ตอนที่ ๒๓ การเตรียมงานแซยิดของเจ้าย่าของบัวแลดูยุ่งยากและวุ่นวายกว่าที่คิดไว้หลายเท่า เจ้าส้มกับพุฒที่ตามมาทีหลังยังต้องมาช่วยกันออกแรงทำงาน นายพุฒนั้นร่วมมือกับนายเหมืองช่วยจัดสถานที่เตรียมงานกับฝ่ายออกแบบที่มีคนติดต่อไว้ให้ ส่วนเจ้าส้มนั้นออกแรงวิ่งออกกำลังกายไล่ตามเด็กๆ ดูแลจอมซนทั้งสามคนที่ตอนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไลเกอร์กับไทกอนนั้นเป็นเด็กประเภทที่พบเจอคนมากหน้าหลายตาอยู่ทุกวัน และชินกับการที่จะได้เล่นกับเด็กๆหมู่มากอยู่แล้ว ดอกปีบจึงถูกนับรวมเป็นหนึ่งในลูกสมุน และเป็นเจ้าที่ที่สามารถหาแหล่งสนุกที่สามารถรวมหัวกันเล่นรอบๆเรือนเจ้าย่าได้ และหัวหน้าฝั่งผู้ใหญ่ที่คอยติดตามดูแลเด็กผู้ชายสามคนวัยกำลังซนก็ตกเป็นของเจ้าส้มทันที เพราะจะให้สาวเหนือในเรือนเจ้าย่าไปคอยวิ่งไล่ตามอยู่ก็ไม่น่าไหวกันสักคน ส่วนบัวนั้นถูกเกณฑ์ไปอยู่เฝ้าเจ้าย่า เพื่อคอยช่วยเหลือและทำหน้าที่กึ่งๆผู้ช่วยไปในตัว ทำให้กว่าจะถึงวันงาน บัวมีโอกาสได้อยู่สองต่อสองกับนายเหมืองก็แค่ก่อนจะนอนเท่านั้น
ยอมรับว่าชีวิตขาดหวานไปหน่อยหนึ่งจริงๆ
เช้าวันงาน ทุกคนในเรือนเริ่มตื่นมาทำกิจวัตรประจำวันกันเช้ากว่าปกติ เพราะตอนเช้าเจ้าย่าจะทำบุญเลี้ยงพระ แล้วก็นำของออกไปบริจาคให้กับโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขนาดกลางในพื้นที่อีกสองสามแห่ง เพื่อให้โรงเรียนได้นำของบริจาคให้กับเด็กๆที่ขาดแคลนต่อไป ซึ่งวัฒนธรรมนี้ติดมาจนถึงครอบครัวบัวด้วย ช่วงที่พ่ออยู่ถึงพวกเขาจะขัดสน แต่แม่ก็เอาเสื้อผ้าเก่าของเขาที่ไม่ได้ใช้มาซ่อมให้อยู่ในสภาพที่ดี แล้วก็รวบรวมเอาไปบริจาคตามโรงเรียนประถมฯ บางปีก็จัดส่งตามไปรษณีย์ไปให้ก็มี
งานพระในช่วงเช้าและการบริจาคผ่านไปอย่างเรียบร้อย แล้วเมื่อกลับมาที่บ้านเจ้าย่าก็จัดอาหารเที่ยงเลี้ยงคนงานทั้งไร่ แล้วพอตอนบ่ายยาวไปถึงช่วงห้าโมงเย็นก็เป็นช่วงเตรียมงานกลางคืน เพราะแขกจะเริ่มมาถึงที่งานประมาณหกโมงเย็นเป็นต้นไป
“ส้ม เดี๋ยวพอประมาณสี่โมงเย็นก็พาเด็กๆไปไว้ที่บ้านคุณกฤษณ์ได้เลยนะ บัวเห็นนายเหมืองโทรไปบอกที่บ้านโน้นไว้ให้แล้ว เสร็จแล้วส้มจะได้กลับมาช่วยนายเหมืองนะ” บัวไหว้วานคนดูแลลูกชายของนายเหมืองให้ช่วยเป็นธุระแทนเขาในการกำจัดเด็กๆออกจากพื้นที่อันตรายชั่วคราว
“ไม่มีปัญหาหรอกครู จะกลัวก็แต่เด็กๆจะงอแงไม่ยอมไปน่ะสิ ก็ที่งานน่ะมีอะไรให้เล่นเยอะกว่าไปเถลไถลกันอยู่ที่โน่นน่ะสิครูตาหวาน”
“เอาเถอะ งานสำคัญแบบนี้บัวว่าเด็กๆเข้าใจนะ เอาเป็นว่าถ้าเอาไม่อยู่ยังไงก็โทรหาบัวนะ บัวจะคุยกับเด็กๆเอง”
“ได้ครับครู” เจ้าส้มตอบรับคำ บัวจึงได้วางไปยอมเดินตามเลขาคุณย่าไปเปลี่ยนชุด เพราะงานคืนนี้เขาเองก็คงจะต้องวิ่งวุ่นช่วยรับแขกบ้างช่วยงานคุณย่าอยู่ใกล้ๆไม่ได้ไปไหนแน่ๆ
และก็ไม่ผิดจากที่คิด เพราะยังไม่ถึงเวลาหกโมงเย็นดีแขกก็เริ่มทยอยมางาน บัวไม่ได้ออกหน้าออกตาก่อนในทีแรก ได้แต่ช่วยรับแขกและคอยพาแขกไปนั่งตามโต๊ะที่จัดไว้ ทำงานเปรียบเสมือนคนงานคนหนึ่ง จนกระทั่งเริ่มจะมีแขกสูงวัยซึ่งเคยเจอพ่อเขามาก่อนเริ่มทักว่าหน้าตาของเขาคล้ายพ่อ ประกอบกับคุณย่าของเขาเพิ่งออกมา และท่านก็พร้อมมากที่จะแนะนำบัวให้ใครต่อใครได้รู้จักว่าคือหลานชายแท้ๆของเธอเอง
หลังจากนั้นเหมือนไฟทั้งงานเพ่งส่องมาที่บัวอย่างเต็มๆ หลายๆคนพอจะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าย่ามีหลานแท้ๆอยู่หนึ่งคน แต่ข่าวก็เงียบหายไปหลายปี กลับมาอีกทีเจ้าย่าก็แนะนำหลานชายที่หายไปเรียนที่กรุงเทพฯ และตอนนี้ก็เรียนจบแล้วเตรียมรอบรรจุครูผู้ช่วยเพราะสอบขึ้นบัญชีที่กรุงเทพฯเอาไว้ได้นั่นเอง หลายๆคนที่เพิ่งได้พินิจพิจารณาตัวของบัวให้ดีๆก็เริ่มมีคนให้ความสนใจ เพราะรูปร่างสะโอดสะองของผู้ชายผิวขาวอย่างชาวเหนือ บุคลิกนุ่มๆนิ่งๆ บวกกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถอดแบบอย่างมาจากคุณย่า ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ละสายตาไม่ได้เลย
“นายครับ ผมว่าปล่อยทิ้งไว้ที่นี่นาน นายมีสิทธิ์ไม่ได้เมียกลับบ้านแล้วนะครับ” นายพุฒเดินมากระแทกไหล่ใส่นายเบาๆ เพื่อพะยับพเยิดให้มองดูตาแก่คนหนึ่งที่ใส่ชุดข้าราชการเต็มยศและมีอีหนูหนีบข้างกายมาหนึ่งคนกำลังจ้องครูบัวตาเป็นมัน เห็นแล้วมันทำให้นายเหมืองสิงห์อยากเดินไปต่อยให้ตาแตกนัก จ้องเสียกะจะให้ร่างเมียเขาพรุนเลยหรืออย่างไร
“ก็ได้แค่มองละวะ” ชายหนุ่มเอ่ยเชิงไม่แยแสแต่สายตาแทงทะลุร่างพุงพลุ้ยนั่นไปแล้ว
วันนี้นายเหมืองร่างสูงใหญ่ อยู่ในชุดแบบเหนือๆ โดยมีผ้าฝ้ายพื้นเมืองทอมือที่เรียกว่า ผ้าตาโก้งรวบจับเหน็บตรงเอว ส่วนชายอีกด้านก็ดึงไปเหน็บไว้ตรงด้านหลังคล้ายการโจง ตัวเสื้อคอกลมยาวผ่าหน้าเปิดโชว์กล้ามท้องแน่นๆ ทับสังวาลย์เส้นเล็กๆพอให้ตัดสายตาไปได้บ้าง แต่กระนั้นหุ่นหนุ่มแน่นที่คอยเดินวนอยู่รอบๆงานก็เป็นที่สนอกสนใจของหนุ่มสาวน้อยใหญ่อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“พุฒ มึงไปถามตำรวจที่อยู่ตรงปากทางเข้างานหน่อย นี่ก็ใกล้จะทุ่มนึงแล้ว กูยังไม่เห็นอะไรผิดสังเกตเกิดขึ้นเลย” นายเหมืองสั่งงานไปก็สอดส่ายสายตาหาคนที่มีท่าทางพิรุธไป แต่บรรดาแขกที่มาร่วมงานนี่ก็มีแต่คนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่มันดูแปลกๆในเซนส์ของเขาเลย
...หรือเขาจะคาดผิดไป ว่าพวกนั้นจ้องจะเล่นงานพวกเขาวันนี้...
เสื้อสีขาวขุ่นกับผ้าตาโก้งรวบจับตรงเอวเน้นเห็นว่าคนรักของเขาตัวเล็กแค่ไหน ถึงจะจับๆกอดๆกันอยู่แทบทุกคืนแต่เขาก็ไม่ค่อยได้สังเกตหรอก ว่าเอวของครูบัวนั้นจริงๆแล้วผอมขนาดนี้ เพราะปกติเจ้าตัวจะชอบใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ไม่ค่อยได้เห็นตอนใส่กางเกงจับรวบเอวแบบนี้ แล้วยิ่งได้พอมาเห็นใกล้ๆแบบนี้ตอนแก้มแดงๆเพราะเหงื่อออกจากการเดินตามคุณย่าวนไปทั่วงานแล้ว...เขาอยากจะ...
“นายเหมือง มองแต่บัวจนคุณย่าทักแล้ว...ตอนนี้โอเคมั้ย” เพราะมัวแต่มองเพลิน รู้ตัวอีกทีครูบัวที่เขาจ้องอยู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“หืม? ก็...ปกติดี พี่ยังไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยครับ” ชายหนุ่มพูดไปก็ทำตาหลิ่วตาเจ้าชู้ส่งไป ก่อนจะเอ่ยเสริมเย้าอีกนิดว่า “จะยกเว้นก็แต่...การแต่งตัวน่ากินยั่วพี่ของบัวนี่แหละ”
“เยอะไป!” บัวว่า คุณครูหนุ่มมองบรรยากาศภายในงานที่ว่อนไปด้วยข้าราชการตำรวจและทหาร แล้วไหนยังจะมีพวกบอดี้การ์ดอีก พวกนั้นมีกันอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้ากล้าเข้ามาที่นี่ก็เหมือนกับเข้ามาฆ่าตัวตายชัดๆ
“แต่แปลกนะครับ งานสำคัญแบบนี้พวกมันจะไม่ลงมือทำอะไรเลย มันเป็นไปไม่ได้” บัวตั้งข้อสังเกต ซึ่งมันก็ใช่สิ่งที่นายเหมืองคิดอยู่ในใจเช่นกัน
“นั่นน่ะสิ พี่ก็ว่ามันแปลกๆ” ชายหนุ่มจับจูงมือบัวไปที่ซุ้มอาหาร ตอนนี้ผู้คนทั้งงานเริ่มจับจ้องไปที่เวทีกลางแล้ว การแสดงชุดแรกเป็นการฟ้อนเทียนนำขันโตกเข้างานมาวางไว้ที่โต๊ะวีไอพี แล้วเชื่อมต่อด้วยการแสดงฟ้อนบายศรีและเพิ่มการตื่นเต้นด้วยการฟ้อนดาบ
ตอนที่มีสายโทรศัพท์ดังเข้ามาหานายเหมืองนั้น เป็นตอนที่การแสดงฟ้อนดาบเพิ่งเริ่มไปได้ประมาณสองนาทีเท่านั้น...และสายนั้นก็ทำให้ครูบัวที่ได้ยินเรื่องราวต่อจากนายเหมืองมาอีกทีแทบล้มทั้งยืน!
----------------------------------------------
งานภายนอกแขกเริ่มทยอยกลับ แต่สถานการณ์บนเรือนใหญ่นั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายเป็นอย่างมาก เมื่อลูกชายบุญธรรมของเจ้าของเรือนหายตัวไปพร้อมลูกชายของแขกเจ้าย่า และในเมื่อตัวคนร้ายนั้นก็หาไม่ยากเพราะคนที่เข้าข่ายจะก่อเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมาได้ก็มีอยู่แค่เคสเดียว
“...ตอนนี้ผมสั่งตรวจรถทุกคันบนถนนทุกสายที่สามารถออกไปจากงานนี้ได้เรียบร้อยแล้ว ดูจากเวลาแล้วไม่น่าจะหนีไปได้ไกลมาก เราน่าจะยังสกัดจับได้ทัน”
คำพูดจากนายตำรวจที่ส่งต่อความคืบหน้าของการติดตามรถผู้ต้องสงสัยมาให้เจ้าของบ้านเหมือนจะไม่ได้เข้าหูนัก ยาดมกับยาลมถูกนำมาเสิร์ฟให้ผู้สูงวัยและสูงวุฒิที่สุดในบ้าน เจ้าย่าดมยาดมไปก็ฟังข่าวที่บรรดาตำรวจและทหารรายงานให้หล่อนฟัง บัวนั่งนิ่งอยู่ใกล้คุณย่า หูก็เงี่ยฟังข่าวไปพร้อมคุณย่า ใกล้ๆกันมีเจ้าส้มที่นั่งหน้าซีดพอกันอยู่ใกล้ๆ ส่วนนายเหมืองกับนายพุฒ รวมเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุอย่างคุณกฤษณ์สามคน ก็ไปช่วยกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก่อนออกไปบัวกับส้มถูกสั่งให้รอฟังข่าวแล้วก็ประสานงานอยู่ที่นี่ เผื่อมีคนได้เบาะแสเพิ่มเติมก็จะได้แจ้งข่าวกันได้
“ส้ม เราได้เส้นทางแล้ว มีคนเจอรถตามที่คนสวนบ้านคุณกฤษณ์เขาบอก เดี๋ยวพี่กับนายจะขับรถตามไปพร้อมตำรวจ รออยู่ที่นี่กับครูนะ” นายพุฒเดินขึ้นมาบอกแฟนที่บนเรือน และแน่นอนว่าส้มร้องขอจะไปด้วยในทันที
“ส้มไปด้วย เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง”
“อยู่ที่นี่แหละ อย่าทำให้ต้องเป็นห่วง” พุฒบอกเป็นห่วงแฟนแบบไม่แคร์สื่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ปิดๆกันอยู่บ้างว่าทั้งคู่เป็นอะไรกัน
“แต่ส้มเป็นห่วงสองแสบ ให้ส้มไปด้วย” ส้มเอาแต่ใจ กับคนอื่นก็ไม่หรอกแต่นี่เป็นแฟนแถมยังสถานการณ์ไม่ปกติอีกด้วย
“อยู่นี่ พี่โทรมาก็รับโทรศัพท์ด้วย” นายพุฒสั่งคำสุดท้ายแล้วก็รีบเดินลงจากเรือนไปพร้อมนายตำรวจอีกห้าหกนาย เสียงไซเรนรถตำรวจเปิดขึ้นดังเมื่อตอนนี้ทุกนายกำลังช่วยกันปฏิบัติราชการกันอย่างแข็งขัน
บัวนั่งฟังเสียงไซเรนที่ออกห่างจากตัวบ้านไป ก่อนจะหันไปมองหน้ากับส้ม
“ไปเลยมั้ย” บัวหันไปหาส้ม ใครจะว่าดื้อก็ยอม เด็กๆของเขาหายไปกันทั้งสามคน หายไปในสถานการณ์ที่บัวกำลังสำนึกว่าเป็นเพราะตัวเองคือต้นเหตุ ถ้าเขาไม่ให้เด็กๆออกไปไกลหูไกลตาแบบนี้ เรื่องก็อาจจะไม่เกิดก็ได้ ที่นี่อย่างไรตำรวจก็เยอะ คนคอยดูแลคุ้มกันก็มาก แต่ใครจะไปคิดว่าพวกนั้นจะร้ายถึงขนาดจับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรไปแบบนี้ด้วย
“ครูแน่ใจนะว่าจะไป” ส้มถามอีกครั้ง มือก็เปิดการค้นหาไอโฟนของสามีเพื่อเตรียมขับรถตาม ฝ่าฝืนทุกคำสั่งที่ถูกสั่งไว้
“กุญแจรถอยู่นี่ แล้วบัวก็คุ้นเส้นทางที่นี่มากกว่าส้ม” บัวหันไปมองคุณย่าเมื่อพูดจบ ท่านไม่ได้สนใจนักว่าพวกเราคุยอะไรกัน บรรยากาศบนบ้านและนอกบ้านก็ค่อนข้างชุลมุนกันอยู่พอสมควรเมื่อเสียงไซเรนดังขึ้นพร้อมกัน แล้วทำให้แขกในลานบ้านด้านนอกเริ่มมีการแตกตื่น แต่บัวคิดว่าคนในบ้านที่อยู่ที่นี่คงเอาสถานการณ์อยู่
“งั้นไปกันเลยมั้ยครู พวกเขาเริ่มห่างกันไปมากแล้ว” ส้มบอกพร้อมโชว์เส้นทางจากโทรศัพท์ให้อีกคนดู ซึ่งบัวก็ไม่รอช้ารีบพาส้มเดินไปทางบันไดหลังบ้าน เพื่อไปยังโรงจอดรถแล้วพาทั้งคนทั้งรถออกนอกตัวบ้านเพื่อขับรถตามจุดในจอโทรศัพท์ของส้ม
เท่าที่ฟังจากคนที่บ้านของคุณกฤษณ์บอกว่า มีคนงานในไร่เข้ามาชวนเด็กๆออกไปเล่นนอกบ้าน คนดูแลเห็นว่าเป็นคนงานในไร่ แม้ว่าจะเป็นคนงานใหม่แต่ก็ไว้ใจ เพราะทางพวกเขาเองก็ไม่ได้บอกเรื่องที่อาจมีคนปองร้ายครอบครัวของเขาแบบนี้ให้กับคนของบ้านคุณกฤษณ์รับทราบ แล้วเมื่อเด็กๆออกไปตามหาเด็กๆเมื่อเห็นว่าหายกันไปนานก็ไม่มีใครหาเจอ มีเพียงคนสวนคนเดียวเท่านั้นที่เห็นตอนเด็กๆถูกแบกใส่หลังรถยนต์สีบรอนซ์เงินคันหนึ่งที่จอดแอบไว้ที่ริมรั้วด้านหลังบ้านของกฤษณ์แล้วขับออกไป แล้วหลังจากนั้นก็เป็นสายเรียกเข้านายเหมืองสิงห์ที่มีตามมา นำไปสู่การปรับเปลี่ยนแผนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งงานภายในเวลาไม่กี่นาทีทันที
“ส้ม ทางนี้มันคุ้นๆเหมือน...” บัวที่อาสาเป็นคนขับรถเองมองเส้นทางที่รถตำรวจกำลังมุ่งหน้าตามจับรถคนร้ายตามที่ได้รับแจ้งผ่านหน้าจอของส้มแล้วขมวดคิ้ว
“คุ้นๆอะไรครูบัว” ส้มที่ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆตลอดเวลาเพราะครูบัวบทแกจะจริงจังแกก็ไม่กลัวอะไรจริงๆ เห็นเงียบๆหงิ๋มๆแบบนั้นส้มยังตกใจเลยตอนที่แกเดินมาดึงส้มไปคุย บอกว่าพอพวกนายเหมืองไปแล้วให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนแกหน่อย แกจะขับตามพวกตำรวจไปอีกที
แล้วดูเข็มบนหน้าปัดนั่นสิ จะแตะร้อยสี่สิบอยู่รอมร่อแล้วเนี่ย...ส้มนึกระหว่างที่เอามือโหนบาร์จับที่หลังคารถเหนียวแน่น
“คุ้นๆว่า...มันน่าจะเป็นทางไปบ้านเก่าของแม่บัวน่ะสิ” ถึงจะนานมากแล้วแต่ถ้ามันเป็นพื้นที่ที่เราเคยอยู่มาตั้งแต่เด็ก จะอย่างไรความคุ้นเคยหรือความเคยชินมันก็ต้องมีติดตัวมาด้วยแน่นอน
“ถ้าเลยแยกหน้าแล้วพวกเขาไม่เลี้ยวไปไหน ส้มบอกด้วยนะ” บัวบอกคนที่มาด้วยกัน ซึ่งส้มก็พะยักหน้ารับแข็งขัน แล้วเมื่อเส้นทางไม่ได้ผิดไปจากที่บัวคาด คุณครูหนุ่มก็จัดการซัดโค้งยูเทิร์น แล้วเลี้ยวเข้าไปทางถนนเลนเดียว ถ้าไม่มีอะไรผืดพลาดบัวจะไปถึงที่นั่นก่อนขบวนตำรวจได้แน่ๆ
------------------------------------------------
“ฮึก...ฮึก...ฮือ...” ดอกปีบพยายามกลั้นสะอื้น
เด็กๆสามคนลืมตาขึ้นมาพร้อมกันในห้องปูนซีเมนต์ห้องหนึ่ง ในคราแรกทั้งสามมีการมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว แต่ไลเกอร์กับไทกอน อาจเพราะเจอหน้ากันจึงหดความกลัวกันไปได้ แล้วด้วยนิสัยเดิมทั้งคู่จึงจูงมือกันออกเดินสำรวจไปทั่วห้อง ส่วนดอกปีบนั้นแม้ว่าจะมากับเพื่อน แต่ก็ด้วยเจอกันไม่นาน แล้วตัวเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้ ก็เลยเป็นคนเดียวที่เริ่มต้นนั่งร้องไห้แล้วก็พยายามจะเรียกให้คนช่วย ทว่าไลเกอร์กลับเป็นคนเอื้อมมือมาปิดปากแล้วขู่เพื่อนเด็กเหนือผิวขาวหยวกว่าให้เงียบ ไม่อย่างนั้นคนไม่ดีจะเข้ามาตี ดอกปีบเลยได้แต่สะอื้นอย่างเดียว
“เกอร์ๆ ไทว่าหน้าต่างนี้งัดได้” ไทกอนเรียกพี่ชาย ไลเกอร์รีบวิ่งไปหาน้องอย่างรวดเร็วแล้วก็สุมหัวหงุงหงิงกันอยู่สองคน
“ฮือๆ”
“โอ๊ย แทนที่จะร้องไห้ ช่วยหาลวดหรือกิ๊บดำมาให้หน่อยได้มั้ย” คราวนี้เป็นไทกอนบ้างที่หันมาบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ ตัวเขากับไลเกอร์นั้นกลัวก็กลัว แต่ลึกๆแล้วบรรยากาศแบบนี้พอได้อยู่ด้วยกันก็แอบตื่นเต้น ความรู้สึกเหมือนเวลาแอบพ่อเข้าไปเล่นพวกเครื่องจักรใหญ่ในเหมืองเลย
บอกแล้วว่า...ฉายาสองแสบน่ะ ไม่ได้ตั้งขึ้นมาลอยๆหรอกนะ
“ฮึก...ฮือ...” ดอกปีบร้องไปแต่ก็พยายามขยับตัวทำตามที่เพื่อนบอก เขาขยับเดินมองหาไปตามพื้น มือก็ปาดน้ำตาที่หน้าไปด้วย สายตาก็ก้มมองหา แต่ในห้องนั้นนอกจากเตียงนอนเก่าๆกับตู้ไม้ที่ผุพังเพราะโดนปลวกแทะแล้วก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรอื่นอีก แต่แล้วเมื่อดอกปีบก้มลงไปมองใต้เตียง ก็มองเห็นแท่งยาวๆหล่นอยู่ที่พื้นสองสามแท่ง แต่อยู่ค่อนข้างลึกเข้าไปข้างใน ดอกปีบคิดว่าน่าจะใช้ได้จึงรีบบอกเพื่อน
“เจอแล้ว!”
“ไหนๆ” ทั้งสองแสบพอได้ยินก็รีบวิ่งมาที่เพื่อน
“ข้างในๆ” พอเห็นเพื่อนรีบช่วยกันหมอบต่ำสนอกสนใจสิ่งที่ตัวเองเจอ ดอกปีบก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย
“โหย...ไทอ้วนอ่ะเกอร์ เข้าไปไม่ได้” ไทกอนโอดครวญกับพี่ชาย ซึ่งก็พยายามจะมุดเข้าไปเช่นกัน ทว่าเข้าไปได้แค่ส่วนหัวแต่ติดลำตัวกันทั้งคู่
“มา เดี๋ยวปีบเข้าไปเอาให้” ด้วยความฮึกเหิมว่าตัวเองช่วยเพื่อนได้ ดอกปีบจึงขันอาสาอย่างกล้าหาญที่จะเข้าไปเอาให้ เพราะในบรรดาเด็กทั้งสามคนนั้นเขาตัวเล็กกว่าแล้วก็ผอมที่สุดแล้ว
ดอกปีบค่อยๆไถตัวเองเข้าไปใต้เตียง ฝุ่นก็มี มืดก็มืด แต่แสงธรรมชาติด้านนอกและความเคยชินกับความมืดที่ดอกปีบมี ทำให้เด็กน้อยสามารถเอื้อมมือเข้าไปเอาของที่เห็นเป็นเส้นๆนั้นออกมาได้
“เย้ เดี๋ยวนะ นี่มันตะปูนี่” ไลเกอร์ที่รับของจากดออกปีบ ผู้ซึ่งเสียสละหน้าผากโนๆเข้าไปเอามาให้ขมวดคิ้วมอง ขนาดของมันใหญ่กว่ากิ๊บดำและลวดที่เด็กๆอยากจะได้ แต่มีมันไว้ก็ดีกว่าไม่มีล่ะนะ
“มา ตะปูก็ได้ ลองดูก่อน ถ้าไม่ได้ก็พังแม่ม!” ไทกอนพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“นี่แน่ะ!” ไลเกอร์หันไปตีปากน้องดัง แผ่ะ! “ครูตาหวานสอนว่าห้ามพูดคำหยาบ”
“ใช่ๆ เดี๋ยวแม่ไม่รักเนอะ” ไทกอนเกาก้นพลางเอาตะปูไปแหย่ๆตรงขอบหน้าต่าง “อึ๊บ...อึ๊บ..มันไม่เข้าไปเลยอ่ะ”
“ช่วยกันสิ ยืนดูอะไรล่ะ” ไลเกอร์หันไปยื่นตะปูในมือที่ถืออยู่อีกสองสามอันให้ดอกปีบ แล้วตัวเองก็เข้าไปช่วยไทกอนงัดบานหน้าต่าง
ไอ้เรื่องทำลายข้าวของเนี่ย...พวกเขาถนัดกันนักล่ะ!!!
------------------------------------------------------------
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะเคอะ!
เวริ๊ยยยย ดีจัยยยยยยยยย