ตอนที่ 29หลังจากที่ห่างหายจากโลกโซเชียลไปหลายเดือน เช้าวันนี้ผมเลยลองล็อคอินเข้าไปเล่นสักหน่อย แล้วก็ต้องเบิกตาค้างกับ...
4000 ข้อความและแจ้งเตือนอีก ...หน่วย..สิบ...ร้อย...พะ..พัน!!
อะไรจะเยอะปานนั้น O_O!
ยังจำพี่นิ้งแฟนพี่เทพกับมิ้มได้มั้ยครับ สองคนนี้ออนไลน์อยู่พอดี พอเห็นผมออนไลน์ปุ๊บ ทักมาปั๊บในเสี้ยววินาที แต่ผมไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีหรอก ผมกำลังลบสถานะ Married with ให้กลับไปเป็น Single ตามเดิม ไม่เข้าใจว่าทำไมคนๆ นั้นเขาไม่ลบออกเองนะ...
ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะส่งข้อความมาหรือใครจะมาโพสหน้ากระดานข้อความบ้าง ผมทักแชทคุณเฟรนที่ออนไลน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไปว่าผมกำลังจะออกไปแล้ว ก่อนจะล็อคเอาท์ออกจากเฟซในเวลาเดียวกับที่...เขา...ทักเข้ามาพอดี
ผมไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ แต่ผมก็แค่...ไม่รู้จะคุยอะไร
ผมนัดกับคุณเฟรนไว้ตอนเก้าโมง เรามีเรียนพร้อมกัน ถึงเขาจะอยู่ปีสามแล้ว แต่วิชานี้เขา F ก็เลยมาเรียนพร้อมผมอีกรอบ เอาจริงๆ ผมก็ดีใจอยู่หรอกที่มีเพื่อนนั่งเรียนด้วย แต่ก็เสียใจกับคุณเฟรนที่ติด F นะ
คุณเฟรนสู้ๆ นะครับ ^O^Y
วันแรกของการเปิดเรียนทำให้ผมตื่นเต้นนิดๆ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าเรียนประถม ตอนนั้นคุณย่าไปส่ง ยังจำความรู้สึกตอนยกมือสวัสดีคุณครูได้อยู่เลย
วันนี้ความจริงผมต้องเป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 แล้ว แต่ก็ยังต้องกลับมาเริ่มเรียนปี 2 ใหม่ เพราะดร็อปเรียนไปหนึ่งปีการศึกษา แต่ก็อย่าได้แคร์ หน้าผมไม่ได้แก่ไปตามอายุอยู่แล้ว ยังพอเนียนนั่งเรียนกับพวกเด็กปีสองได้บ้าง
ผมจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของคณะ ตอนคุยกับพ่อเขาก็ไม่ได้บอกหรอกว่าเห็นด้วยกับเรื่องเรียนของผม แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็เห็นกุญแจรถวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เป็นปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ สีเงินแพลททินั่ม ที่แม่บอกว่าพ่อจองไว้ให้ผมตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ถึงผมจะต้องกู้เงิน กยศ. เพื่อจ่ายค่าเทอมตัวเองเรียนต่อไปเพราะพ่อบอกว่าจะไม่ออกค่าเทอมให้...แต่ที่พ่อให้...ผมก็ถือว่าพ่อก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรผมหรอก คงคิดว่าถ้าเห็นดีเห็นงามไปด้วยจะเสียฟอร์มล่ะมั้ง ก็ผู้ชายที่ผมรู้จักมาตลอดสิบกว่าปีเขาเป็นแบบนั้นนี่นา
ผมยังใช้ถุงย่ามสำหรับใส่เอกสาร ดินสอ หรือแม้กระทั่งแม็คบุ๊คแอร์ที่ไปถอยมาใหม่ อะไรที่จำเป็นก็ซื้อครับ แต่ไม่จำเป็นก็ไม่ดีกว่า อย่างคอมพิวเตอร์นี่ผมต้องใช้เรียน เครื่องเก่าดันยัดลงย่ามตอนตัดสินใจออกมาจากห้องนั้นไม่ได้ เลยทิ้งไว้ที่นั่น คิดๆ ไปผมก็แอบอยากได้คืนเหมือนกัน ก็เครื่องมันตั้งแพง แต่ถ้าไปเอา...ก็คงไม่คุ้มหรอก
ผมเดินสบายๆ เพื่อตรงไปยังตึกเรียน ไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่นๆ ที่ต่างก็พากันจ้องมองมา - - คนที่ผมไม่รู้จัก ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกว่าเขาจะมองผมยังไง ตราบใดที่สายตาพวกนั้นยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้ เพราะตอนไปวาดรูปที่ถนนคนเดินกับพี่เท็นยังกดดันมากกว่านี้เยอะครับ แค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆๆ
“ปลื้ม...” เสียงเรียกของใครบางคนจากทางด้านหลังทำให้จังหวะการก้าวเดินของผมหยุดชะงัก
เสียงที่คุ้นหู เสียงของคนที่ทำเอาผมร้องไห้มาเป็นเดือนๆ เพราะเผลอคิดถึง เสียง...ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่...ก็ยังน่าฟัง
ผมเชื่อในความบังเอิญนะ เชื่อในพรหมลิขิตและก็เชื่อว่าโลกใบนี้สามารถทำให้คนหลายๆ คนวนเวียนมาเจอกันได้ ซึ่งในสักวันผมก็ต้องวนมาเจอกับเขาอีกแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าในตอนนี้มันเป็นเพราะความบังเอิญที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าผม
ไม่รู้เอาซะเลยว่าสำหรับคนที่ไม่เจอกันมาตลอดหลายเดือนควรจะกล่าวคำทักทายออกไปว่าอย่างไร ผมต้องยกมือสวัสดีเขาไหม หรือเรียกชื่อเขาออกไปเลยถึงจะดี แต่เอาเข้าจริงแล้วผมก็ทำแค่ยืนเงียบ มองคนตรงหน้าที่...แปลกตาไปมากเหลือเกิน
เขาผอมลง หน้าตาซีดเซียวเหมือนคนไม่สบาย มีหนวดเคราเล็กน้อย ริมฝีปากที่เคยสุขภาพดีตอนนี้กลับซีดแตก ดวงตาคมที่ผมเคยชอบมองมีรอยคล้ำปรากฎชัด แต่ที่ทำให้สายตาของผมต้องหยุดมองอยู่นานคือ หลังมือขวาที่มีแผลเป็นยาวเป็นทางเหมือนโดนของมีคมกรีด
“ปลื้ม...พี่ขอโทษ”
ไม่ได้ผิดคาดนัก หากคำนวณได้จากเรื่องเล่าของคุณเฟรน ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องพูด แต่ไม่คิดว่าจะได้ฟังเป็นประโยคแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน ราวกับว่าเขาเฝ้ารอที่จะพูดคำนี้กับผมมาตลอด ซึ่งผมไม่รู้นะว่าเขาพูดคำนี้เพื่อต้องการให้ผมพูดอะไรตอบกลับไป แต่สำหรับผมแล้ว คำขอโทษของเขาไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกตื้นตัน หรือเกิดความรู้สึกอะไรเลย ผมกลับมองว่ามันก็แค่คำๆ หนึ่งที่มาอยู่ผิดที่ ผิดเวลาและก็...ผิดคน
“ผมไม่ได้โกรธอะไรนะครับ แต่ในเมื่อพี่ขอโทษ ผมก็จะรับไว้ ต่อไปนี้ก็ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว พี่อย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีกเลยนะครับ”
เห็นสีหน้าของเขาแล้ว ผมทำได้แต่เบือนสายตาไปทางอื่นเท่านั้น
“ปลื้ม...อย่าทำกับพี่แบบนี้”
“ช่วยถอยไปห่างๆ ได้มั้ยครับ”
เขาชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้ามา ในขณะที่ผมก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว เขาลดมือที่กำลังจะเอื้อมมาจับแขนของผมลง มองมือตัวเองที่กำลังกำแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม
“ขอโทษ...”
“...”
“ปลื้ม..”
“...”
“บอกพี่ได้มั้ยว่าหายไปไหนมา”
“...”
เขาคงจะรู้ตัวแล้วว่าผมไม่ได้อยากคุยกับเขา เสียงของเขาก็ยังน่าฟังแต่ไม่นำพาให้ตอบคำถาม ผมไม่ได้เพิ่งบอกเขาไปหรอกเหรอว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก หรือเขาไม่เข้าใจว่าที่ผมพูดไปนั้นมันหมายถึงอะไร ทำไมถึงยังไม่ไปให้พ้นหน้าผมเสียที
“อย่ามาหาผมอีกเลยครับ เจอหน้าก็ไม่ต้องทัก ทำเหมือนไม่รู้จักกันไปเลยยิ่งดี ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดแบบนี้ แต่เห็นหน้าพี่แล้วผมอึดอัดใจ”
ผมไม่ได้แค้นเคืองอะไรเขาเลย ผมแค่บอกไปตามที่รู้สึก ผมไม่ผิดใช่ไหมที่จะเลือกทำตามสิ่งที่คิดว่าตัวเองมีความสุข
บอกสิว่าผมไม่ผิด...ต่อให้น้ำตาเขาจะไหลลงมาตอนนี้...ผมก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
.
.
.
เพราะเขาทำเหมือนจะขาดใจตายลงตรงนั้น ผมถึงต้องหาที่เงียบๆ เพื่อตกลงกับเขา ที่ที่ปราศจากสายตาสอดรู้สอดเห็นจากคนอื่นๆ
ม้านั่งตัวยาวหน้าสระบัว ผมกับเขานั่งลงกันคนละมุม ไม่ใกล้และไม่ห่างจนเกินไป
แต่เอาเข้าจริงก็ได้แต่เงียบกันทั้งสองฝ่าย ผ่านไปนานมากในความรู้สึกผม ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เขาบอกกับผมถึงเหตุผลที่เขาทำในเรื่องที่ผ่านมา บอกแค่ว่าเขาทำคลิปทุเรศๆ นั่นหลุดไป ไม่มีชื่อใครอื่นอีกในคำพูดของเขา เขาพูดแต่ในส่วนของตัวเอง เล่าให้ผมฟังอย่างช้าๆ ซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจฟังเลย แต่กลับเข้าใจและจำได้ทุกคำที่เขาพูด
เขาพูดทุกอย่างแล้วก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือ ส่วนผมได้แต่มองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ไร้เมฆอยู่ตอนนี้
“พี่ไม่ได้หวังให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม แค่ปลื้มอย่าหายไปไหนอีก...ให้พี่...ได้เห็นหน้าบ้างก็ยังดี”
น้ำเสียงของเขาไม่มั่นคงนัก เขากำลังเจ็บ ผมรู้ดี แต่ผมปลอบใจอะไรเขาไม่ได้ จึงเลือกที่จะทำไม่รู้ไปดีกว่า
“สำหรับเรื่องคลิปแล้วผมขอบคุณที่ตอนนั้นคิดถึงความรู้สึกผม แต่พี่รู้มั้ยครับว่าสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดไม่ใช่เรื่องคลิปไร้สาระอะไรนั่น...แต่เป็นเรื่องของพี่เอง ทำไมถึงไม่คิดล่ะครับว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลย ผมไม่ถามถึงมันด้วยซ้ำ เพราะผมให้ความสำคัญกับพี่มาก่อนเรื่องอื่นๆ เสมอ แต่สำหรับพี่แล้ว...ความสำคัญของผมมีน้อยเกินไป”
“พี่...ขอโทษ”
ผมได้แต่ถอนหายใจออกมา อารมณ์ของผมในวันที่หันหลังเดินจากเขามากับอารมณ์ในตอนนี้แตกต่างกันก็จริง แต่คำตอบก็ยังคงเดิม
ผมไม่สามารถจับมือเดินข้างๆ เขาได้อีกแล้ว...อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ขอบคุณที่เคยรักผม...ขอบคุณจริงๆ ครับพี่”
“....”
“ดูแลตัวเองนะครับ”
ผมลุกขึ้นยืน ตั้งใจว่าจะไม่หันไปมองอีก เขายื่นมือมาจับมือผม บีบไว้แน่น แต่พอผมแตะที่แขนเขา มือนั้นก็คลายแรงออกไป
คนบางคนไม่เคยหายไป...อาจจะยังชัดเจนอยู่อย่างนั้น วันนี้เราอาจมองหน้ากันแล้วรู้สึกเศร้าใจ แต่สักวัน...ผมจะต้องมองเขาและยิ้มให้อย่างคนที่เคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันอีกสักครั้ง
“พี่มาหาบ้างได้มั้ย...”
“อย่าเลยครับ”
“....”
“แต่ถ้าบังเอิญเจอกัน ทักผมบ้างก็ได้”
ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ ในใจแล้วอยากร้องไห้มากขนาดไหน แต่อีกส่วนเล็กๆ ในใจก็รู้สึกสบายขึ้นมาที่อย่างน้อยผมกับเขา...เราก็ไม่ต้องติดคำขอโทษกันอีกแล้ว
.............................To be continue..........................
พรุ่งนี้งดนะจ้ะ คนเขียนมีธุระ บอกไว้เผื่อว่ามีคนรอแล้วรอเก้อ แหะๆ 
เสี่ยคัมแบ็คแล้ว คิดถึงเขาก็กอดเขาแน่นๆ นะคะ ใครอยากถีบก็ถีบให้แรงๆ ใครอยากด่าก็ด่าให้สะใจ
อืม...คนเขียนเคยผ่านฉากนี้มานะ เลยเขียนออกมาไม่ได้อารมณ์เท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยอยากนึกถึง จากลาอย่างเข้าใจไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิดนะ มันเจ็บปวดสุดๆ
ครั้งนี้น้องไม่ได้ใช้อารมณ์อย่างตอนที่หนีพี่โปรดไปครั้งนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามันต้องเป็นแบบนี้คิดว่าหลายๆ คนคงเข้าใจนะ น้องไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้น แต่ทำเพื่อให้อะไรๆ มันดีขึ้นต่างหาก เป็นไปได้ก็คงไม่อยากเห็นพี่โปรดเสียใจอย่างนี้หรอก แต่ระหว่างคนสองคน ถ้าไม่ไหวก็คือไม่ไหว ดูกันต่อไปละกัน
ขอบคุณสำหรับหลายๆ ความคิดเห็น บางคนไม่กล้าอ่านตอนผ่านๆ มา
คือเอาตามจริงไม่ใช่ดราม่าน้ำตาท่วมหรอก แต่ออกไปในแนวที่ว่า ใครเคยเจอ เคยโดนกระทำ ก็จะอินมากกว่าคนอื่นหน่อย *คนเขียนก็น้ำตาซึมเพราะก่อนโดนบอกเลิกก็แบบนี้เด๊ะ พฤติกรรมเดียวกับอิเสี่ยเลยค่า
มันน่าาาาาา 

พ่อของปลื้มยังไม่โผล่ เขามาแต่ชื่อและลักษณะนิสัยที่ปลื้มบอก ไว้ค่อยเจอตัวจริงเขาในอีก...หลายๆ ตอนข้างหน้านะคะ
ให้แม่มาก่อน เพราะน้องน่าจะเข้ากับแม่ได้ดีกว่า 
รักทุกคน 