“นายเหมือง...ไม่ใช่บัวไม่ได้จะไปทางนี้ เด็กๆน่าจะอยู่ที่โซนเครื่องเล่น นี่นายเหมือง...ปล่อยนะบัวจะไปทางโน้น...” บัวพยายามดิ้นเพื่อจะดีดมือให้หลุดออกจากการเกาะกุม ทว่าคนกุมมือบัวกลับทำเหมือนใจเย็นนักหนา เดินดูของชมเสื้อผ้าข้างทางอย่างสบายใจ ในขณะที่บัวกลับขึ้งเครียดและเงียบขรึมลงเรื่อยๆตามระยะทางที่นายเหมืองสิงห์พาเดินผ่าน
จนในที่สุดเมื่อชายหนุ่มพาคุณครูบัวมาหยุดดูเสื้อที่ร้านขายเสื้อผ้าลายบาติก คุณครูหนุ่มก็ไม่ยอมเดินไปไหนอีกเลย
“บัว...พี่ว่าเสื้อตัวนี้สีสวยดีนะ ไซส์เอสของบัวก็มีด้วย...เสียดายไม่มีไซส์เด็ก จะได้ใส่รวมกันเป็นสี่คนพ่อแม่ลูก”
“...”
“บัว...ไม่เอาน่า แค่เสื้อเขียนว่างอนผัวแต่ไม่น่าจะต้องทำจริงตามคำนั้นเลยนะบัว...อีกอย่าง ให้พี่มาง้อตรงนี้ไม่ได้นะ อายคนเขารู้รึเปล่า”
“...ไม่ได้งอน แล้วก็ไม่ต้องมาง้อบัวด้วย...นายเหมือง บัวไม่เข้าใจ...ทำไมถึงมีแต่บัวคนเดียวที่ห่วงพวกเขา คุณเป็นพ่อเขานะ”
“โอเค...โอเค แค่สองแสบกลับมาคุณก็จะพอใจใช่มั้ย...ได้” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างแอบหัวเสียเล็กๆ เขามางานนี่ก็เพราะว่าอยากจะมีเวลาอยู่กันสองต่อสองกับครูบัวในบรรยากาศดีๆเหมือนมาออกเดตกันบ้างก็เท่านั้น แต่ถ้าครูบัวอยากจะได้ ก.ข.ค. เป็นสองแสบตัวป่วนมากนักล่ะก็เขาก็จะจัดให้ “ฮัลโหล...ไอ้เม่น บอกลุงเกรียงให้เอาสองแสบมาที่ร้านบาติก ผมกับครูบัวรออยู่ที่นี่นะ อ้อ...ที่สำคัญบอกลุงแกด้วยว่า ด่วน...ครูบัวเขาเป็นห่วงลูกชายเขา ‘มาก’ ”
‘บ้า...ไม่ต้องหันมาทำตาดุใส่เลย’ บัวคิดในใจอย่างเคืองๆ ไอ้ที่หลอกจับมือมาทั้งงานนี่ก็อุตส่าห์ทำหน้าหนามองข้ามสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านชาวเมืองเขาทั้งงานแล้วนะ แล้วนี่เขาทำผิดอะไร แค่เป็นห่วงลูก...เอ่อ ลูกศิษย์แค่นี้นี่มันผิดนักหรือ อย่านะ...อย่าให้เอาคืนบ้าง ข้อหาเตรียมฟ้องศาลมียาวเป็นหางว่าวนะขอบอก
“เอาล่ะ...คราวนี้ถ้าทั้งสองแสบมาหาเราแล้วเนี่ย คุณครูบัวก็จะทำหน้าดีๆ ยิ้มแย้มแจ่มใจ เดินเที่ยวงานกับพี่ได้อย่างสบายใจแล้วใช่มั้ย”
“...”
“...บัว” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำ คนถูกเรียกหันมาทำหน้างอใส่เล็กน้อยพร้อมบิดแขนที่โดนกุมไว้เบาๆ
“อื้อ” บัวตอบรับในลำคอ และในที่สุดข้อมือขาวก็ถูกปล่อยออกอย่างง่ายดาย
บัวย่นจมูกใส่คนเจ้าเผด็จการพร้อมทั้งแลบลิ้นเล็กใส่ทีหนึ่ง แล้วจึงค่อยหันเหความสนใจไปที่เสื้อเชิ้ตสีสดใสทรงผู้หญิง กะขนาดคร่าวๆแล้วแม่เขาน่าจะใส่ได้พอดี ราคาก็สมน้ำสมเนื้อ บัวคิดพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองมาเปิดดู ในนั้นมีธนบัตรอยู่สองสามใบ รวมๆแล้วไม่เกินหนึ่งพันบาทแน่นอน ซึ่งเงินจำนวนนี้เขาต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือน อืม...อยู่ที่เหมืองเขาก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมายอยู่แล้ว และแม่เขาก็น่าจะชอบเสื้อตัวนี้แน่ๆ...ซื้อเลยดีกว่า
“ผมเอาตัวนี้...แล้วก็ตัวนั้นสีฟ้าด้วย เอาไซส์เดียวกันกับตัวนี้นะครับ” นายเหมืองหนุ่มชี้ไปที่เสื้อตัวที่บัวกำลังจะหยิบออกจากราวแขวน พร้อมทั้งชี้ไปที่อีกตัวที่อยู่บนราวใกล้ๆกันแต่คนละสี บัวมองคนแย่งตัดหน้าซื้อเสื้อไปจากมือบัวอย่างไม่เข้าใจ
...ก็เห็นอยู่นี่ว่าบัวกำลังจะซื้อ แล้วทำไมนายเหมืองถึงมาทำอย่างนี้ล่ะ...
บัวมองเสื้อที่เจ้าของร้านขอไปอย่างเสียดายและแอบเสียใจเล็กๆ ไม่คิดว่านายเหมืองจะอยากแกล้งกันถึงขนาดนี้
...ใช่สิ เขาไม่ใช่คนมีเงินถุงเงินถัง ตัดสินใจอะไรไม่รวดเร็วเท่า จะโดนเขาแย่งตัดหน้าไปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจยาก...
“เอ้านี่...ฝากบอกคุณแม่ด้วยนะว่าพี่ขอโทษถ้าไม่ได้เอาไปให้ด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นของหมั้นเล็กๆน้อยๆล่วงหน้าจากเขยขวัญก็แล้วกัน”
ถุงกระดาษที่มียี่ห้อร้านแปะหราด้านหน้าถูกยื่นมาให้บัว คุณครูหนุ่มยื่นมือออกไปรองรับก้นถุงอย่างงงๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนักว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของเสื้อสองตัวที่หวังอยากซื้อให้มารดาโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท
“เดี๋ยวนะนายเหมือง...ถึงบัวจะรวยไม่เท่า แต่ซื้อเสื้อให้แม่แค่นี้บัวซื้อเองได้”
“ไม่ใช่ พี่ไม่ได้เจตนาจะข่มหรืออะไรบัว พี่แค่อยากซื้อเสื้อให้แม่บัวจริงๆ...”
“แล้วนายเหมืองรู้ได้ยังไงว่าบัวจะซื้อให้แม่” คุณครูหนุ่มถาม มองสบตาเขาตรงๆ แววตาแห่งความจริงใจฉายชัด
“...บัวคงไม่ใส่เอง แล้วที่สำคัญมันก็น่าจะเหมาะกับแม่ของบัวมาก”
“นายเหมืองไม่เคยเห็นแม่ของบัว รู้ได้ยังไงครับว่าเหมาะ”
“ลูกน่ารักขนาดนี้ แม่ก็คงจะสวยไม่แพ้กันหรอก...พี่ก็แค่จินตนาการว่าถ้าบัวเป็นผู้หญิง ก็คงจะใส่เสื้อสองตัวนี้ได้สวยมาก” ชายหนุ่มตอบ
บัวหมดคำถามที่ต้องการคำตอบ คุณครูหนุ่มยกถุงเสื้อขึ้นกอดกระชับอก มันอุ่นวาบในใจแผ่วๆเมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นคิดถึงทั้งเขาแล้วยังเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวเขาอีก ...บัวดูคนไม่ผิดจริงๆ...
“เอ่อ...พี่ว่าจะคุยเรื่องนี้กับบัวนานแล้วแต่ยังไม่เจอโอกาส คุยตอนนี้เลยแล้วกัน ตอนนี้แม่บัวอยู่คนเดียวใช่มั้ย ชวนท่านให้มาพักที่บ้านด้วยกันสิ ท่านอยู่คนเดียวไม่มีคนดูแล มาอยู่เสียที่นี่อย่างน้อยป้าพุดก็คงพอจะช่วยคุยให้คลายเหงาได้...ดีมั้ย” นายเหมืองไม่รู้หรอกว่าตอนที่พูดบอกครูบัวไปเขาทำหน้าแบบไหน เจ้าของร้านเขาถึงได้เขยิบถอยห่างไปเสียไกลขนาดนั้น ทว่าคนตรงหน้าเขานี่กลับทำสีหน้าชวนร้องไห้ ปากเบะนิดๆ น้ำตาคลอหน่อยๆ น่ารักเสียจริงเชียวครูบัวของนายสิงห์
“นะ...นายเหมืองพูดจริงเหรอ บัวจะลองชวนแม่ดูจริงๆนะ”
“ให้พี่คุยให้ยังได้ เด็กๆเองก็คุ้นเคยกับการอยู่กับผู้ใหญ่ ถ้ามีบัวช่วยปรามพี่ว่าสองแสบคงไม่ทำให้แม่บัวต้องปวดหัวมากนักหรอก ห้องหับพี่ก็มีอีกตั้งเยอะ จะให้สร้างบ้านแยกเป็นของบัวกับแม่ต่างหากเลยก็ยังได้ถ้าหากอยากมีความเป็นส่วนตัว ที่ใกล้ๆกับปีกซ้ายของบ้านพี่ยังมีที่ว่างอยู่ เดี๋ยวเราค่อยทำทางเชื่อมเอา...บัวว่า...”
“นายเหมืองอย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ขอบคุณนะที่คิดถึงบัวกับแม่ บัวก็เป็นห่วงท่านอยู่เหมือนกัน ถ้านายเหมืองไม่ว่าอะไรขอบัวโทรหาแม่เลยได้มั้ยครับ บัวอยากให้แม่มาเที่ยวที่นี่ด้วย ที่นี่สบายกว่ากรุงเทพฯเยอะ แม่น่าจะชอบ...”
พอเขาอนุญาตบัวก็ไม่ขอเกรงใจล่ะ นี่ก็มัวแต่ยุ่งๆจนไม่ได้เขียนจดหมายหาแม่เลย คิดถึงอยู่มากๆ ว่าแล้วก็ขอโทรหาเสียหน่อย ยังไม่ค่ำมากแม่น่าจะยังไม่นอน... คุณครูหนุ่มหยิบโทรศัพท์พกพาเครื่องเล็กจิ๋วราคาสี่ห้าร้อยขึ้นมาเตรียมกด ทว่านายเหมืองหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ทัชสกรีนรุ่นใหม่ของค่ายโทรศัพท์ชื่อดังมายัดใส่มือบาง แล้วยึดโทรศัพท์ครูบัวมาถือไว้แทน
“เอาโทรศัพท์พี่โทรก็ได้...”
“เอ่อ ไม่เป็นไรบัวโทรเองได้ครับ”
“ไม่เป็นไร เอาของพี่แหละครับ สัญญาณของพี่ดีกว่าของบัว...”
สาธุ...อย่าให้บัวฉลาดนึกรู้เลยว่าเขากำลังหลอกเอาเบอร์โทรศัพท์บ้านของเจ้าตัวเขาอยู่...และดูเหมือนคำขอของเขาจะได้ผล เพราะคุณครูหนุ่มยอมรับโทรศัพท์เขาไปโทรแต่โดยดีพร้อมรอยยิ้มหวานและบอกขอบคุณ นายเหมืองทำเป็นยืนดูเสื้อโปโลสกรีนลายเท่ห์ๆร้านติดกันในขณะที่ครูบัวยืนถือโทรศัพท์รอสายอยู่สักครู่ก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“สวัสดีครับป้าจิต...บัวเองนะครับ คือ...บัวขอรบกวนคุยกับแม่หน่อยได้มั้ยครับ ครับ...รอได้ครับ” คุณครูหนุ่มเปิดถุงกระดาษดูเสื้อที่อยู่ข้างในแล้วก็อมยิ้ม ยืนรอสายด้วยท่าทางดีอกดีใจ “ครับ...แม่...แม่นี่บัวนะ...ครับ บัวสบายดีแม่ ตอนนี้บัวอยู่ที่งานกาชาดจังหวัด คือ...นายเหมืองสิงห์ เจ้านายบัวน่ะแม่...เขา...ซื้อเสื้อจะฝากแม่ด้วย เป็นผ้าบาติกครับแม่สีโอลโรสที่แม่ชอบด้วย ครับ...เขายังชวนแม่มาเที่ยวที่บ้านเขาได้ด้วยนะ ที่นี่อากาศดีมากแม่ต้องชอบแน่เลยครับ เอ๊ะ...ครับ แม่แป๊บนึงนะ...มีอะไรครับนายเหมือง” ท้ายประโยคบัวหันมามองคนร่างสูงที่ตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมทั้งแบมือเหมือนจะขออะไรสักอย่าง
“พี่คุยบ้างสิ...”
“หืม...จะคุยกับแม่บัวนี่นะ”
“...ครับ”
“จะคุยอะไร...เอ๊ะ...อ้าว! นายเหมือง...เอาไปเฉยเลย” บัวร้องบอกตอนที่จู่ๆโทรศัพท์ก็ถูกฉกออกไปจากมือแล้วกลับไปแนบหูของอีกฝ่าย
“สวัสดีครับ...ครับคุณน้าไม่ต้องตกใจครับผมชื่อสิงห์ เป็นคนที่ว่าจ้างลูกของคุณน้าให้มาสอนพิเศษลูกผม...ใช่ครับ...ที่...นายเหมือง...เอ่อครับ...คุณน้าสบายดีนะครับ ว่างๆก็ลงมาเที่ยวที่ใต้บ้าง ยังไงเดี๋ยวผมจะส่งตั๋วไปให้นะครับคุณน้า...อย่าเกรงใจนะครับผมพูดจริงๆ กว่าเด็กๆจะเปิดเทอมก็อีกเป็นเดือน คงอีกสักพักกว่าบัวจะได้กลับ...ช่วงนี้คุณน้าอยู่คนเดียวก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ...ถ้ายังไง...”
บัวทันได้ยินชายหนุ่มพูดกับแม่เขาเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นชายหนุ่มกลับเดินหันหลังหายเข้าไปในร้านติดกันแล้วก็หันมามองทางบัวเป็นระยะๆเหมือนต้องการคุยอะไรกันกับแม่เขาสองคนแบบที่ไม่ต้องการให้เขาได้ยิน
“...ครับ ได้ครับแม่ ผมจะดูแลเขาเป็นอย่างดีครับ แม่ก็ต้องรักษาสุขภาพนะครับ...คุยกับบัวต่อ...”
“ฮัลโหล แม่ครับ...เขา...เขาคุยอะไรกับแม่...”
‘บัว...สอนลูกเขาให้เต็มที่นะลูก แล้วถ้าแม่ว่างแม่จะลงไปหานะ...แค่นี้ก่อนนะบัวแม่เกรงใจป้าจิตเขา’
“แม่...แม่ครับ...ฮัลโหล...แม่...” บัวมองหน้าเจ้าของโทรศัพท์ที่เอาคืนไปอย่างงงงวย “เมื่อกี๊คุณคุยอะไรกับแม่บัว แล้วทำไมคุณถึงเรียกแม่ผมว่า...แม่...”
“แม่บัวน่ารักนะ ผมชักอยากเจอตัวจริงของท่านเร็วๆสิ...”
“เดี๋ยวก่อนสิ...นายเหมือง...คือ...”
คนตามยื้อยุดแขนล่ำสันต้องขมวดคิ้วหมุ่นเมื่อจู่ๆก็มีแรงดึงเสื้อน้อยๆมาจากด้านหลัง หันมองไปดูก็เจอเด็กจอมซนสองคนที่อยู่ในสภาพมอมแมมกว่าตอนพามาเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงแก้มและปกเสื้อที่เลอะไอศกรีม ซึ่งข้างๆเด็กทั้งสองคนก็มีลุงเกรียงและนายเม่นพร้อมทั้งคนงานที่เหมืองคนที่เขามักจะเห็นคอยช่วยงานลุงเกรียงอยู่บ่อยๆอีกคน แม้บุคลิกท่าทางจะดูเหมือนคนที่ไม่ได้ทำงานในเหมืองมากนัก แต่หน่วยก้านดีและไว้ใจได้
“ครูบัว...เกอร์อยากไปนั่งชิงช้า...เมื่อกี๊ยังไม่ได้ขึ้นเลย” ไลเกอร์บอกคุณครูตาหวานของตัวเองปากยู่อมลมแก้มป่อง
“ก็ตัวอ่ะชักช้า มัวแต่เบิ้ลแมงมุมยักษ์ไม่ยอมลงสักที เป็นไงล่ะโดนพ่อกับครูตาหวานเรียกตัวกลับเลย” ไทกอนผลักไหล่พี่ชายเบาๆด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าคนไม่ยอมให้ใครมาหยามศักดิ์ศรีอย่างไลเกอร์ก็ผลักน้องตัวเองกลับด้วยความเบาพอกัน
“ใครว่าล่ะ ไทนั่นแหละมัวแต่กินไอติม นั่นก็จะซื้อไอ้นี่ก็จะเอาไม่หยุดเลยพ่อ”
“พอเลยทั้งคู่ ถ้าทะเลาะกันพ่อจะพากลับบ้านเดี๋ยวนี้...” ผู้พิพากษาชั่วคราวร่างสูงหันมองโจทย์ตัวน้อยทั้งคู่ด้วยแววตาดุคนละที ซึ่งก็ได้ผลเมื่อทั้งสองแสบมีแววสลดแม้ว่าจะยังไม่หยุดแลบลิ้นใส่กันก็เถอะ...
“...เอาล่ะ ถ้ากินไอศกรีมกันมาแล้วงั้นยังหิวอีกมั้ย” บัวคว้าแขนไลเกอร์และไทกอนมาคนละข้าง ก่อนจะทรุดนั่งยองตรงหน้าคนทั้งคู่ พอเด็กทั้งสองส่ายหน้าให้บัวจึงพูดต่อ “โอเคถ้าไม่หิวแล้วงั้น...เดี๋ยวเราไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กัน ไทอยากขึ้นอะไรอีก ครูไปด้วยได้มั้ย”
“ได้เลยครับ! ไทอยากไปเล่นรถบั้มพ์ แต่เขาบอกว่าต้องให้มีผู้ใหญ่ไปด้วย” เด็กน้อยตัวเปี๊ยกเอ่ยบอกคนเป็นครูที่นั่งยองๆมองเขาอยู่ตรงหน้า
“ช่าย...แต่เกอร์กับไทไม่อยากขึ้นกับตาเกรียงแล้วก็พี่เม่น สองคนนี้ขับรถไม่มันส์เลย” ไลเกอร์ยู่หน้า คนถูกหาว่าขับรถไม่มันส์พากันช่วยปาดเหงื่อ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าคำว่า ‘มันส์’ ที่สองแสบหมายถึงนั้นมันถึงขั้นต้องมีการยกล้อรถบั้มพ์แล้วแว๊นซ์ไปทั่วเต้นท์ แล้วใครที่ไหนมันจะไปทำได้(ว่ะ)
“หึหึ เชื้อพ่อมันไม่ทิ้งแถวจริงๆเลยไอ้ลูกชาย...งั้นไป จะขึ้นรถบั้มพ์ก่อนหรือชิงช้าสวรรค์ก่อน”
“ชิงช้า! /
รถบั๊มพ์!!!” สามเสียงแต่ไม่สอดประสานดังขึ้น ชิงช้าต่อรถบั๊มพ์เป็นสัดส่วนหนึ่งต่อสอง หนึ่งเสียงจากครูบัวที่จะขึ้นชิงช้าก่อน อีกสองเสียงที่เหลือที่เป็นของสองพี่น้องจอมแสบที่พร้อมเพรียงกันกระโดดดึ๋ง แล้วตะโกนบอกเครื่องเล่นที่ตัวเองต้องการ
สิงห์ตัวพ่อส่ายหน้าอย่างระอากับความซนเกินเด็กของสองแสบ ก่อนจะหันไปพยักหน้าบอกลูกน้องทั้งสามคนด้านหลังว่าให้แยกย้ายได้ เขาจะดูแลลูกๆกับครูบัวเอง ทั้งสามคนก้มให้เจ้านายตัวเองเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายจากไปตัวใครตัวมัน ฝ่ายชายหนุ่มและคุณครูตาหวานก็จับจูงมือเด็กไว้คนละข้าง แล้วพากันเดินไปทางโซนเครื่องเล่น แม้ว่ามันจะค่อนข้างมีเร่งต่ำมากถึงขั้นติดลบเพราะทั้งสี่คนต้องมีการแวะแบบเบี้ยใบ้รายทาง สอยไปให้หมดทั้งไอศกรีมแท่ง มะพร้าวน้ำหอม ข้าวเกรียบว่าว หรือจะเป็นพวกหุ่นยนต์ น้ำยาเป่าลูกโป่งสีสันสดใส หน้ากากแปลงร่างขบวนการเรนเจอร์ที่มีแต่คนแย่งจะเอาตัวสีแดงเพราะจะได้เป็นหัวหน้า ทั้งนี้ตัวพ่อเองก็ร่วมลงมือก่อกวนลูกๆด้วยการกระโจนลงไปร่วมด้วยช่วยแย่งตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้นด้วยอีกคน สุดท้ายแจ็กพอตเลยมาลงที่บัวที่ต้องเป็นคนตัดสินว่าใครจะใส่หน้ากากสีอะไร คนตัวโตที่สุดก็ได้สีแดงไปตามระเบียบ ส่วนไลเกอร์ได้สีเขียว ไทกอนได้สีน้ำเงิน มีของแถมเป็นหน้ากากสีเหลืองที่ห้อยแขนคุณครูบัวมาด้วยอีกอัน
เสร็จสรรพการนั่งรถบั๊มพ์ที่เด็กๆโหยหามานานก็ได้เริ่มต้น คนดูแลเครื่องเล่นเกือบลืมเก็บตั๋วพวกเขาสี่คนด้วยซ้ำเพราะมัวแต่รีบเร่งไปไล่คนในรอบก่อนหน้าให้ออกไปจากเต้นท์รถ เรียบร้อยก็มาเชิญเขากับนายเหมืองสิงห์ให้เข้าไปเลือกรถก่อน โดยพวกเขาสองคนตกลงใจจะนั่งแยกกัน บัวจับไลเกอร์มานั่งตัก ส่วนไทกอนนั้นนั่งอยู่กับคนเป็นพ่อเขา การเล่นเครื่องเล่นเริ่มต้นพร้อมเสียงดีเจที่พยายามบีทความสนุกให้กับผู้เข้าร่วมเล่น เสียงเพลงดังอึกทึกจนเสียงกลองดังเต้นอยู่ในอกพร้อมไฟที่หรี่ลงทำให้ไฟนักสู้ในตัวบัวพุ่งขึ้นสูง การเหยียบคันเร่งในคราแรกเป็นไปอย่างช้าๆ แต่เมื่อมันได้ที่แล้วนายเหมืองสิงห์ก็ได้ประจักษ์ว่าครูบัวแกไม่ได้หงิมอย่างที่คิด
ตัวรถจับเข้ากระแทกกันอย่างสนุกสนาน รถนายเหมืองสิงห์แลดูเล็กไปถนัดตาเมื่อคนขับต้องงอเข่าขึ้นมาเสียสูงเพราะที่ว่างให้นั่งนั้นแคบนิดเดียว แต่บัวคิดว่านายเหมืองต่างหากที่ตัวใหญ่เกินไป ดูอย่างบัวสิ ที่ว่างเหลือเยอะถึงขนาดให้ไลเกอร์ลุกขึ้นเต้นได้เลยทีเดียว
การเล่นรถบั๊มพ์เป็นไปอย่างเกือบจะราบรื่น ถ้าไม่ติดว่าช่วงหลังๆนั้นจะมีพวกรถวัยรุ่นสองสามคันพยายามจะช่วยกันล้อมบัวแล้วพยายามเป่าปากยักคิ้วหลิ่วตาให้ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายกระเจิงเมื่อโดนรถบั๊มพ์คันหนึ่งพุ่งเข้าใส่เหมือนกระทิงดุที่จ้องเป้าหมายผ้าสีแดงไว้แล้วควบขับวิ่งใส่ทะยานเข้าไปเต็มแรง แค่นั้นยังไม่พอชายหนุ่มยังเอาแต่ขับวนจนบัวเป็นอันไม่ต้องขยับไปไหนกัน เมื่อหมดรอบเสียงบ่นหงุงหงิงจากไลเกอร์ที่ว่าอยากไปนั่งคันของพ่อเพราะทำให้ไทกอนมึนได้ก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนต้องส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ
ชิงช้าสวรรค์เป็นของเบสิคอีกหนึ่งอย่างที่งานกาชาดจะต้องมี ตัวเหล็กกลางเก่ากลางใหม่ทำให้ชายหนุ่มยอมแพ้ ปล่อยให้ทั้งครูบัวและสองแสบเป็นฝ่ายขึ้นกันไปเองแค่สามคน ส่วนเขานั่งเก้าอี้พลาสติกรออยู่ด้านล่างพร้อมทั้งเอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปช่วงเวลาแห่งความประทับใจของทั้งสามคนเอาไว้เป็นที่ระลึก หลังๆพอเห็นว่าในรูปมีกันอยู่สองคน นายเหมืองหนุ่มคนดังก็พยายามเซลฟี่ตัวเองให้ติดกับซี่ลูกกรงตัวที่มีทั้งสามชีวิตคอยโบกไม้โบกมือส่งมาให้ ท่าทางที่ต้องถือของพะรุงพะรังและยังต้องถ่ายเซลฟี่ไปด้วยนั้นมันช่างน่าตลกจนแม้แต่คนรอบข้างยังมีแอบเหวอแล้วก็แอบอมยิ้มกันเป็นแถวๆ
การเดินเที่ยวชมงานกาชาดประจำจังหวัดเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและช่วงเวลาแห่งความสุขสำหรับคนทั้งสี่ บัวและนายเหมืองสิงห์หอบหิ้วข้าวของกันพะรุงพะรังเต็มสองแขน ในขณะที่เด็กประถมฯตัวน้อยสองคนยังคงวิ่งฉิวไปมารอบๆตัวพวกเขา การสอยดาวผ่านไปอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะไทกอนได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามซอง นายเหมืองได้ของรางวัลใหญ่เป็นพัดลมตั้งโต๊ะหนึ่งตัว แต่บัวกับไลเกอร์นั้นได้ของใหญ่กว่า เพราะทั้งคู่จับได้ทองไปคนละหนึ่งสลึง แน่นอนว่าเมื่อมันเกิดการเหลื่อมล้ำไม่เท่ากันเช่นนี้แล้ว ไทกอนก็ออกอาการตุปัดตุป่องเพราะตัวเองได้ของมูลค่าน้อยที่สุด คนเป็นบิดาปลอบอย่างไรเด็กน้อยก็ยังคงไม่หยุดงอแงและสร้างบรรยากาศติดลบให้คนทั้งสามพลอยไม่สนุกไปด้วย สุดท้ายคุณครูบัวผู้สมถะเป็นอาจิณก็ยื่นสร้อยทองหนึ่งสลึงที่ได้มาไปคล้องคอเด็กน้อยให้เข้าคู่กันกับคนพี่ เมื่อนั้นแล้วไทกอนจอมแสบถึวได้หยุดงอแงแล้วกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
“คุณให้ลูกผมหนึ่งสลึง รอของหมั้นจากผมนะ ผมจะให้สิบเท่าของที่คุณให้ลูกผมเลย” คนเป็นบิดาแอบก้มหน้าลงไปพูดเสียงกระซิบข้างๆหูคุณครูใจดีที่ทำให้ลูกชายเขายิ้มได้อีกครั้ง ซึ่งก็โดนครูบัวคนดีตีขวับเข้าให้ที่ลำแขนหนาพร้อมบอกว่า
“...ตลก”
แต่ถึงกระนั้นแก้มคุณครูก็ยังคงแดงเรื่อเป็นผิวแอปเปิ้ลฟูจิที่กำลังสุกหวานอยู่ดี นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในระยะโดนภาคทัณฑ์ล่ะก็ คงได้มีคนแก้มช้ำปากช้ำกันไปบ้างล่ะ
เมื่อโดนเที่ยวงานกันจนชุ่มปอดแล้วก็ได้เวลากลับ ข้าวของหนักอย่างพัดลมที่ได้มาถูกวางเอาไว้หลังกระบะเรียบร้อย ส่วนของน้อยที่จะปลิวได้ง่ายอย่างข้าวเกรียบว่างที่บัวซื้อมาสองสามถุงเพราะติดใจและจะเอาไปฝากป้าพุดก็ถูกกอดแน่นไว้บนตักที่เบาะนั่งด้านหน้า เด็กน้อยสองคนมีอาการงอแงอีกเล็กน้อยเพราะยังไม่อยากกลับ ทว่าคำสั่งบิดาถือเป็นเด็ดขาดว่าถ้าไม่กลับพร้อมกันตอนนี้ก็ให้เดินกลับกันเอาเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่แค่คำขู่ เพราะสองหน่อหนุ่มน้อยมั่นใจว่าบิดาตนทำได้แน่ๆ
รถกระบะคู่ใจค่อยๆถอยออกมาจากซองอย่างระมัดระวัง นายหัวโล้นคนดูแลที่จอดกระวีกระวาดช่วยดูรถหลังให้จนน่าขัน ก่อนกลับบัวยังให้เด็กๆเอาถุงข้าวเกรียบว่าวถุงหนึ่งยื่นให้เขาด้วย ท่าทางแลดูซาบซึ้งใจกับของเล็กๆน้อยๆแต่ให้รวยมูลค่าน้ำใจจากพวกเขามากจริงๆ ทั้งสี่คนยังคงพูดถึงความสนุกสนานและอาหารอร่อยที่ได้ลองลิ้มชิมรสกันภายในงานด้วยความรื่นเริง เสียงเพลงคลอแผ่วเป็นจังหวะเร้าใจที่มีนายเหมืองใหญ่ร้องเป็นคอรัสด้วยยิ่งช่วยเรียกรอยยิ้มจากคนบนรถได้มากขึ้นอีกโข
จนกระทั่ง...จู่ๆก็มีรถมอเตอร์ไซค์สองคันขับปาดซ้ายปาดขวาหน้ารถกระบะของนายเหมืองสิงห์เข้า แล้วไปจอดหยุดกึกฉายไฟสูงส่องหน้ารถจนล้อแม็กซ์ทั้งสี่ล้อต้องเบรกดังเอี๊ยด! ฝุ่นทรายสีส้มอิฐฟุ้งกระจายปิดท้ายรถจนแทบมองไม่เห็นถนนเบื้องหลัง ยิ่งช่วงถนนตรงนี้เป็นทางค่อนข้างเปลี่ยวติดริมทุ่งนา คนที่จะสัญจรไปมาในยามวิกาลนั้นก็น้อยแสนน้อย เหมาะนักกับการจะก่อเหตุร้ายอะไรขึ้นสักอย่างสองอย่าง!
----------------------------------------------
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาอีกหนึ่งปี
ขอบคุณไว้ล่วงหน้าที่ทุกๆคนอาจจะยังอยู่กับแพทไปอีกหนึ่งปี
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และ ขอบคุณมากๆค่ะ ^____^
ขอให้นักอ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยทรัพย์สิน ร่ำรวยความสุข สมบูรณ์พร้อมทั้งการเรียน การงาน และความรักนะคะ
HAPPY NEW YEAR 2014 jaaaaaa