้าที่นั่งข้างคนขับอย่างจำใจ
"ม๊าทานข้าวหรือยังครับ" โชติภัทรเริ่มบทสนทนาทำลายความเงียบ
"ยังเลยจ้ะ นี่ป๊าเรารอม๊าไปทานด้วยอยู่ ป่านนี้หิวจนเป็นลมไปแล้ว" คำตอบนี้ทำให้ถึงบางอ้อเรื่องที่ดูร้อนใจกว่าปกติ
"รถดูไม่ค่อยติด คงไม่นานหรอกครับ"
"จ้ะ" คนเป็นแม่รับคำแล้วถึงถามกลับ "แล้วนี่โชกับธีร์กินข้าวหรือยังลูก"
"ยังเลยครับ"
"อุ๊ย แล้วนี่ไม่หิวกันแย่หรือเนี่ย"
"ไม่เป็นไรครับ ยังไม่หิวเท่าไร พอดีผมเพิ่งเสร็จงาน" กันตธีร์หันมาตอบแทน
"อ่อ นี่ธีร์เรียนวิศวะใช่ไหมลูก เห็นเจ้าวีมันพูดถึงเมื่อวันก่อน" ฟังแล้วอดจะสะดุ้งไม่ได้ จึงหันขวับไปมองหน้าคนขับรถที่กำลังยิ้มแหย เลยตอบไปแบบนิ่งๆ
"ครับ...เป็นรุ่นซีเนียร์วีพอดี"
"โลกเรานี่ก็กลมดีเนอะ แล้วโชกับธีร์นี่รู้จักกันได้ยังไงล่ะจ๊ะ"
"ตอนผมเข้าปี1พี่จิเป็นพี่ว้ากผมพอดีน่ะครับ แล้วก็บังเอิญเจอกันอยู่บ้างที่ห้องเรียนรวม" ตอบรวดเดียวราวกับเป็นบทที่ท่องมาจนขึ้นใจ
"เรารู้จักจิด้วย! แบบนี้ก็รู้จักทั้งบ้านเลยสิ" คุณนายบ้านรัตนพิบูลพรรณหัวเราะ "งั้นรู้จักพวกจีด้วยไหม"
"ก็เคยเจอกันอยู่บ้างครับ"
คนอาวุโสกว่าชวนคุยไปเรื่อย ถามถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็ตอบได้ตามปกติ...จะมีรู้สึกเหมือนชะงักติดหลังมันจะทำแผลเหวอะหวะเข้าหน่อยก็ยามที่คนเป็นแม่หันมาถามลูกชายว่าเพื่อนคนนี้ไม่เห็นเคยพูดถึงมาก่อน เล่นเอาน้ำลายหนืดกันไปถ้วนหน้าโดยมิได้นัดหมาย
ผ่านไปสี่สิบกว่านาทีรถคันเล็กก็แล่นมาถอยจอดเข้าบ้านสองชั้นหลังเล็ก คุณแม่ของโชติภัทรฝากลูกชายขนของแล้วรีบกุลีกุจิเข้าบ้านไปตั้งโต๊ะโดยไม่ลืมชวนคนที่เข้าใจว่าเป็นเพื่อนลูกให้มากินด้วยกัน
กันตธีร์ตอบรับง่ายๆ แล้วหันไปช่วยลูกชายเจ้าของบ้านขนของ จนโชติภัทรต้องยืนเลิกคิ้วใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้คนมองหันไปดึงของที่ต้องขนมาถือไว้เอง
“สวัสดีครับ”
ฝ่ายผู้สูงอายุกว่าคราวนี้แค่พยักหน้ารับไหว้ทำเอาไปไม่เป็นจนโชติภัทรเดินมาดันหลังให้เข้าไปนั่งรอบนโต๊ะอาหารด้วย คุณพ่อของโชติภัทรดูเป็นผู้ชายร่างใหญ่แบบที่ลูกชายคนโตถอดแบบมา แต่สีหน้าดูเงียบขรึมไม่เห็นจะบ้าๆ บอๆ เหมือนจิรภัทรตรงไหน
“นี่ธีร์นะป๊า ที่วีมันพูดถึงวันก่อน” โชติภัทรแนะนำสั้นๆ “เป็นรุ่นน้องป๊าเหมือนกัน”
นับว่าคนเป็นลูกชายจับจุดพ่อตัวเองได้ตรงเป้า เพราะพอบอกแบบนั้นคนที่ดูเงียบขรึมก็ออกปากถามนู่นนี่บ้างซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นที่เกี่ยวกับการเรียนหรือคณะทำให้ตอบได้คล่องแคล่วไม่เกิดความอึดอัดเกินไป
ผ่านไปไม่นาน อาหารง่ายๆ ก็ถูกยกมาเรียงบนโต๊ะ บทสนทนาส่วนใหญ่มักจะมาจากผู้หญิงหนึ่งเดียวบนโต๊ะ กันตธีร์สังเกตว่าคุณแม่ของโชติภัทรจะเป็นฝ่ายหันไปถามไปพูดกับสามีมากกว่า แถมยังตีความคำตอบที่มาแค่การพยักหน้าหรือเสียงฮื่อในลำคอได้เป็นเรื่องเป็นราวจนดูแล้วน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“กินของหวานไหม” พอหมดของคาว พ่อของโชติภัทรก็ถามพร้อมกับลุกไปหยิบกล่องใส่ขนมไทยจำพวกทองหยอดทองหยิบฝอยทองจากตู้เย็นมาตั้งให้ตรงหน้า
“เอ้อ ขอบคุณครับ” กันตธีร์ไม่ชอบของหวานแสบลิ้นพวกนี้ แต่หมดทางจะปฏิเสธเลยคิดว่าจะจิ้มกินมันซักชิ้นสองชิ้นค่อยวางมือ แต่ลูกชายเจ้าของบ้านหันมาค้านเสียงแข็ง
“ป๊า อย่ากิน เดี๋ยวน้ำตาลขึ้น”
“เอามาให้เพื่อนแก”
“ธีร์ไม่ชอบของหวาน ป๊าอยากกินเองอย่าเอาธีร์มาอ้างดิ เอามานี่เลย”
โชติภัทรว่าจบก็เอื้อมมือมาคว้าไปปิดกล่องแล้วเดินไปเก็บเสร็จสรรพจนคนที่เป็นแขกปั้นหน้าไม่ถูก แต่คุณพ่อที่โดนลูกชายตัวเองดุกลับที่หน้าเข้มแล้วหันมาถามเรียบๆ
“ดูมัน...กับพ่อยังดุขนาดนี้ กับคนอื่นมันทำตัวเป็นพ่อเขาไปหมดเลยไหมธีร์”
คำถามโดนใจนั้นทำให้เผลอตัวพยักหน้าเห็นด้วยทันที แล้วพอพยักหน้ารับเสร็จก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังนินทาลูกชายเขาอยู่ แต่คนเป็นพ่อกลับหัวเราะหึขึ้นมาจนทำให้พากันหลุดขำออกมาทั้งคู่จนโชติภัทรที่เดินกลับออกมาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจอีกรอบ
“ไม่มีอะไร...มา ช่วยเก็บจาน”
เขาตอบสีหน้าสงสัยนั้นแล้วรวบจานเดินเข้าไปให้คุณนายของบ้านที่กำลังยืนอยู่หน้าอ่างล้างจาน แล้วอาสาช่วยล้างต่อ แต่คราวนี้กลับเป็นโชติภัทรเองที่ทนไม่ได้ต้องเข้าไปแทรก
“พอเลย เห็นท่าแล้วเสียวจานแตก” ว่าพลางดึงจากออกจากมือ
“อะไรยังไม่แตกเสียหน่อย”
“ไม่แตกก็ใกล้ละ มาฉันล้างเอง” กันตธีร์อ้าปากจะเถียงกลับถ้าไม่มีอีกเสียงค้านขึ้นมา
“จริงๆ ธีร์ไปนั่งรอสบายๆ เถอะจ้ะ ให้ตาโชล้างไป”
พอคุณแม่ของโชติภัทรออกปากเขาก็เลยล้างฟองออกมือแล้วถอยออกมาให้คนที่ดูจะหน่วยก้านดีกว่าจัดการแทน ทำเอาคำพูดของแม่ตัวเองเมื่อวันก่อนลอยมาหลอกหลอนชอบกล แต่พอจะเดินออกจากครัวก็สวนกับเจ้าของบ้านตัวจริงที่เดินเข้ามาพอดี
“ม๊า...เจ้าวีมันยังไม่เปลี่ยนหลอดไฟตรงระเบียงเลย”
“เอ๋...หลายวันแล้วนะ วีนี่จริงๆ เลย” คนเป็นแม่หันขวับพร้อมกับบ่นลูกชายอุบอิบไปอีกหลายคำ
“เดี๋ยวป๊าไปเปลี่ยนเองก็ได้ หลอดใหม่ที่ซื้อมาอยู่ไหนนะ” ว่าจบก็เดินไปเปิดตู้หา ทำให้คนที่กำลังล้างจานต้องรีบห้าม
“อย่าน่าป๊า...แก่แล้วนะ จะไปปีนบันไดแบบนั้นได้ยังไง”
“เอ้อ...งั้นผมช่วยไหมครับ” กันตธีร์ที่ยืนเคว้งอยู่รีบรับอาสา “ยังไงก็ต้องรอโชล้างจานอยู่แล้ว”
“อุ๊ย ไม่เอาลูก วันนี้รบกวนเราตั้งกี่เรื่องแล้วเนี่ย” เจ้าบ้านฝ่ายหญิงร้องห้ามแต่ชายหนุ่มกลับหันไปหาเจ้าบ้านอีกฝ่ายแทน
“แค่นี้เองครับ บันไดอยู่ไหนเดี๋ยวผมปีนให้เอง”
สุดท้ายแขกของบ้านก็พาตัวเองขึ้นมาไต่บันไดเปลี่ยนหลอดไฟให้เขาเสร็จสรรพโดยมีคุณพ่อของโชติภัทรช่วยจับบันไดให้ ในตอนที่จะกลับเข้าจริงๆ คุณนายรัตนพิบูลพรรณจึงขนเอาขนมหอบใหญ่มายัดๆ ให้แทนคำขอบคุณเสียมหาศาล
ชายหนุ่มสองคนไหว้ลาผู้ใหญ่แล้วจึงยัดตัวกลับเข้ามาในรถคันเล็กซึ่งโชติภัทรเป็นคนชนะในศึกแย่งเป็นคนขับครั้งนี้
“ทำไมวันนี้ถึงมาด้วยล่ะ” คำถามลอยๆ ดังขึ้นเมื่อรถแล่นออกมาได้สักพัก
“มาไม่ได้หรือไง” ถามกลับกลั้วเสียงหัวเราะ
“เปล่า...แปลกใจ คิดว่าจะไม่อยากมาเสียอีก” โชติภัทรจอดรอไฟแดงแล้วจึงหันมายิ้มให้ “เลยดีใจมากเลย”
“...อะไร จะได้เจ๊ากันไง โชเคยเจอที่บ้านฉันแล้วไง” กันตธีร์ทำท่ายักไหล่แบบไม่ใส่ใจแม้จะรู้สึกว่าหน้าร้อนแปลกๆ
“แต่ก็ดีใจอยู่ดี...” พอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ปนมา เลยต้องเอื้อมมือไปผลักไหล่คนย่ามใจสักที
“เดี๋ยวก่อน...ยังมีอีกเรื่อง ไอ้วีมันไปเผาอะไรฉันไว้” ถึงตรงนี้โชติภัทรก็เริ่มยิ้มแหยอีกครั้ง
“ก็หลังจากที่ธีร์เล่าว่าวีไปคุยด้วยใช่ไหม” คนเป็นพี่ชายเริ่มเสียงอ่อย “หลังจากนั้นบางทีมันก็ชอบพูดถึงธีร์ขึ้นมาในบ้าน แบบ...อ้างถึงเฉยๆ เช่น วันนี้เดินสวนกัน ไม่ก็ พูดถึงชีทสรุปของนาย แต่พอพูดบ่อยๆ แม่ฉันก็เลยถามถึง...แต่วีมันก็พูดแต่เรื่องดีนะๆ”
“...เฮ้ย พูดแต่เรื่องดีมากๆไปก็ไม่ดี คาดหวังสูงแล้วมันจะพังเอา” กันตธีร์รู้สึกเวียนหัวนิดๆ ขึ้นมาทันที “แต่ก็ดี...จะได้ไม่รู้สึกเป็นคนแปลกหน้ามาก”
“พ่อแม่ฉันใจดีน่า”
“...แต่พ่อโชนิ่งชะมัด ตอนแรกเกือบช็อคแล้ว”
“ป๊าแค่เงียบ”
“ก็จริง พอคุยแล้วดูใจดีไปเลย”
พอเริ่มดึกปริมาณรถก็บางตาไปมาก เวลาที่ใช้ก็ลดตามไปด้วย โชติภัทรถอยจอดรถที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างชำนาญ ก่อนจะปิดแอร์ดับเครื่อง แต่ก่อนที่จะเปิดประตูคนที่นั่งข้างๆ ก็เอื้อมมือมาดึงแขนไว้ก่อน
กันตธีร์ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปพร้อมกับใช้มือรั้งคออีกฝ่ายลงมา ริมฝีปากที่แตะลงมาอย่างขลาดเขินทำให้ฝ่ายถูกจู่โจมนิ่งงันไปชั่วครู่ แต่พอตั้งสติได้ก็กลายเป็นเขาเองที่รุกไล่กลับไป กลีบเนื้ออ่อนถูกดูดซับจนช้ำไปหมด แล้วจึงขบเม้มเบาๆ เปิดช่องให้เรียวลิ้นที่สัมผัสกันในโพรงปาก
ฝ่ายคนเริ่มเผลอเอามือขยำไหล่อีกฝ่ายอย่างมึนงง รสจูบที่ดึงเอาความนึกคิดไปจนหมดสิ้นดำเนินไปจนรู้สึกราวกับจะขาดใจจึงถูกปล่อยมา กันตธีร์อ้าปากหอบน้อยๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายรั้งตัวมากอดแล้วใช้ปลายจมูกโด่งไล้ที่ข้างแก้มแล้วกดย้ำซ้ำอีกสองสามที
“จะทำอะไร” กันตธีร์หัวเราะเบาๆ กับคำถามนั้น...เขาเริ่มก็จริงแต่ใครทำกันแน่เขาก็เริ่มไม่แน่ใจ
“แค่อยากให้รู้...” เขาตอบช้าๆ แต่เน้นอย่างชัดเจนทุกคำ “ฉันเป็นคนไม่ชอบเจอคน ขี้เขินด้วย...รู้ตัว”
ชายหนุ่มปล่อยมือจากไหล่ที่ยึดไว้แล้วเปลี่ยนเป็นโอบรอบตัว
“แต่ที่คบกัน...ฉันจริงจังนะ ถ้าคิดว่าจะเลิกฉันไม่คบตั้งแต่แรกหรอก เพราะฉะนั้นโชไม่ต้องคิดจะทำอะไรให้ฉันฝ่ายเดียว ฉันเองก็อยากจะทำอะไรให้โชเหมือนกัน”
“...แค่อยู่ด้วยกันแบบนี้มันก็ดีมากแล้ว”
“ก็ใช่...แต่มันเป็นเรื่องของเรา โชพยายามอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ฉันเองก็ต้องพยายามด้วยเหมือนกัน” กันตธีร์ซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย “ถึงฉันจะล้างจานไม่ได้เรื่อง แต่ความรู้เรื่องรถกับเปลี่ยนหลอดไฟฉันดีกว่าแน่ๆ”
โชติภัทรหัวเราะกับคำกล่าวนั้นพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
“ฉันถือเป็นคำสารภาพรักได้ไหม”
“ก็แล้วแต่”
กันตธีร์ยิ้มตาหยีใส่ คนมองอยู่เลยได้แต่กดจูบซ้ำๆ ให้กับคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่พองแน่นจนคับอก เสียงทุ้มกระซิบเบาที่ข้างหูก่อนจะได้คำตอบแผ่วเบากลับมา
“รัก...มาก”
“...เหมือนกัน”บางทีเรื่องอื่นใดก็คงไม่สำคัญอีกต่อไป...เมื่อรู้ว่ามีใครอีกคนที่คอยรักกัน
บทส่งท้าย
กันตธีร์ถ่ายรูปไปประมาณล้านรูปได้ในวันนี้ ชายหนุ่มโดนเรียกแล้วก็ลากตัวเข้าไปในเฟรมไม่หยุดหย่อน เพื่อนทุกคนที่ทั้งสนิททั้งไม่สนิทล้วนแต่ส่งรอยยิ้มและคำอวยพรให้แก่กันเพื่อเป็นความทรงจำดีๆ ครั้งสุดท้ายสำหรับการเรียนในคณะนี้ กฤษณ์กับจิรณัฐที่ป๊อปปูล่าสุดๆ ต่างถูกดึงตัวไว้จนเขากับวีรินทร์ขี้เกียจเข้าไปตามหา สุดท้ายสองคนเลยมายืนรอถ่ายรูปรวมกันอยู่ที่มุมห้องประชุม
วันนี้เป็นงานอำลาseniorอย่างเป็นทางการของคณะ บรรดารุ่นน้องที่รู้จักหรือน้องรหัสก็เอาของขวัญมาให้หรือมาขอถ่ายรูปรุ่นพี่ที่ตนหมายปอง ซึ่งวีรินทร์เองก็โดนคำขอร้องทำนองนี้ไปไม่น้อยทีเดียว
คำถามหลักที่มักจะถูกถามกันคือเรื่องอนาคต สำหรับเขาที่เพิ่งจัดการเรื่องเรียนต่อปริญญาโทที่มหาลัยเดิมเสร็จก็รู้สึกตอบได้คล่องปาก ส่วนวีรินทร์เองก็ได้งานที่บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ ทั้งคู่เลยตัดสินใจว่าจะเช่าห้องพักอยู่ด้วยกันในสองปีนี้ เพราะกฤษณ์ไปได้งานที่บริษัทก่อสร้างซึ่งอยู่ใกล้บ้านมากกว่า ทำให้เพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานานถึงคราวต้องแยกกัน...จนอดจะรู้สึกโหวงๆ ขึ้นมาบ้างไม่ได้
“แล้วซอลจะกลับระยองเย็นนี้เลยหรือ”
“อื้อ...เอกสารอะไรก็เรียบร้อยหมดแล้ว แถมไม่ได้กลับตั้งนานแล้วด้วย” เสียงแหบของเพื่อนตอบเรียบๆ
“งั้นจะมากรุงเทพฯเมื่อไรก็บอกแล้วกัน”
กฤษณ์กับจิรณัฐฝ่าฝูงชนออกมาได้ในที่สุด แถมยังมีการใช้อำนาจมืดของเดือนคณะลากเอาช่างกล้องของคณะมาให้ถ่ายรูปให้อีก ถึงตรงนี้พิชามณก็เหมือนมีเรดาห์จับกล้องคุณภาพดี คุณเธอจึงรีบวิ่งมาเข้าเฟรมอย่างรวดเร็ว หลังจากถ่ายไปไม่กี่รูปคนก็เริ่มเข้ามาแจมมากขึ้นจนเริ่มจะกลายเป็นรูปรวมขนาดใหญ่ให้ประธานชั้นปีตะโกนออกไมค์ว่างั้นถ่ายรูปรวมคณะกันเลยเหอะ
ภายหลังจากถ่ายรูปรวมคนกว่าหลายร้อยชีวิตเสร็จ กันตธีร์ก็แอบเดินไปบอกรุ่นน้องช่างกล้องคนนั้นให้ส่งรูปที่ถ่ายกับเพื่อนกันห้าคนให้ด้วย
ชายหนุ่มมองความวุ่นวายตรงหน้า เขาเป็นคนมีเพื่อนไม่เยอะ ยิ่งที่สนิทกันยิ่งไม่เยอะ แต่พอคิดว่าเพื่อนทุกคนกำลังจะก้าวเดินออกไปคนละทางตามความฝันของตนแล้วก็รุ้สึกหวงแหนเวลาแบบนี้ขึ้นกระทันหัน
เขาเคยคิดอยู่แล้วครั้งหนึ่ง...แต่ครั้งนี้ดูจะชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เพราะมีแต่เพื่อนดีๆ แบบนี้ บางทีที่อยู่คนเดียว คนปลีกวิเวกอย่างกันตธีร์ก็เลยอดจะรู้สึกเหงาขึ้นมาบ้างไม่ได้เหมือนกัน
เคยมีคนกล่าวว่าช่วงชีวิตที่ดีที่สุดคือชีวิตมหาลัย...บางทีเขาก็คิดว่ามันจริง
ตอนท้ายงานกฤษณ์ดึงตัวเขาไปกอดแน่น แล้วบอกว่าต่อไปนี้ไม่มีคุณพ่อคอยคุมแล้ว อยู่กับซอลทำตัวดีๆ นะ ชายหนุ่มเลยอดจะเอากำปั้นฟาดไหล่กลับไปไม่ได้ว่าหาแม่ให้ลูกสักทีเหอะ
ผละจากฤษณ์ก็เป็นพิชามณ สาวสวยตรงหน้าทำท่าจะกระโดดใส่เขาทำเอาต้องรีบยกมือห้ามแต่สุดท้ายก็โดนกอดหมับเข้าอยู่ดี หญิงสาวแอบกระซิบเบาๆ ว่าต่อไปนี้กอดได้ไม่มีปัญหา เพราะกันตธีร์ใช้สายตาทั้งหมดไปมองหนุ่มหล่อจนไม่เหลือไว้มองผู้หญิงแล้ว
ทำเอาอยากเถียงใจจะขาดแต่พูดไม่ออกเลยสักคำ
ฝ่ายวีรินทร์ปฏิเสธที่จะแสดงอาการซึ้งอย่างชัดเจน แล้วก็บอกว่าต้องมองหน้ากันไปอีกสองปี แค่คิดก็เอียนล่วงหน้าแล้ว จึงมาถึงคนสุดท้าย...จิรณัฐมองหน้าเขานิ่ง ทำให้กันตธีร์เริ่มไม่แน่ใจว่าควรแสดงท่าทีอย่างไร
แต่สุดท้ายใบหน้าหล่อก็เปิดยิ้มกว้างแล้วกางแขนออก
“เจจะไม่อยู่แล้ว...มีความสุขมากๆ นะธีร์” เสียงนุ่มกระซิบอวยพร
“เออ ไปอยู่นู่นก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ อย่ามั่วให้มันมากนักรู้ไหม”
“ครับๆ เลิกแล้วๆ” จิรณัฐหัวเราะรับคำ
กันตธีร์กับเพื่อนเดินออกมาจากหอประชุมตอนเที่ยง ท้องฟ้าหน้าหนาวกระจ่างใสและเป็นสีฟ้าสวย ชายหนุ่มบอกลาเพื่อนแล้วหิ้วข้าวของที่ได้มาเดินไปที่หอสมุดกลาง ทุกก้าวเดินเขาแทบไม่ต้องคิด...เพราะมานับครั้งไม่ถ้วน
หัวใจในหน้าอกข้างซ้ายเต้นแรงแต่เป็นจังหวะช้าๆ เขาไม่ได้รีบร้อนเหมือนครั้งนั้นที่วิ่งขึ้นมาเพื่อตามใครสักคนอย่างไม่คิดชีวิต เพราตอนนี้ร่างสูงของโชติภัทรจะยืนรออยู่ตรงที่เดิมเสมอ รอยยิ้มอบอุ่มนั้นก็เหมือนเดิม สายตาที่ทอดมองมาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
“เหนื่อยไหม”
“ฉันต่างหากที่ต้องถาม”
ของในมือถูกวางไว้ลวกๆ เพราะแรงดึงดูดลี้ลับทำให้อยากสัมผัสอีกฝ่ายขึ้นมา อ้อมกอดของโชติภัทรอุ่น...ชวนให้รู้สึกสบายใจ
“ธีร์เรียนจบก่อนแบบนี้ฉันรู้สึกแย่เลย”
“ยังไงก็ต้องเรียนโทต่ออยู่...เริ่มทำงานพร้อมกันพอดี”
“แต่ฉันต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัดนะ”
“ก็ไว้ค่อยคิด”
กันตธีร์กระชับแขนที่โอบรอบคออีกฝ่าย แล้วมองออกไปที่ท้องฟ้าสดใสนอกหน้าต่างบานใหญ่ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกมากมาย ทั้งเรื่องครอบครัว การทำงาน การใช้ชีวิตและอะไรอีกหลายอย่าง...แต่ตอนนี้สิ่งที่เขารู้คือปัจจุบัน
ภายใต้ผืนฟ้าสีคราม...เราจะก้าวเดินไปด้วยกัน
END
::talk::
สวัสดีค่า
ทุกคนอาจจะตกใจว่าทำไมจู่ๆก็จบ คือจริงๆเราคิดอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้จบในตอนจบการศึกษาน่ะค่ะ (แล้วก็จริงๆได้แอบบบอกไปแล้วในตอนก่อนๆว่าใกล้จบแล้วจริงๆ) เพราะด้วยสปีดดำเนินเรื่องประมาณนี้กว่าจะคบกันจนโชเรียนจบ...คิดว่าไม่คนเขียนก็คนอ่านคงเรียนจบก่อน ฮาาาาาาา
แล้วเราก็รู้สึกว่าประเด็นที่อยากพูดถึงก็ได้พูดไปหมดแล้ว เลยคิดว่าสำหรับโชธีร์มันคงถึงที่จะต้องปิดฉากแล้วล่ะค่ะ ไม่งั้นมันคงจะยืดเยื้อเกินไป
อ้อ แล้วก็ที่หายๆไปคือเรายังเขียนตอนจบที่ตัวเองถูกใจสุดๆไม่ได้สัก //กลุ้มใจ เลยหนีไปเขียนเรื่องของเจมา ก๊ากกกกกกกก //โดนเขวี้ยงของ //ขอโทษค่ะ แงงงง
ยังไงก็ตาม เราเขียนนิยายเรื่องนี้มาเกือบหนึ่งปีเต็มได้ ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆนะคะ เรามีความสุขมาก ช่วงที่ชีวิตเราย่ำแย่ถึงจุดที่มากที่สุด เราเคยเข้ามานั่งอ่านคอมเมนท์ของทุกคน มันมีพลังมากค่ะ

เราดีใจมากที่มีคนบอกว่าชอบนิยายของเรา แล้วก็ดีใจมากที่นิยายของเราทำให้ทุกคนมีความสุขได้ เรื่องนี้เป็นนิยายยาวเรื่องแรกในชีวิตที่เราเขียนจบค่ะ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ขอบคุณทุกคนนะคะที่เป็นกำลังใจให้เราเขียนมาถึงตรงนี้ ทั้งคนเขียนและโชกับธีร์ขอบคุณทุกคนจากใจจริงค่ะ

หลังจากนี้เราวางแผนถึงตอนพิเศษไว้แล้วพอสมควร ก็จะเข้ามาลงเป็นระยะๆ นะคะ เพราะในหัวของเรา โชกับธีร์ก็ยังใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ
สำหรับใครที่รอคอยบทของเจอยู่ก็เชิญได้ที่ >>> In the hug of sunshine ในอ้อมกอดกรุ่นไอแดด
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44595.0ตอนนี้ตอนจบแล้ว ใครมีอะไรจะบอกเรา บอกมาได้เลยนะคะ เรายินดีรับทุกความคิดเห็นค่ะ
อ้อ แล้วก็มีอีกเรื่องนึงค่ะ แอบกระซิบบอกว่าเราได้รับการติดต่อจากสนพ.มาค่ะ แต่ว่าเพิ่งเขียนจบเลยยังไม่ได้ส่งต้นฉบับไปให้พิจารณาจริงๆ ดังนั้นถ้าได้ข่าวอย่างไรจะมาแจ้งอีกทีนะคะ
ขอบคุณจริงๆนะคะ รักมาก จากคนเขียนและโชธีร์

::comment::
praewp - ฮาาาา คงเป็นเรื่องของอนาคตมั้งคะ
minjeez - เป้นพี่ชายที่น่ารักกับน้องสาวสุดๆเลยล่ะค่ะ
GintoniC - โชเป็นคนแบบนั้นจริงๆค่ะ ฮาาาาา
malula - เป็นน้องที่คิดพี่ทั้งคู่ค่ะ เขาบอกฝันดีกันคนเขียนก็ฝันดีด้วยค่ะ ฮาาา
BeeRY - เน้ออออออ น่าอิจฉาเนอะคะ 5555555
Zelsy - ก๊ากกกกกก น้องเขาน่ารักนะคะ แต่จริงๆคือก็เคยจิ้นพี่ตัวเอง 55555
quiicheh. - อุอิ เรื่องของเจ เชิญติดตามได้ในเรื่องต่อไปเลยค่า
kokoro - มีความสุขมากจริงๆค่ะ พอธีร์พูดตรงๆแล้วมันน่ารักเน้ออออออออ
kaireaw - ฮาาาา น้องแกก็เคยจิ้นพี่ชายตัวเองนะคะ บอกคิดถึงกันแบบนี้มันน่ารักเนอะคะะะ
ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ รู้สึกเต็มตื้นมาก ไม่มีคำพูดอะไรจะบอกมากกว่านี้ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
