ตอนที่ 22ผมพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านพี่เท็นอีกหลายวันโดยที่ไม่รู้ความเป็นไปของโลกภายนอกเลยสักนิด การได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของพี่เท็นเป็นอะไรที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อน เขาเป็นคนแปลกๆ ที่ให้ความรู้สึกไม่เข้าใจอยู่ตลอดเวลา ความจริงแล้วพี่เท็นเป็นพี่ที่คณะผม เรียนภาควิชาเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ค่อยได้เจอพี่เขาเลย ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนที่มีใครรู้จักมากนัก และผมก็ไม่ค่อยได้รู้จักใครด้วย เพราะช่วงปีหนึ่งที่ผมเอาแต่ทำงาน ขาดกิจกรรมก็หลายครั้ง เพิ่งจะมารู้จักคนอื่นๆ นอกจากเพื่อนสนิทของตัวเองบ้างก็หลังจากที่ได้มาอยู่กับพี่โปรดแล้ว
พี่โปรด...อีกแล้ว
ทำไมผมยังต้องคิดถึงเขาด้วยนะ
ผมตัดดอกกุหลาบดอกสุดท้ายเก็บใส่ตะกร้าหวาย ก่อนจะเดินออกจากสวนกุหลาบที่พี่แม่บ้านเล่าให้ฟังว่าพี่เท็นลงทุนทำเองกับมือ ดอกกุหลาบทุกต้นเขาก็เป็นคนปลูก เขาเป็นที่รักของคนในบ้านนี้ทุกคน ถึงเขาจะชอบทำเหมือนใจร้าย แต่ที่จริงแล้วก็ใจดีมากเลย
ผมเอาดอกกุหลาบไปให้พี่แม่บ้านจัดใส่แจกัน ก่อนจะเข้าไปช่วยงานในครัวเท่าที่พอจะทำได้ ล้างผักบ้าง หั่นหมูบ้าง ผมไม่อยากมาอยู่ที่นี่โดยไม่ทำประโยชน์อะไร พี่เท็นก็นานๆ จะกลับมาที่นี่ที เหมือนว่าเขาจะมีบ้านที่ซื้อกับเพื่อนอยู่ใกล้ๆ มหาลัยเลยไม่ค่อยได้กลับบ้านใหญ่บ่อยนัก ผมเลยไม่ต้องอึดอัดกับสายตาที่ชอบมองมาเหมือนกำลังสแกนผมอยู่
แต่วันนี้พี่เท็นกลับมาพร้อมพี่เมล สองคนนี้เดินด้วยกันแล้วความเท่กินกันไม่ค่อยลง พี่เมลที่ผมรู้สึกคุ้นหน้านั้นที่จริงแล้วเพราะเขาเป็นเดือนมหาลัยหลังจากที่ปีก่อนหน้าถูกเดือนจากแพทย์แย่งตำแหน่งไปจากวิศวะ
“ดูนี่ แล้วบอกกูหน่อยว่านี่รูปมึง” พี่เท็นยื่นกระดาษ A4 มาให้ผม
ผมรับมาก็เห็นว่าเป็นใบประกาศตามหาคนหาย และคนที่หายไปนั้นก็คือ...ผมเอง
“น้องรหัสไอ้คิมที่ชื่ออะไรนะ กิม หรือกิ้ม เออ สักอย่างน่ะ กูเห็นมันยืนแจกอยู่หน้าตึกคณะ”
คุณกิมเหมือนจะมีพี่รหัสชื่อนั้นจริงๆ ครับ แต่ผมที่สายรหัสขาดเพราะรุ่นพี่ถูกรีไทน์ออกไปนั้นไม่ค่อยได้ไปงานเลี้ยงสายอะไรเท่าไหร่ ความจริงแล้วผมไม่ค่อยรู้จักพวกรุ่นพี่ด้วยซ้ำไป
“โทรไปบอกเพื่อนหน่อยดีมั้ยปลื้ม เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่” พี่เมลบอกพลางยื่นไอโฟนของเขามาให้ผม แต่ผมส่ายหน้าและบอกขอบคุณเบาๆ
“ผมจำเบอร์พวกเขาไม่ได้หรอกครับ ไม่เป็นไร ปล่อยไว้อย่างนี้เถอะครับ”
“แล้วเรื่องเรียนล่ะปลื้ม”
“ผมคิดว่าจะดร็อปไว้ก่อนน่ะครับ...ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ”
พี่เมลมองผมอย่างไม่สบายใจ ตรงกันข้ามกับพี่เท็นที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เขานั่งเล่นรูบิคโดยไม่สนใจบทสนทนาของผมกับพี่เมลเลยแม้แต่น้อย
“พี่ก็ไม่รู้ว่าปลื้มเจออะไรมาบ้าง แต่ถ้ายังไม่พร้อม ก็พักก่อนก็ได้ งั้นพรุ่งนี้พี่พาไปทำเรื่องดร็อปเรียนละกันนะ”
“ขอบคุณครับ”
พี่เท็นโยนรูบิคที่เรียงหน้าตามสีได้ถูกต้องลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะบอกผมว่า “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้จัดกระเป๋าไว้เลยละกัน กูเตรียมตั๋วรถทัวร์ไว้ละ เราจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้ตอนเย็น”
“ห้ะ? O_O” ทั้งผมและพี่เมลพูดขึ้นมาพร้อมกัน แต่พี่เท็นก็แค่ยักไหล่
“ขึ้นเหนือไง บอกไว้แล้วนี่” เขาพูดไว้แค่นั้นก็เดินไปทางห้องครัว พี่เมลอ้าปากค้างนิดๆ แต่พอได้สติก็รีบเดินตามพี่เท็นไปทันที
ผม...หนีเสือปะจระเข้รึเปล่านะ...
พี่โปรดยังพอจะฟังคำพูดคนอื่นบ้างนะ...แต่คนๆ นี้ ไม่ฟังอะไรเลย -_-
อ่า...ผมคิดถึงพี่โปรดขึ้นมาอีกแล้ว
.
.
.
เช้านี้พี่เท็นเป็นคนขับรถมาส่งผมที่มหาลัย เขาไม่ได้ใจดีอะไรหรอกครับ แค่เพราะพี่เมลมีควิซแล็ปและบอกให้เขามาส่งผมแทนก็แค่นั้น
“เรียบร้อยแล้วใช่ป่ะ ลายเซ็นคณบดีเอาเอกสารมาให้กูละกัน เดี๋ยวจัดการเอง เขาซี้กับกู” ว่าแล้วพี่แกก็ฉกเอกสารไปจากมือผมแล้วเดินลิ่วๆ ขึ้นลิฟท์ไป ผมเลยเดินออกมายืนรอพี่เท็นที่ลานจอดรถ
“ปลื้ม!!!!!” เสียงตะโกนเรียกผมจากทางด้านหลัง ไม่ทันที่ผมจะหันกลับไปมองก็โดนชาร์ตเข้าซะแล้ว
แว๊บแรกผมกลัวว่าคนที่กำลังกอดผมอยู่จะเป็นพี่โปรด...แต่แหวนที่นิ้วนางซ้ายก็ทำให้ผมรู้ได้ว่าคนที่กอดผมอยู่คือคุณเฟรน
“หายไปไหนมา มึงหายไปไหนมา!” คุณเฟรนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เขาดูจะดีใจมากจริงๆ ที่เจอผม
“ร้องไห้ทำไมครับ...ผมก็อยู่นี่แล้วไง” ผมไม่ถนัดพูดปลอบใจใครเลย ยิ่งเวลาที่มีคนมาร้องไห้ซบไหล่ผมอย่างนี้
“ฮือออออ ฮึก!ฮือออ กูรู้เรื่องหมดแล้ว ฮึก! รู้หมดแล้วปลื้ม มึงเจ็บมากมั้ย เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
“ทำไมไม่บอกกูล่ะ กูไม่ใช่เพื่อนเหรอถึงมีอะไรไม่เล่าให้ฟังเลย แค่กูคิดว่ามึงต้องร้องไห้อยู่คนเดียว กูก็โกรธตัวเองมากแล้ว...อย่าทำอย่างนี้อีกนะ กูเป็นห่วง”
“ผมขอโทษครับ”
“แขนไปโดนอะไรมา เจ็บมากมั้ยวะ”
“อุบัติเหตุน่ะครับ แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
น้ำตาของคุณเฟรนยืนยันความรู้สึกของเขาจนผมอดรู้สึกผิดไม่ได้...ที่ผมไม่บอกก็แค่ไม่อยากให้ใครต้องไม่สบายใจไปกับผมก็แค่นั้น
“แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะครับ”
“กูเลิกคบกับพวกบ้านั่นแล้ว! จะด้วยเหตุผลอะไรที่มันไม่บอกมึงเรื่องไอ้เหี้ยโปรดก็ช่างเถอะ แต่โดยรวมแล้วกูถือว่าพวกมันก็หักหลังมึงเหมือนกัน ถ้ารู้แล้วไม่ยอมช่วยไม่ยอมทำอะไร จะมีเพื่อนไว้ทำไมวะ” คุณเฟรนดูจะโกรธอย่างจริงจัง ผมยอมรับว่ามีอยู่สักเสี้ยวความรู้สึกหนึ่งของผมที่สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงช่วยพี่โปรดปิดผม แต่ผมก็ไม่ได้โกรธพวกเขาหรอก ...เพราะถ้าผมตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพวกเขาแล้ว...ผมก็คงไม่พูดอะไรเช่นกัน
“อย่าทำอย่างนั้นเลยครับคุณเฟรน...เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอก”
ใช่ครับ...ไม่มีใครผิดเลยสักคน ก็แค่เพราะความไม่สมดุลของความรัก ที่ทำให้มันเกิดขึ้น
พี่โปรดไม่ได้ผิดเลยที่หมดรักผม...หัวใจคนมันบังคับกันได้ซะที่ไหน
“แล้วมึงมาที่นี่ทำไม แล้ว..มากับใคร ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหนเหรอวะปลื้ม”
ผมไม่ได้ตอบคำถามของคุณเฟรน ถ้าผมบอกว่าผมกำลังจะดร็อปเรียน...คุณเฟรนต้องโวยวายขึ้นมาแน่ ผมรู้ว่ามันน่าสมเพชและไร้เหตุผลมากที่ผมจะล้มเหลวแค่เพราะคนๆ เดียว แต่ตอนนี้...ผมยังไม่พร้อมจริงๆ
“คุณเฟรนดูแลตัวเองด้วยนะครับ...ขอบคุณมากครับที่เป็นเพื่อนที่ดีกับผมมาตลอด”
“ปลื้ม...อย่าพูดเหมือนว่ามึงจะไม่อยู่ที่นี่แล้วสิวะ”
ผมได้แค่ยิ้มตอบกลับไป...ผมอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ผมจะทนเห็นพี่โปรดอยู่อีกได้ยังไง...ในเมื่อหัวใจมันเจ็บปวดมากขนาดนี้
“ไม่ว่ามึงจะอยู่ที่ไหน...อย่าลืมนะว่า ยังมีกูที่เป็นเพื่อนมึง” คุณเฟรนพูดแค่นั้นก่อนจะซบหน้าลงร้องไห้กับไหล่ของผม ส่วนผมทำได้แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ
ขอบคุณครับ...ผมจะไม่ลืมเลยว่าชีวิตหนึ่งเคยมีเพื่อนดีๆ อย่างคุณ
.
.
.
“ดูแลน้องด้วย เข้าใจมั้ย” พี่เมลกำชับกับพี่เท็นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ พลางมือก็วุ่นวายอยู่กับการใส่หมวกให้พี่เท็น ผมยืนสะพายย่ามอยู่ห่างจากพวกเขาเล็กน้อย
แต่เมื่อพี่เท็นไม่ขานรับ พี่เมลเลยทำหน้าดุเสียงดุใส่
“เท็นเท็น”
“รู้แล้วล่ะน่า แค่รู้ว่าตัวเองมีญาติแค่เนี้ย มึงนี่โคตรจะเห่อเลย ระวังไว้นะไอ้ปลื้ม ไอ่ห่าเมลมันเป็นโรคจิต”
“ดูปากนะ ไปแล้วก็กลับมาหากูทุกอาทิตย์เข้าใจมั้ย”
“เออๆ เข้าใจละ จะสั่งเสียไรอีกมะ”
“ปากมึงนี่ไม่เป็นมงคลจริงๆ นะ กูบอกให้นั่งเครื่องก็ไม่เอา พาปลื้มไปลำบากอีก -_- ไม่ต้องมาทำหน้าเซ็ง ขึ้นรถไปได้ละ”
พอพี่เมลพูดอย่างนั้นผมเลยได้โอกาสชิ่งหนีขึ้นรถมาก่อน ปล่อยให้พี่เท็นยืนฟังพี่เมลสั่งสอนต่อไป
ยี่สิบนาฬิกานิดๆ รถก็เคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ผมเห็นพี่เมลผ่านทางหน้าต่าง เขากำลังโบกมือมาให้ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เลยแต่พี่เท็นดูเหมือนไม่ค่อยสนใจ จนบางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนๆ นี้เขาเป็นแฟนกับพี่เมลจริงๆ หรือเปล่า
“เราจะไปไหนกันเหรอครับพี่”
ผมไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของพวกเราคือที่ไหน พี่เท็นแค่บอกผมว่าจะขึ้นเหนือ แต่ไม่ได้ระบุเลยว่าจังหวัดไหน ตั๋วรถทัวร์เขาก็เป็นคนเก็บไว้ และผมก็ไม่รู้ว่ารถกรุงเทพ-เชียงราย มันแวะจังหวัดใดบ้าง
“ถึงก็รู้เอง” ตอบกำปั้นทุบดินไปมั้ยครับเนี่ย -_-
“แล้วทำไมถึงพาผมมาด้วยล่ะครับ”
“ความพอใจส่วนตัว”
ผมเริ่มหนักใจในการที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วล่ะครับ มันเป็นความโชคดีรึเปล่าที่บังเอิญได้เจอกับพี่เท็น ผมก็ยังสงสัย แต่เพราะตอนนี้ผมไม่รู้จะเดินไปทางไหน...ฉะนั้น ผมขอร่วมทางไปกับพี่ก่อนนะครับ แล้วถ้าผมตั้งหลักได้เมื่อไหร่...ผมจะเดินไปตามทางของผมเอง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมนั่งรถนานขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่สี่ห้าชั่วโมง แต่เป็นสิบๆ ชั่วโมงเลยทีเดียว มีแวะพักที่พิษณุโลกบ้าง แต่ก็แค่ไม่กี่นาที ก็ต้องรีบเดินทางต่อ พี่เท็นดูจะชิวและชินอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะดูท่าทางพี่เขาเหมือนจะถนัดนั่งเครื่องมากกว่า
พวกผมเดินทางมาถึงสถานีขนส่งของจังหวัดพะเยาในเวลาเช้าตรู่ของวันต่อมา ผมอ่านชื่อจังหวัดอย่างตะลึงนิดๆ ที่มาถึงไกลขนาดนี้ ที่นี่เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่ไม่วุ่นวายเหมือนในกรุงเทพ รถราในตอนเช้าก็ไม่มากนัก แถมร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิดให้บริการ มีเพียงเซเว่นใกล้ขนส่งนี้เท่านั้นที่ดูจะคึกคักกว่าจุดอื่น
“เดี๋ยวจะมีคนมารับ มึงรออยู่ที่นี่ กูไปเซเว่นก่อน” พี่เท็นพูดแค่นั้นก็เดินจากไป ผมนั่งรอตรงม้านั่ง หันมองรอบข้างเล็กน้อย
น่าแปลกใจที่สถานที่ใหม่ ผู้คนก็ไม่คุ้นตา แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด การได้นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า...ที่ผ่านมา โลกของผมแคบเกินไป โลกที่มีแต่คนๆ เดียวเป็นจุดศูนย์กลางมันดูโง่เง่าจริงๆ เพราะเมื่อคนๆ นั้นเขาไม่อยู่แล้ว...โลกของผมก็พังทลายลงง่ายๆ ราวกับเวลาที่ผมพยายามทุ่มเทให้...ไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนพี่เท็นกลับมาพร้อมกับถุงเซเว่นเต็มสองมือ ผมใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกช่วยเขาถือไว้บางส่วน ก่อนจะพากันเดินไปขึ้นรถที่มารอรับ พี่เท็นบอกว่าเขามีบ้านอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้สร้างไว้ในตัวเมือง ต้องออกไปไกลอีกหน่อย เพราะฉะนั้นต้องซื้ออาหารอะไรไปตุนไว้ด้วย
ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งก็มาถึงบ้านของพี่เท็น เป็นเรือนไทยไม้สักทั้งหลัง บริเวณหน้าบ้านมีสนามกว้างพอประมาณ หลังตัวบ้านเป็นทุ่งนาที่มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา อากาศบริสุทธิ์ซะจนผมอยากจะขอบคุณพี่เท็นอีกสักครั้งที่พาผมมาที่นี่ด้วย
“ที่นี่มีแค่ป้าเนียมคอยทำความสะอาดบ้านให้เท่านั้น เรื่องอาหารการกินต้องจัดการเอง ว่าแต่มึงทำอะไรเป็นบ้าง” พี่เท็นตั้งคำถามหลังจากที่ผมเอาของไปเก็บในห้องของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วและออกมายืนมองความงามของธรรมชาติที่ระเบียงหลังบ้านข้างๆ พี่เท็น
“กูไม่ได้ซื้อเครื่องซักผ้าไว้ด้วย สรุปแล้วมึงต้องซักผ้าเอง ทำได้ใช่ไหม”
อย่าว่าแต่เครื่องซักผ้าเลยครับ ทีวียังไม่มีเลย ดีหน่อยที่ยังมีตู้เย็นไว้เก็บอาหารสด และนั่นก็เหมือนจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในบ้านหลังนี้ ถ้าไม่รวมหลอดไฟกับพัดลม -_-
“ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่ผมจะพยายามครับ”
ผมไม่เคยซักผ้าด้วยมือมาก่อน อาศัยซักผ้าหยอดเหรียญมาตลอด แถมเรื่องทำกับข้าว สกิลก็แย่จนถึงขั้นแย่มาก แอดวานซ์ที่สุดของผมคือต้มมาม่าใส่หมู ผัก ไข่ นั่นแหละครับ...เมนูประจำที่ทำให้พี่โปรดเลย...นะ
“โห้ะ ตาย...ทำอะไรไม่เป็นมึงก็ยังกล้าหนีออกจากบ้าน มึงรู้ไหมว่าลูกนกที่ปีกยังไม่แข็งน่ะ...เวลาฝืนบินเองมันเป็นยังไง สภาพมันก็ไม่ต่างจากมึงตอนนี้หรอกว่ะ”
ผมเถียงไม่ได้แม้สักนิด ผมพูดไม่ได้ว่าพอผมหันหลังเดินจากมาแล้ว...ทุกอย่างที่ผมคิดไว้มันเป็นไปด้วยดี ไม่เลย...มันแย่มาก แย่กว่าที่คิดไว้เสียอีก แต่ถึงยังไงผมก็จะไม่ซมซานกลับไป ผมไม่อยากให้พ่อต้องหัวเราะออกมา แล้วพูดกับผมว่า ‘อวดดีแต่ก็ไปไหนไม่รอด’ เขาคงรอดูความล้มเหลวของผมอยู่...และตอนนี้ถ้าเขารู้...ก็คงหัวเราะให้กับความโง่ของผม
“แล้วผมควรจะทำยังไงครับพี่”
พี่เท็นยื่นมือมาผลักหัวผม เขาหัวเราะนิดๆ สายตาก็ทอดมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ตอนนี้เป็นสีฟ้าสวย ไม่มีเมฆเลยสักนิด
“ก็ใช้ชีวิตของมึงต่อไป เอาให้คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาดูท้องฟ้าสวยๆ ตอนนี้ยังไงล่ะ”
“ทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหมครับ”
“ก็ขึ้นอยู่กับมึง ว่าจะทำให้มันดี หรือทำให้มันแย่ลง”
ผมจะยังมีแรงเหลือให้ทำสิ่งดีๆ พวกนั้นหรือเปล่า...โลกที่พังทลายลงไปแล้วของผม จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นใหม่ได้ไหม...ก็ยังไม่แน่ใจ
“แค่อกหัก มึงอย่ามาคิดว่าโลกถล่ม มึงไม่ใช่คนเดียวในโลกนะไอ้ปลื้ม แต่มึงเป็นแค่คนๆ หนึ่งในจำนวนคนหมื่นล้านคนที่อกหัก”
“ผมไม่ได้อกหัก...”
“แค่ดูหน้ามึงกูก็รู้ไอ้สัด -_-“
ผมหัวเราะกับหน้าเอือมๆ ของพี่เท็น เขาเป็นคนแปลกๆ นะ เขามีวิธีพูดที่ทำให้ผมไม่เกิดความอึดอัด ทำให้ผมรู้สึกว่าสามารถเล่าทุกอย่างให้เขาฟังได้ ถามทุกอย่างที่ผมสงสัยออกไปได้... บรรยากาศที่แผ่ออกมารอบตัวเขาทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ผมทำอะไรผิดไปเหรอครับ...ทำไมเขาถึงทำกับผมแบบนี้”
พี่เท็นหันหน้ามามองผมเป็นเชิงว่า มึงมาดราม่าใส่กูทำไม จนผมอดยิ้มให้กับสีหน้าเขาไม่ได้
“กูไม่รู้หรอกนะว่าไอ้เหี้ยนั่นทำอะไรมึง ไม่รู้ด้วยว่ามันเป็นใคร คิดอะไรอยู่ แต่ที่กูรู้คือถ้ามึงคิดว่าตัวเองผิด มึงก็จะผิดอยู่อย่างนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่ในใจจริงๆ มึงไม่ได้คิดหรอกว่าตัวเองทำผิดอะไร มึงก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่มึงแค่อยากถามเพื่อหาเหตุผลอื่นมาลบล้างเหตุผลจริงๆที่ก็มีเพียงแค่ว่า เขาไม่รักมึง”
ราวกับพี่เท็นวิ่งกลับไปที่ครัวเพื่อไปหยิบมีดมาแทงอกผมจนมิดด้าม มันทั้งเจ็บและจุกในเวลาเดียวกัน
“พอกูพูดข้อเท็จจริงก็ร้องไห้ ต่อไปห้ามถาม -_- กูไม่ชอบโหมดดราม่า”
ไม่รู้ทำไมพอพี่เท็นพูดอย่างนั้น ผมถึงได้ร้องไห้ออกมาดังๆ ร้องและตะโกนจนสุดเสียง แต่พี่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจว่าผมจะทำเสียงดังแค่ไหน เป็นครั้งแรกที่ชีวิตผมตะโกนเสียงดังขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่ร้องไห้มากขนาดนี้ด้วย
อีกไม่นาน...ผมจะดีขึ้น
ต้องดีขึ้นแน่ๆ...เพราะผมได้สาบานกับพี่เท็นไว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องสาบานกับพี่เขา แต่คงเพราะถ้าผมทำไม่ได้ตามที่พูด ผลของการผิดคำสาบานที่ให้กับพี่เท็นจะได้เห็นเร็วกว่าพระเจ้าล่ะมั้งครับ
....................................................To be continue..............................................
ส่งน้องปลื้มขึ้นรถแล้ว ต่อไปขอให้น้องรู้จักโลกกว้างมากขึ้นนะคะ 
ไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ได้มีการเสริมแต่งแต่อย่างใด เหตุผลของพี่โปรดจะทำให้คนอ่านสงสารเขาได้ไหม ต้องยอมรับเลยว่าคนเขียนไม่ได้คิดถึงจุดนั้น เพราะส่วนตัวแล้ว คนเขียนคิดว่ามุมมองของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน อยู่ที่ใครรับได้มากหรือรับได้น้อย ปลื้มจะให้อภัยไหม จะคืนดีรึเปล่า คนเขียนไม่ได้กังวลจุดนั้นเลยจริงๆ แต่ที่ยังกังวลคือน้องและเสี่ยจะใช้ชีวิตยังไงต่อไปมากกว่า นี่คือ นิยาย ค่ะ นิยายที่มีชื่อว่า มาโปรด นิยายที่คนเขียนได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าอยากให้ทำความรู้จักกับเขาคนนี้ ผ่านทางคนที่รักเขาแบบไม่ยอมลืมหูลืมตา และนี่แหละค่ะ คือที่มาของแรงบันดาลใจในการเขียน
ไม่สมเหตุสมผล ไม่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม หรือมันอาจจะไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น แต่เชื่อเถอะค่ะ โลกนี้ก็ไม่ได้ยุติธรรมกันมากนักหรอก