ตอนที่ ๒๒ บัวกำลังจะพาปีบไปอาบน้ำแล้วพานอนกลางวัน ตอนที่เด็กทับทิมวิ่งตึงตังขึ้นเรือนมาที่เขา แล้วพูดด้วยเสียงหอบเหนื่อยว่า
“เจ้าน้อย...เจ้าน้อยเจ้า...มีเด็ก..เด็กสองคน มาบอกว่าขอพบเจ้าบัวเจ้า” ทับทิมพูดไปก็หอบไป เห็นคุณปีบตัวขาวจั๊วะกำลังยืนเท้าเอวโชว์ตัวเดียวอันเดียวใส่คุณบัวทั้งยังยิ้มกว้างพร้อมอาบน้ำรอท่า ก็แอบคิดว่าคู่นี้เขาก็เหมาะเป็นพ่อลูกกันเหมือนกันนะ
“ทับทิม...? ทับทิม...บัวถามว่าเด็กสองคนที่ไหนมาขอพบบัวเหรอ” บัวหยิบผ้าขนหนูมาห่อตัวเด็กพลางเรียกเด็กทับทิมพลาง เห็นเหม่อแปลกๆ
“เห็นบอกว่า พวกเขาเป็นลูกชายเจ้าบัวน่ะเจ้า”
“อะไรนะ ลูกชาย...?” บัวชะงักมือที่กำลังจะจับจูงดอกปีบเข้าห้องน้ำ แต่ทว่าเมื่อสมองย้อนนึกไปถึงเด็กชายสองคนที่เขามีโอกาสได้อบรมดูแลอยู่ชั่วคราว แล้วก็เผลอนึกถึงความเป็นไปไม่ได้หนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วก็ได้ “...หรือว่า”
บัวหันไปหาเด็กทับทิมว่าจะฝากให้พาดอกปีบไปอาบน้ำให้ แต่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนใจกะทันหัน เอาผ้าห่อคลุมแทบทั้งตัวแล้วพาอุ้มขึ้นบ่า พาออกไปพร้อมกันนี่แหละ
บัวเดินนำเด็กทับทิมโดยที่อุ้มดอกปีบขึ้นบ่าไปพร้อมกันจนถึงหน้าคุ้ม เขาก็พบบุคคลห้าคนกำลังยืนอยู่ที่ชานบันได ผู้ใหญ่ทั้งสามคนนั้นเขาคุ้นหน้าคุ้นตา แต่เด็กตัวน้อยอีกสองคนนั่นต่างหากที่เข้ามาอยู่ในสายตาบัวทันทีที่เจอ
“ไลเกอร์! ไทกอน!” บัวรีบย่อเข่าทั้งที่กำลังอุ้มดอกปีบในอ้อมแขนข้างหนึ่ง เพื่อรอรับร่างของสองแสบที่วิ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ครูตาหวานนนน!!” สองแสบแผดเสียงดังลั่น จากที่กำลังกอดพ่อแท้ๆอยู่ดีๆก็รีบสะบัดทิ้งอย่างพร้อมใจกัน แล้วซอยเท้าก้าวยาวๆไปหาคนที่พวกเขาทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง ตั้งแต่บุคคลคนๆนี้หายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเมื่อหลายวันก่อน และในวันนี้ คุณครูของพวกเขามาอยู่ตรงหน้านี่แล้วจริงๆ
“เกอร์..ไท ครูคิดถึง...ครูคิดถึงมากครับ” บัวพยายามกอดเด็กทั้งสามคนเข้าไว้ด้วยกัน สองแสบครางฮือรัดสี่แขนเข้าหาเขาแน่น ทั้งสามคนพร่ำบอกคิดถึงกันจนดอกปีบที่ดันเข้าไปอยู่ร่วมวงด้วยแบบงงๆร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ
“บัว ปีบอึดอัดแล้ว” ดอกปีบตัวน้อยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเปลือยเปล่าถูกห่อไว้ด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวอุทธรณ์เสียงอ่อย
“อ้าว ครูตาหวาน เด็กนี่ใคร ลูกลับๆคนใหม่ของครูเหรอ” ไทกอนถามโพล่งขึ้นเสียงดัง จนผู้ใหญ่แถวนั้นที่กำลังปลื้มปริ่มกับภาพการมาพบกันอีกครั้งสะดุ้งกันเป็นแถว
“ลูกลับๆคนใหม่ เขาหมายถึงปีบเหรอ” เด็กดอกปีบถาม บัวแอบอึ้งไปกับคำถามของเด็กเล็กๆ
“เอ่อ คือดอกปีบเป็นลูกชายบุญธรรมเจ้าย่าครับ ดอกปีบครับ นี่ไลเกอร์กับไทกอน เป็นลูกชายของนายเหมืองสิงห์ แขกของบัวครับ” บัวแนะนำเด็กๆให้รู้จักกัน ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรว่าถ้านับตามศักดิ์แล้ว เด็กดอกปีบน่ะมีศักดิ์เป็นน้าชายของเขาด้วย
ไลเกอร์จ้องเด็กฝรั่งลูกครึ่งผิวขาวแต่ตัวเล็กเขม็ง ส่วนไทกอนนั้นแสดงความสนอกสนใจจนอกนอกหน้า ทั้งที่สองแขนของทั้งเขาทั้งไลเกอร์น่ะโอบเด็กนั่นไว้จนแทบมิดแน่ะ
“ครูตาหวาน เราสองคนก็ลูกครึ่ง แต่ทำไมไม่เห็นผิวขาวเหมือนเด็กคนนี้เลยอ่ะ” สิ้นคำถามจากไทกอนคนเป็นพ่อแท้ๆก็ปล่อยแขนลงข้างลำตัว แล้วเปลี่ยนเป็นเท้าสะเอวแทน
“เดี๋ยว นี่ไทกำลังด่าพ่อแท้ๆว่าเพราะพ่อมันดำ ลูกเลยออกมาดำใช่รึเปล่า” นายเหมืองสิงห์ตัวใหญ่เดินเข้าไปทั้งที่ยังเท้าเอว แล้วก้มหน้ามองต่ำเพื่อจ้องใบหน้าเล็กๆสี่ดวงที่รวมกลุ่มกันเป็นก้อนที่พื้น
“เปล่านะ ก็เรื่องจริงนี่เนอะครูตาหวาน ก็ดูตาสีฟ้าของเด็กคนนี้สิ สวยดีเนอะเกอร์”
“อืม” ไลเกอร์เพียงตอบรับเฉยๆ เพราะสายตาเอาแต่จับจ้องเด็กคนใหม่ของครูตาหวานเขม็งอย่างเดียว
“เอ่อ...เอาเป็นว่าเราขึ้นบ้านกันก่อนเถอะ ไลเกอร์ครับ ไทกอน ไปไหว้สวัสดีคุณย่าของครูกันก่อนนะ...ทับทิม พาดอกปีบไปอาบน้ำแทนบัวหน่อยนะ เสร็จแล้วก็ค่อยพามาหาบัว” บัวคลายอ้อมกอดพร้อมกับดันร่างเปลือยที่เขาพาวิ่งออกมาด้วยความดีใจในตอนแรกให้ไปที่เด็กทับทิม ซึ่งรีบกุลีกุจอมารับเอาไปอย่างรวดเร็ว สวนทางกับแม่บ้านใหญ่ของเรือนเจ้าย่าที่เดินออกมารับแขกเพราะมีเด็กไปตามหล่อนมาเหมือนกัน
“ส้มกับคุณพุฒมาได้ยังไงครับเนี่ย” เมื่อได้ฤกษ์จูงมือเด็กๆเข้าบ้านแล้วบัวถึงได้หันไปถามผู้ใหญ่อีกสองคน ที่อุตส่าห์พาเด็กๆขึ้นมาหาถึงที่นี่ได้ ดูจากสภาพแล้วคงลำบากกันน่าดูเชียว
“ก็สองแสบน่ะสิครับครู รบเร้าวึดวือใส่กันทั้ง...วัน จนทั้งป้าพุดทั้งส้มเอาไม่อยู่แล้วล่ะครู เลยว่ายอมเสียค่าเครื่องพามาหาทั้งพ่อทั้งครู น่าจะดีกว่าต้องเสียตังค์รักษาหู” ส้มว่า ทั้งฉุนทั้งขำ เพราะพอถึงคราวเจ้าประคุณรุนช่องเธอไม่เอาใคร ทั้งดื้อทั้งแสบจนใครเอาอยู่เสียที่ไหน
“ท่าทางจะแผลงฤทธิ์ใส่คนเขาไปทั้งเหมืองเลยใช่มั้ยสองแสบ เลยโดนระเห็จออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้” บัวหันไปเย้าเจ้าเด็กแสบสองคน ที่ต่างก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น
“อีกนิดเดียวก็จะเผาเครื่องจักรใหญ่ของเราเสียเหี้ยนแล้วครับนาย ดีนะว่าเจ้าส้มไปหิ้วออกมาทัน” นายพุฒรายงานคนเป็นนายอย่างพินอบพิเทา แต่เรื่องที่เล่านั้นกระทบลูกนายเต็มๆ
“...ทำเพื่ออะไรลูกบ่าว เรียกร้องความสนใจ?” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินตีคู่ไปกับครูบัว เพื่อให้ลูกชายทั้งสองคนได้จับจูงพาเดินไปด้วยกันออกเสียงถาม ซึ่งทั้งไลเกอร์และไทกอนพร้อมกันทำท่ายักไหล่ใส่แล้วตอบ
“ก็ไม่มีใครฟังที่ผมกับพี่ไลเกอร์พูดเลยนี่นา บอกแล้วว่าจะไปหาพ่อๆ ก็ไม่มีใครสนใจจะพาเรามาเลยสักคน” ไทกอนตอบฉะฉาน น้ำเสียงไม่มีสำนึกผิดสักนิด
“ก็เลยจะเผาแหล่งทำมาหากินของตระกูลพ่อแทน ว่างั้น?”
“ก็...ไหนๆมันก็จะเป็นของเกอร์กับไทอยู่แล้วนี่ฮะพ่อ แค่พวกเราอยากเรียนรู้เรื่องพวกนี้เสียตั้งแต่เนิ่นๆนี่ผิดเหรอฮะ” ประโยคสุดท้ายไลเกอร์มองครูบัวตาปริบๆ นัยน์ตาใสแป๋วเหมือนเด็กอนุบาล แต่คำพูดคำจานี่เกินเด็กประถมฯไปเยอะ
“สรุปว่า เราสองคนทำเกินไปจริงๆนะครับ แล้วที่ขึ้นมานี่ถึงครูกับพ่อหนูจะดีใจ แต่หนูก็ไม่ควรรบกวนพวกพี่ๆเขาให้พามานะ โรงเรียนก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว พวกหนูควรอยู่ทบทวนบทเรียนกันที่บ้านมากกว่า”
“ก็...ก็ไทกับเกอร์คิดถึงครูอ่ะ คิดถึงมากด้วย พ่อก็ไม่อยู่...พวกหนู...พวกหนู...ฮึก” ไทกอนพอเริ่มได้พูดแบบนี้แล้วก็ทำท่าจะปี่แตก จนคนเป็นครูต้องเอามากอดไว้กับเอว
“โอเครู้แล้วๆ นี่ไง ก็ได้โอกาสมาเที่ยวบ้านย่าครูเลยนี่ไง” ครูบัวโอ๋ไปก็พาเด็กๆเดินลากไปทางลานหลวง เด็กๆกับเจ้าส้มมากันกะทันหัน เขาก็อยากจะให้ทุกคนได้เข้าไปพักก่อนอยู่หรอก แต่ถ้าไม่ได้ทักทายเจ้าย่าเลยมันก็คงดูไม่ดี อีกอย่างบัวไม่อยากใช้อำนาจหรือสิทธิ์สั่งใคร เพราะใจนั้นนึกรู้อยู่แล้วว่าเขาเองคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เพราะไหนจะเรื่องแม่ แล้วยังนายเหมืองสิงห์อีก ที่ผ่านมาเขาเองก็มีความสุขกับการอยู่ที่เหมือง คนที่เหมืองก็ดีกับเขา ถ้ายังไงระหว่างรอสอบบรรจุเขาอาจขอไปอยู่กับนายเหมืองพลางๆก่อน
เขาอาจจะขอคุณย่ากลับไปอยู่ใต้หลังงานแซยิดนี้แหละ
-----------------------------------------------------
“ไลเกอร์ ไทกอน นี่คุณย่าของครูครับ” บัวแนะนำคุณย่าให้เด็กๆรู้จัก รวมไปถึงเจ้าส้มและคุณพุฒด้วย นั่งตัวเกร็งเหมือนกันเลยทั้งสี่คน
“สวัสดีคร้าบ คุณย่า...” สองเสียงประสานกันพร้อมประนมมืออย่างนอบน้อม พอเห็นผู้ใหญ่นั่งพับเพียบอยู่บนตั่ง แถมยังมวยผมเรียบร้อย ใบหน้าเรียบตึง แล้วยังชุดลูกไม้เหมือนในละครเก่าในทีวีที่ยายพุดฤทัยชอบดูอีก สองแสบก็ซ่าไม่ออกไปเหมือนกัน
“สวัสดีค่ะ ฝาแฝดเหรอคะนายเหมือง” เจ้าย่าเอ่ยถาม พินิจพิศมองดูเด็กตัวใหญ่เกินเด็กประถมปลาย แล้วนึกเปรียบเทียบกับลูกบุญธรรมของหล่อน คนโน้นน่ะได้พ่อมาเต็มๆ ผมทอง ตาฟ้า แต่ตัวเล็กแคระเหมือนคนเอเชีย ส่วนสองคนนี้ดูก็พอรู้ว่ามีเสี้ยวลูกครึ่งแน่ๆ แต่ผมดำ ตาน้ำตาล รูปร่างแลดูน่าจะเติบโตสูงใหญ่ได้พ่อ เอ...เชื้อคนพ่อนี่มันแรงกันจริงๆ
“ไม่ใช่ฮะคุณย่า ไลเกอร์เป็นพี่ ส่วนไทกอนเป็นน้องครับ” ไลเกอร์ตอบเรียบร้อย แต่ทว่าคนเป็นครูกลับจุ๊ปาก แล้วบอกว่า
“คุณย่าถามคุณพ่อครับ เราเป็นเด็ก ไปชิงตอบมันดูไม่งามนะ”
“ก็คุณย่าถามเรื่องผมกับน้องนี่ฮะครู ผมตอบไม่ได้เหรอ” ไลเกอร์ถามใสซื่อประสาเด็ก ซึ่งตัวบัวที่รู้จักย่าตัวเองดีไม่อยากให้เด็กๆไม่เป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่น่ะสิ
“ไม่เป็นไรหรอกบัว เด็กที่กล้าแสดงออกแบบนี้ ย่าไม่ได้เจอมานานแล้ว” เขาเองถึงจะดูภายนอกว่าเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่จริงๆแล้วก็ใช่จะตามโลกไม่ทัน “แล้วนี่เราเป็นพี่หรือน้องล่ะ”
“ผมเป็นคนพี่ฮะคุณย่า” เมื่อได้ยินว่าคุณย่าไม่ว่าอะไรที่เขาตอบคำถามได้ เด็กชายก็ไม่ลังเลที่จะพูดตอบโต้กับผู้ใหญ่
“แล้วไม่มีชื่ออื่นให้ย่าเรียกเลยหรือ ชื่อเราเรียกยาก ไม่ค่อยถนัดปากคนแก่น่ะหลาน” เจ้าย่าเริ่มสนุกที่ได้คุยกับเจ้าเด็กกล้าพูดกล้าคุยคนนี้เสียแล้ว
“เรียกว่าเกอร์เฉยๆก็ได้ครับ ส่วนน้องเรียกไทก็ได้ครับคุณย่า” ไลเกอร์ยังตอบอย่างฉะฉานแต่ก็นอบน้อม ในทางความประพฤติแล้วไลเกอร์จะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าไทกอนที่เป็นน้องในบางสถานการณ์เสมอ ซึ่งในส่วนนี้นั้นบัวแยกออกตั้งแต่วันแรกๆที่ได้สัมผัสกับเด็กๆแล้ว
“ฉายาสิงห์น้อยกับเสือเล็กครับคุณย่า แสบทั้งคู่ พวกผมไม่อยู่ไม่กี่วัน ได้ข่าวว่าทำป่วนกันไปทั้งเหมือง” นายเหมืองสิงห์ได้ทีเอ่ยฟ้องวีรกรรมเด็กกับคนเป็นผู้ใหญ่อย่างไม่กลัวจะถูกมองไม่ดี ทั้งที่บัวขยิบตายิบๆให้นายเหมืองหยดพูด
“ก็พวกผมคิดถึงครูบัวนี่ อยากมาหาครูบัวกับพ่อที่นี่อ่ะ” ไทกอนเอ่ยบ้าง ทำหน้ามู่ทู่เมื่อถูกพ่อเอ่ยแฉ บัวทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในขณะที่คนเป็นย่ากลั้นขำในลำคอกับพฤติกรรมของลูกชายแขกของหลาน
“เอาเถอะๆ พาเด็กๆกับคุณเขาทั้งสองคนไปพักก่อนเถอะไป เด็กๆน่ะจะให้พักกับพ่อเขาหรือจะให้แยกห้องก็ได้นะ ห้องพักแขกเรามีพอ จะเปิดเพิ่มกี่ห้องก็ได้” คนเป็นเจ้าบ้านเอ่ยปากต้อนรับแขกกะทันหันของบ้านอย่างใจดี
“งั้นผมรบกวนเจ้าย่าเปิดเพิ่มแค่ห้องเดียวก็พอครับ ส้มกับพุฒพักห้องเดียวกันได้ ส่วนเด็กๆเดี๋ยวมาพักห้องผม” ...ส่วนผมก็ไปนอนห้องของหลานคุณย่าแทนได้ นายเหมืองนึกเล่นๆในใจ
“แล้วแต่เลยค่ะ แล้วตอนเย็นเชิญมาทานข้าวที่เรือนพร้อมกันนะคะ ย่าจะให้คนทำอาหารเหนือรอไว้” เจ้าย่าบอกอย่างใจดี ทั้งบัวและนายเหมืองสิงห์รับคำ แล้วเมื่อไหว้ลาเจ้าย่าเรียบร้อยแล้วทั้งคณะก็เดินจากมา ด้วยความรื่นเริงของเด็กๆทั้งสองคน
-----------------------------------------------
บัวกับนายเหมืองสิงห์นอนเอกเขนกกันอยู่บนเตียงเพื่อรอเวลาทานข้าวเย็น ในขณะที่บนพื้นห้องมีเด็กๆสามคนกำลังจ้องมองกันอย่างสนอกสนใจซึ่งกันและกัน
ไทกอนนั้นเอาแต่ถามคำถาม ในขณะที่ไลเกอร์นั้นเงียบกริบ เอาแต่จ้องมองเพื่อนใหม่อยู่เงียบๆ
“แล้วตัวครึ่งอะไรอ่ะ”
“ไม่รู้” กาสะลองนั่งนิ่งๆตอบเพื่อน เขาไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กในวัยใกล้เคียงกันแบบนี้นัก ปกติอยู่โรงเรียนก็ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่แล้วเพราะสภาพร่างกายภายนอกนั้นดูแปลกแยกจากคนอื่นเขา พออยู่บ้านก็มีแต่ผู้ใหญ่
ทว่าตอนนี้กลับมีคนในวัยใกล้เคียงกันมานั่งเล่นอยู่บนพื้นที่เรือนของเขา
...มันก็รู้สึกแปลกๆล่ะนะ...
“ไม่รู้ได้ไง แล้วพ่อแม่ตัวล่ะ” ไทกอนถามด้วยความสงสัย แต่บัวที่รู้ประวัติเด็กคนนี้อยู่ว่าเป็นเรื่องต้องห้ามถามของบ้านหลังนี้ ส่งเสียงเรียกเด็กแล้วชวนคุยเรื่องอื่นแทน
“ไทกอน ถามไม่หยุดเลยนะ ให้ไลเกอร์ถามบ้างสิลูก”
“ก็เกอร์เอาแต่นั่งนิ่งๆอ่ะ น้องกลัวหมดแล้วครูตาหวาน” ไทกอนรายงานครูเสียงใส เห็นระยะห่างที่เด็กดอกปีบนี่นั่งระหว่างเขากับพี่แล้วมันก็ตะหงิดแปลกๆ
“หืม ปีบกลัวพี่ไลเกอร์เหรอลูก” บัวส่งเสียงถามพลางแหนบที่เอวนายเหมืองไปเบาๆโทษฐานทำตัวเป็นหมึกเกาะบนตัวเขาต่อหน้าเด็กๆ
“เปล่าหรอก” ดอกปีบส่ายหน้าไปมา แล้วก็หันไปสบตาเด็กที่นั่งนิ่งกอดอกมองเขา เพื่อนที่โรงเรียนหลายคนตอนเจอเขาครั้งแรกๆก็มองแบบนี้ออกจะบ่อย ดอกปีบชินแล้ว แต่ไม่ชินกับคนที่ชอบถามนี่มากกว่า
ไทกอนกำลังตั้งท่าจะถามต่อ แต่เจ้าส้มกลับเคาะประตูเปิดเข้ามาก่อน เพื่อมาตามเจ้านายกับเด็กๆไปทานข้าวเย็น
“พอดีเลย งั้นฝากส้มเอาเด็กๆนำไปก่อน ฉันขอคุยกับไอ้พุฒกับครูบัวก่อนแล้วเดี๋ยวตามไป”
“ได้ครับนาย แต่อย่านานนะ ให้ผู้ใหญ่รอน่ะไม่ดี ย่าครูอ่ะ...อยู่โคตรเนี๊ยบเลย” เจ้าส้มผู้มาใหม่เอ่ยกับหลานของเจ้าบ้านตรงๆ ซึ่งบัวก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะขนาดตัวเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
“เห็นแบบนั้นแต่แกใจดีมากเลยนะ ถ้าส้มเจอคุณปู่ล่ะก็ แค่เห็นหน้านะส้มคงยืนตัวสั่นขาแข็งอยู่ตรงหน้าบ้านนั่นแหละ”
“หูย แค่คิดว่ามีคนหน้าตาเหมือนพี่พุฒพวกนายเหมือง ส้มก็ขาสั่นริกๆจะแย่แล้วครู”
เด็กๆกับสองผู้ใหญ่ไซส์เล็กหัวเราะคิกคักกันใหญ่ เพราะเผลอจินตนาการภาพตามที่เจ้าส้มว่า ในขณะที่ผู้ใหญ่สองคนกลับเท้าเอวแล้วยืนเขม่นใส่กัน เพราะตัวเองก็เผลอจินตนาการแล้วเห็นภาพอันไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
“โอเค เอาเป็นว่ารีบมาตามมาแล้วกันนะครับครู เลี้ยงลูกครูตั้งสามคนขนาดเนี่ย กลับไปส้มจะขูดค่าแรงค่ารถจากแฟนครูให้อ่วมเลยคอยดู” เจ้าส้มพูดทิ้งท้าย ก่อนจะต้อนเด็กๆออกมาจากห้องแล้วปิดประตูให้อย่างมีมารยาท
จนเสียงเด็กๆเจื้อยแจ้วกับเจ้าส้มห่างออกไปจากห้องแล้ว ทั้งสามคนจึงได้เวลาหันหน้าเข้าหากันเพื่อคุยเรื่องสำคัญทันที
“กูโดนตาม พวกมันเตรียมเล่นงานเรากลับแน่ตอนงานแซยิดเจ้าย่าของครูบัว” นายเหมืองไม่พูดพร่ำทำเพลง ความจริงแล้วคนที่เขาบอกให้ตามขึ้นมาที่นี่มีคนเดียวคือเจ้าพุฒ แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกสามหน่อนั่นตามมาได้ยังไง ก็ไอ้พุฒมันแพ้ทางเมียตั้งแต่เริ่มคบยันอยู่กินด้วยกันแล้วนี่นะ
“งานมีเมื่อไหร่ครับนาย” พุฒเข้าโหมดจริงจังได้ทันทีที่นายเอ่ย ทั้งสองคนหันมองหลานเจ้าย่าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะอีกประมาณห้าวันนะครับ” บัวบอก เขาจำวันเกิดคุณย่าได้แต่ไม่มั่นใจวัน เห็นผ่านๆจากปฏิทินที่แขวนอยู่ข้างผนังโน่น
“ไม่ช้าไม่เร็ว มันรอแน่ เพราะวันนั้นคนน่าจะมาเยอะ ถ้าจะแอบลอบเข้ามาก่อความวุ่นวายน่าจะง่าย” พุฒคิด
“แต่ว่าวันนั้นคนใหญ่คนโตจะมากันเยอะแยะ บัวเคยอยู่ทันปีหนึ่งตอนเด็ก เป็นงานวันเกิดคุณปู่ พวกตำรวจนี่มากันเพียบ คนใหญ่คนโตก็เยอะ พวกมันจะกล้าเข้ามาได้ยังไงครับ”
“คนยิ่งเยอะยิ่งไม่มีใครสนใจใคร ไม่สังเกตเหรอว่าเวลาที่พวกคนร้ายลอบวางระเบิดก่อกวนเนี่ย ก็เลือกสถานที่ที่มีคนเยอะหรือพวกสถานที่ท่องเที่ยวเลย” นายเหมืองสนับสนุนคำพูดของนายพุฒ ครูบัวก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งฟังไปเงียบๆจนสบช่องขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็ขอถามแทรกขึ้นว่า
“จะว่าไปแล้วที่ตำรวจเขาบอกว่าคุณติรกาเธอหนีมาด้วย เธอจะหนีมาได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อเธอเป็นแค่ผู้หญิง...ไม่น่าจะเก่งขนาดหนีออกมาได้เองนะครับ”
“คืออย่างนี้ครับ วันนั้นหลังจากที่ครูหายตัวไป แล้วเราก็ไม่ทราบสาเหตุมาก่อน พวกเราช่วยกันตามหาครูทั่วทั้งเหมืองลามไปที่หมู่บ้านด้วยก็ไม่เจอตัวครู แล้วครูก็เพิ่งไปมีปัญหากับพวกตัดไม้เถื่อน พวกเราเลยคิดได้กันแค่อย่างเดียวว่าครูน่าจะถูกพวกมันดักเล่นงานเข้าแน่ๆ...” เล่าถึงตรงนี้นายพุฒก็เหลือบมองดูนายเพราะหลังจากนี้จะเป็นท่อนที่เขาจะต้องนินทานายกันต่อหน้าต่อตาครูบัว “ทีแรกนายหุนหันจะเข้าไปเอาเรื่องพวกมันเลย ดีที่คุณตำรวจเพื่อนนายน่ะห้ามไว้ทัน เราเอาหลักฐานเรื่องค้าไม้เถื่อนที่รวบรวมได้ตอนนั้นไปขอหมายศาล บุกเข้าค้นบ้านพวกมันโดยเอากรณีความผิดเรื่องค้าไม้เถื่อนของพวกมันบังหน้า เรารวบจับพวกนายจักรกฤษณ์ได้ทั้งหมด ของกลางในโกดังของพวกมันก็มีอีกเพียบ เรื่องของครูน่ะเป็นตัวเร่งวันดำเนินการจับกุมให้ตำรวจ เราเลยสามารถรวบพวกมันได้ยกบ้านเพราะมันไม่รู้ตัวล่วงหน้า...แต่ว่าวันนั้นคุณติรกาเธอไม่ได้อยู่บ้าน และในหมายค้นกับข้อหาต่างๆก็ไม่ได้มีชื่อเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พวกตำรวจเลยไม่ได้ติดตามตัวเธอต่อ แต่ติดตามพวกลูกน้องของพ่อเธอที่ไม่ได้อยู่บ้านในวันนั้นแทน”
“เท่ากับว่า...พวกคนเหล่านั้นที่ตามพวกเรามานี่คือกลุ่มของคุณติรกาใช่มั้ยครับ”
ถ้าเป็นอย่างนั้นคงกัดเขาไม่ปล่อยแน่ เพราะท่าทางตัวคุณติรกาเองก็ติดใจเรื่องเขาอยู่ไม่น้อยตั้งแต่ที่เหมือง แล้วนี่นายเหมืองสิงห์ยังจะพาตำรวจบุกไปจับพ่อเธอเข้าคุกอีก...งานนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วแน่ๆ
“ผมเป็นห่วงเด็กๆจังเลยคุณ วันนั้นเราให้พวกแกไปอยู่ที่อื่นก่อนดีมั้ย ขอเอาไปฝากไว้ที่ไร่คุณกฤษณ์ก่อนก็ได้” บัวเสนอความคิดเห็น ซึ่งนายเหมืองสิงห์เอานิ้วยาวลูบปลายคาง คำนวณผลได้ผลเสียและโอกาสที่จะมีปัญหาแล้วก็ตกลงใจเห็นพ้องด้วย
“ก็ได้นะ แต่วันนั้นไอ้กฤษณ์ก็คงมาอยู่ร่วมงานกับเราที่นี่ แต่คิดว่าคนที่ไร่มันก็คงจะช่วยดูให้ได้อยู่” เพราะความสนิทสนมที่มีด้วยกันมาแต่ก่อน จึงทำให้นายเหมืองสิงห์ทำตามที่คนรักว่า
ทั้งสามคนคุยกันต่ออีกครู่เดียวก็เดินออกไปที่ห้องอาหาร เมื่อเด็กทับทิมมาเรียกพวกเขาซ้ำอีกรอบเพราะคุณย่าของครูบัวมานั่งรอทานข้าวแล้ว
----------------------------------------------
ไม่ได้ตาฝาดนะคะ
มันกลายเป็นนิยายรายอาทิตย์แล้วค่าาาา เฮ่ะๆ