ตอนที่ 25ชีวิตในตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาของผมมีเรื่องให้ทำจนไม่มีเวลาว่างมานั่งคิดถึงเรื่องอะไรเลย อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด การใช้ชีวิตกับพี่เท็นไม่ได้ง่ายเลยสักนิด ถึงพี่เท็นจะทำเหมือนว่าทุกอย่างในโลกอยู่ในกำมือเขาหมดก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว...มันต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ในเช้าของทุกวันผมต้องตามมาที่ไร่กับป้าเนียม คอยช่วยป้ารดน้ำผักที่กำลังจะโต และเก็บพวกที่สามารถเอาไปขายได้แล้วไปส่งตลาด เราทำงานกันเช้ามาก เพราะถ้าตื่นสายก็ไม่ทันเวลาที่ต้องเอาไปส่ง กลับมาจากตลาด ทานข้าวเช้าอะไรเสร็จ ผมก็จะต้องช่วยลุงชิดขึ้นแปลงผัก ลุงชิดแกเป็นคนสวนของบ้านพี่เท็นครับ แต่ลุงบอกว่าตามมาด้วยเพราะคำสั่งของแม่พี่เท็นที่คงรู้นิสัยของลูกชายตัวเองดีถึงได้ให้มีคนมาสอดส่อง
พี่เท็นเขาเป็นคนพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเพื่อรักษาน้ำใจใคร เขาบอกผมว่า อยู่กับเขาก็ต้องทำงาน อยากได้เงินก็ต้องทำงาน เขาไม่ใช่คนใจบุญเลี้ยงดูใครฟรีๆ ซึ่งผมเข้าใจ และไม่ได้คิดจะอยู่เฉยๆ อยู่แล้ว ความจริงผมก็คิดว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่มีเวลาคิดไปถึงเรื่องอื่น ตื่นเช้าทำงาน ดึกเข้าหน่อยก็เหนื่อย หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว ตอนเช้าก็ต้องตื่นมาช่วยงานป้าเนียมอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้มาตลอดหนึ่งอาทิตย์ โดยมีพี่เท็นกับคุณปาล์ม ปีสอง เด็กนิเทศน์จากมหาลัยของจังหวัดทำการบันทึกเทปกิจกรรมในแต่ละวันของผม
“วันนี้มีถนนคนเดินในตัวเมือง กูจะไปนั่งวาดรูปเหมือนที่นั่น มึงก็ต้องไปด้วย” พี่เท็นบอกพลางโยนหญ้าข้ามหัวผมไป วันนี้พักการถ่ายทำ พี่เขาเลยพาผมมาตัดหญ้าเพื่อเอาไปให้ไอ้เจี๊ยบกับไอ้จิ๊บ วัวตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัวที่พี่เท็นเลี้ยงไว้ แต่ความจริงพวกมันสองตัวชอบกินฟางข้าวมากกว่านะผมว่า
“จะดีเหรอครับพี่ สกิลการวาดรูปของพี่มัน...”
“หืม? มึงว่าไงนะ”
พี่เท็นกับเคียวในมือทำให้ผมไม่พูดอะไรต่ออีก -_- พี่เขาทำได้ทุกอย่างจริงๆ นะ ผมไม่ได้โกหก แต่ยกเว้นเรื่องวาดรูปไว้อย่าง สำหรับอายุขนาดนี้ผมยังไม่เคยเจอใครวาดวัวให้เป็นหมาได้เลย เด็กอนุบาลยังพอมองออกว่านี่คือวัวนะ เพราะมีเขาบนหัว แต่สำหรับพี่เท็น...ผมขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“แค่นี้ก็น่าจะพอละ มึงกลับบ้านไปก่อน แล้วบอกลุงชิดพาไอ้เจมที่สองไปหากูที่บ่อน ขากลับก็อย่าไปปั่นจักรยานตกร่องอีกล่ะ กูขี้เกียจซ่อม”
“ครับพี่”
ผมปั่นจักรยานเป็นแล้วนะครับ เพราะไม่เป็นก็ต้องเป็น พี่เท็นให้เวลาแค่สองวัน เขาบอกว่าจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก เพราะร้านค้า ตลาด หรือจากตัวบ้านไปที่ไร่ ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ขืนรอให้ผมเดินไป ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แต่บางครั้งมันก็มีพลาดกันได้นี่นา จักรยานจ่ายตลาดของป้าเนียมเก่ามากแถมเวลาที่ผมนั่งเบาะ เท้าก็เหยียบไม่ถึงพื้นด้วย มีมอเตอร์ไซค์เหมือนกัน แต่คันใหญ่ พี่เท็นเลยบอกว่าอันตรายเกินไป ผมปั่นแค่จักรยานก็พอ
แต่วันที่ปั่นตกร่องนา...มันก็แค่ผมประมาทเกินไป เผลอคิดเรื่องอื่น...รู้ตัวอีกทีล้อจักรยานก็กำลังแล่นฉิวตรงไปยังร่องนาแล้ว เบรกไม่ทัน เลยล้มไม่เป็นท่า
ผมปั่นจักรยานที่เบาะหลังมีรถเข็นคันเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหญ้าสดๆ พ่วงไว้ มาถึงบ้านก็ทำเอาหอบลิ้นห้อย เห็นลุงชิดกำลังตัดแต่งกิ่งต้นมะยมหน้าบ้านแล้วก็เลยตะโกนบอกตามพี่เท็นสั่ง ลุงชิดเลยรีบวางงานทุกอย่างแล้วตรงไปยังที่พำนักพักพิงของไอ้เจมที่สองทันที - - ทำไมถึงชื่อเจมที่สอง ผมก็เคยถามนะ และมันก็ตามตรรกะง่ายๆ คือ เพราะมีไอ้เจมตัวที่หนึ่งไงล่ะครับ และบังเอิญว่ามันป่วยตายไปเมื่อหลายเดือนก่อน พี่เท็นเลยตั้งชื่อไก่ชนตัวใหม่ว่า ไอ้เจมที่สอง ตัวมันค่อนข้างใหญ่นะ ขนก็สวยด้วย เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องให้อาหารมันทุกเย็น เราเลยค่อนข้างสนิทกัน
“ป้าเนียม ปลื้มกลับมาแล้ว”
“จ้า ไปอาบน้ำอาบท่านะลูก แล้วเดี๋ยวมาเข้าครัวกับป้า”
“รับทราบครับ ^^”
ป้าเนียมคอยสอนเรื่องทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน และเรื่องอะไรหลายๆ อย่างให้ผม ป้าเป็นผู้หญิงที่เก่งมากครับ ทำได้หลายอย่างในขณะที่เด็กแข็งแรงอย่างผมทำอะไรไม่ค่อยเป็นเลย แรงก็มีน้อยกว่า ทำงานนิดๆ หน่อยๆ ก็เหนื่อยแล้ว พี่เท็นกำชับกับป้าเนียมว่าไม่ต้องทำอะไรให้ผม ผมอยากได้อะไรก็ต้องทำเอง หามาเอง ถ้าป้าเนียมคอยทำให้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร พี่เท็นแกจะตัดเงินเดือนครับ เพราะถือว่าเหนื่อยเกินหน้าที่
“น้องปลื้ม เมื่อกี้มีไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่งแหนะลูก ป้าวางไว้ให้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น”
“ขอบคุณครับป้า งั้นเดี๋ยวปลื้มมาช่วยนะครับ”
ผมเดินไปยังห้องนั่งเล่นที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยนอกจากโซฟาไม้สักที่เอาไว้รับแขก บนโต๊ะมีจดหมายวางอยู่จริงๆ และผมรู้ว่ามีคนเดียวที่เขียนส่งมาถึงผมได้ คนเพียงคนเดียวที่ผมใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปบอกถึงที่อยู่ของผมหลังจากให้ป้าเนียมจดใส่กระดาษให้แล้ว...
ชื่อของคุณเฟรนจ่าหน้าไว้ตรงที่อยู่ผู้ส่ง ถึงผมจะไม่ได้กำชับกับเขาว่าห้ามบอกใคร แต่คุณเฟรนเขาก็บอกมาเองว่าเขาจะไม่บอกเพื่อให้ใครมารบกวนผมแน่นอน ในจดหมายเล่าถึงชีวิตแต่ละวันของคุณเฟรนว่าเป็นอย่างไร เขาแยกตัวออกมาจากกลุ่มซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมสบายใจเลย เรื่องของผมไม่ควรทำให้ใครเดือดร้อนเลยจริงๆ คุณเฟรนเขากลับไปอยู่กับที่บ้านของเขา เล่าเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้น ท้ายจดหมายขอให้ผมเขียนถึงเขาด้วย เล่าให้เขาฟังว่าผมใช้ชีวิตยังไง ลำบากอะไรมากไหม และผมต้องขอบคุณเขาที่ไม่ได้เอ่ยชื่อพี่โปรดมาในจดหมายเลย...ผมยังไม่พร้อมจะรับรู้...
ไม่ใช่ว่าระยะเวลาที่คบกัน หรืออะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เราผูกพันธ์กัน ผมจะลืมได้ง่ายๆ แต่ผมแค่ไม่อยากคิดถึง เพราะเวลาคิดถึงทีไร ใจผมมันก็เจ็บทุกที ...ตอนนี้ผมมีความสุขกับการที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องของเขา ผมมีความสุขดีแล้วกับชีวิตในตอนนี้ แผลมันยังสดใหม่ก็จริง แต่ชีวิตผมก็มีอะไรให้ทำมากกว่าจะมานั่งคิดถึงเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเองอีก
ผมไม่ได้เกลียดเขาหรอกนะ...แต่ตอนนี้...ไม่เจอ ไม่รับรู้เรื่องของกันและกัน...มันคงจะดีกว่า
พี่เท็นเคยเข้ามาคุยกับผมหลังจากที่เขาเจอผมยืนร้องไห้มองท้องฟ้าอยู่ที่ระเบียงตามลำพังหลังจากมาที่นี่ได้สองวัน
‘คนทุกคนมีเหตุผลที่จะร้องไห้ มึงไม่ต้องมายืนบริจาคเลือดให้ยุงตรงนี้ก็ได้ ไม่มีใครจะว่าหากมึงอยากเป่าปี่ตลอดเวลา’
‘ผมห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเขาไม่ได้ แต่การคิดถึงเขา มันทำให้ผมอยากร้องไห้ขึ้นมาทุกครั้ง’
‘ก็ไม่เห็นแปลก ถ้าเรื่องมันผ่านมาเป็นปีแล้วมึงยังเป็นอย่างนี้ อย่างนั้นสิที่น่าห่วง แต่เรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตว่ะมึง นานวันเข้า มึงอาจจะแปลกใจตัวเองก็ได้ ว่าวันหนึ่งเคยร้องไห้เสียใจอย่างกะคนบ้าไปทำไม มึงใช้ชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ เถอะ แล้วจะรู้เองว่าต้องทำยังไงถึงจะมีความสุข’
‘....’
‘มึงคงกำลังคิด...ว่าทำไมเรื่องมันถึงจบลงอย่างนี้ มึงรู้ป่ะว่ากูกับไอ้เมลก็เคยเกือบจะเลิกกัน ตอนนั้นเพราะความเบื่อหน่ายของกูเองด้วย และเพราะมีอะไรแล้วไม่ยอมพูดกันด้วย มึงรู้ป่ะว่าคนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ต่อให้จะอยู่ด้วยกันนานแค่ไหน รักกันมากยังไง ก็ไม่มีทางที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเข้าใจอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องพูดหรอก การกระทำสำคัญกว่าคำพูด กูไม่รู้ว่าประโยคนี้ใครพูดขึ้นมาเป็นคนแรก แต่เอาเข้าจริงกูว่ามันก็เป็นแค่ประโยคเท่ๆ ประโยคหนึ่ง เพราะในบางสถานการณ์คำพูดก็สำคัญ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการแสดงออกมาอย่างพอดีมากกว่า รู้ว่าควรทำอะไรในสถานการณ์ไหน นั่นแหละถึงจะดี แต่ถ้ามีคนอย่างนี้บนโลก คงไม่มีการบัญญัติศัพท์คำว่า ‘ผิดพลาด’ ขึ้นมาหรอกว่ะ’
ผมเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วมองเสี้ยวหน้าของพี่เท็นที่ตอนนี้กำลังทอดสายตาไปยังดาวบนฟ้าที่เห็นได้ชัดเพราะไม่มีแสงนีออนอย่างในกรุงเทพ ผมเริ่มเล่าเรื่องของผมให้พี่เท็นฟัง ตั้งแต่ที่เริ่มหนีออกจากบ้าน ปัญหาระหว่างผมกับพ่อ ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง รวมไปถึง...เรื่องความรักของผม ครั้งแรกที่เจอพี่โปรด เรื่อยมาจนถึงตอนที่คบกัน บอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา ซึ่งพี่เท็นได้แต่รับฟังอย่างเงียบๆ ไม่มีความรู้สึกอะไรบนใบหน้าของพี่เท็นเลยระหว่างที่ผมกำลังเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ไม่มีสีหน้าเห็นใจ หรืออยากพูดอะไรปลอบใจผมเลย
‘มึงบอกว่ามึงตัดสินใจออกจากบ้าน เพราะความเห็นไม่ตรงกันกับพ่อ...งั้นให้กูถามมึงบ้างนะปลื้ม มึงเคยคุยกับพ่อมึงจริงๆ จังๆ สักครั้งหรือยัง นอกจากการคิดของมึงแล้วว่า...พ่ออยากให้เรียนหมอ แต่มึงอยากเรียนวิศวะ’
‘ไม่เคยครับ...เพราะผมไม่มีสิทธิ์พูดอะไร...นอกจากทำตามความต้องการของพ่อเท่านั้น เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในเรื่องของตัวเองด้วยซ้ำ’
‘ไม่มีสิทธิ์? กูไม่รู้นะว่าครอบครัวของมึงเป็นยังไง แต่ถ้ามึงไม่ยอมพูดอะไร เขาก็จะคิดว่ามึงโอเคตามนั้น มึงไม่เคยไฟท์กับพ่อตัวเองสักครั้ง แต่เสือกหนีออกจากบ้านมานี่นะ? พ่อมึงคงงงมากแหละว่ามึงหนีออกมาเพราะอะไร’
เหมือนโดนพี่เท็นเตะสกายคิ๊กเข้าที่กลางหลัง แต่ตอนนั้น...ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดออกไปได้อย่างอิสระ ในเมื่อภาพของพ่อที่ผมรู้จักมาตลอดสิบกว่าปี คือภาพของผู้ชายที่คอยแต่ห้ามในสิ่งที่ผมอยากทำเกือบทุกเรื่อง ผมไม่เคยได้เที่ยวเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ผมอยู่ในกรอบที่พ่อวางไว้ จนกระทั่งช่วงมอปลายที่อยากจะต่อต้านบ้าง ผมเที่ยว ผมติดเพื่อน ผมเกเร และนั่นก็ทำให้ผมกับพ่อคุยกันน้อยลง ผมไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่พ่อกับแม่มีเวลาว่างมากนัก ผมอยู่กับคุณย่าซะเป็นส่วนใหญ่ กับแม่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรด้วย แม่จะสนิทกับพี่ยินดีมากกว่า แต่กับผมแล้ว แม้แต่ดุด่า หรือลงโทษสักครั้งก็ยังไม่เคย...ไม่ใช่ว่าผมถูกตามใจอะไรหรอก แต่เหมือนแม่ไม่อยากยุ่งกับผม
‘ถ้ามึงไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่ยอมเพื่อให้ปัญหามันจบ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก หลายๆ เรื่องมันก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ มึงไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ว่ามึงชอบไม่ชอบอะไร ยิ่งมาอยู่กับกู ถ้ามึงไม่บอกความต้องการของตัวเอง กูบอกเลยว่ากูไม่ตรัสรู้อะไรทั้งนั้น มึงต้องพูดบ้าง แสดงจุดยืนของตัวเองบ้าง ไม่ใช่อะไรก็ก้มหน้ารับอย่างนั้น แล้วก็คิดบั่นทอนชีวิตตัวเอง ส่วนเรื่องไอ้มาโปรดที่มึงเล่าให้ฟัง กูขอโนคอมเม้นละกัน เรื่องความรักแม้แต่กูก็ยังโง่’
พี่เท็นยักไหล่ก่อนมือเรียวยาวนั่นจะตบลงที่ไหล่ผมเบาๆ แต่เมื่อเห็นว่าผมยังรอฟังเขาพูดอยู่ พี่เท็นเลยถอนหายใจออกมาเบาๆ
‘แต่จากความเห็นคนนอกอย่างกู กูรู้อย่างหนึ่งนะปลื้ม ว่าจากที่มึงเล่ามาระหว่างที่มึงคบกับไอ้มาโปรดอะไรนั่น กูคิดนะว่าไม่ใช่ว่ามันไม่รักมึงหรอก แต่มันยังรักไม่มากพอ ระหว่างตัวมันกับมึงแล้ว มันเลือกที่จะให้มึงเจ็บ เพราะมันคิดไงว่าถึงมึงเจ็บ ยังไงมึงแม่งก็ไม่ไปไหน มึงทำมันเคยตัวนะ ถ้าไอ้ห่าเมลมันข่มขืนกู มีหรือว่ามันจะลอยหน้าลอยตายิ้มเหี้ยมาได้ถึงตอนนี้ ก้มกราบเท้ากูทุกวันกูยังไม่แน่ใจเลยว่าจะปรนนิบัติพัดวีมันได้อย่างที่มึงทำ หลายต่อหลายครั้งที่มันทำไม่ดีกับมึง มึงก็ยังทำตัวเหมือนทาสในเรือนเบี้ย เออๆ ออๆ ตามมันไป จะยอมอะไรขนาดนั้นกูก็ไม่เข้าใจ รักได้ แต่อย่าตาบอดมองไม่เห็นความผิดของมัน ส่วนเรื่องที่ทำให้เลิกกันนี่กูไม่รู้จะสรุปยังไง เพราะไม่ใช่มึงกูถึงไม่เข้าใจว่ามึงเจออะไรมาบ้าง น้ำตาน่ะ...เดี๋ยวมันก็หยุดไหลไปเอง ไม่ต้องไปฝืนมันหรอก’
พี่เท็นพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินกลับเข้าไปข้างในอย่างเท่ๆ แต่ละคำพูดของพี่เขาทำเอาผมจุกเหมือนโดนต่อยหลายๆ ที ถึงมันยากที่จะยอมรับ ถึงผมอยากเถียงว่าเพราะผมรักเขา แต่มันก็ดูโง่เง่าจริงๆ ผมคงรักอย่างไร้สติมากไป ลุ่มหลงมากไป จนลืมใส่ใจและมองไม่เห็นตัวตนของตัวเอง...
ขอบคุณครับพี่เท็น พี่เป็นคนแรกที่กล้าพูดตรงๆ กับผมอย่างนี้ ผมแน่ใจแล้วล่ะครับว่าโชคดีจริงๆ ที่เจอพี่
.
.
.
ต่อให้สกิลการวาดรูปของพี่เท็นอยู่ในระดับอันตรายแค่ไหน แต่ก็ยังมีลูกค้าผู้หญิงแวะมาให้ได้วาดกัน ผมกับคุณปาล์มมองหน้ากันอย่างลำบากใจ เพราะทนเห็นสีหน้าของผู้หญิงที่รับรูปตัวเองกลับบ้านไม่ได้ทุกที กัดฟันยิ้มกันมากอ่ะครับ แค่เพราะคนวาดหล่อ พวกเธอก็เต็มใจจะนั่งนิ่งๆ ให้วาดแล้ว บางคนขอถ่ายรูปกับพี่เท็นหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ได้ผมกับคุณปาล์มอยู่ในรูปทุกทีเพราะพี่เท็นแกโยนได้แกก็โยนครับ ไม่ได้ใส่ใจว่าต้องทำตามใจลูกค้าแต่อย่างใด
ถนนคนเดินที่นี่คนค่อนข้างเยอะครับ แล้วช่วงเย็นๆ นี่คนจะเยอะถึงขั้นเยอะมาก มีทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ของกินหลายๆ อย่างมาตั้งวางขายกัน ป้าเนียมแกก็มาขายของทอดตามประสาคนขยันทำมาหากิน ผมแวะไปช่วยช่วงหัวค่ำ แต่ก็ถูกพี่เท็นชิงตัวมาให้มาอับอายเป็นเพื่อน ผมไม่รู้ว่าพี่เท็นเอาความมั่นใจโคตรๆ นี้มาจากไหน แม้แต่คุณปาล์มที่เป็นตากล้องสำหรับสารคดีของพี่เท็นยังไม่กล้าบันทึกเทปเลยนะครับ ความจริงเขาทำเนียนยืนรวมกลุ่มกับลูกค้าด้วยซ้ำ คงไม่อยากให้ใครรู้ว่ารู้จักพวกผม -*-
ตอนนี้พี่เท็นกำลังวาดให้กับผู้หญิงนุ่งสั้น ขาสวย หน้าตาน่ารักคนหนึ่งอยู่ครับ ซึ่งเธอก็เอาแต่ยิ้มมองหน้านิ่งๆ ของพี่เท็นแบบไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ดวงตาสีดำขลับที่สวยๆ ของเธอกำลังเป็นรูปร่างแปลกๆ แล้วก็จัดวางได้ไม่ถูกตำแหน่งบนใบหน้าสักนิด
“พี่เท็น ผมไปซื้อเครปนะ” บอกไปก็เหมือนจะไม่ได้ยิน เพราะเวลาพี่แกตั้งใจทำอะไรแล้วจะนิ่ง แล้วก็ไม่ได้ยินทุกสรรพเสียงไปเลยล่ะครับ
ผมเลยลุกออกมาซื้อเครปด้วยเงินที่ป้าเนียมแบ่งมาให้เล็กๆ น้อยๆ จากการขายผัก ที่จริงแล้วผมกำลังติดใจกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไร นอกจากเรื่องของตัวเอง จังหวัดนี้อากาศดีครับ พี่เท็นเคยพาผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาเที่ยวแถวริมกว๊านบ่อยๆ มาตอนเช้าๆ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แต่มาตอนเย็นนี่คนค่อนข้างเยอะเลย แถมวัยรุ่นยังนั่งจับกลุ่มกันหลายๆ ที่อีกด้วย แว๊นบอยสก๊อยเกิร์ลมีให้เห็นอยู่ร่ำไป บางทีพี่เท็นก็พาผมมาเต้นรำวงออกกำลังกายกันริมกว๊าน สนุกดีครับ มีตั้งแต่วัยรุ่นยันรุ่นคุณตาคุณยายเลย เต้นเสร็จก็ซื้ออะไรมากินกัน ...สนุกมากเลยครับ เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งในชีวิตผมเลยก็ว่าได้
ตอนนี้ผมเลิกใส่คอนแท็คเลนแล้วครับเพราะราคามันค่อนข้างสูงเกินไปและก็ไม่จำเป็น เปลี่ยนบ่อยๆ ก็เปลือง พี่เท็นพาผมไปตัดแว่นหลังจากที่แว่นอันเดิมใส่แล้วภาพค่อนข้างเบลอ เขาบอกว่าไม่ต้องเกรงใจอะไรเพราะยังไงพี่เมลก็เป็นคนออกให้ พูดถึงพี่เมลแล้ว พี่เขาโทรหาพี่เท็นทุกวันครับ พี่เท็นเขาก็รับบ้างไม่รับบ้างตามแต่สถานการณ์ว่าตอนนั้นเขากำลังทำอะไร ทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่นานผมก็เห็นคุยโทรศัพท์กันดีเหมือนเดิม เพราะพี่เท็นเขาเป็นคนตรงๆ ด้วยแหละมั้ง ไม่พอใจอะไรเขาโพล่งออกไปเลย ข้องใจมากเข้าหน่อยเขากลับไปเคลียร์เองเลยครับ เขาบอกผมว่าเรื่องบางเรื่องก็ต้องคุยกันต่อหน้า ถ้าคุยกันผ่านโทรศัพท์เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำหน้ายังไงเวลาพูด ถึงได้ต้องตรงดิ่งไปที่สนามบินเชียงรายเพื่อบินกลับกรุงเทพ ...นั่นทำให้ผมรู้ว่า ความจริงแล้ว พี่เท็นเขาก็รักพี่เมลมากไม่ต่างจากที่พี่เมลรักเขาเลย เขาอาจจะแสดงออกไม่เก่ง แต่ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้รู้ว่าเขาแคร์ และให้ความพิเศษ ความสำคัญกับแฟนของเขามากขนาดไหน
ผมเดินดูเสื้อผ้า รองเท้า อะไรไปเรื่อยเปื่อย เพลินดี แต่คนเยอะเลยเบียดกันบ้าง ยังไม่อยากกลับไปหาพี่เท็นตอนนี้ รอให้พี่เขาเลิกล้มความตั้งใจในการวาดรูปก่อนดีกว่า
“อ้าว ปลื้ม แยกออกมาเหมือนกันเหรอ” คุณปาล์มที่กำลังเดินสวนกับผมหยุดทักทันที เขายิ้มอย่างรู้ถึงเหตุผลของการเดินเตร็ดเตร่แบบนี้ของผม
“ครับ ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงอ่ะ ไม่รู้พี่เท็นไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“เขาก็มั่นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ”
“คุณปาล์มรู้จักพี่เท็นมานานรึยังครับ”
“ก็สี่ห้าเดือนมาแล้ว ปลื้มไปเดินเล่นแถวกว๊านด้วยกันมั้ย ไปรับลมเย็นๆ หน่อย ที่นี่คนเยอะ”
“ก็ดีครับ”
ผมกับคุณปาล์มเลยซ้อนมอเตอร์ไซค์กันมาจอดที่หน้าเซเว่นริมกว๊าน คุณปาล์มเข้าไปซื้อขนมกับน้ำดื่มมาแล้วก็พาผมเดินเล่นเลาะริมกว๊านไป
“ดีใจที่เห็นปลื้มยิ้มบ้าง เวลายิ้มแล้วปลื้มน่ารักนะครับ ยิ้มให้ผมบ่อยๆ นะ เพราะเจอกันวันแรกนึกว่าถูกพี่เท็นบังคับมา ผมเลยไม่ค่อยสบายใจ ผมเป็นคนนครสวรรค์น่ะครับ ปลื้มล่ะ”
“ผมอยู่กรุงเทพครับ ว่าแต่คุณปาล์มทำไมมาเรียนไกลจังเลยล่ะครับ ไม่เหงาแย่เหรอ”
“ก็มีเหงาบ้างช่วงแรกๆ แต่มีเพื่อนแล้วก็โอเคเลยล่ะ มาทำพาร์ทไทม์กับพี่เท็นก็ยิ่งสนุก แล้วปลื้มล่ะ ถูกพี่เท็นบังคับมาจริงๆ รึเปล่านี่”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ พอดีว่าผมอยากมาเปลี่ยนบรรยากาศ เลยตามพี่เท็นมา”
คุณปาล์มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้นให้ผมลำบากใจ เป็นเรื่องปกตินะครับถ้าจะถามคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่จะถามถึงเรื่องเรียนที่ไหน ทำไมถึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะยังไงๆ ก็ดูแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ถามเลย มันทำให้ผมไม่อึดอัดที่จะคุยกับเขาต่อ
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ ต่อไปปลื้มมีอะไรให้ผมช่วย ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ บอกผมได้”
“ครับ” ผมยิ้มพร้อมกับให้คำตอบกับเขาไป คุณปาล์มเลยยิ้มกลับมาพร้อมกับยื่นขนมปังที่เขาซื้อมาให้ผม
“ผมไม่รู้ว่าปลื้มชอบขนมอะไร เลยเลือกที่ตัวเองชอบมา ลองกินดูนะครับ ผมกินเป็นอาหารเช้าบ่อยๆ อร่อยดี”
ผมรับขนมปังรสนมมาจากคุณปาล์ม ลองกินดูก็อร่อยอย่างที่เขาว่าจริงๆ พอผมบอกว่าอร่อย หนุ่มตี๋ตรงหน้าก็ยิ้มจนตาแทบจะปิด
“ว่างๆ ผมจะพาไปเที่ยวที่มอนะ บรรยากาศดีมาก ร้านข้าวอร่อยๆ ก็เยอะเลย”
“ครับ แต่ต้องรอให้พี่เท็นอนุญาตก่อนนะ เพราะผมยังมีงานที่ต้องทำอีก”
“ไม่มีปัญหา ระหว่างปลื้มอยู่ที่นี่ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเอง รับรองมีผมแล้วไม่เหงาหรอก เดี๋ยวเราเดินไปดูตรงโน้นนะ จะเห็นวัดกลางน้ำชัดเลย”
ผมได้แต่ยิ้มกับความกระตือรือร้นแบบเด็กๆ ของคุณปาล์ม ...ดีใจจริงๆ ครับที่จะได้มีเพื่อนเพิ่มมาอีกคน
..............................To be continue................................
พอดีเพิ่งตื่น ไม่ต้องรอวันจันทร์หรอกค่ะ มาลงให้ 
เห็นบางคนสงสารเสี่ย อย่าไปสงสารเขาเลยค่ะ เขาโง่ของเขาเอง ถ้าเขาไม่คิดนั่นคิดนี่ มันไม่มีดราม่าแน่ แต่ตั้งแต่คบกันมา เสี่ยแม่งก็เป็นอย่างนี้ไง ยังไงสักวันก็ต้องเลิกกัน ไม่ว่าจะเหตุผลไหน มีหลายคนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไร ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ชอบมากกับหลายๆ ความคิดเห็นที่แสดงมาแล้ว เป๊ะ โดนใจจริงๆ คือแบบ ความรู้สึกตอนที่ได้อ่านคือ เฮ้ย บรรลุแล้ว ไรอย่างนั้น
เรื่องนี้มีมาโปรดเป็นพระเอก เลยต้องมีพาร์ทเสี่ยบ้าง แต่คนเขียนไม่ได้บอกเลยนะคะว่าตอนจบจะได้กัน และก็ไม่ได้บอกเช่นกันว่าจะไม่ได้ มันยังคงขึ้นอยู่กับระยะเวลา
เห็นด้วยกับหลายๆ ความเห็น ที่ยังคงไม่ให้อภัยเสี่ย เพราะคนเขียนก็ให้อภัยไม่ลงเหมือนกัน เขาออกมาพูดในพาร์ทของเขา ในแง่มุมของเขา เขาก็คิดว่ามันดี เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรแต่ก็ยังทำ แค่เพราะคนที่เสียได้ต้องไม่ใช่เขา นั่นคือมาโปรดในความคิดคนเขียนที่วางเขาไว้อย่างนั้น
อ่านจบตอน สรุปได้สั้นเลย "มันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นอ่ะ"
อย่าเอาปลื้มมาอ้างว่ะโปรด

ว่าแต่ปุ่มcommandมันอยู่ตรงไหนหว่า ลบถาวรแค่ Shift+Delete ก็พอค่ะ
อันนี้แนะนำเพิ่มเติม ว่าลบแบบshift+deleteก็กู้ได้นะคะ เพียงแต่มันกู้จากrecycle binไม่ได้เฉยๆ แต่มีซอฟแวร์ไว้กู้เยอะแยะเลยค่ะ(หรือrestoreของวินโดวก็ได้)
ถ้าใครอยากลบไฟล์แบบถาวรเลย ลบแบบกู้ไม่ได้อีกตลอดกาล ต้องใช้โปรแกรมค่ะ โปรแกรมประมาณพวก shedder, wipe , secure delete อะไรเทือกๆนี้
ในพาร์ทคุณเปรม เสี่ยโปรดใช้ Macbook Air ค่ะ สำหรับแม็คบุ๊คแล้วต้องกดปุ่ม คอมมานด์ก่อน shipt delete กู้ได้จริงค่ะ แต่ไฟล์ที่ได้ไม่สมบูรณ์แน่นอน คนเขียนเคยพบแล้วว่าไฟล์วิดีโอและไฟล์รูปภาพจะไม่สามารถเปิดได้เลย หรือเพราะโปรแกรมที่ใช้มันไม่ Pro ก็ไม่รู้เหมือนกัน หากคำนึงว่าต้องมีการเขียนทับไฟล์ลงไปยังพื้นที่ในไดรนั้นๆ สำหรับการใช้งานมานานของคอมพิวเตอร์แล้ว ขอบคุณสำหรับโปรแกรมที่แนะนำค่ะ ยังไงก้เป็นความรู้ที่ดี
ขอบคุณคนรอและทุกๆ ความคิดเห็น อย่ากลัวที่จะแสดงความคิดเลยค่ะ เพราะยังไงเรื่องก็ต้องดำเนินต่อไป อย่าเกรงใจเลย
ไม่ได้นอยอะไรหรอก เพราะเราดู EXO Showtime ไปด้วย ฮ่าๆๆ ความจริงว่าจะดู EP7 ให้จบ แต่มาลงก่อน ไว้เจอกันใหม่ค่ะ ไม่รับรองว่าวันไหน ถ้ามาก็คือมา
