ตอนที่ 20 [ครบ 100%] กฤษณ์ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์พร้อมหมวกคาวบอยก้าวเท้าขึ้นคุ้มคุณย่า เจ้าของสวนดอกไม้ของไร่รั้วติดกันอย่างคุ้นเคย กลิ่นหอมของดอกมะลิซ้อนยังคงอบอวลรอบชานบ้าน และความเย็นจากตัวบ้านไม้ก็ทำให้เจ้าของสวนผลไม้หนุ่มรู้สึกสดชื่นได้เหมือนทุกครั้ง
“ไงวะ...ร้ายมากนะมึงเนี่ย” กฤษณ์พูดพลางตบไหล่เพื่อนที่เดินมาเคียงกันดังแปะๆ
“ร้ายอะไร”
“อ้าว...ก็จะเรื่องอะไรก็เรื่องหลานเจ้าย่า..คุณบัวสวรรค์นั่นไง ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูดี แต่ไม่คิดว่าจะน่ารักจนถึงขั้นไปเข้าตาสิงโตเจ้าป่าอย่างมึงก่อนกูได้นะเนี่ย”
“…” นายเหมืองคิ้วกระตุกเหลือบมองเพื่อนด้วยหางตาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เกียรติหน่อยอย่างน้อยตอนนี้เขาก็เป็นเมียกู...”
“…โอ้โห...ชัดเจนมาก หวงเอาหนักเลยนะมึง”
“เออ! พอใจรึยัง ถึงได้ให้มึงช่วยพากูมาเปิดตัวกับย่าเขาเนี่ย”
กฎษณ์เลิกคิ้วสูงมองเพื่อนแบบไม่อยากจะเชื่อ ว่าคนที่เอาจริงเอาจังกับแค่เรื่องงานหลังจากเสียเมียคนแรกไป จะมุ่งมั่นกับเมียคนที่สองที่เป็น ‘ผู้ชาย’ ได้ขนาดนี้
“เอ้า...เออ เอาก็เอา! ยอมเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนได้แต่งเมียคนที่สองสักครั้งวะงานนี้...” กฤษณ์ทำเป็นพูดพร้อมถอนหายใจยาวๆออกมา และคำพูดนี้ก็ดันไปเข้าหูผู้มาใหม่โดยบังเอิญ
“...ใครแต่งอะไรใครคะพ่อเลี้ยง...”
เสียงเนิบๆทุ้มเย็นดังขึ้นกะทันหันจากบริเวณตัวบ้าน สองหนุ่มร่างสูงหันมองไปทางต้นเสียงก็เห็นเจ้าของบ้านในชุดสีตองอ่อน มีสไบขาวโปร่งบางพาดอยู่บนบ่า มีบ่าวรับใช้ใกล้ชิดช่วยประคองท่านเดินมาหนึ่งคน
สองหนุ่มยกมือไหว้คนเป็นผู้ใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน เจ้าย่ายกมือขึ้นรับไหว้พร้อมยิ้มอ่อนให้
“เชิญบนเรือนเถอะค่ะ ดื่มน้ำท่าให้เย็นใจก่อน...” เจ้าบ้านเอ่ยเชื้อเชิญด้วยไมตรีจิต ก่อนจะหันไปบอกคนดูแลตนเองต่อว่า “แม่ตองไปตามเจ้าบัวมา บอกให้เตรียมน้ำมะตูมเย็นๆมารับแขกหน่อย แล้วตามดอกปีบกลับบ้านด้วย ไปเล่นตากแดดอยู่ที่ไหนไม่รู้แดดเริ่มแรงแล้ว”
“ได้ค่ะ...” บัวตองตอบรับคำเจ้าย่าแต่ยังไม่เดินไปไหน ช่วงนี้เจ้าย่าใหญ่ขาไม่ค่อยดี มักจะปวดตามข้อพับอยู่เป็นประจำ “งั้น...เดี๋ยวบัวตองไปตามแม่ทับทิมให้ขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าย่านะคะ” บ่าวผู้ซื่อสัตย์บอกทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยแขน ทว่าคนเป็นใหญ่ของบ้านกลับยกมือมาห้ามไว้ก่อนเอ่ยบอก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คุณๆเขาช่วยพยุงไปเอง ไปบอกแม่ทับทิมให้ไปช่วยตามเจ้าบัวน้อยกับดอกปีบกลับเรือนดีกว่า"
ว่าแล้วหญิงเจ้าของสวนดอกไม้ก็กวักมือเรียกกฤษณ์และนายเหมืองสิงห์ให้ช่วยพยุงตนไปแทน ซึ่งทั้งสองหนุ่มก็ไม่รีรอ รีบเข้าไปช่วยในทันทีที่ได้รับการร้องขอ...
บัวตองมองคุณกฤษณ์ แล้วก็เลยมองผ่านไปที่เพื่อนคุณกฤษณ์ เธอว่าเธอคุ้นๆหน้าผู้ชายคนนั้นนะ...แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน...
สองหนุ่มกล้ามแน่นช่วยพยุงผู้สูงวัยกว่าไปนั่งลงที่ตั่ง เวลานี้บริเวณลานหลวงกำลังอากาศดี แดดร่มลมตก มีกลิ่นหอมอ่อนของดอกมะลิซ้อนดอกยักษ์จากริมระเบียงโชยหอมเข้ามา คุณย่าใหญ่มองอาการสองหนุ่มที่ลงไปนั่งพับเพียบร้อยที่พื้นเรือนแล้วหันมองบรรยากาศบนชานบ้านของหล่อนด้วยรอยยิ้ม
“กลิ่นดอกมะลิซ้อนน่ะค่ะ ย่าชอบ...ก็เลยปลูกเอาไว้รอบบ้าน”
“อ้อ...เหมือนที่บ้านเจ้าสิงห์เลยนะครับเจ้าย่า ที่เหมืองเขาที่ใต้ก็ปลูกต้นไม้ดอกไม้เต็มไปหมดเลย ร่มรื่นมากคล้ายที่นี่เลยครับ” กฤษณ์บอกเล่าเรื่องของเพื่อนให้คุณย่าใหญ่ฟัง ฝั่งผู้ใหญ่แค่เพียงรับฟังแล้วยิ้มรับ ก่อนจะหันมองคนที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าสิงห์’ ราวกับรอคอยให้หล่อนได้รับคำแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“เอ้อ...นี่นายสิงห์ครับเจ้าย่า...สิงห์ สุตนันท์ เจ้าของเหมืองที่ใต้ เพื่อนผมเอง...เจ้าสิงห์นี่คุณย่าใหญ่เจ้าของสวนดอกไม้ที่นี่”
“สวัสดีครับเจ้าย่า...” นายเหมืองสิงห์ยกมือไหว้ ฝ่ายผู้ใหญ่กว่าก็ยกมือขึ้นรับ แล้วมองพินิจฝ่ายผู้เยาว์อย่างช้าๆ
“…ค่ะสวัสดีค่ะ...” เค้าโครงใบหน้าหล่อคม รูปร่างก็สูงใหญ่ดูแข็งแรง บึกบึน หล่อนพินิจมองแววตาที่สบกับหล่อนโดยไม่หลบ ก็พบว่าเป็นคนมั่นใจในตัวเองใช้ได้ และแววตานั้นก็ทำให้หล่อนนึกภาพทับกับสามีผู้ล่วงลับของหล่อนเหลือเกิน
แววตาแฝงแววดุดันแบบนี้ มีไม่กี่คนในชีวิตนี้ที่หล่อนเคยแห็น...
“...นายเหมือง...ย่าขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาด้วยนะคะ”
“…ครับ?” นายเหมืองขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเจ้าย่าถึงพูดขอบคุณออกมา ทั้งๆที่พวกเขาเพิ่งจะได้พบกัน พอกันกับกฤษณ์ที่อ่านสีหน้าของเจ้าย่าไม่ออก พวกเขาหันมองหน้ากันเพื่อสื่อสารผ่านทางสายตา
“ก็ขอบคุณ...สำหรับการดูแลหลานของย่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา...”
เกิดความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ชั่วครู่...นายเหมืองสิงห์มองใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่หลายปีของเจ้าย่า แล้วก็คิดว่า..คนคนนี้...ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ถ้าพูดมาขนาดนี้แล้ว...แสดงว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเขาก็คงไม่ต้องอารัมภบทอะไรมากสินะ...ถ้ามาพูดขอบคุณเขาขนาดนี้แล้วล่ะก็...
“…ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมเต็มใจ” เมื่อสติมา ปัญญาก็เกิด...วิญญาณนายเหมืองสิงห์เข้าร่างในบัดดล
…ก็ดีในเมื่อเจ้าย่าเกริ่นนำมาเสียแบบนี้แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันอีก...ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร...ก็แสดงว่าเรื่องอื่นก็คงไม่มีอะไรหลุดรอดสายตาของเจ้าย่าคนนี้เป็นแน่...
..แต่ปัญหาก็คือว่า...เจ้าย่าคนนี้รู้เรื่องระหว่างเขากับครูบัวมากน้อยแค่ไหนกัน...
“เอ่อ...นี่แสดงว่า...เจ้าย่ารู้จักกับ...เจ้าสิงห์มันแล้วเหรอครับ” กฤษณ์มองคนทั้งคู่เหลอหลา...
…อ้าวงั้นวันนี้มิสชั่นการมาเป็นพ่อสื่อของเขาก็เฟลน่ะสิ...
“อ่อค่ะ...เจ้าบัวเป็นหลานย่า ย่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้วล่ะค่ะ” คนเป็นย่าเอ่ยเรียบๆ บนริมฝีปากยังคงติดรอยยิ้มใจดีเหมือนเดิม แต่นายเหมืองดูออกว่านัยน์ตาผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนนั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วย
“ครับ...งั้นเจ้าย่าก็คงรู้ว่า...ธุระที่ผมมาวันนี้คืออะไร...” นายเหมืองโยนหินถามทาง คนเป็นผู้ใหญ่มองใบหน้าของแขกใหม่ของบ้านแล้วส่ายหน้าให้
“ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าเจตนาที่นายเหมืองมาหาย่าคืออะไร...ย่าคิดว่าคงไม่ใช่แค่มาเพื่อแนะนำตัวเอง ทำความรู้จักกับย่าหรอกใช่มั้ยคะ” คนที่ยังคงยิ้มเย็นเอ่ยต่อเนิบๆ แต่คำพูดธรรมดาๆที่แลดูไม่มีอะไรนั้นกลับแฝงความกดดันให้นายเหมืองอย่างประหลาด
...คุณย่าของบัวคนนี้เหมือนจะธรรมดา แต่วางตาข่ายเอาไว้รอบตัวอย่างแน่นหนาเลยทีเดียว...
…เอาวะระเบิดเขาทั้งลูกเขายังทำมาแล้วเลย กับอีแค่ตาข่ายบางๆ ทำไมสิงห์อย่างเขาจะเจาะทะลุไม่ได้...
“…อย่างที่คุณย่าทราบ ว่าก่อนหน้านี้บัวเขาเคยไปอยู่ที่เหมืองของผม ในฐานะครูสอนลูกๆของผม และพวกเขาก็เข้ากันได้ดี คนที่เหมืองแล้วก็...คนที่ ‘บ้าน’ ผมเขารักครูบัวกันมาก...พอเกิดเรื่องไฟไหม้แล้วจู่ๆครูบัวก็หายตัวไปเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ ช่วยออกตามหากันทั่วบ้านทั่วเมืองเลย...”
“…เขาใจดีแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ นิสัยเขาแบบนั้นน่ะน่าห่วง...ยิ่งตอนเป็นเด็กเขาเป็นเด็กอ่อนโยนแล้วก็ใจดีมาก จนบางทีย่ายังกลัวว่าพอโตขึ้นเขาจะทันคนหรือเปล่า” แววตาตอนที่เล่าเรื่องหลานแฝงแววความรักอย่างเต็มเปี่ยม...แค่นั้นก็ทำให้นายเหมืองรู้แล้ว...ว่าเขาเจองานหินที่ยากยิ่งกว่าการทำลายภูเขาเสียอีก...
กำแพงที่เรียกว่าความรักนี่มันหนายิ่งกว่าตาข่ายที่เขาปรามาสเอาไว้ตอนแรกมากนัก แถมคุณย่าใหญ่ของครูบัวยังจงใจเปิดเผยท่าทีว่าวางกำแพงหนาสิบชั้นขวางเขาเอาไว้แบบเต็มเหนี่ยว ความยากสำหรับเขาในตอนนี้คือทำยังไงถึงจะเจาะกำแพงที่เรียกว่า ‘รัก’ นี้ของคุณย่าใหญ่ได้...
“คุณย่าใหญ่เลี้ยงครูบัวมาได้ดีมากครับ ความอ่อนโยนของเขาเอาชนะใจเจ้าสองแสบของผมได้ แถมเขายังอดทนเก่งเป็นที่หนึ่ง...ความดีของเขา ทำให้ผมชอบเขามาก...”
“ชอบ? อ่อ...ค่ะ” คุณย่าใหญ่มีเผลอชะงักคิ้วตัวเองเล็กน้อยตอนได้ยินประโยคสุดท้าย “จะว่าไป...คุณได้ข่าวคราวเรื่องไฟไหม้มากน้อยแค่ไหนคะ...แม่ของบัวเขา...”
“น้ำมะตูมครับคุณย่าใหญ่...” น้ำเสียงทุ้มเย็นดังขึ้นตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว ทั้งสามคนหันไปมองตามเสียง แล้วก็ได้เจอร่างผู้ชายผิวขาวแบบชาวเหนือในชุดเสื้อผ้าฝ้ายและกางเกงขาสามส่วนสบายๆ ที่มาพร้อมถาดสแตนเลสวางแก้วเปล่าและเหยือกใส่น้ำมะตูมลอยน้ำแข็งเย็นฉ่ำ “...เอ่อคุณกฤษณ์...นาย...”
“มาพอดี แล้วทำไมไม่ให้จันสากับบัวตองช่วยกันยกมาล่ะลูก” คุณย่าใหญ่ขยับตัวนั่งให้เข้าที่ เหลือบตาหันสบกับสองหนุ่มและก็รับรู้ได้เองว่าพวกเขาไม่ควรจะพูดเรื่อง ‘แม่’ ของเจ้าบัวตอนนี้...มันอ่อนไหวสำหรับเจ้าตัวเขาเกินไป
“บัวให้จันสากับบัวตองพาดอกปีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะครับ เดี๋ยวก็คงมา”
“อ่อ...มานั่งนี่สิเจ้าบัว คุณกฤษณ์กับ..เจ้านายเก่าเรา..เขามาน่ะ”
คนเป็นย่าเอ่ยเรียกหลานพร้อมกับชี้ไปตรงที่ว่างฝั่งตรงข้ามกับนายเหมืองสิงห์ บัวมีอาการเหรอหราเล็กน้อยตอนที่โดนสายตาคุณย่าใหญ่บังคับให้นั่งลง อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่...บัวมองคนฝั่งตรงข้ามแล้วก็มองย่าตัวเอง นี่คือสรุป...นายเหมืองบอกคุณย่าหมดทุกเรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ
“เสิร์ฟน้ำแล้วก็ยกมือไหว้พี่เขาก่อนสิลูก” เมื่อมองเห็นหลานทำตัวไม่ถูกเอาแต่มองหล่อน คุณย่าจึงแนะให้ด้วยหวังดี
บัวรีบเทน้ำใส่แก้ว แล้วยื่นให้แขกรวมทั้งคุณย่ลชาด้วย เสร็จสรรพจึงกลับมานั่งที่แล้วก็ยกมือไหว้แขกทั้งสองคนอย่างเป็นทางการ สายตาของนายเหมืองที่มองมาทางบัวตอนบัวยกมือไหว้ แฝงนัยน์อะไรบางอย่าง แต่ชายหนุ่มก็กลบมันแทบมิดด้วยแววตากลุ้มกริ่ม เขาตั้งใจว่าจะเปิดเผยตัวทีละน้อย คิดว่าบอกทีเดียวตูมเลยคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ค่อยๆให้ผู้ใหญ่เขารู้ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า
“เอาล่ะ ทีนี้เรามาคุยกันต่อ ที่กฤษณ์พาคุณสิงห์มาพบย่าวันนี้ เพื่ออะไรนะคะ” คุณย่าจิบน้ำมะตูมหอมใบเตยอ่อนเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้น
บัวหับขวับกลับไปมองคนต้นเรื่อง นี่...นายเหมืองกับคุณกฤษณ์ จะเอาจริงเหรอ?
“อะแฮ่ม...คือ..อย่างนี้ครับเจ้าย่า คือนายสิงห์เพื่อนผมเนี่ย...อยากจะมา...เอ่อ อยากจะ...”
“คะ? ยังไงคะ”
เจ้าย่าถามย้ำ เมื่อคนเกริ่นคือนายกฤษณ์เอาแต่อ้ำอึ้ง ส่วนบัวก็มือเย็นเฉียบ เขาไม่เคยเห็นเวลาคุณย่าใหญ่โกรธก็จริง แต่คิดว่าไม่เคยเห็นแบบนี้คงดีกว่า...หรือเขาควรห้าม ไม่ให้คุณกฤษณ์กับนายเหมืองคุยกับคุณย่า
“เอ่อ...คุณย่าครับ คือบัวว่า...”
“บัว อย่าขัดผู้ใหญ่สิลูก เชิญต่อเลยค่ะ...” คนกำลังเอนตัวพิงหมอนสามเหลี่ยมสบายอารมณ์เอ่ยขัดบัว ท่าทางของหลานชายหล่อนดูลุกลี้ลุกลนชอบกล หรือว่า...จะมีเรื่องอะไรใหญ่โต “ทำไมคะ...มีเรื่องอะไร ที่ย่าไม่ควรจะรู้...”
“คุณย่าควรรู้ครับ...คือผมแค่จะมาหาคุณย่า เพื่อขออนุญาตพาบัวกลับไปอยู่บ้านที่ใต้ด้วยกัน ลูกผมกำลังจะเปิดเทอมแล้ว แล้วพวกแกก็ไม่เอาใครเลยนอกจากครูบัวของพวกแกสองคน...”
“...ค่ะ”
“หมายถึง...อนุญาตใช่มั้ยครับ” นายเหมืองหรี่ตามองใบหน้าชราตามวัยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลยหลังฟังคำพูดของเขาจบ...เขาไม่คิดว่ามันจะง่าย แต่เดาไม่ออกเลยว่ามันจะออกหัวออกก้อย มองไปตรงข้ามคนที่นั่งตัวขาวพับเพียบข้างเจ้าย่าก็ทำตาโต มองหน้าเขาสลับกับย่าตัวเองแบบกึ่งตกใจกึ่งลุ้นเล็กๆ
เขาแอบดอดเข้าไปเจอบัวอยู่หลายครั้ง และเขาก็รู้ใจเจ้าตัวดีจากการพูดคุยกันว่าตัวของบัวเองก็อยากกลับไปอยู่ใต้กับเขา หลังจากที่เจอแม่แล้วก็จัดการเรื่องไฟไหม้บ้านที่กรุงเทพฯเสร็จเรียบร้อย
อาจดูเหมือนใจร้าย...แต่บัวบอกเองว่าตัวของบัวใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาตลอดจนชินแล้ว และใช่ว่าถึงเขาจะอยู่ไกลแล้วจะไม่ดูแล บัวจะขึ้นมาเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ แล้วก็จะพาสองแสบมาไหว้คุณย่าทีหลังด้วย
...เหลือก็แค่ว่าตอนนี้ คุณย่าของบัวจะอนุญาตให้เขาพาบัวของเขากลับบ้านไปด้วยหรือเปล่า เท่านั้นเอง...
“อืม...จริงๆย่าก็ไม่อยากทำให้คุณผิดหวังหรอกนะคะ แต่...ย่าคงให้บัวไปกับคุณไม่ได้ บัวต้องอยู่กับย่าที่นี่ค่ะ”
คนเป็นใหญ่ในที่นั้นยกมือขึ้นลูบศีรษะหลานชายตัวเองเบาๆ บัวเงยมองย่าของตัวเองแล้วก็หันกลับไปมองคนที่มาขอตัวเขาไปอยู่ด้วยแล้วก็เม้มปากเบาๆ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกใจหายหรือโล่งใจมากกว่ากัน เพราะบัวเองก็เตรียมใจไว้ก่อนแล้วบ้างว่าคุณย่าอาจจะตอบประมาณนี้
“ผมเข้าใจครับคุณย่า เพราะถ้าผมเป็นคุณย่า ผมก็คงจะไม่อนุญาตเหมือนกัน...”
คำตอบปฏิเสธของคุณย่าเป็นสิ่งที่บัวพอเข้าใจได้ แต่คำตอบกลับของนายเหมืองสิงห์เป็นสิ่งที่บัวไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆ!
“...เฮ้ย ไหนเตี๊ยมกูมาเสียดิบดี มาแค่นี้ก็จะกลับแล้วเหรอวะ” กฤษณ์แอบถูไหล่ไปกระซิบกระซาบกับเพื่อน แต่นายเหมืองไม่สนใจ เพ่งมองคุณย่าพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กๆให้คนสูงวัยกว่าเหมือนเขาเองก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากนักกับคำตอบนั้นและคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“ตอนนี้คุณย่ายังไม่อนุญาตไม่เป็นไรครับ แต่ผมจะขออนุญาต...ทำให้คุณย่าไว้ใจผม ว่าผมจะดูแลหลานคุณย่าได้” นายเหมืองพูดอย่างชัดเจน ไม่มีลังเลในสิ่งที่เอ่ย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้ถูกขออนุญาตมีอาการนิ่งอึ้งไปเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าจะโดนความหนักแน่นกระแทกหนักขนาดนี้
ตอนแรกที่ได้รับการติดต่อจากพ่อหนุ่มเพื่อนบ้านใกล้เคียง ว่า ‘นายเหมืองสิงห์ สุตนันท์’ จะขอเข้าพบ...หล่อนก็ว่าน่าจะคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดแล้วเชียวนะ...
“แน่ใจนะคะในสิ่งที่พูด...” เจ้าย่าของบัวเอ่ยย้ำ สายตาก็สังเกตคนฝั่งตัวเองว่าเริ่มลุกลี้ลุกลนกระสับกระส่ายเต็มที
“ครับคุณย่า” นายเหมืองกล่าวหนักแน่น ในใจแอบลุ้น ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะได้รับคำอนุญาตหรือไม่
แต่ถึงจะไม่ เขาก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ
“ก็ได้ค่ะ ย่าอนุญาต” คำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็กลับได้ยิน หญิงผมขาวดอกเลาแต่รวบเก็บเรียบร้อยนิ่งมองคนที่เพิ่งได้รับอนุญาตจากหล่อนให้ใกล้ชิดหลานชายได้ด้วยแววตาครุ่นคิดล้ำลึก บัวเดาไม่ออกว่าคุณย่าคิดอะไรอยู่ ทำไมวันนี้อะไรๆมันถึงได้ดูง่ายดายไปเสียหมดแบบนี้
แต่ดูเหมือนคนที่คาดไม่ถึงยิ่งไปกว่าบัวคือ...
“ห๊ะ เจ้าย่าบอกว่า...อะไรนะครับ” กฤษณ์มีอาการอ้าปากค้างน้อยๆ ในขณะที่นายเหมืองนั้นพนมมือไหว้ ยิ้มดีใจออกมาทางดวงตาชัดเจนมาก
“ขอบคุณมากครับ”
โอกาสมีแค่ครั้งเดียว...นายเหมืองสิงห์รู้ดี
บัวมองกลุ่มคนทั้งสามสลับกันไปมาด้วยความสงสัยปนไม่เข้าใจ ถามว่าดีใจมั้ยที่คุณย่าเปิดโอกาสให้ ก็มีความดีใจแฝงอยู่
แต่ลึกๆมันก็รู้ดีว่าความดีใจนี้คงอยู่กับเขาได้ไม่นานแน่ๆ
-----------------------------------------------------------------------------
HNY 2017!!!