ตอนที่ ๑๗ เด็กสองคนที่นั่งอยู่หลังรถพยายามชะเง้อชะแง้คอมองไปทางหน้ารถ ทว่าคนเป็นบิดาที่มือไวคว้ากระบอกปืนที่เหน็บเอวอยู่ขึ้นมาสับไกเตรียมพร้อมใช้งาน ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้ครูบัวเปิดลิ้นชักหน้ารถลงเพื่อที่จะพบว่ามันมีปืนอีกกระบอกหนึ่งซ่อนอยู่ในนั้น
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามลงจากรถเด็ดขาด นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจมั้ยลูก...”
“ครับ!” สองเสียงรับคำแข็งขัน
“ส่วนบัว ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็หยิบปืนในลิ้นชักนั่นออกมาใช้ซะ ไม่ต้องห่วงถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่จะรับผิดชอบทั้งหมดเอง”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน นายเหมือง!!” บัวเรียกเขาเอาไว้ไม่ทัน เพราะเมื่อสั่งความเสร็จรูปร่างสูงใหญ่ก็เปิดประตูแล้วก้าวลงไปจากรถ โดยไม่ลืมกดรีโมทเพื่อล็อกรถเอาไว้เรียบร้อย
เขากะจะห้ามว่าอย่าลงไป เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมันไม่คุ้มกัน ที่สำคัญอยู่ในรถนี่ก็ปลอดภัยกว่า อย่างมากถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยังสามารถขับรถหนีไปได้ แล้วนี่ก็ยังไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เพราะนอกจากจะแค่ขับรถมาปาดหน้าแล้วชายในชุดไอ้โม่งก็ไม่ได้ทำอะไรอีกนอกจากยืนคร่อมรถมอเตอร์ไซค์จ้องประสานตากับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้าไปหาอย่างไม่กลัวเกรง วู่วามทำอะไรลงไปเหมือนนิสัยที่นายเหมืองชอบทำมันไม่ส่งผลดีเลยสักนิด
“ครูตาหวาน!” ไทกอนชะโงกหน้ามาเกาะเบาะนั่งของคุณครูด้วยความตกใจกึ่งตื่นเต้น สายตามองตามบิดาที่เดินพับแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางเหมือนพวกที่เรียกว่านักเลงอย่างที่เคยดูในทีวีเข้าไปหารถมอเตอร์ไซค์อันตรายสองคันนั้นด้วยมาดสุดเท่ห์
“พ่อเท่ห์สุดยอดไปเลยครู!!” ไลเกอร์ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น บัวหันมองเด็กด้วยความงงงวยเล็กๆแต่ตกใจมากกว่า ในสถานการณ์แบบนี้ไลเกอร์ที่เป็นเด็กน่าจะหวาดกลัวมากกว่าส่งเสียงชมพ่อราวชมนักฟุตบอลคนโปรดแบบนี้
แต่มันก็อาจไม่แปลกก็ได้ เพราะด้วยความที่เพิ่งกลับมาจากสถานที่สนุกสนานและมีความสุข ความรู้สึกเหล่านั้นคงยังไม่สามารถหายไปได้โดยง่าย บัวที่กังวลว่าเด็กน้อยสองคนอาจมีท่าทางหวาดกลัวจนเขาควบคุมไม่อยู่ก็แอบถอนใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนเด็กทั้งคู่จะคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้มากกว่าบัวเสียอีก
“ครูๆ หมอนั่นกำลังจะต่อยพ่อ!!!” ไลเกอร์ที่โผล่หัวมาแทรกอยู่ข้างๆน้องตะโกนขึ้นดังลั่นรถ บัวและไทกอนรีบหันสายตากลับไปดูสถานการณ์นอกรถ แล้วก็พบภาพที่น่าตื่นตะลึงเมื่อชายในโม่งคนหนึ่งลงมาจากหลังรถมอเตอร์ไซค์แล้วก็ง้างมือทำท่าจะต่อยใส่นายเหมืองสิงห์
ทว่าไม่ทันที่โม่งคนนั้นจะได้แตะต้องร่างสูงใหญ่ ท่อนขาในกางเกงยีนส์สีซีดก็ตวัดฉับขึ้นสูงถึงท่อนคอของคนร้ายแล้วก็ลงแรงกวาดผู้ไม่น่าจะประสงค์ดีล้มลงไปกองได้ในครั้งเดียว
“โหววววว พ่อ!!! สูดดดด ยอดดดดดด!!!” ไลเกอร์และไทกอนตีมือกันฉาดๆพร้อมกับพยายามจะผิวปากเชียร์พ่อกันอย่างเริ่มสนุก
“เกอร์! ไท! ไม่เอาลูกนั่งดีๆ...” บัวผวาคว้าตัวเด็กทั้งสองคนให้ลงมานั่งดีๆข้างตัวเอง สายตาก็มองการต่อสู้ที่ดุเดือดราวกับฉากในหนังเบื้องหน้าด้วยความหวาดหวั่น เพราะคนที่แสดงอยู่นั่นคือคนที่เขารู้จักและเป็นห่วงมากที่สุดด้วยในตอนนี้
“แต่พ่อหนูสูดดด ยอดดด ไปเลย...!! ครูเห็นป่าว ครูเห็นป่าว” ไทกอนที่ตื่นเต้นราวกับกำลังดูซูเปอร์แมนสู้กับเล็กซ์ ลูเธอร์ศัตรูตลอดกาลแบบสดๆอยู่ตรงหน้าพยายามเขย่าแขนครูให้ตื่นเต้นไปกับตัวเองด้วย แต่บัวในตอนนี้นั้นกำลังใจเต้นตึกตักจนแทบหายใจไม่ออก เพราะสภาพนายเหมืองนั้นน่าเป็นห่วงมาก หลังจากที่นายเหมืองซัดพวกมันแต่ละคนจนหมอบ ตอนนี้แต่ละคนกลับลุกขึ้นยืนใหม่และเตรียมที่จะหมาหมู่...
...แย่แน่!! ต่อให้นายเหมืองเก่งกาจขนาดไหน แต่มาโดนคนสี่คนล้อมกรอบและรุมพร้อมกันอย่างนี้ไม่ไหวแน่ๆ...
ที่สำคัญ บัวสังเกตว่าสองคนในนั้นกำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง แสงวับแวมที่สะท้อนกับไฟหน้ารถทำให้บัวรู้สึกมือเย็นเฉียบ
...พวกมันมีมีด!...ที่สำคัญมันคงไม่ใช่ของปลอมแน่ๆ!...
และในตอนที่พวกมันกำลังเริ่มตะลุมบอนใส่นายเหมืองอีกครั้ง บัวก็งัดล็อกประตูเปิดออกแล้วก้าวลงไปจากรถด้วยมือและขาที่สั่นเทา ทว่าความเป็นห่วงคนตัวสูงตรงหน้าที่มีมากเหลือเกินก็ทำให้บัวคิดได้อยู่อย่างเดียวว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้นายเหมืองไม่ต้องออกแรงและเจ็บตัวมากไปกว่านี้
เด็กๆสองคนในรถจองที่นั่งชมแบบวีไอพีชิดขอบจอบนที่นั่งคนขับและที่นั่งข้างคนขับ ใบหน้ายับยู่ยี่แนบติดกระจก ในขณะที่ครูบัวนั้นก้าวลงไปยืนข้างๆรถพร้อมกับยกมือขึ้นเหนือหัว ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นปิดหูเพื่อเตรียมรับเสียงดังกัมปนาทก้องท้องทุ่งนาดังลั่น
...ปัง!!!...
สายลมรอบตัวคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กลิ่นควันปืนลอยอวลเข้าแตะจมูก บัวค่อยๆลืมตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้า แล้วก็พบกับภาพที่กลุ่มคนตรงหน้าทั้งห้าคนหมอบลงกับพื้น บัวนั้นในหัวกำลังมึนงงเพราะการยิงปืนขึ้นฟ้าไปเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ทำไปโดยสัญชาตญาณที่หวังจะช่วยนายเหมืองสิงห์จากการโดนรุม ในตอนนี้จึงได้แต่มือพับมืออ่อนแทบปล่อยปืนหล่นลงจากมือด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!!!” เสียงร้องดังลั่นจากคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพวกมันดังขึ้นเรียกสติลูกน้อง หนึ่งคนในนั้นที่อยู่ใกล้บัวที่สุดเหมือนจะหันเหเป้าหมายมาเพื่อที่จะเล่นงานบัว ทว่าเสียงทุ้มห้าวที่คำรามก้องก็ทำให้บัวขนลุก แถมเมื่อร่างกายสูงใหญ่ที่อยู่ในวงล้อมของพวกมันชักปืนขึ้นมาถึงสองกระบอก แล้วกางแขนร้อยแปดสิบองศาเพื่อจ่อหัวสองในสี่ของพวกมันเตรียมยิง
“อ๊ะ อย่าเข้ามานะ!” บัวร้องเรียกสติของตัวเองเบาๆในขณะที่รีบยกปืนขึ้นมาจ่อคนร้ายที่เข้ามาใกล้ตัวเองเตรียมป้องกันตัวในทันที ในเวลานี้บัวต้องมีสติ...สติเท่านั้นที่จะช่วยแก้ปัญหาให้บัวทุกอย่างได้ บัวจะปล่อยให้พวกมันเข้าไปใกล้รถไม่ได้ เมื่อในนั้นมีสองเสือลูกศิษย์คนสำคัญของเขาอยู่ข้างในนี่นา
“อย่าคิดที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียวเชียวนะมึง...ลูกพี่มึงไม่รอดแน่” นายเหมืองสิงห์ร้องขู่เมื่อคนร้ายที่อยู่ใกล้บัวที่สุดทำท่าจะขยับเท้าไปหาคุณครูของลูกชาย คงจะคิดว่าบัวน่าจะจัดการได้ง่ายกว่าตัวเขาล่ะสิ...แต่พวกมันคงคิดผิดเสียแล้ว นายเหมืองสิงห์ สุตนันท์อย่างเขาไม่ยินยอมให้ใครได้แตะต้องครูบัวแม้แต่ปลายเล็บแน่ๆ
“...มึง!!! ตายยากตายเย็นจริง เจ้านายกูไม่ปล่อยมึงไว้นานแน่!!!” หนึ่งในไอ้โม่งตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุเดือด
“เจ้านายมึงเป็นใคร ทำไมถึงส่งพวกมึงมาทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้” นายเหมืองข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้แล้วส่งเสียงถามอย่างใจเย็น
“หึหึ อย่ามาหลอกถามพวกกูเสียให้โง่เลย...” หนึ่งในพวกมันตะโกนตอบกลับมา มือของมันข้างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังค่อยๆยกชูขึ้น “และอย่าคิดว่ามีแต่พวกมึงที่มีปืนสิวะ! เฮ้ย...!! รุมแม่งเลย...”
คนที่เอ่ยปากพูดชักปืนขึ้นมาจ่อกลับไปทางนายเหมืองสิงห์พร้อมกับตะโกนบอกไอ้โม่งคนอื่นๆให้หันเข้าไปตะลุมบอนใส่คนทั้งคู่พร้อมๆกัน นายเหมืองสิงห์รีบพุ่งทะยานตัวเข้าไปวาดศอกใส่ปลายคางของคนที่บังอาจสั่งพรรคพวกมารุมเขา คนที่เคยถูกเขาจ่อปืนอยู่ด้านหลังก็ใช้โอกาสนั้นพุ่งเข้าหา แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ที่มีอยู่สูงมาก ทำให้ชายหนุ่มตวัดขาไปด้านหลัง กะให้เข้าช่วงเอวของคนร้ายได้อย่างแม่นยำ จากนั้นด้วยแรงฮึดที่เห็นครูบัวกำลังถูกหนึ่งในกลุ่มคนร้ายใช้กำลังยื้อแย่งปืนไปจากมือก็ทำให้ชายหนุ่มเหวี่ยงคนร้ายอีกคนที่วิ่งเข้ามาติดพันออกไปพ้นตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้เข้าไปเอาตัวเองขวางไอ้โม่งที่บังอาจมายุดยื้อคนรักของตัวเอง แล้วจัดการด้วยการแทงเข่าเข้าใส่ท้องคนร้ายลงไปเต็มแรง ก่อนจะตามด้วยการตบด้วยด้ามปืนเข้าไปที่สันแก้มแล้วดันร่างของมันให้กระเด็นออกไปไกล
“นายเหมืองอย่ายิง!!” บัวรีบร้องบอกตอนที่เห็นนายเหมืองสิงห์ทำท่าเหนี่ยวไกปืนเตรียมจะยิงซ้ำ
“...กล้ามากนะที่คิดเล่นงานคนของกู!” ชายหนุ่มร้องขู่ออกไปอย่างโกรธจัด
“โอ๊ย...มึง!!!” ฝ่ายคนร้ายในโม่งดำยกปืนขึ้นมาแม้มือหนึ่งของมันจะใช้กุมท้องที่คงจะช้ำไปไม่น้อย “ลูกพี่...ไม่ไหว...มัน!”
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็รุม...”
จู่ๆทันใดนั้นเอง เสียงเร่งเครื่องของรถมอเตอร์ไซค์ก็ดังลั่นมาตามถนนเข้ามาใกล้ตรงจุดที่เกิดเรื่อง กลุ่มคนร้ายเริ่มกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งได้เห็นหน้าของผู้ที่วาดเท้าลงมาจากหลังรถมอเตอร์ไซค์ถึงสี่คันที่ว่ามา พวกไอ้โม่งดำก็เริ่มเดินถอยหลังกันกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ผู้มาใหม่เดินดาหน้ากันเข้าไปยืนบังนายเหมืองสิงห์และคุณครูจนแทบมิด มีดและปืนสั้นยาวครบมือ หนึ่งในนั้นมีน้าส้มของเด็กๆและผู้ช่วยคนสนิทอย่างนายพุฒ นายเม่น และลุงเกรียงรวมอยู่ด้วย
“อย่าให้พวกกูรู้นะว่านายกูเจ็บ พวกกูจะตามล่าพวกมึงให้ไม่ต้องผุดต้องเกิดเลยคอยดู” ลุงเกรียงที่ถือปืนยาวรุ่น M2 ของเบเนลลี่ยกขึ้นส่องไปทางพวกไอ้โม่งด้วยท่าทางถมึงทึง เขาทำงานอยู่เหมืองนี้เพราะบุญคุณของเจ้านายคนเก่า พ่อของนายเหมืองสิงห์ให้โอกาสเขาได้มีงานทำ ส่วนตัวนายเหมืองสิงห์นั้นเขาก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก เรื่องอะไรจะให้เจ้าพวกหมาในพวกนี้มาแตะลูกนายของเขาได้กัน
“ตายแน่!! พวกมึงตายแน่!!” ไอ้โม่งหมวกดำทั้งสี่คนไม่รีรอที่จะกระโจนขึ้นหลังรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนไปก็ยังช่วยกันตะโกนประโยคที่ว่าอีกหลายครั้ง แล้วบิดเร่งเครื่องหายไปจนฝุ่นตลบ
“ตามมั้ยนาย” พุฒหันมาถามอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่านายเหมืองสิงห์พยักหน้ารับพร้อมบอกให้ลูกน้องอีกสามคนตามไปด้วย
เหลือน้าส้มของเด็กๆและลุงเกรียงกับคนงานในเหมืองอีกสองสามคน ซึ่งทั้งหมดต่างก็รีบเร่งต้อนนายเหมืองสิงห์และครูบัวให้กลับไปขึ้นรถ ลุงเกรียงให้เด็กเม่นขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ มีแกถือปืนนั่งซ้อนท้าย ก่อนออกรถก็ตะโกนบอกคนงานเหมืองคนอื่นๆว่าให้ขับล้อมรถนายให้ดีๆ อย่าให้ยุงสักตัวบินเฉียดรถได้
ตอนที่บัวเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้วก็เห็นไลเกอร์รีบส่งโทรศัพท์กลับให้พ่อ ถึงตอนนี้เด็กน้อยสองคนเริ่มมีท่าทางหวาดกลัวและสะอึกสะอื้นกันคนละฮึกสองฮึก นายเหมืองลูบหัวลูกชายทั้งสองคนมากอดไว้ ไลเกอร์รีบปีนไปนั่งบนตักพ่อข้างขวา ส่วนไทกอนจับจองข้างซ้าย แล้วทั้งคู่ก็ซุกหัวอยู่กับอกพ่อแล้วเริ่มต้นสะอึกสะอื้นหนัก จนในที่สุดก็เริ่มเปิดปากร้องไห้แล้วก็ร้องออกมาเสียงดังลั่นรถ เด็กสองแสบหมดมาดจอมซนและกล้าแกร่งทันทีที่เจอหน้าพ่อ ทั้งคู่กลายเป็นเด็กน้อยที่ยังไงก็คงเป็นห่วงบิดาเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองที่สุดอยู่ดี
“ไปนั่งกับครูตาหวานก่อนไปแสบหนึ่งแสบสอง เดี๋ยวพ่อรีบพากลับบ้าน” เมื่อเห็นว่าเด็กทำท่าจะเกาะไม่ปล่อยนายเหมืองสิงห์ก็รีบพาลูกชายทั้งคู่ส่งต่อให้คนนั่งข้างๆ ซึ่งกำลังอ้าแขนรับอย่างเต็มใจ
“มาหาครูก่อนลูกมา” บัวรับไลเกอร์มาก่อนแล้วเอามาซุกอกไว้ข้างซ้าย ก่อนจะรับไทกอนมาซุกอกไว้ข้างขวา เด็กสองคนไม่ใช่เด็กที่ตัวเล็ก บัวนั้นค่อนข้างนั่งลำบากอยู่ไม่น้อยเพราะทั้งหนักและที่นั่งก็คับแคบไปถนัดตา แต่เพื่อปลอบเด็กน้อยสองคนบนตักนี่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอดทน
รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่กลับมาถึงบ้านในเขตเหมืองสิงห์ สุตนันท์ภายในเวลาไม่นาน เมื่อมาถึงบัวก็ต้องตกตะลึงเป็นรอบที่สองของวัน เมื่อตั้งแต่บนถนนก่อนถึงทางเข้าบ้านเต็มไปด้วยคนงานในเหมืองซึ่งมีอาวุธครบมือยืนเรียงกันเป็นตับ กะระยะห่างเหมือนเวลาตำรวจตั้งด่านตรวจกันเลยทีเดียว ยิ่งพอเอารถมาจอดไว้ถึงบ้านแล้วก็ยังพบลูกน้องของนายเหมืองอีกหลายคนยืนเฝ้าอยู่รอบๆบ้านอีกต่างหาก
ตรงแคร่หน้าบ้านมีนายพุฒและพรรคพวกพร้อมรถมอเตอร์ไซค์สองคันที่บัวจำได้แม่นเพราะเพิ่งมีเรื่องกันมา นายเหมืองมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเอารถจอดในโรงรถได้สำเร็จ เขาหันมาหาบัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ฝากเอาลูกเข้านอนด้วยนะบัว พี่คงขึ้นไปดึกๆหน่อย” บัวมองท่าทางนายเหมืองแล้วเขารู้สึกเป็นห่วงความเครียดของชายหนุ่มจริงๆ
“นายเหมืองอย่าเครียดนะ เดี๋ยวคืนนี้นอนด้วยกันสี่คนก็ได้ เดี๋ยวบัวจัดที่นอนไว้ให้” คุณครูหนุ่มรู้ดีที่สุดว่าความสุขของนายเหมืองคือการได้อยู่กับครอบครัว และการเข้าใจเขาตรงจุดนี้ก็ทำให้บัวพอจะรู้วิธีคลายเครียดให้กับผู้ชายคนนี้ได้บ้าง
“ขอบคุณ แล้วพี่จะรีบกลับไปหานะ” ชายหนุ่มเผยยิ้มออกมาให้เห็นแว่บหนึ่ง ก่อนจะห้มลงจูบลูกชายทีละคนแล้วเอาแก้มมาชนแก้มบัวเป็นการจบการลา
บัวปลุกลูกชายนายเหมืองให้ตื่นทีละคน ก่อนจะพาสองแสบเข้าไปในบ้านที่มีป้าพุดและเจ้าส้มที่รีบกุลีกุจอมาช่วยพาเด็กๆไปอาบน้ำและพาเข้านอน บัวแว่บไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดของตัวเองบ้างหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วก็เข้าไปเฝ้าเด็กๆนอน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่าห้าทุ่มแล้วเจ้าของบ้านก็ยังไม่กลับเข้ามาในห้องนอน ด้วยความเป็นห่วงบัวจึงลงไปข้างล่างทั้งชุดนอน เห็นไฟปิดหมดเหลือแค่ไฟหน้าบ้านเท่านั้นที่สว่าง คุณครูหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปที่ตรงนั้นทั้งมืดๆ ด้วยแสงไฟหน้าบ้านที่เหลือไว้จึงทำให้สังเกตเห็นว่ารอบบ้านยังคงมีคนงานเหมืองยืนเฝ้าอยู่เหมือนเดิม
คุณครูหนุ่มเดินเข้าไปหาหนึ่งในคนงานเหมืองที่คุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเคยเจอบ่อยๆตอนไปตามตัวเด็กๆกลับมาบ้าน บัวส่งเสียงทักออกไปพร้อมกับส่งยิ้มให้ก่อนเป็นอันดับแรก คนงานเหมืองคนนั้นหันมาพร้อมกับรีบลดปืนในมือลงกะทันหันเมื่อพบว่าใครที่เป็นคนเรียกตัวเอง
“อ้าว ครูตาหวาน...จะเที่ยงคืนแล้วทำไมยังไม่นอนครับ” หนุ่มใต้ผิวคล้ำถามครูหนุ่มด้วยคำพูดภาษากลางติดสำเนียงใต้ ครูบัวเอามือลูบแขนเพราะอยู่ในเขาแบบนี้ตอนกลางคืนนั้นหนาวนัก
“คือ บัวจะมาถามว่านายเหมืองอยู่ไหนน่ะครับ ไม่เห็นรถจอดอยู่...”
“อ๋อ นายไปโรงพักน่ะครับยังไม่กลับมาเลย ครูขึ้นไปนอนก่อนเถอะครับ ไม่ต้องห่วงหรอกคืนนี้พวกผมจะเฝ้ายามอย่างดีเลย” คนงานเหมืองชาวใต้รับคำแข็งขัน ท่าทางกระฉับกระเฉงไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด
“นี่นายเหมืองสั่งให้มาเฝ้าเหรอครับ” บัวถามต่ออีกนิดก่อนจะกลับเข้าไปในบ้าน แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้บัวต้องอึ้งเป็นหนที่สาม
“เปล่าหรอกครู พวกคนงานเหมืองรู้เรื่องเข้าว่านายถูกดักเล่นงานก็เลยรวมตัวกันมาช่วยเฝ้าบ้านให้นายนี่แหละ นายไม่ได้สั่งหรอก ออกจะโกรธด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้พวกเราจะทำงานกันไม่ไหว แต่ทำไงได้ล่ะครูก็พวกผมเป็นห่วงนายนี่...เวลาพวกผมมีเรื่องทีไรนายก็ออกหน้ารับให้ มีเรื่องขึ้นโรงพักนายก็ไปช่วยทุกที บุญคุณนายมันค้ำคอน่ะครู” คนงานเหมืองพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ เสมือนว่างานเฝ้ายามนี้ทำให้เขามีความสุขมากที่ได้ทำประโยชน์ให้กับนายเหมืองสิงห์ได้ ถือว่านายเหมืองคนนี้ประสบความสำเร็จด้านการซื้อใจลูกน้องด้วยใจเอาเสียจริงๆ
“ครูรีบเข้าไปนอนเถอะ ออกมาตากยุงป่าเดี๋ยวก็ได้เป็นไข้กันพอดี คืนนี้พวกผมจะผลัดยามเฝ้าให้จนถึงเช้า รับรองปลอดภัยหายห่วงแน่ครู”
บัวยิ้มให้กับความห่วงใยที่เผื่อแผ่มาให้เขาด้วย ก่อนจะพยักหน้ารับให้อีกฝ่ายสบายใจแล้วหันหลังเตรียมกลับเข้าไปในบ้าน ก็พอดีกับที่มีแสงไฟหน้ารถกระบะคันเดินแล่นกลับมาตามทางดินเดิม บัวหันไปมองแล้วก็เฝ้ารอดูเพราะเห็นแล้วว่าเจ้าของบ้านคงได้ฤกษ์กลับมาบ้านเสียที
สภาพนายเหมืองที่ก้าวลงมาจากรถแลดูโสลเสลเต็มที บัวรีบก้าวออกไปหาแล้วช่วยประคองร่างสูงใหญ่กลับเข้าบ้าน ใบหน้าอิดโรยบ่งบอกอาการเหนื่อย บัวรีบเข้าไปในครัวแล้วประคองแก้วน้ำออกมาให้เจ้าของบ้านได้ดื่มเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ส่งยิ้มหวานๆให้พร้อมกับยิมยอมเป็นราวบันได้ให้นายเหมืองเกาะเกี่ยวซุกไซร้ไปทั่วคอและแก้ม กว่าจะลากเจ้าคนตัวโตร่างสูงใหญ่มาถึงห้องนอนได้ก็ทำเอาบัวหอบเหนื่อยไม่น้อย
“ไปอาบน้ำก่อนเลย ทำบัวตัวเหนียวไปหมดด้วยอีกคนแล้ว” คุณครูหนุ่มแสร้งว่า แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะสลด กลับมาบ้านเหนื่อยๆก็มีคนคอยหาน้ำหาท่าให้ดื่ม มีคนให้กอด สุขใดไหนเล่าจะสุขเท่านี้อีกคงไม่มี
“จ่ะ คืนนี้พี่นอนข้างบัวนะ ห้ามหลบไปนอนริมเตียงข้างลูกเด็ดขาด” เสียงทุ้มสั่งเสียงหวาน
“ไม่รู้” บัวลอยหน้าลอยตาตอบ ผลักหลังกว้างใหญ่ให้เดินไปทางห้องน้ำ
คุณครูหนุ่มเดินไปตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อกับกางเกงเลมาถือคอย เด็กๆสองคนนอนกอดกันกลมดิก บัวใช้มือผลักเบาๆร่างสองร่างก็กลิ้งกลุกๆไปติดผนัง เหลือพื้นที่ว่างด้านที่ไม่ติดผนังไว้เผื่อสำหรับผู้ใหญ่สองคนพอดี
ชายหนุ่มร่างใหญ่ใช้เวลาไม่นานนักในการอาบน้ำ บัวที่ถือเสื้อผ้าคอยไว้ให้อยู่แล้วก็รีบเดินเอาเข้าไปให้ร่างเกือบเปลือยในชุดผ้าขนหนูปกปิดเจ้าหนูหนึ่งผืน นายเหมืองสวมเสื้อไปก็ยักคิ้วหลิ่วตาใส่บัวที่อายหน้าแดงไป เสร็จสรรพแล้วเขาก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปจับจูงมือครูบัวให้ไปนอนด้วยกันกับลูกๆบนเตียง แสงไฟหัวเตียงถูกกดให้ดับลง ท่ามกลางความมืดเสียงถอนหายใจยาวเหยียดก็ดังมาจากคนที่นอนซ้อนกอดบัวอยู่ทางด้านหลัง
“พี่ขอโทษนะ อยากจะพาบัวกับลูกไปเที่ยวกันสนุกๆแท้ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้น” น้ำเสียงติดสลดเอ่ยบอกบัว คุณครูหนุ่มค่อยๆขยับพลิกตัวหันกลับไปมองหน้าคนพูดในความมืดแล้วตอบกลับไปว่า
“ในเมื่อไม่มีใครเป็นอะไร บัวก็ถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ตื่นเต้นดี...ที่สำคัญ...ผู้ชายตรงหน้าบัวคนนี้ก็เท่ห์ที่สุดเลย แอบทำเอาบัวใจเต้นด้วย...รู้รึเปล่า” ประโยคท้ายๆเสียงเบาหวิวราวเสียงกระซิบ แต่เพราะห้องนั้นเงียบมาก เสียงที่ได้ยินจึงชัดเจนที่สุดในโสตประสาทของนายเหมือง
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ไม่แน่ใจว่าบัวจะเห็นรอยยิ้มของเขาหรือไม่ แต่เขาคิดว่าอ้อมกอดที่เขากอดบัวเลียนแบบลูกๆแบบนี้ก็คงพอจะทำให้คุณครูหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของเขาได้บ้าง...ไม่มากก็น้อยล่ะนะ
“พี่จะปกป้องบัวกับลูกแบบนี้ไปจนตลอดชีวิตของพี่ เพราะบัวกับลูกคือที่สุดในชีวิตของพี่แล้ว”
-------------------------------------------------------
แอบมาลงดึ๊ก...ดึก เหอๆ