http://www.youtube.com/v/X0NvSCuqZrsตอนที่ 30Inside: มาโปรด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...ที่จะปล่อยให้คนที่รักเดินจากไป แต่ผม...ก็ทำไปแล้วจริงๆ
ทั้งๆ ที่อยากรั้งไว้ อยากอ้อนวอนให้กลับมา อยากบอกว่าผมรักเขามากแค่ไหน ทุรนทุรายและทรมานมากแค่ไหนกับตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา...แต่ผมก็..ไม่ทำ แค่เพราะ...เขายืนยันว่าต้องการจะไป
ปลื้มไม่ได้เปลี่ยนไปเลยในสายตาของผม แต่เปลี่ยนไปมากในความรู้สึก ผมไม่รู้ว่าน้องไปเจออะไรมาบ้าง มีชีวิตแบบไหนหลังจากที่หันหลังเดินจากไป เพราะคนที่กลับมาเจอผมวันนั้น ไม่ใช่คนที่มองผมด้วยความรักอย่างเทิดทูนบูชาอีกแล้ว น้องกลายเป็นอีกคนที่แววตาเปลี่ยนไป ดูมุ่งมั่นและไม่ลังเลเหมือนแต่ก่อน
...แค่บอกว่าไม่ต้องการเห็นหน้าผมก็ไม่พูดอะไรมากความอีก ...ไม่มีแม้แต่ความสงสารให้กับผมเลยสักนิด
ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าปลื้มจะให้อภัยหรือกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดีกับการตัดสินใจของปลื้มในครั้งนี้ เพราะถ้าปลื้มบอกว่าโกรธผมและไม่อยากให้อภัย ผมก็อาจจะยังพอมีหวัง ผมจะได้ขอโทษจะได้หาวิธีทำให้เราคืนดีกันได้บ้าง
แต่...ที่ไม่โกรธคืออะไร...มันเหมือนผมกลายเป็นแค่ความว่างเปล่าสำหรับปลื้ม ไม่โกรธแต่ก็ยังไม่อยากเห็นหน้ากัน นั่นหมายถึงน้องไม่ต้องการผมอีกต่อไปแล้วใช่ไหม...
ไม่รู้ทำไมนะ ผมถึงรู้สึกว่ามันเจ็บกว่าการถูกเกลียดเสียอีก เหมือนไม่มีค่าให้เขารู้สึกอะไรต่อเราเลย
ถึงอย่างนั้น...ก็ยังพอมีความสุขเหลืออยู่บ้าง...แค่เพราะปลื้มกลับมา ความทรมานตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาของผมก็ดูเหมือนจะหายวับไป ต่อให้ปลื้มจะไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากเจอ ผมไม่รู้ว่าขอบเขตของความบังเอิญอยู่ตรงไหน หลายสิบครั้งต่อวันหรือมากกว่านั้น ถ้าบังเอิญเจอแล้วทักได้ ผมก็อยากให้ความบังเอิญเกิดขึ้นวันละหลายๆ พันครั้ง
แค่ให้ผมได้เห็นหน้า ได้คุย ได้อยู่ใกล้ๆ จะมองผมเป็นตัวอะไรผมก็ยอมทั้งนั้น แค่ยังได้เห็นปลื้มก็พอ
เกือบสามอาทิตย์แล้วหลังจากที่ได้คุยกันวันนั้น ผมต้องรีบตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมามหาลัย จอดรถไว้ที่ตึกคณะของปลื้ม เฝ้ารอ...ว่าเมื่อไหร่จะมาสักที ที่ผมต้องมารอที่นี่เพราะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ปลื้มขับรถมาเรียนเอง ผมคงจะแปลกใจมากหากเมื่อห้าเดือนก่อนแม่ไม่ได้พาผมไปพบคนสำคัญของปลื้ม
ใช่...คนสำคัญที่ว่าก็คือแม่แท้ๆ ของปลื้มเอง และที่ทำให้ผมตกใจในตอนนั้นก็คือแม่ของปลื้มก็คือแม่ของพี่ยินดี...เพื่อนสนิทของแม่ผม
เพราะแม่อยากให้ผมขอโทษในสิ่งที่ผมทำลงไป บอกว่าจะพาไปเจอแม่ของปลื้ม ตอนนั้นผมไม่มีความลังเลอะไรเลย รับปากกับแม่ไปทันที พวกเรานัดกันที่ร้านอาหารที่เคยไปทานด้วยกันประจำ เดินเข้าไปในร้าน นั่งเก้าอี้ได้ไม่กี่วินาที น้ำเย็นๆ ในแก้วทรงสวยก็สาดเข้าหน้าผมเต็มๆ พร้อมกับฝ่ามือของผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามตบมาเต็มแรง
คุณน้าหญิงเคยเอ็นดูผมมาก แต่ต่อจากนี้...คงจะไม่มีอีกแล้ว
'น้าไม่คิดว่าโปรดจะเป็นคนแบบนี้ นั่นลูกชายของน้านะ โปรดทำอย่างนี้ได้ยังไง ทำร้ายน้องทำไม!'
ถ้าผมจะบอกออกไปว่าผมไม่รู้เลยว่าปลื้มเป็นลูกของคุณน้า มันก็คงไม่ช่วยอะไร เพราะไม่ว่าปลื้มจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่คนที่ผมควรจะทำร้ายอยู่ดี
'แม่ของโปรดบอกว่าน้องอยู่กับโปรดให้น้าวางใจ แล้วนี่อะไร โปรดทำน้องเจ็บ มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ ถ้าปลื้มเป็นอะไรไป น้าจะไม่ให้อภัยโปรดเลย!'
'ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ' น่าสมเพช...ที่ผมทำได้แค่พูดว่าขอโทษ
แม่ของผมเบือนหน้าไปอีกทางในขณะที่ผมยกมือขึ้นไหว้ขอโทษคุณน้าหญิง
ผมทำตัวไม่ดี ตอนนี้ผมรู้แล้ว ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมทำให้ใครหลายคนเสียใจ ทำให้แม่ที่ผมรักต้องร้องไห้และผิดหวังในตัวผม ทำให้ปลื้มต้องหนีผมไป...แล้วตอนนี้...คนที่รักปลื้มไม่แพ้ผม ก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน
'ขอโทษแทนโปรดด้วยนะ...ฉันเลี้ยงลูกไม่ดีเอง โปรดถึงได้เป็นแบบนี้' ต่อให้แม่จะไม่ค่อยคุยกับผมเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนผมป่วยท่านก็ยังดูแลอยู่ไม่ห่าง และตอนนี้...ก็กำลังขอโทษแทนผม
ผมรู้สึกแย่มากจริงๆ มันไม่ควรเป็นแบบนี้ ผมทำผิดเอง เกิดจากตัวผมเอง ไม่ใช่ความผิดของแม่เลย แม่เลี้ยงผมมาอย่างดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องโทษตัวเอง...
ในวันนั้นหลังจากที่บอกทุกเรื่องกับคุณน้าหมดแล้วก็โดนตบมาอีกสองที ซึ่งผมก็คิดว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ น้อยไปจริงๆ กับการกระทำของผม แต่อาจจะเพราะคุณน้ายังเกรงใจแม่อยู่ ผมก็เลยโดนแค่นั้น แต่นับตั้งแต่นั้นมา...คุณน้าก็ไม่ค่อยนัดทานข้าวกับแม่อีกเลย ผมได้แต่บอกขอโทษแม่ซ้ำๆ ที่ทำให้แม่ต้องเสียเพื่อนดีๆ ไปอย่างนี้
หลายๆ อย่างสำหรับผมยังคงแย่ แต่ที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นบรรยากาศระหว่างคนในครอบครัว
สถานการณ์ภายในบ้านของผมไม่ได้ดีขึ้นเลย ผมยอมรับจริงๆ ว่ามองหน้าไอ้เปรมได้ไม่เคยเกินห้าวินาที เพราะผมพาลจะโกรธขึ้นมาทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าต้นเหตุจริงๆ มันเกิดมาจากตัวผมเอง จนป๋าที่เพิ่งจะรู้เรื่องทุกอย่างหลังจากกลับมาจากต่างประเทศต้องส่งไอ้เปรมไปเรียนที่อื่น ไม่ใช่เพราะป๋าเข้าข้างผม แต่เป็นเพราะไอ้เปรมมันขอไปเองต่างหาก มันคงรู้ว่ายังไงผมก็จะไม่ไปไหนตราบใดที่ยังหาตัวปลื้มไม่เจอ
แต่หลังจากที่ไอ้เปรมไป ก็ยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น มันเหมือนฝันร้ายจริงๆ สำหรับตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และก็เป็นฝันที่ไม่มีวันตื่น วันแต่ละวันของผมหมดไปกับการขับรถไปในที่ต่างๆ ผมไม่ได้เข้าเรียน ไม่ได้ทำตามหน้าที่ที่ผมควรจะทำ จนอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปคุย ท่านแนะนำกับผมว่าถ้าหากผมยังไม่พร้อม ให้ทำเรื่องดร็อปเรียนไว้ เพราะไม่อย่างนั้น ผมคงต้องถูกรีไทร์... นั่นเป็นความล้มเหลวอีกอย่างที่เกิดขึ้น...มันแย่เกินไปสำหรับคนอย่างผมที่ชีวิตเคยพบแต่ความสุขมาโดยตลอด
สิ้นหวังและเจ็บปวดจนเกินไป...
ตอนนั้นผมเลือกทางออกให้ตัวเองอย่างสิ้นคิด และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ผมทำให้แม่ร้องไห้ ...จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เคยจำความผิดพลาดของตัวเองและก็ทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ แต่การทนอยู่กับความสิ้นหวัง...มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหว สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป และผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่วิธีที่ดีพอ
'ไม่ว่าโปรดจะทำอะไรต่อจากนี้...อย่าลืมว่ายังมีป๋ากับแม่ สองคนในโลกนี้ที่จะเสียใจที่สุดหากว่าโปรดเป็นอะไรไป' ป๋าบอกกับผมแค่นั้น มืออบอุ่นของป๋าลูบเบาๆ ที่หัวผม น้ำตาที่ผมไม่เคยเห็นมันไหลเลยตั้งแต่เด็กกลับไหลลงมา แต่ไม่ทันที่แม่จะได้เห็น ป๋าก็เช็ดมันออกไป
เหตุผลก็คงจะมีแค่...ป๋าต้องเข้มแข็งเพื่อปกป้องครอบครัว คงไม่อยากให้แม่เห็นตอนร้องไห้นักหรอก...
'ผมจะไม่ทำให้ป๋ากับแม่ต้องผิดหวังในตัวผมอีกแล้วครับ ผมสัญญา'
คำสัญญาของผมในวันนั้นไม่ได้มีหลักประกันอะไรเลยว่าผมจะทำได้อย่างที่พูด แต่ป๋ากับแม่ก็พยักหน้าและส่งยิ้มมาให้ผม ไม่เว้นแม้กระทั่งน้องชายที่อยู่อีกซีกโลกที่ก็ส่งวิดีโอสั้นๆ มาทางไลน์
'หายเร็วๆ นะครับพี่ แล้วก็อย่าทำอย่างนี้อีกนะ ...ผมขอโทษ รู้ว่าถ้าพูดต่อหน้า พี่คงไม่อยากฟัง ถ้าเจอปลื้ม ฝากบอกด้วยนะ...ว่าสักวันผมจะกลับไปคุกเข่าขอโทษปลื้มด้วยตัวเอง ดูแลตัวเองนะครับ ฝากดูแลป๋ากับแม่ด้วย'
ผมพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ ว่า 'เออ' แล้วจากนั้นต่างคนต่างก็ไม่ต่อบทสนทนากันอีก
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่มันคงอีกนานกว่าทั้งผมและไอ้เปรมจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ความรู้สึกผิดมันทำร้ายคนๆ หนึ่งได้มากกว่าที่คิด เพราะยิ่งรู้สึกผิด ก็ยิ่งเกลียดตัวเอง...
ผมไม่รู้ว่าผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง ยากเย็นแค่ไหนกับการที่ต้องทนอยู่กับความผิดหวัง ในแต่ละวันเป็นไปอย่างทุลักทุเล ซึ่งถ้ามีแค่ผมก็คงปล่อยให้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการตามหาปลื้ม เพื่อนๆ บอกว่าผมเหมือนคนบ้าทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ยังออกตามหา ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่เดินโดยไม่มีไม้นำทาง พวกมันถึงต้องผลัดเปลี่ยนกันมาคอยดูผม โดยที่ไอ้ซอลกับไอ้อาร์มพยายามอยู่กับผมให้มากที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำได้ ไอ้กิ๊งโทรมาคุยด้วยบ่อยๆ บ่นของมันไปตามประสา ไอ้โจกับไอ้เจมก็ชอบพาผมไปนั่งกินข้าวเป็นก้างของพวกมัน ไหนจะไอ้เทพกับนิ้งที่วุ่นวายให้ผมช่วยคิดธีมงานแต่งงานของพวกมันให้ ลากผมไปนั่นไปนี่ได้เกือบทุกวัน จนผมต้องยืนยันกับพวกมันว่าผมอยู่ได้ และไม่คิดทำอะไรบ้าๆ อีกแล้ว พวกมันถึงได้ปล่อยให้ผมใช้ชีวิตตามเดิม
แต่ชีวิตตามเดิมก็ยังเงียบเหงาและทรมานใจมากอยู่ดี ไม่มีอะไรร้ายไปกว่าความทรงจำอีกแล้ว เพราะผมเคยได้รับมากไป ถึงได้มารู้ว่าตัวเองแย่แค่ไหนเมื่อไม่มีปลื้ม น้องทำให้ทุกอย่างจนผมเคยตัว ดูแลและใส่ใจในทุกๆ เรื่องของผม อะไรที่ผมชอบปลื้มจะรู้หมด แต่ผมกลับไม่รู้เลยว่าปลื้มชอบหรือไม่ชอบอะไร...เพราะฉะนั้นตอนที่ปลื้มบอกกับผมว่าผมให้ความสำคัญกับปลื้มน้อยเกินไป ผมถึงทำได้แค่...ขอโทษ
ตอนนี้ต่อให้ผมจะทำได้แค่เพียงมองปลื้มอยู่ห่างๆ เท่านั้น...ผมก็ยังมีความสุข มันไม่ทุรนทุรายเหมือนตอนที่ปลื้มไม่อยู่อีกแล้ว เพราะได้เห็นว่าปลื้มได้ใช้ชีวิตอย่างที่ปลื้มต้องการ มีเพื่อนที่รักและหวังดีกับปลื้มอยู่ข้างๆ แค่นั้น...ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมยิ้มได้
แต่ก็อาจจะมีบ้างที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจ เพราะการเรียนของผมไม่ได้เอื้ออำนวยให้ผมมีเวลาว่างมากพอที่จะมาแอบมองปลื้มหรือทำทีเป็นว่าบังเอิญเจอกัน ผมทำได้เพียงแค่ส่งข้อความหาปลื้มทางแชทเฟซบ้าง ทางไลน์บ้าง หรือทาง SMS ที่ผมได้เบอร์มาหลังจากที่หลายวันก่อนบังเอิญเจอกันห้ารอบ แต่ปลื้มก็ไม่เคยตอบข้อความผมกลับเลยสักครั้งเดียว
ความจริงจะพูดว่าบังเอิญก็คงไม่มีใครเชื่อและผมรู้ว่าปลื้มไม่เชื่อด้วยแต่น้องก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ทักผมกลับเหมือนคนรู้จักที่บังเอิญเดินผ่านมาเจอแค่นั้น...
ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะดูนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบจะสิบโมงแล้ว วันนี้ช่วงเช้าผมว่างแต่ช่วงบ่ายต้องขึ้นวอร์ด เพราะฉะนั้นผมคงอยู่รอจนถึงเย็นไม่ได้ ก็หวังว่าปลื้มจะมีเรียน...
ผมรอต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่งสิบโมงครึ่ง ปอร์เช่คันสวยก็ขับเข้ามาจอดในลานจอดรถ ห่างจากรถของผมแค่ไม่กี่คัน ผมจ้องมองอยู่สักพัก รอให้คนในรถเปิดประตูลงจากรถมา แล้วแค่ชั่วอึดใจผมก็ได้เห็นคนที่เฝ้ารอมาหลายชั่วโมง
ปลื้มยังคงน่ารัก แต่งกายถูกระเบียบ เมื่อก่อนคงบอกได้ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เดี๋ยวนี้สีผมที่เคยดำถูกย้อมเป็นสีแดงไวน์แถมยังดัดอีกต่างหาก หน้าที่เคยขาวอยู่แล้วเลยยิ่งสว่างขึ้นอีก
ผมมองตามร่างผอมบางในทุกอิริยาบถ ยิ่งมองยิ่งเพลินและไม่รู้เบื่อ เห็นเดินวนรอบรถ เช็คอะไรไม่รู้อยู่ตั้งนาน ใจจริงผมก็อยากลงจากรถไปถามเหมือนกันว่ากำลังทำอะไร แต่เห็นปลื้มกำลังยิ้มแล้ว...ผมไม่ลงไปดีกว่า ขอมองอยู่ตรงนี้ก็พอ
ผมมองจนปลื้มเดินเข้าตึกเรียน เห็นน้องหันกลับมามองที่รถของผมเหมือนกัน แต่คงไม่เห็นผมเพราะฟิล์มติดกระจกคงกั้นสายตาเอาไว้ ก็ดีแล้วล่ะ...มันคงเป็นวันดีๆ ของน้องมากกว่าหากจะไม่เจอผม...
แต่สำหรับผมแค่นี้ก็มีกำลังใจขึ้นมาแล้ว ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งก่อนจะขับรถไปโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองบ้าง...
...ในตอนนี้ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มของปลื้ม...ผมอยู่ตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น
Inside: End
...................................To be continue...................................
นี่อาจจะเป็นอินไซด์สุดท้ายของเขานะคะ แค่ 'อาจจะ' เท่านั้น
มาช้าไป ขอโทษค่าาา เห็นหลายคนรอก็เลยรู้สึกผิด แต่รถติดมากจริงๆ วันนี้ เมื่อวานทำงานจนถึงสามทุ่มครึ่งเลยค่ะ กลับมาถึงห้องเกือบเที่ยงคืน 
...พี่โปรดผิดพลาดอีกแล้ว แต่ถ้ามองตามความจริง ระหว่างพี่โปรดกับน้องปลื้ม พี่โปรดแกอยู่ในที่ที่เดิมที่เคยมีปลื้ม อยู่กับความรู้สึกผิด อยู่กับความผิดหวัง อยู่กับภาพความทรงจำเดิมๆ ที่เคยมี ในขณะที่น้องไปเจอสิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ความทรมานอาจจะสูสีกัน อาจจะไม่มีใครเจ็บน้อยกว่าใคร แต่...อย่าลืมว่าน้องมีพี่เท็น มีพี่เมล มีป้าเนียม มีลุงชิด มีคุณปาล์ม และมีเฟรน ในขณะที่พี่โปรดคิดว่าตัวเอง...ไม่มีใครเลย คนที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี โดนสปอยล์ ตามใจมาตั้งแต่เด็กอย่างเขา เจอความผิดหวังมากๆ เข้า เสียหลักเป็นนะคะ...อยากให้มองตรงจุดนี้ว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ดีนะคะ เราเลือกที่จะเรียนรู้มันได้ (นี่พร่ำทำเพื่ออะไร?
) 
แล้วเจอกันในตอนต่อไปค่ะ 
ขอบคุณทุกๆ คนที่รอคอย ทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาให้
ขอบคุณที่เข้าใจในตัวละครหลายๆ ตัว 