ตอนที่ 43 (บทส่งท้าย)สถานที่ที่ผมมาบ่อยที่สุดตั้งแต่เริ่มปิดเทอมได้เกือบสองสัปดาห์คือโรงพยาบาล อันที่จริงอาจจะเรียกได้ว่ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะผมกับคุณแม่ของพี่โปรดผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าเด็กน้อยเกเรที่นอนไม่ยอมตื่น บางทีก็อยู่ด้วยกันทั้งสองคน ฟังคุณแม่เล่าเรื่องวัยเด็กของพี่โปรดให้ฟังก็สนุกดี สองแม่ลูกคู่นี้สนิทกันมากนะครับ ตั้งแต่เด็กจนโตเลยที่พี่เขาติดแม่ ช่วงมัธยมปลายที่เริ่มออกลายเจ้าชู้ มีผู้หญิงให้ควงแต่ละวันไม่ซ้ำหน้า แต่วันวาเลนไทน์ก็ไม่ไปเดทกับใครเลย วันนั้นทั้งวันเขาจะพาคุณแม่ไปช็อปปิ้ง ไปดูหนัง แล้วแต่ว่าคุณแม่จะรีเควสอะไร เพราะคุณพ่อเขาทำงาน เลยไม่ค่อยมีเวลาพาคุณแม่ไปสวีทด้วยกันเท่าไหร่
ตอนนี้พี่โปรดพ้นขีดอันตรายแล้ว อาการก็ดีขึ้นมาก แต่ยังคงไม่ได้สติ ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่าช่วงสี่ห้าวันแรกที่เขายังอยู่ในห้องไอซียู อาการเดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุดทำเอาคนอื่นเขาใจหายกันไปหมด พวกเพื่อนๆ เขาก็แวะมาเยี่ยมบ่อยๆ แต่ก็ได้แค่มาถามอาการเขาจากผมแค่นั้น มีหลายคนที่ผมไม่รู้จักแวะเอาผลไม้ กระเช้าอาหารเสริม พวกซุปไก่และรังนกมาให้ คงจะเป็นแฟนคลับของพี่โปรดแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้จักผมด้วย
เหมือนมันยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่ผมไม่รู้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรอบๆ ตัวพี่โปรดโดยที่ผมไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่กลับมาเรียน ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมคิดว่าผู้หญิงที่ไม่ชอบผมเลิกตามรังควานแล้วก็เพราะผมเลิกกับพี่โปรดนั้น เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนเองว่าผมคิดผิด หนึ่งในกลุ่มคนที่มาเยี่ยมพี่โปรดเดินมาขอโทษผมที่เคยพูดไม่ดีหรือทำตัวร้ายๆ ใส่
'เข้มแข็งนะคะปลื้ม ขอโทษที่พวกเราเคยทำไม่ดีไว้ ต่อไปนี้ถ้าพี่มาโปรดรักใคร เราก็พร้อมจะรักด้วย ดูแลพี่มาโปรดด้วยนะคะ พวกเราจะคอยมองดูอยู่ห่างๆ'
บอกแค่นั้นก็พากันออกไป ผมเดินไปส่งพวกเธอที่ประตูห้อง มีหลายคนส่งยิ้มมาให้ ผมก็ยิ้มตอบกลับไป ไม่รู้นะ...ผมว่ามันเป็นความสบายใจอย่างหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยระแวงว่าจะมีใครมาคิดร้ายกับเรา ส่วนสาเหตุของการกลับใจของพวกเธอนั้น คนที่ขอโทษผมเธอบอกว่าเพราะพี่โปรดเดินเข้าไปพูดกับพวกเธอเองหลังจากที่เลิกกับผมได้สองวัน เขาคงเข้าเช็คเฟซผมแล้วเห็นข้อความพวกนั้นเข้าถึงได้นัดพวกเธอออกมาคุย เธอบอกว่าพี่โปรดแทบจะคุกเข่าเพื่อขอให้พวกเธอเลิกรังควานผม เลิกว่าร้ายผม เห็นพี่โปรดทำอย่างนั้นคนที่รักเขาก็ลนลาน น้ำตาไหลพราก แทบจะคุกเข่าลงตามๆ กัน
'ถ้ารักผม...ก็ช่วยรักคนที่ผมรักด้วยได้มั้ยครับ ถ้าพวกคุณทำร้ายเขา...ก็เหมือนพวกคุณทำร้ายผมด้วย ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอด แต่ตอนนี้...ผมมีคนที่อยากจะปกป้องแล้ว...เพราะฉะนั้น อย่าทำร้ายเขาอีกเลยถ้าไม่อยากให้ผมเกลียดพวกคุณ'
ผมถามพวกเธอว่าทำไมถึงชอบพี่โปรดขนาดนั้น เขาไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ไอดอล เขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่...อืม.. อาจจะหล่อมากไปหน่อย รวยมากไปหน่อย นิสัยก็...ชอบแจกของมากไปหน่อย แต่เอาเข้าจริงแล้ว ก็มีคนที่สมบูรณ์แบบไม่แพ้เขาอีกหลายคนในมหาลัยนี้ คำตอบของพวกเธอทำให้ผมอึ้งไปนิดๆ เหมือนกัน
'ก็บอกไม่ถูกนะ แต่ชอบก็คือชอบ เขาไม่ต้องเป็นดาราหรือไอดอลหรอก แค่เขาเป็นเขา เป็นพี่มาโปรดอย่างที่พวกเรารู้จัก เท่านั้นก็พอแล้ว'
มันเป็นความรู้สึกที่ผมก็เข้าไม่ถึงเหมือนกัน แต่ผมก็เชื่อว่าคนพวกนี้หวังดีกับพี่โปรดมากจริงๆ ในมุมของพวกเธอ ผมอาจจะไม่ดีจริงๆ ก็ได้ตอนแรกถึงได้ไม่ชอบผม เพราะมองจากคนภายนอกโดยที่พวกเขาไม่รู้ถึงปัญหาของพวกผมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่โปรดก็เป็นไปในทางที่ผมเกาะเขากิน มันก็ต้องยอมรับแบบนั้นด้วย เพราะพี่โปรดที่พวกเธอรู้จักก็เป็นพวกควักจ่ายแบบไม่ถามรายละเอียดอะไรอยู่แล้วนั่นแหละ สมควรเป็นห่วงอยู่หรอก =_=;
ผมเปลี่ยนท่านั่ง จากเหยียดเท้าไปกับพื้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้แทน ท้าวคางมองคนป่วยอย่างนี้แล้วก็เพลินดีเหมือนกัน สีผิวเริ่มมีเลือดฝาดบ้างแล้วก็ยิ่งน่ามอง ผมสังเกตว่าพยาบาลที่เข้ามาวัดความดันให้ทุกเช้าจะไม่เคยซ้ำกันเลย เพราะเหมือนทุกคนอยากเข้ามาดูแลคนป่วยห้องนี้กันมาก มีหลายครั้งที่พยายามจะขอช่วยเช็ดตัว แต่ผมก็ปฏิเสธไป ไม่อยากให้ใครเลือดกำเดาไหลตั้งแต่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ให้ผมฟินคนเดียวก็พอแล้วครับ -O-;
น้องส้มมีมาเยี่ยมแค่ครั้งเดียว แต่เพราะปะทะกับผม น้องก็ไม่มาอีกเลย ไม่รู้นะ แต่ผมไม่ชอบว่ะ ทำไมเป็นคนนิสัยแย่แบบนั้นก็ไม่รู้ เรื่องจดหมายขู่นั่นพี่เท็นบอกผมแล้วว่าใครเป็นคนทำ ผมถึงได้เอามาใช้ขู่ได้ว่าถ้าหากยังไม่ออกจากชีวิตผมกับพี่โปรด น้องได้หมดอนาคตแน่ เท่านั้นก็ไม่มีมารบกวนอีกเลย เรื่องที่น้องเคยทำก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละครับ ถ้ายังไม่เลิกนิสัยอย่างนี้ สักวันก็จะบ่อนทำลายตัวเอง คนทำไม่ดีไม่เคยเจริญหรอก
ส่วนน้องเดย์...ผมบอกไม่ถูกนะว่ารู้สึกยังไง สงสารก็สงสารนะ แต่ถ้าเรื่องให้อภัย...ผมคงต้องใช้เวลา เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นคดีความไปแล้วเพราะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผมเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาล ก็ตามระเบียบที่น้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการบำบัด สภาพของน้องที่ผมเห็นครั้งล่าสุดคือคลุ้มคลั่งไม่ต่างจากวันที่เกิดเรื่อง เรียกหาแต่ชื่อของพี่โปรดจนผมเห็นแล้วอดเวทนาไม่ได้ ทางครอบครัวก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจเท่าไหร่ ทำให้นอกจากผมและพี่เท็น พี่เมลแล้ว ก็ไม่มีใครไปเยี่ยมอีกเลย
ก็หวังว่า...สักวันน้องจะดีขึ้น ผมหวังอย่างนั้นจริงๆ ถึงจะไม่อยากให้อภัย แต่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกแล้ว...ผมก็อดสงสารน้องไม่ได้เหมือนกัน
หืม... O_O!
หืมมมมมม O_O!!
หืมมมมมมมมมมม O_O!!
กำลังคิดเรื่อยเปื่อยพลางมองหน้าพี่โปรดไปเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็กำลังสบเข้ากับนัยน์ตาคู่สวยที่จ้องมองมาแบบไม่กระพริบ ผมเกือบตกเก้าอี้เมื่อเด้งตัวไปข้างหลัง ถ้าเท้าไม่ทันเหยียบพื้นคงหงายหลังล้มตึงไปแล้ว
“พะ...พี่”
“....”
“พะ..พี่ พี่ พี่ เดี๋ยวผมไป”
ไม่รู้จะชี้ไม้ชี้มือไปทางไหน แต่ตอนนี้หัวใจเต้นโคตรแรงจนพูดออกมาติดๆ ขัดๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“เดี๋ยวผมไปตามหมอ! เดี๋ยวมา!!”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่วิ่งได้เร็วขนาดนี้ ก้าวเท้าทีตัวแทบลอยขึ้นจากพื้น ผมเหมือนจะบินได้ ไอบีลีฟไอแคนฟลายจริงๆ นะอารมณ์นี้อ่ะะะะ!!!
วิ่งเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ เห็นกำลังหน้าดำคร่ำเครียดทำอะไรไม่รู้อยู่ แต่ผมไม่สนใจ คว้าแขนพ่อได้ก็พาวิ่งมาด้วยกัน
“เดี๋ยว! ปล่อยก่อน! จะมาวิ่งในโรงพยาบาลไม่ได้! ปลื้ม!”
“ไม่ๆๆๆๆ ต้องรีบไป พี่โปรดตื่นแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”
“ไม่ทันอะไร ปลื้ม! ไม่หยุดวิ่งพ่อจะตีให้น่องลายเลย!”
“ยอม! แต่พ่อต้องไปดูพี่โปรดก่อน พี่โปรดตื่นแล้วอ่ะ ไปดูให้หน่อย แป๊บเดียวเอง”
“อะไรนักหนา =_=; รู้ว่าสนิทกันมาก แต่ไม่ต้องเว่อ ชักจะทำตัวมากกว่าน้องชายไปแล้วนะแกน่ะ”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพ่อไม่รู้เรื่องที่ผมเคยคบกับพี่โปรด เอาจริงๆ ผมว่าพ่อไม่ยอมรับมากกว่าว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย -_- ยังคงหลอกตัวเองว่าที่ผมมาเฝ้าพี่โปรดอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะผมกับพี่โปรดเป็นพี่ชายน้องชายที่สนิทกันมาก ตามความเข้าใจที่ว่าเคยไปอาศัยอยู่กับพี่เขามาพักหนึ่งแล้วพี่โปรดก็ช่วยชีวิตผมไว้ พ่อเลยตามใจให้เฝ้าได้โดยไม่ขัดขวาง
“พ่อไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมกับพี่โปรดเป็นอะไรกัน”
“ไม่ -_- และไม่อยากรู้ ไม่ต้องบอก”
ผมแอบถอนหายใจออกมา จะให้พ่อยอมรับความจริงมันคงเป็นเรื่องยากมาก เพราะขนาดเรื่องเรียนของผม ท่านก็ยังตีมึนทำไม่รู้เรื่องอยู่ดี ผู้ชายคนนี้ปากแข็งขั้นสุดยอดแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเคยบอกรักแม่บ้างรึเปล่าเถอะ -*-
พาพ่อมาถึงห้องได้ ก็รีบยัดเยียดให้ไปหาพี่โปรดทันที ระหว่างที่พ่อกำลังตรวจอาการของพี่โปรดพี่พยาบาลก็พากันเข้ามา จำนวนสี่คนนี่เป็นอะไรที่ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนคนขอเช็ดตัวให้พี่โปรด แต่ว่าพ่อก็จัดการให้พี่พยาบาลสาวๆ ออกไปแล้วสั่งให้ไปตามหัวหน้าพยาบาลมาแทน ซึ่งเป็นหญิงสาววัยสี่สิบนิดๆ
อ่า...นี่พ่อไม่รู้รึไงนะว่าคนนี้ตัวแม่เลย =_=;
“ความดันปกติ ไม่มีไข้ ไม่มีอะไรน่าห่วง แผลก็ไม่อักเสบ ไม่มีการบวม โดยรวมแล้วถือว่าโอเค แต่ตื่นกลางดึกอย่างนี้ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยโทรไปบอกพ่อกับแม่แล้วกัน”
พี่โปรดแค่พยักหน้า เพราะก่อนหน้านั้นขยับปากพูดแล้วแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ก็นอนนานเกินไปไง เลยเป็นอย่างเงี้ย ให้จิบน้ำหลายๆ แก้วก็โอเคแล้วล่ะ ^^
“น้องปลื้มกลับไปพักก็ได้นะคะ เดี๋ยวพี่ดูแลน้องโปรดให้ คืนนี้พี่อยู่เวรค่ะ สบายมาก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเฝ้าเองดีกว่า”
ต่อให้พี่อยู่เวรหรือพ่อจ้างให้เป็นพยาบาลพิเศษเฝ้า ผมก็ไม่อนุญาตนะ เพราะพี่โปรดเดี้ยงแบบนี้คงไม่มีแรงขัดขืนใคร เกิดโดนขืนใจขึ้นมาจะดราม่ากันทีหลังเปล่าๆ หึหึ
พอคนอื่นออกไปจากห้องแล้วผมก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ตามเดิม เป็นเวลาหลายนาทีที่ผมกับพี่โปรดได้แค่มองหน้ากันอย่างนี้ มันเหมือนกับว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก จุกแน่นอยู่ในอก อยากตะโกนออกมาดังๆ ว่าตอนนี้มีความสุขมากก็ทำได้ยากเพราะเกรงใจคนอื่นเขา เลยทำได้แค่จับมือกันแล้วบีบเบาๆ
“ยินดีต้อนรับกลับครับ ^^”
พี่โปรดพยักหน้า คลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงออกมา น้ำเสียงแหบนิดๆ แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพราะผมก้มลงไปใกล้ๆ ยื่นหูไปจนแทบจะชิดกับริมฝีปากของเขา ถึงได้ยินแค่คำสั้นๆ ว่า “ครับ”
“พักผ่อนนะ จะได้หายเร็วๆ”
“อืม...”
ผมจ้องหน้าพี่โปรดก่อนจะก้มลงไปจุ๊บที่หน้าผากของพี่เขาเบาๆ
“ฝันดีนะมาโปรด”
“...”
“ขอบคุณที่รักษาสัญญาว่าจะไม่ทิ้งผม”
“...”
“จากนี้...ก็อย่าปล่อยมือผมอีกนะครับ”
“อืม... ไม่...ปล่อย...หรอก”
ผมชอบอ้อมกอดนี้ แม้จะสวมกอดกันได้ไม่เต็มแรงเพราะบาดแผลของพี่โปรด แต่มันก็เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น เป็นกอดที่ทั้งดีใจและอยากร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน
ความรู้สึกที่ว่า...ในที่สุดก็กลับมา...ทำผมเสียศูนย์ไปเลยจริงๆ
รักนะครับพี่...รักมากจริงๆ นะ
.
.
.
สามปี...
จะว่านานก็นาน จะว่าเหมือนเพิ่งเมื่อวานที่ยังคงเป็นนักศึกษาก็คงใช่ หลังจากที่พี่โปรดออกจากโรงพยาบาลครั้งนั้น ผมก็ไม่ค่อยได้เฉียดเข้าไปใกล้อีกเลย นอกจากจะเป็นไข้จริงๆ และพ่อไม่ยอมให้นอนซมอยู่กับบ้านนั่นแหละ ถึงต้องไป
ตอนนี้ผมเรียนจบมาได้เกือบหกเดือนแล้ว ซึ่งระหว่างที่เป็นเด็กจบใหม่ไร้ประสบการณ์การทำงานนั้น ก็โดนดึงตัวให้เข้าไปเป็นเจเนอรัลเบ้ที่บริษัทของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร =_=; พี่แกก็ยังทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ความจริงจังเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนอายุ โขกสับนี่โคตรเก่งเลย วันๆ หนึ่งเรียกชื่อผมมากกว่าชื่อแฟนตัวเองอีกมั้ง แต่เขาก็ใจดีให้ผมลามารับปริญญาได้
กับพี่โปรดเหรอ...
อืม... ก็เรื่อยๆ นะ คุยกันทุกวัน ไม่ว่างยังไงก็ต้องคุย เพราะผมทำงานเชียงใหม่ แต่เขาดันไปใช้ทุนอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง นานๆ ก็มาเจอกันที ไม่ได้อยู่กินด้วยกันหรอก สมัยเรียนก็อยู่คอนโดใครคอนโดมัน เพราะพ่อผมด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็เพราะการเรียนของพี่โปรด ยิ่งช่วงปีสุดท้ายแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย ผมทำโปรเจ็คจบส่วนพี่โปรดแกเรียนหมอปีสุดท้าย ชีวิตโดยมากเลยสิงอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ต่างคนก็ต่างเข้าใจ เราถึงตกลงกันว่า เรื่องของเราเอาไว้ก่อนก็ได้ ไม่ได้รีบอะไร ว่างก็เจอ ไม่ว่างไม่เจอก็ได้ แต่โทรรายงานสถานภาพชีวิตบ้าง ให้รู้ว่าเป็นมากกว่าคนรู้จักก็พอ
งานวันรับปริญญาคนเยอะจริงๆ หันมองไปทางไหนก็มีแต่บัณฑิตใหม่ในชุดครุย มีผู้ปกครองญาติพี่น้องมาร่วมถ่ายรูป แสดงความยินดีกัน ทั้งตุ๊กตาและดอกไม้ดูจะเป็นของขวัญยอดฮิตสำหรับวันนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากที่ต้องตื่นเช้าทุกวันเพื่อซ้อมพิธีการ ผมก็ค้นพบแล้วว่ามันคุ้มค่ากับวันนี้จริงๆ เมื่อคืนเจอเสี่ยโปรดบ้างแต่ก็คุยกันแป๊บเดียวเพราะต่างคนต่างเหนื่อย ตอนเช้าก็ไม่เจอเพราะคณะพี่โปรดกับคณะผมรับคนละช่วงเวลากัน เขารับช่วงเช้า ส่วนผมรับช่วงบ่าย
“ไอ้ปลื้มมมมมมมมม ยิ้มมมมหน่อยยยย กูอุตส่าห์บินกลับไทยเพื่อมึงเลยนะเนี่ย แหกกกกปากให้กว้างงงเข้าไว้” คุณเฟรนดึงแก้มผมจนยืดติดมือเขา เขาน่ารักขึ้นมากเลยนะ ตั้งแต่ไปใช้ชีวิตอยู่กับคุณกิมที่ออสเตรเลีย ก็พากันไปเรียนต่อทั้งคู่นั่นแหละครับ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคบกันอยู่รึเปล่านะ เพราะก็ไม่เห็นคุณเฟรนเขาพูดให้ฟังเลย สไก๊คุยกันทีไรมีแต่เรื่องนักเรียนนอกล่ำๆ ทั้งนั้น -O-;
ผมฉีกยิ้มกว้างโดนข้างซ้ายมีคุณติ๊กกับคุณกิมยืนอยู่ อีกข้างเป็นคุณเฟรนที่กอดแขนผมไว้แน่น
“อ่ะนี่...มีคนฝากมาให้”
ผมรับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มาจากคุณกิมที่ตอนแรกเห็นคุณติ๊กเป็นคนแบกมา
“ใครเหรอครับ”
“อ่านการ์ดแล้วมึงคงรู้เอง”
คุณกิมพูดถูก...อ่านการ์ดแล้วผมรู้ได้ทันที เพราะลายมือนี้เคยคุ้นตาเมื่อสมัยที่ยังทำโปรเจ็คด้วยกัน
'ยินดีด้วย! สำเร็จแล้วนะ!!
ยังกลับไม่ได้...แต่สักวันคงได้เจอกัน
แล้วถ้าวันนั้นมาถึง...ช่วย...ฟังในสิ่งที่กูจะพูดด้วยนะ
ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็...รักกับพี่กูไปนานๆ นะ
เป็นห่วงเสมอ – เปรม'
อ่านจบผมก็ทำได้แค่ยิ้มออกมา...ถ้าเจ้าของการ์ดเขาอยู่ตรงนี้ ผมก็อยากจะบอกเขาว่า...ผมพร้อมจะฟังทุกเรื่องที่เขาจะพูด และพร้อมที่จะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำพลาด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาพร้อม...เราคงจะได้เจอกัน และกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง
ผมกับพวกคุณเฟรนเดินหามุมถ่ายรูปสวยๆ กัน เจอรุ่นน้องล้อมตัวไว้แล้วบูมให้ไปหลายรอบมาก ถึงอย่างนั้น...ผมก็ยังขนลุกไปกับเสียงบูมของเด็กๆ ไม่ได้อยู่ดี มันให้ความรู้สึกทั้งภูมิใจทั้งตื้นตันใจ การได้อยู่ในวงล้อมแบบนี้ ฟังเสียงของคณะที่ผมภาคภูมิใจที่ได้เรียนมาตลอดระยะเวลาห้าปี คุ้มค่า...กับความอดทน และคุ้มค่ากับความพยายาม
พ่อกับแม่มาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ถ่ายรูปกันไปหลายรูป พ่อที่ไม่เคยบอกเลยว่ายอมรับในสิ่งที่ผมเลือกก็ยังอดยิ้มแล้วกอดผมไว้ไม่ได้ เห็นแม่น้ำตาคลอแล้วผมก็อยากจะร้องไห้ตาม ส่วนพี่ยินดี เขาติดสอบ เลยมาไม่ได้ แต่ก็แฮงเอ้าท์คุยกันแทน
“พี่โปรดอยู่ไหนล่ะลูก” แม่ถามเบาๆ เพื่อไม่ให้พ่อได้ยิน
“ไม่รู้อ่ะแม่ ผมไม่เห็นเลย”
“แต่ครอบครัวนั้นเขาก็มากันตั้งแต่เช้าแล้วนา เดี๋ยวแม่โทรหาเพื่อนก่อน”
แม่ผมน่ะสปอยพี่โปรดมาก นี่บอกเลย -_- ตอนแรกก็ดูเหมือนจะโกรธพี่โปรดนะ แต่เพราะช่วงที่เฮียแกเดี้ยงช่วงนั้นไงเลยได้ใจแม่ไปมากโข ต่างกับพ่อที่ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ พ่อผมเห็นนิ่งๆ อย่างนั้น บทจะแขวะนี่จัดเต็มได้ตลอดนะครับ =_=;
“โทษทีจ้า ลูกโปรดเพื่อนเยอะ ถ่ายไปไม่รู้กี่พันรูปแล้ว แต่ละคนฉันก็ไม่รู้จักหรอก ยิ้มแล้วยิ้มอีก เหนื่อย -O-;” คุณแม่พี่โปรดมาแล้วครับ น่ารักมาเชียว อยู่กับแม่ผมแล้วคุยกันงุ้งงิ้งมาก ส่วนพ่อพี่โปรดก็ตามสไตล์ครับ ล่องลอยมาหาพ่อผมแล้วก็คุยกันภาษาหนอนหนังสือ สองคนนี้เคมีตรงกันเลยเข้ากันได้ แต่พอสุดหล่อในชุดครุยโผล่มาเท่านั้นแหละ
“เหอะ เด็กเยอะ เหนื่อยแย่เลยใช่มั้ยโปรด” พ่อ =_=;;
“รุ่นน้องทั้งนั้นครับ ตอนนี้ผมมีเด็กคนเดียว ^^”
“อ๋อเหรอ”
สองคนนี้คุยกันทีไร ทำเอาคนอื่นต้องส่ายหน้าทุกที ผมเลยเดินเข้าไปตัดบทสนทนาโดยการลากพี่โปรดให้มายืนถ่ายรูปด้วยกัน
“พี่น่าจะเสร็จก่อนผม ทำไมถึงช้านัก”
“ก็มีแต่คนขอถ่ายรูปด้วย เดี๋ยวพวกไอ้ซอลไอ้เทพจะตามมา พวกมันไปหามุมถ่ายกันเองอยู่ มันบอกว่าปีมันรับไม่มีซุ้มสวยๆ เท่าปีนี้”
ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยอมให้พี่โปรดกอดคอถ่ายรูปด้วยกัน
มันคงเป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตผมอีกวันหนึ่งที่ในรูปวันรับปริญญาของผมมีคนที่ผมรักเกือบทุกคนในรูปใบนี้ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ค่อยชอบพี่โปรดนักแต่ก็ยังยอมให้เขายืนถ่ายรูปอยู่ข้างๆ ผม
“ปลื้ม เดี๋ยวถ่ายรูปเสร็จแล้วพี่ขอคุยด้วยหน่อย”
“หือ คุยไร”
“เออน่า เรื่องสำคัญ”
เขาบอกแค่นั้นก่อนจะโดนเพื่อนๆ ดึงตัวไปหามุมสวยๆ ถ่ายรูปกันต่อ ส่วนพวกผมก็เช่นกัน มีแต่พวกพ่อกับแม่ที่ขอไปนั่งพักหาอะไรเย็นๆ กินกันเพราะทนความเมื่อยและความร้อนไม่ไหว
พอคิดว่าถ่ายทุกมุมจนครบแล้ว พวกผมก็วนเวียนมาเจอกับพวกพี่โปรดแล้วก็โดนยัดเยียดให้ถ่ายคู่กันสองคน ฮ่าๆๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ เพื่อนๆ พี่ๆ รีเควสมาก็จัดไป
ตอนนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางดอกทิวลิปสีสวย สายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นชุดที่ใส่ก็ร้อนอยู่ดี -_-; พี่โปรดยืนสูงอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปความสูงของผมก็แค่หน้าอกเขา T_T เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับว่าความสูงผมไม่เคยเพิ่มขึ้นเลย ในขณะที่พี่โปรดเลยร้อยเก้าสิบไปตั้งนานแล้ว
“หมอ มีไรจะคุยว่ามาเลย =O=;”
“อากาศร้อนก็อย่าใจร้อนตามดิ”
“ก็วัยรุ่นไง ใจร้อนเรื่องธรรมดา”
“เหมือนจะสื่อว่าพี่แก่ =_=;”
“คิดไปเอง อีกไม่กี่ปีจะสามสิบนี่ไม่แก่หรอก ชิว”
“ย้ำทำไม =_=;;”
ผมได้แต่หัวเราะขำกับสีหน้าของพี่โปรด เขางอนทุกทีนั่นแหละที่ผมพูดเรื่องอายุ แต่มันก็เป็นความจริงนะที่เขาเข้าใกล้เลขสามไปทุกทีแล้ว ในขณะที่ผมยังไม่ผ่านครึ่งห้าสิบเลย โฮะๆ
“รับเสร็จแล้วน้องกลับเชียงใหม่เลยมั้ย”
“ไม่อ่ะ พี่เท็นให้พักร้อนอีกห้าวัน”
“ไอ้เท็นมันเลิกค้าทาสตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฮ่าๆ อย่าว่าเจ้านายผมนะ”
“แตะไม่ได้เลย”
“^^ แน่นอน คนจ่ายเงินเดือนก็ต้องดูแลหน่อย”
“งั้นมารับเงินเดือนจากพี่มั้ย อยากมีคนดูแล”
โหะ...
“อะ..อะไรของพี่เนี่ย”
“พูดจริง ไม่ได้ล้อเล่น”
พี่โปรดทำหน้าจริงจัง แถมตายังดุหน่อยๆ เมื่อเห็นว่าผมกำลังจะทำเป็นเล่นเหมือนทุกที เพราะเวลาคุยโทรศัพท์แล้วเขาเกริ่นๆ มาแบบนี้ผมก็เฉไปอีกเรื่องเลย ไม่ใช่ไม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่ผมก็มีงานที่อยากทำ ความรู้สึกมันต่างกันนะ ระหว่างเป็นแฟนกับเป็นคนในครอบครัว เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้คบกันเล่นๆ ทุกการกระทำมีความจริงจังแฝงอยู่ทั้งหมด ทำให้ผมต้องใช้เวลาในการตัดสินใจค่อนข้างมากทีเดียว
“มาอยู่กับพี่นะปลื้ม...”
“...”
“ให้พี่รอต่อไปพี่ก็ทำได้ แต่อยากจะดูแลปลื้มให้มากกว่านี้”
“...”
“ได้มั้ย”
“ก่อนจะขอ...พี่ลืมอะไรไปรึเปล่า”
“หืม? ลืม?”
“บอกรักผมหรือยัง”
“อ่า...”
“สามปีมานี้ได้ยินแค่สามครั้งเอง -*-”
“ไม่จริง”
“จะเถียงเหรอออออ -_-;”
“ถ้าเถียง?”
“โกรธ”
“งั้นไม่เถียง”
“ก็จะโกรธอีก”
“เอาไง -_-;”
“พี่ล่ะจะเอาไง”
พี่โปรดยกมือกอดอกมองหน้าผม ผมก็มองตอบกลับไป จ้องตาสวยๆ ของเขากลับไปไม่แพ้กัน จนสุดท้ายเขาก็คลายแขนออกแล้วยื่นมือมาขยี้หัวผมก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ
“ปลื้ม” เสียงทุ้มที่นุ่มและอ่อนโยนกว่าปกติทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นกว่าเดิม
“ครับ”
“ยื่นมือมา”
ผมทำตาม ก่อนพี่โปรดจะบรรจงใส่แหวนทองคำขาวไว้บนนิ้วนางข้างซ้ายของผม... แหวนวงเดิมที่ผมเคยถอดออกเมื่อสามปีก่อน แต่มาวันนี้มันก็ยังสวมเข้ากับนิ้วผมได้พอดิบพอดี
“คืน”
“อื้ม”
“พี่รักปลื้ม...รักมาก...”
“-///-”
“สามปีอาจยังไม่พอที่จะพิสูจน์อะไรได้...แต่เวลาทั้งชีวิตของพี่ก็พร้อมจะให้ปลื้ม...มาอยู่กับพี่เถอะนะ”
“...”
“มาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“...”
“นะปลื้ม”
ผมพยักหน้าก่อนจะเข้าไปกอดเขาไว้ ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะพี่โปรด -///-
“ปลื้มก็รักพี่ รักมากด้วย ไปอยู่ด้วยแล้วต้องดูแลปลื้มนะ แต่ก่อนอื่นพี่ต้องไปขอพ่อก่อน -///-”
พี่โปรดพยักหน้า ยิ้มกว้างจนผมต้องยิ้มตาม ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่ทันผมหรอก ผมร้องไห้ก่อนพี่โปรดตั้งนานแล้ว...ไม่ใช่ว่าเสียใจ แต่ดีใจมากต่างหากที่ในที่สุด...โลกของผมก็เริ่มหมุนต่อไปอีกครั้ง
โลกที่เมื่อก่อน...เคยยกให้ผู้ชายตรงหน้าเพียงคนเดียว แต่เดี๋ยวนี้...ในโลกใบเดิมที่เคยหยุดนิ่งไป
ได้มีตัวผมเพิ่มเข้าไปอีกคน...ไม่ได้เดินอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเขา แต่เรา...เดินไปพร้อมๆ กัน
เรื่องราวของเรา...ไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้ แต่มันจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ผมกับเขายังมีลมหายใจ
จากวันนี้ไป...มันก็แค่การ...เริ่มต้นใหม่...ของเรา
The end
....................................Thank you...................................................
จบแล้วววว
เรามีตอนพิเศษให้ค่ะ แต่ตอนพิเศษไม่ได้ลงทุกวันนะคะ รอลุ้นกันว่าวันไหนจะมา ถ้ามาก็คือมา (อ้าว
)
มีหลายเรื่องที่อยากจะบอก
เริ่มจาก...แรงบันดาลใจ
มาโปรด ชื่อนี้แว๊บเข้ามาในหัวตอนที่ได้ฟังลูกพี่ลูกน้องเล่าประสบการณ์การไปฝึกสอนเด็กปฐมวัยให้ฟัง เด็กคนหนึ่งชื่อมาโปรด แววหล่อตั้งแต่เด็ก แต่ดื้อมาก เวลาทำผิดแล้วจะถูกครูตี น้องจะบอกว่าอย่าตีโปรดนะ โปรดขอโทษ อะหืออออ เด็กน้อย มันแบบฟินเลย คิดอยู่ว่าถ้าเด็กน้อยคนนี้โตมาจะเป็นยังไง แต่น้องโตมาต้องอย่ามีนิสัยเหมือนอิเฮียของเราเชียวนะ ฮ่าๆๆๆ หมายถึงช่วงแรกๆ น่ะค่ะ
สิ่งที่เราอยากถาม...เรื่องนี้ให้อะไรกับคุณ นอกจากความน้ำเน่าแล้ว...มีอะไรอีกที่คุณได้รับรู้จากผู้ชายคนนี้ ส่วนตัวคนเขียนแล้ว...พี่โปรดในมุมมองของปลื้ม...ดูแบดมาก แต่เวลาเขาอยู่กับแม่เขาจะเหมือนเด็กน้อยเลยทีเดียว คนเรามีหลายมุมหลายคาแร็คเตอร์ คนเขียนเชื่อว่าคนอ่านทุกคนก็ไม่ต่างกัน มีมุมที่อยู่กับตัวเอง กับพ่อแม่ กับเพื่อน กับคนรัก บุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อยู่ที่เลือกจะคิดหรือแสดงออก
แล้วปลื้มล่ะเป็นแบบไหน...น้องมายังไง ไปเจอใครถึงได้จับพลัดจับผลูมาเป็นคาแร็คเตอร์ของนายเอกเรื่องนี้... อันนี้ต้องบอกเลยว่าคิดนานมาก เพราะด้วยนิสัยของมาโปรด เขามีพร้อมทุกอย่าง เขาไม่จำเป็นต้องสนใจนายเอกที่เชิ่ดๆ หยิ่งๆ ได้มายากก็ได้ ตรรกะของความคิดที่ว่า ฉันเจ๋ง ฉันแน่ ฉันเหนือของพี่โปรดทำให้เขาไม่เสียเวลาจีบคนที่เริ่ด เชิด หยิ่ง ความคิดที่ว่าจีบติดแล้วภูมิใจเขาไม่มีนะ เลยต้องหาคนที่ทำให้เขาต้องขาดไม่ได้ คนที่ทน ที่ทำทุกอย่างให้ อดทนกับความใจร้ายของเขาโดยไม่ปริปากบ่น แล้วพอวันหนึ่งคนๆ นั้นไม่อยู่ ความรักความผูกพันธ์นั่นแหละที่จะทำให้เขาเป็นบ้า เพราะฉะนั้น...น้องปลื้มถึงได้มา
อาจจะตีโจทย์ไม่แตกในอารมณ์ของหลายๆ คน แต่สำหรับคนเขียน พึงพอใจแล้ว
สุดท้าย ขอบคุณที่เคียงข้างกันมาจนถึงตอนนี้ เราเดินมาพร้อมกัน ดราม่าไปพร้อมกัน ทั้งด่า ทั้งสงสาร แม่ยกน้องปลื้ม และติ่งเสี่ยโปรดที่เคารพทุกท่าน ขอบคุณจริงๆ ค่ะ 
และขอบคุณที่ทำให้มาโปรดเป็นที่รู้จักจากการเล่าสู่แบบแมนทูแมน
ดูแลตัวเองค่ะ 
กำลังสำรวจความสนใจ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ตอบด้วยนะคะ โพล =_=;