เท่าที่ฟังแล้วชายหนุ่มร่างสูงหลังหนังสือเรื่องการปลูกกระบองเพชรเบื้องต้นพอจะจับใจความได้ว่า ทั้งคู่น่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน หนุ่มคนนั้นเหมือนจะรับจัดงานแต่งงานอยู่ และตอนนี้ก็จะรับจัดงานแต่งนอกสถานที่เลยต้องลงใต้มาชั่วคราว ชายหนุ่มยืนฟังทั้งคู่คุยกันจนถึงขั้นแลกเบอร์โทรศัพท์ก็ตัดสินใจในฉับพลันด้วยการกระแทกหนังสือเข้าตั้งที่ชั้นวางอย่างแรง แล้วจ้องเขม็งไปทางคนสองคนที่ยืนคุยกันแล้วหันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียงหลังจากที่เสียงวางหนังสือมันดังสนั่นหวั่นไหวเสียขนาดนั้น
“เอ่อ...” บัวอึกอักในลำคอทันควันเมื่อเห็นสายตาแฝงแววคุกรุ่นส่งมาให้จากบุคคลร่างสูงซึ่งเขาเกือบหลงลืมไปชั่วขณะเมื่อเจอคนรู้จัก คุณครูหนุ่มถอยเท้าออกห่างจากฉัตรฟ้าในทันทีหนึ่งก้าวด้วยปฏิกริยาตอบรับทางธรรมชาติ ซึ่งเขาทำไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ตอนนี้อาการมันเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับได้อย่างไรพิกล
“สวัสดีครับ ขอโทษที่ต้องรบกวน แต่ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมควรจะพาคุณครูของลูกผมกลับไปส่งบ้านได้แล้วนะครับ” คำพูดไร้น้ำเสียงประชดประชันที่มาพร้อมรอยยิ้มดูดี แต่กลับทำให้บัวขนลุกซู่ได้อย่างน่าประหลาด
“คุณครู...ของลูกคุณ?” ฉัตรฟ้ามีน้ำเสียงงุนงงในระหว่างที่มองผู้มาใหม่กลางวงสนทนา อีกฝ่ายยิ้มให้เขาแล้วโค้งศีรษะให้นิดๆเป็นเชิงทักทาย
“เอ่อ...พี่ฉัตร...นี่คือ...นายเหมืองสิงห์ เค้าเป็น ‘เจ้านาย’ บัวเอง” เสียงติดหวานเอ่ยขึ้นเพื่อตอบความสงสัยของฉัตรฟ้า คนได้รับคำอธิบายร้องอ๋อขึ้นมาก่อน ถึงค่อยพิจารณาว่าคำว่าเจ้านายนั้นหมายถึงอะไร
“อ๋อ...เจ้านาย? หมายถึงผู้ปกครองของลูกศิษย์บัวใช่มั้ย” ฉัตรฟ้าถามกลับ พอเห็นบัวยิ้มซีดๆพร้อมพยักหน้ารับจึงหันไปยกมือไหว้ผู้ที่เขาคิดว่าอาวุโสกว่าแน่นอนตามมารยาท “สวัสดีครับ...คุณสิงห์ ผมชื่อฉัตร เป็นรุ่นพี่ของบัวเขาน่ะครับ ทำงานรับจัดงานแต่งงานอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณโชคดีมากเลยนะครับเลยที่ได้บัวมาทำงานให้ รายนี้น่ะเชื่อมือได้เลยครับ เขาทุ่มเทให้กับการสอนมาก เด็กกี่คนๆที่ผ่านมือคุณครูบัวตองนะ ติดใจกับทุกคน ส่วนเรื่องผลการเรียนไม่ต้องพูดถึง...”
“คุณครูบัวตอง...เหรอครับ” นายเหมืองสะดุดหูชื่อที่หนุ่มสำอางค์พล่ามออกมาเลยย้อนถามกลับ
“พี่ฉัตร...บอกกี่ทีแล้วว่าชื่อบัวเฉยๆ...” น้ำเสียงงุ้งงิ้งพร้อมมือบอบบางที่ตีเพี๊ยะเข้าที่ท่อนแขนในชุดสูทดูดีของอีกฝ่ายทำให้นายเหมืองตัดสินใจรีบสาวเท้าเข้าไปยืนซ้อนเรือนร่างขาวหอมของคุณครูบัวในทันที
“ขอโทษๆ ก็พี่เห็นว่าชื่อบัวตองมันเหมาะกับบัวมากกว่านี่นา ฉายาเขาสมัยเรียนน่ะครับคุณสิงห์...บ้านเก่าบัวเขาอยู่บนดอย ก็เลย
...ดอกบัวตองนั้นบานอยู่บนยอด...ดอย...โอ๊ยๆ พอแล้วๆไม่แหย่แล้วๆ” ฉัตรฟ้าร้องโอดโอยทันทีที่ร้องเพลงล้อฉายารุ่นน้องออกมาแล้วโดนคนโดนล้อประทุษร้ายเอาด้วยการหยิกเบาๆที่แขนอย่างน่ารัก แต่คนไม่รู้สึกน่ารักไปด้วยตามสถานการณ์อย่างนายเหมืองสิงห์กลับรีบเอามือใหญ่ของตัวเองไปขวางไว้แล้วดึงมือครูบัวกลับมาไว้ข้าวตัวอย่างหวงแหน ในขณะที่ฉัตรฟ้ากลับเข้าใจไปอีกทางว่านายเหมืองคงอยากช่วยกันไม่ให้บัวมาทำร้ายตนจึงเอ่ยขอบคุณออกไป ส่วนบัวนั้นได้แต่ยืนหน้าแดงแป๊ดทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากยืนให้นายเหมืองกุมมือเอาไว้นิ่งๆในขณะที่ส่งความไม่พอใจนิดๆไปทางสายตาให้ฉัตรฟ้า เชิงว่าให้หยุดขุดคุ้ยชีวประวัติของเขาต่อหน้าเจ้านายตัวเองได้แล้ว
“เอาเถอะพี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้ มาด้วยกันใช่มั้ยหรือจะให้พี่ไปส่ง...”
“ไม่ต้อง! เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกคุณฉัตร บัวเขามากับผม ผมพาเขากลับเองได้” ไม่อยากโดนมองว่าเขาเถื่อนกับคนรู้จัก เดี๋ยวมันจะดูไม่ดีในสายตาของครูบัวไป เขาจึงต้องพยายามปรับลดระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติหลังจากกระชากเสียงใส่คำแรกว่า ‘ไม่ต้อง!’ ออกไปด้วยความโมโห
“อ๋อ โอเคครับ...งั้น ไว้คืนนี้จะโทรหานะ ไว้ว่างๆจะไปรับออกมาหาอะไรกินกัน” ฉัตรฟ้าบอกกับคนผิวขาว ก่อนจะโชว์โทรศัพท์มือถือให้ดูว่าเขาเมมเบอร์อีกฝ่ายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และนั่นก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ตัดขีดความอดทนในสมองของนายเหมืองดังฉับ!
...ขนาดเขายังไม่เคยรู้เลยสักนิดว่าครูบัวตัวขาวนั้นมีมือถือด้วย! แล้วไอ้หมอนี่มันกล้าดียังไงถึงมีสิทธิ์เอาเบอร์ครูบัวมาโชว์หราต่อหน้าเขาแบบนี้!!...
“บัว...กลับบ้าน! ลูกเราร้องหาแล้วมั้งป่านนี้” อุณหภูมิน้ำเสียงลดลงจนถึงขั้นติดลบ และบัวที่ช่วงนี้ใช้เวลาอยู่กับนายเหมืองค่อนข้างนานก็รับรู้ความรู้สึกนั้นได้อย่างชัดเจน บัวมองหน้านายเหมือง รอยย่นระหว่างคิ้วบ่งบอกอารมณ์เจ้าตัวได้ดีว่าไม่สบอารมณ์มากขนาดไหน และที่น่าตกใจก็คือเขายังไม่รู้วิธีที่จะทำให้มันเพิ่มอุณหภูมิขึ้นเป็นปกติได้น่ะสิ
“เอ่อ...พะ...พี่ฉัตร คือ...ไว้คุย...”
คำพูดของบัวถูกค้างคาไว้แค่นั้น เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะแก้ไขคำพูดอะไรได้อีก นายเหมืองจูงเขาออกมาจนแทบจะอุ้มลอยออกมาจากร้าน พอลากมาถึงลานจอดรถก็จับเขายัดเข้ารถไม่พูดไม่จา แถมยังกระชากรถออกและขับรถเร็วมากด้วยสีหน้าบึ้งตึง เห็นอย่างนั้นแล้วบัวก็เลยไม่กล้าพูดอะไรออกมา ด้วยเกรงจะไปกระตุ้นโทสะของคนขับรถจนอาจเกิดอุบัติเหตุที่มันไม่คาดฝันขึ้นมาได้ก็ได้
ในหัวของสารถียังคงมีภาพความสนิทสนมระหว่างบัวกับผู้ชายที่ชื่อฉัตรฟ้าอยู่เต็มหัว มันฉายวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะตอกย้ำความปวดหน่วงในใจว่าความมาทีหลังมันทำให้เขาไม่รู้จักคนตัวบางดีเลยสักนิด อาศัยสนิทกับเขาก็แค่ตัว ไม่ได้สนใจจะศึกษาเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบัวและเขาเลยสักนิด พอตอนนี้เห็นว่าอีกฝ่ายมีคนรู้จักที่เขาเองไม่รู้จักเพิ่มขึ้นมาก็ไปหึงหวงเขา ทำแบบนี้มันงี่เง่ามาก เคยเห็นในละครก็ออกบ่อย ด่าไอ้พวกพระเอกงี่เง่าแบบนี้ไปก็เยอะ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมาโดนเข้ากับตัวเอง ไอ้ที่ด่าๆพวกพระเอกพวกนั้นไปก็ดันเข้าตัวเองเรียบ
นี่ก็ดันไปฉุดเขามากะทันหัน พฤติกรรมเถื่อนหาใครเปรียบ เท่าที่เป็นอยู่นี่ก็หาข้อดีต่อหน้าครูบัวไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว อ้อ...มีนิดหน่อยตอนไปช่วยเขาไว้ในป่านั่นล่ะ แต่นอกนั้น...จะหาข้อดีอย่างเป็นจริงเป็นจังมันช่างยากเหลือเกิน
...นี่ครูบัวก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าโกรธหรือเคือง แล้วจะทำยังไงให้หายโกรธ...เขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน
“เอ่อ/เอ่อ”
และในระหว่างทางที่รถกำลังวิ่งผ่านทุ่งข้าวเขียวขจีอยู่นั้น เท้านายเหมืองสิงห์ก็รีบเหยียบเบรกกะทันหัน พร้อมๆกับที่ทั้งคู่คิดที่จะทำลายบรรยากาศความเงียบขึ้นมาพร้อมกัน
บัวหันมองคนขับรถ ในขณะที่คนเพิ่งเบรกรถก็หันกลับมามองบัวเช่นกัน...
“พี่ว่า...เราคงต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังสักทีนะบัว” นายเหมืองสิงห์เป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นมาก่อน หลังจากที่พวกเขาจ้องตากันและกัน แล้วคิดว่ายิ่งทำมันก็ยิ่งเสียเวลาเปล่า ซึ่งบัวเองก็เห็นด้วยที่จะต้องคุยกันอย่างเปิดเผยและเปิดอก เพราะเขาเองก็ไม่ชอบที่จะอยู่แบบอึมครึมกับชายร่างสูงคนนี้เหมือนกัน
...ซึ่งการที่นายเหมืองเริ่มต้นเองอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้เขารู้ว่าถึงนายเหมืองจะดูเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่จริงๆแล้วเขาไม่ใช่คนไร้เหตุผล นอกจากครั้งที่บัวทำกรอบรูปสุดรักของเขาตกแตกแค่ครั้งเดียว...
“นายเหมือง...โกรธอะไรบัวอยู่...สักอย่างใช่มั้ยครับ” ในเมื่อเขาเริ่มเปิดปากเริ่มเรื่องเองแล้ว ก็ขอบัวเป็นคนถามกลับเขาบ้าง
“พี่โกรธ แต่ไม่ได้โกรธบัวหรอก...พี่โกรธตัวเองมากกว่า ว่าทำไม...ถึงไม่คิดจะสนใจเรื่องรอบตัวของบัวเลย พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบัวมีโทรศัพท์มือถือด้วย...ไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าบัวชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องพื้นฐานจะตาย ของคนที่เขา...รักกัน”
“ห๊ะ...เอ่อ นายเหมือง...”
“...คนที่เขารักกัน...จะฟังอีกกี่ครั้งก็ได้นะบัวพี่ยินดีพูดซ้ำ...เพราะถ้าพี่มั่นใจแล้วว่าพี่รักใคร พี่จะไม่ยอมเสียเวลาอีก เพราะพี่เรียนรู้แล้วว่า...เราไม่เคยแน่ใจได้เลย ว่าจะมีเวลาอยู่กับคนที่เรารักไปได้อีกกี่วัน”
“...นายเหมือง”
“ไม่ต้องมาทำเสียงเหมือนสงสารผมหรอก ผมเคยสงสารลูก สงสารตัวเองมามากพอแล้ว ถ้าคุณจะสงสารผมอีกคนก็อย่าเลย...หันมายอมรับรักผมดีกว่า”
“ยอมรับรัก?...นี่ นายเหมือง...”
“ใช่บัว...พี่กำลังจะขอบัวเป็นแฟน...ถึงแม้เราจะข้ามขั้นกันไปหน่อยเพราะพี่ได้บัวเป็นเมียไปแล้วก็เถอะ แต่พี่ก็กำลังพยายามจะทำให้มันเป็นไปตามครรลองอย่างที่มันควรจะเป็นอยู่ เริ่มจากเป็นแฟน เป็นเมียพี่ แล้วก็เป็นแม่ของลูกพี่...”
“นายเหมือง...เอาแค่ขอเป็นแฟนให้รอดก่อนมั้ย” บัวดักคอ เมื่ออีกฝ่ายเริ่มที่จะพล่ามออกมานอกเรื่องเกินไปแล้ว
“งั้นว่าไง ยอมเป็นแฟนพี่หรือเปล่า...โอเคล่ะว่าบรรยากาศขอเป็นแฟนกลางนากลางทุ่งแบบนี้มันอาจจะไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่ แต่คนอย่างพี่ก็ทำได้แค่นี้แหละ มีต้นข้าวกับควายเป็นพยาน รับรองว่าไม่มีใครเหมือนหรอก...”
ถึงคำพูดและน้ำเสียงจะฟังดูราวคนขอคนอื่นเป็นแฟนจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่บัวเห็นนะ ว่ามือเขาแอบสั่น...คุณครูหนุ่มยื่นมือเข้าไปช้อนมือของนายเหมืองหนุ่มที่จับพวงมาลัยรถอยู่มาจับเอาไว้ทั้งสองมือ ก่อนจะลูบไปมาอย่างต้องการให้กำลังใจ ก่อนจะตามด้วยการช้อนยิ้มให้เหมือนยามที่เขาเคยทำกับเด็กๆเวลาต้องการให้กำลังใจ
“นายเหมืองสิงห์ บัวเอง...ก็รู้สึกดีๆกับคุณเหมือนกัน แต่บัวไม่เคยมีแฟน ไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นความรักหรือเปล่า แล้ว...แล้วเราก็เพิ่งพบกันได้ไม่นาน ความรัก...มันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ความรักไม่เคยจำกัดเพศ ไม่จำกัดชนชั้นและไม่เคยจำกัดเวลาที่มันจะเกิดขึ้น อย่างพี่กับแหม่มเอง ก็ถือเป็นรักแรกพบได้เหมือนกัน...”
“จริงสิ นี่ก็อีกเรื่อง...ถึงคุณแหม่มจะเสียไปแล้ว แต่ว่านายเหมืองแล้วก็เด็กๆก็รักคุณแหม่มมาก บัวไม่อยากให้เด็กๆต้องสับสน ถ้าจะต้องมารับรู้ว่า...ครูกับพ่อของตัวเองกำลัง...คบกัน”
“ถ้าบัวกังวลเรื่องนั้นก็ไม่ต้องห่วงเลยนะ เพราะสองแสบไลเกอร์กับไทกอนน่ะ เขาเชียร์คุณขาดใจเลยรู้รึเปล่า”
“ล้อกันเล่นแล้วนายเหมือง เด็กๆเนี่ยนะจะเชียร์คุณกับผม ผมว่า...ไลเกอร์กับไทกอนคงกำลังสับสนกับอะไรบางอย่างมากกว่า”
“อะไรบางอย่างที่ว่า...ก็คือความรักครั้งใหม่ของพ่อตัวเองนั่นแหละบัว ผมเลี้ยงเขามา...ทำไมผมจะไม่รู้ว่าลูกตัวเองคิดอะไรอยู่ เอาเป็นว่ากลับมาที่คำถามเดินของพี่ดีกว่านะบัว...จะเป็นหรือไม่เป็น ถ้าตอบตกลงว่าเป็น พี่มีสวัสดิการพิเศษเป็นลูกติดแบบไม่ต้องอุ้มท้องแล้วก็คลอดเองด้วยนะ ตั้งสองคนแน่ะ...ที่สำคัญน่ารักมากๆด้วย นะ” นายเหมืองตบท้ายด้วยการยิ้มล้อ เพราะแน่นอนว่าคนที่รู้ดีที่สุดว่าลูกเขาน่ารักยังไงก็คือคนตรงหน้านี่เอง
“บัว...ขอเวลาหน่อยได้มั้ยครับ บัวอยากให้เวลาทั้งตัวบัวเองแล้วก็คุณด้วย บัว...”
“โอเคครับ...พี่จะไม่เร่งรัดอะไรบัว แต่ขอให้บัวรู้ไว้อย่างนะ...ว่าวันนี้นอกจากพี่จะโมโหตัวเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรของบัวแล้วเนี่ย พี่ยังรู้สึก... ‘หึง’ บัวมากๆด้วย ถึงจะบอกว่าเป็นรุ่นพี่ก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าจะสนิทกันมากเกินไปนะ ถึงขนาดแลกเบอร์...รู้จักบ้าน รู้จักฉายาบัวด้วย ในขณะที่พี่...”
“อ๋อ...เพราะอย่างนี้หรือเปล่าครับ คุณถึงได้มาขอบัวเป็นแฟน ...เพราะคุณ ‘หึง’ บัวกับพี่ฉัตร ใช่มั้ยครับ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง...แต่ส่วนสำคัญก็คือ พี่รักบัว รักจริงๆ และไม่คิดที่จะเสียเวลาอีกแม้สักวินาทีที่จะคว้าบัวมาอยู่เคียงข้างพี่”
คำพูดธรรมดาไร้การปรุงแต่งที่บัวสัมผัสได้จากน้ำเสียงทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆซึมความรู้สึกจากคำพูดนั้นเข้าสู่หัวใจอย่างช้าๆ ยอมรับว่าที่ผ่านมาคนตัวสูงร่างบึกบึนนี่เข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจเขาอย่างมากมายเลยทีเดียว ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกดี จนบางทีก็กลัวความรู้สึกของตัวเองจะถลำลึกมากไปกว่านี้เหมือนกัน...
“ขอเวลาบัวไม่นาน...บัวจะตอบคำขอของนายเหมืองแน่ๆ...แค่ขอเวลา...” บัวเอ่ย
มือใหญ่ของนายเหมืองยกช้อนมือของบัวขึ้นมาประทับที่ริมฝีปาก ก่อนจะเอามาแนบกับแก้มตัวเองทั้งสองข้างแน่นๆ นัยน์ตาคมส่งผ่านความคาดหวังไปให้คนตัวเล็กกว่า หวังนักว่ามันอาจเป็นข่าวดี เขาอาจได้มีแฟนใหม่มาให้ชุ่มชื่นหัวใจเร็วๆนี้ได้แน่
------------------------------------------------------------
มาแล้วจ้าาาา ใกล้แล้วๆ เรื่องนี้ใกล้ละ อิอิ
