12 Love is...ชุดไปงานแต่งที่ผมกับหมอหมาใส่ไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ แต่คล้ายกันมากจนให้ความรู้สึกว่าคล้ายชุดคู่อยู่รอมรอ เป็นสูทดำสั่งตัดกับเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุมบน ของผมมีลายเส้นสีเทาตามยาวจาง ๆ แต่ของหมอปอเป็นขาวล้วนไม่มีลวดลาย พอเซ็ทผมกับจับใส่คอนแท็กเลนส์ดูหล่อขึ้นเป็นกอง ผมยืนกอดอก มองเด็กหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยหมุนตัวอยู่หน้ากระจกแล้วเผลอยิ้ม ปอโตเป็นหนุ่มแล้ว หนุ่มเต็มวัยเสียด้วย
“มองอะไรครับพี่ธัน”
คนถูกคุกคามทางสายตาสบตากับผมผ่านภาพสะท้อน เอานิ้วเกาสิวเม็ดเล็ก ๆ ตรงหัวคิ้วตัวเองราวกับสะกิดแล้วมันจะหลุดออกจนผมต้องเดินไปรวบแขนทั้งสองข้างไว้ด้วยอ้อมกอด ใช้คางเกยบ่าลาดขณะที่คนตัวเล็กยุกยิกไม่หยุด
“เดี๋ยวเสื้อยับครับ"
“ไม่ยับหรอก แต่ปอเกาหน้านี่แหละจะเป็นแผลเอา”
“สิวขึ้น” พูดจบก็พลิกตัว หันหน้ามาเผชิญกับผม “น่าเกลียดไหมครับ”
“น่ารัก”
ไม่ได้แกล้งยอนะ พูดจริง ๆ ปอใส่ชุดนี้ทั้งหล่อทั้งน่ารัก แต่จะน่ารักกว่าถ้าไม่ใส่อะไรเลย แต่อย่าเพิ่งผลีผลามไป เดี๋ยวน้องจะกลัวไปใหญ่ หลังจากคืนนั้นของผมกับปอยังไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบเสียทุกอย่างแบบที่ไอ้กรณ์หมายมั่นปั้นมือไว้ แต่ก็แตะต้องตัวได้มากกว่าเดิมทีละนิดละหน่อยจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากมือเป็นปาก ขึ้นบันไดทีละสเต็ป(ถึงแม้จะเคยก้าวกระโดดมาแล้วก็เถอะ) ผมไม่เคยเป็นฝ่ายถูกทำมาก่อน ไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน แต่เห็นปอไม่สบายตัวหลังจากวันนั้นลึก ๆ ก็ห่วงเหมือนกัน ตัวปอเล็กนิดเดียว เทียบกับผมแล้วห่างกันหลายเซนติเมตรอยู่ ทำอะไรตามใจตัวเองหมดเดี๋ยวจะกลายเป็นรังแกเด็กไม่มีทางสู้ เสียผู้ใหญ่หมดพอดี
“ปากนี่ก็พูดไปเรื่อย ให้อาหารหมาเสร็จแล้วเหรอครับ”
“เรียบร้อย เติมน้ำใส่ขวดให้แล้วด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นไปเลยหรือเปล่าครับ”
“อืม ไอ้กรณ์บอกอีกสิบนาทีเสร็จ ออกตอนนี้น่าจะไปรับมันพอดีเวลานั่นแหละ” คนในอ้อมแขนพยักหน้า ในตาฉายแววกังวลนิด ๆ “พี่กรณ์โอเคแล้วเหรอครับ”
หมอแม่งน่ารักเพราะแบบเนี้ย เป็นห่วงเขาไปทั่ว ต่อให้ไอ้กรณ์เพื่อนผมจะเคยพูดถึงตัวเองในแง่ที่ไม่ดีนักปอก็ไม่ถือสา หมอเป็นคนใจกว้าง ใจดี มีเมตตาธรรมค้ำจุนโลกสุด ๆ ประเสริฐไม่มีใครเกินแล้วที่รักผม ปล่อยให้หลุดมือไปก็เรียกว่าโง่แล้วครับ ที่พูดนี่ไม่ได้หลงเมียนะ เขาเรียกว่าดวงตาเห็นธรรม
“ก็โอเคแล้วมั้ง แต่คงจะเข็ดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ไปพักใหญ่เลย ที่จริงมันก็รักนุ้ยนะ แต่ความรักพอคบกันไปนาน ๆ มันก็จืด เบื่อกันไปเฉย ๆ จนมองเห็นว่ารักแบบนั้นมันเป็นแค่ความผูกพัน รู้ตัวอีกทีก็ต้องปล่อยให้มันอยู่คนเดียวแบบนี้แหละ” พูดพลางนึกถึงวันเก่า ๆ ที่ไอ้กรณ์มีกับนุ้ยไปด้วย เมื่อก่อนผมยังนึกเลยว่าคู่นี้น่ารัก ไอ้กรณ์เจ้าชู้ ส่วนนุ้ยใจดี แต่จับได้ทีไรจากนางฟ้าเปลี่ยนเป็นซาตานทุกที ไอ้กรณ์นี่ครางหงิงกลับบ้านแทบไม่ทัน
“บางทีความหลงใหล ความวาบหวามชั่วครั้งชั่วคราวมันก็บั่นทอนชีวิตคู่ ตอนนี้ถือเป็นบทเรียนของมันแล้วล่ะ”
หมอปอพยักหน้า ถอนหายใจเบา ๆ แต่ยังคงความกังวลไว้ในแววตา “...ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ”
“อืม งั้นไปกันเถอะ ไปถึงงานดึกเดี๋ยวมี่เพ่นกบาลผมแตก”
พูดจบก็ถือวิสาสะโอบเอวบางให้เดินออกไปด้วยกัน หมอปอไม่ได้ขัดขืน มิหนำซ้ำยังเบียดตัวเข้าหาให้เอวคอดอยู่ในอาณัติผมเต็มไม้เต็มมือเสียอีก
งานแต่งของมี่จัดในห้องบอลลูมขนาดกลางของโรงแรมใจกลางเมือง แขกเหรื่อส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศทั้งแผนกเดียวกันและแผนกของเจ้าบ่าว กับเต้ผมไม่ได้รู้จักดีนัก แค่รู้ว่าชื่ออะไรทำงานฝ่ายไหน ไม่เคยคุยด้วยตรง ๆ สักครั้งแต่ท่าทางเพื่อนเยอะอยู่ แค่เชิญเฉพาะคนรู้จักทั้งห้องจัดเลี้ยงยังแน่นขนัด
วันนี้ทั้งบ่าวทั้งสาวแต่งตัวแต่งหน้าดูดีเสียจนจำภาพของเพื่อนสาวเปรี้ยวเข็ดฟันแทบไม่ได้ รอยยิ้มที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีลูกกวาดทำให้บรรยากาศอิ่มเอมไปด้วยความหวาน ดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่เสียบบนเส้นผมเจ้าสาวก็ดูเบ่งบานสะพรั่งไปพร้อม ๆ กัน
“กำลังจะโทรตามแล้วเชียวว่าเมื่อไรจะมา” มี่ทักก่อนจะหันไปถ่ายรูปกับญาติ ผมยื่นซองสีชมพูมุกใส่ลงไปในกล่องกระดาษสีบานเย็น ก่อนเขียนคำอวยพรสั้น ๆ ลงบนสมุดสเกตซ์ที่ถูกดัดแปลงมาเป็นบันทึกแห่งความทรงจำที่โต๊ะตัวยาวใกล้ซุ้มดอกไม้ ไอ้กรณ์เองก็ทำเหมือน ๆ กัน มันเหลือบตาขุ่น ๆ ไปมองเจ้าบ่าววูบหนึ่งก่อนกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มแสดงความยินดี
“มี่สวยมาก” กรณ์ชม และไม่มีใครไม่เห็นด้วย แม้แต่หมอปอยังมองตาค้างไม่ต่างกัน
“เก็บอาการหน่อยครับ เดี๋ยวเจ้าบ่าวก็ได้ต่อยเด็กแถวนี้ปากแตกหรอก” หรือไม่ผมก็จะเปลี่ยนไปใส่ชุดเจ้าสาวให้หมอมันมองผมด้วยสายตาแบบนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด
“ก็พี่มี่สวยนี่ครับ”
“ก็แค่สวย ทำอะไร ๆ ให้ปอเหมือนที่พี่ทำให้ไม่ได้หรอก” คนตัวเล็กสุดในที่นี้ทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดี
“ทะลึ่ง”
“พี่หมายถึงใครจะมาเลี้ยงหมาเอาใจหมอตั้งห้าตัวแบบพี่ ไม่มีแล้วล่ะ”
“พี่ธันอยากเลี้ยงเองก็อย่ามาโบ้ยผมเลย”
“จำไม่ได้จริง ๆ ใช่ไหม ใครที่บอกว่าอยากเลี้ยงหมาแต่ที่บ้านไม่อนุญาต จะไม่ได้ใช่ไหมว่าคนที่มองตามพุดเดิ้ลตาละห้อยไปตอนเด็ก ๆ นั่นใคร”
“เอ้า ๆ อย่าทะเลาะกันจ้า” เจ้าสาวรีบปราม ผมล่ะอยากจับไอ้ตัวเล็กมาเขกกบาลสักที ที่ทำมาทั้งหมดนี่เพื่อใครไม่รู้ตัวไม่ว่า ยังทำหน้าตากวนประสาทอีก เดี๋ยวจะโดน
“ถ่ายรูปกันดีกว่า วันนี้น้องปอหล่อขนาดนี้พี่อยากจะเปลี่ยนเจ้าบ่าวขึ้นมาเลย”
“ต่อยกันไหมมี่” ผมพูดขำ ๆ เรียกเสียงฮาครืนให้วงสนทนาเล็ก ๆ ก่อนเสียงทุบอึกจากกำปั้นของเด็กหนุ่มจะฟาดลงบนบ่าผม อยากจะรวบมากอดแล้วฟัดแก้มทั้งสองข้างหนัก ๆ ชะมัด ทุกครั้งที่มันขึ้นสีเลือดฝาดเห็นแล้วมันเขี้ยวจริง ๆ
เสียงชัตเตอร์ดังรัวไม่กี่ครั้งก่อนผมกับปอและกรณ์จะเลี่ยงเข้ามาในงานให้บ่าวสาวรับแขกท่านอื่นต่อ โต๊ะที่มี่จองไว้ให้ถูกจัดไว้ด้านหน้า แต่ไม่ใช่หน้าสุด เป็นโต๊ะกลมปูด้วยผ้าขาวและแจกันดอกไม้สีชมพูอ่อนสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน หมอปอยกมือไหว้พี่ ๆ ที่ทำงานผมทีละคนโดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามคอยจับจ้องมาไม่ห่าง
“น้องของธันเหรอ”
“ก็...ประมาณนั้นแหละครับ ไม่ใช่น้องแท้ ๆ”
“หล่อเชียว ชื่ออะไรคะ”
“ปอครับ” เด็กหนุ่มตอบ ท่าทางเกร็งนิด ๆ
“แล้วยังไงถึงชวนน้องมาด้วยล่ะ เดี๋ยวก็เบื่อหรอก มีแต่คนแก่”
“น้องรู้จักกับมี่น่ะ” ผมตอบแทน เหลือบตามองคนที่ถูกพาดพิงไปด้วย “อีกอย่าง นี่แฟนเรา”
“เฮ้ย ! พูดจริงน่ะ”
“อืม” ผมตอบยิ้ม ๆ เรียกสีหน้าประหลาดใจจากคนอื่นได้หมดยกเว้นไอ้กรณ์ที่ทำหน้าเซ็ง กับหมอปอที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่เตะขาผมใต้โต๊ะเบา ๆ แหม อยากจะแนะนำว่าเมียอยู่หรอก แต่เดี๋ยวปอจะเสียหาย งุบงิบเอาไว้ให้จั๊กจี้หัวใจคนเดียวดีกว่า
“ไม่รู้มาก่อนว่าธันชอบผู้ชาย ไม่สิ ดูไม่ออกด้วยซ้ำ เมื่อก่อนก็...”
“เฮ้ย อย่าพูดถึงอดีตเลย เดี๋ยวน้องงอนเรา” พูดแล้วก็หันไปยิ้มให้อีกที มีสายตาหมั่นไส้แบบปิดไม่มิดจากเพื่อนร่วมโต๊ะสะท้อนมา แต่ผมไม่สนใจ สนก็แต่คนแก้มแดงข้าง ๆ นี่แหละ เขิน เอ้าเขิน ยิ่งพูดยิ่งเขิน ไม่แซวก็อย่าเรียกผมว่าไอ้ธันเลยครับ
“ร้อนเนอะหมอ”
“ครับ?”
“หน้าแดงเชียว”
พูดจบก็รีบหดขาตัวเองไปใต้เก้าอี้ เฉียดปลายเท้าหมอปอหวุดหวิด สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มเผล่ให้คนตัวเล็กถลึงตาใส่เท่านั้น
เสียงดนตรีในงานแต่งงานคลอเป็นเพลงเพราะหวาน บทสนทนาในโต๊ะขนาดกลางพูดถึงชีวิตรักของมี่ที่ใคร ๆ ก็ดูออกว่าเดิมทีมีใจให้ผมแล้วจับพลัดจับผลูมาลงเอยกับเพื่อนต่างแผนกอย่างเต้ได้อย่างเหนือความคาดหมาย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบแต่รวดเร็วจนน่าตกใจ บางคนถึงกับเป็นห่วงว่าจะคบกันไม่ยืด แต่พูดถึงเด็กในท้องกลับไม่มีใครเลยที่แสดงท่าทีกังวลไปด้วย
“มี่ดีใจมากที่มีน้อง ไอ้เต้ก็เห่อพอกัน อายุมากกันทั้งคู่แล้ว มี่เองก็สามสิบกว่า แก่ไปกว่านี้จะอันตรายทั้งคู่เอา”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ยิ่งตอนเจ้าสาวเอาการ์ดมาให้แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เต็มตื้นไปด้วยความสุขยิ่งนึกออกว่ามี่ดีใจมากแค่ไหน
“มีน้องเนี่ยถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดเลย พอผลตรวจออกเราไม่ลังเลเลยสักนิดที่เต้ถามว่าแต่งงานกันไหม” เจ้าสาวที่ยืนตัดเค้กทำพิธีอยู่ใกล้ ๆ เวทีหันไปส่งยิ้มให้เจ้าบ่าว แสงไฟถูกเปิดเฉพาะจุดทำให้ทั้งคู่โดดเด่นกว่าใคร
“มี่กับเต้ดูรักเด็กทั้งคู่ วันหนึ่งความรักทั้งสองคนน่าจะลงมาอยู่ที่โซ่ทองนั้นแน่ ๆ ครับ” ความเห็นของผมถูกตอบรับด้วยการพยักหน้าของใครหลาย ๆ คน เรามองพิธีมงคลสมรสที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความรักและร่วมเป็นสักขีพยานให้มัน กลิ่นหอมหวนที่ชวนให้ลิ้มลอง ความผูกพันที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ ก่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นในใจ
ผมเหลือบตามองปอ เด็กหนุ่มเอาแต่จ้องคู่บ่าวสาวนิ่ง นัยน์ตาไหวระริกเต็มไปด้วยความรู้สึกของอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่ผมอ่านออกได้ว่า ปอกำลังกังวล
ออดี้สีเหลืองสดจอดเทียบในที่ของมันอย่างคุ้นเคย สี่ทุ่มแล้ว แต่ผมกับหมอเพิ่งพากันกลับมาถึงบ้าน ปอดื่มไวน์นิดหน่อย ไม่ได้เมาแต่ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจกันแน่ถึงนิ่งเงียบมาตลอดทาง
เสียงสุนัขทั้งห้าเห่าระงมต้อนรับเจ้านาย วิ่งพันแข้งพันขาจนชนกันเองบ้าง เอาหัวมาชนกับขาผมบ้าง บางตัววิ่งไปรับหมอปอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเจอญาติสนิทที่ห่างหายกันเป็นปี หากแต่หมอปอไม่ก้มลงเล่นกับมันเหมือนทุกครั้ง เด็กหนุ่มเดินเลยเข้าบ้านผมไปเพราะทิ้งหนังสือเรียนที่เอามาอ่านเมื่อตอนกลางวันไว้ในบ้านผม พอเห็นของที่ตัวเองวางเอาไว้ก็หยิบขึ้นมากอด ทำท่าจะเดินกลับบ้านหลังติดกันไปเสียดื้อ ๆ
“นอนนี่แหละ”
“ผมอยากกลับบ้านบ้าง ไม่ค่อยได้กลับเลยครับ”
“กลับไปก็นอนคนเดียว อยู่นี่แหละ ค้างกับพี่”
ตากลมใต้คอนแท็กเลนส์สีใสไหวหลุบเล็กน้อยก่อนผมจะเดินเข้าไปใกล้ ดึงหนังสือเล่มหนาออกจากแขนเล็กทั้งสองข้าง
“ไปถอดคอนแท็กเลนส์ไป น้ำยาล้างกับตลับอยู่หน้ากระจก เดี๋ยวพี่ปิดบ้านแล้วจะตามขึ้นไปข้างบน” คนตัวเล็กแสดงความลังเลอยู่วูบหนึ่งก่อนพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย ผมวางหนังสือไว้ที่เดิม เดินไปล็อกประตูบ้านทั้งบานใหญ่และมุ้งลวดให้เรียบร้อย หันมาคุยกับหมาที่นั่งเรียงหน้ากระดานกันหน้าสลอน
“คืนนี้นอนข้างล่าง เดี๋ยวข้าง้อเมียเสร็จค่อยขึ้นไปนะพวกเอ็ง”
เสียงงี้ดดังขึ้นมาเบา ๆ บางตัวหมอบลงไปอย่างพ่ายแพ้ ไม่ต้องมาอ้อนเลย ปกติเห็นใจนะ แต่รอบนี้ขอดูแลตัวเองก่อน ไม่รู้เจ้าตัวดีงอนอะไร เงียบเป็นคนใบ้แบบนี้เห็นแล้วไม่สบายใจเอาเสียเลย
เสียงประตูห้องปิดลงทำให้คนที่กำลังปลดกระดุมเสื้ออยู่สะดุ้งตัวน้อย ๆ ปรเมศวร์สบตากับผมผ่านกระจกแต่ไม่พูดอะไรจนผมเดินเข้ามาประชิดตัวอยู่ด้านหลังก็ยังแน่นิ่งอยู่อย่างผิดวิสัย ผมเอื้อมมือมาด้านหน้า ช่วยมือเล็กแกะกระดุมเสื้อหลังจากชุดสูทถูกวางพาดไว้บนเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจนัก ปอุถอดคอนแท็กเลนส์แล้ว สวมแว่นทรงสี่เหลี่ยมหนาเตอะอยู่บนหน้า บดบังความหล่อเหลาเหลือเพียงเจ้าเด็กแว่นตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“เป็นอะไร หืม?”
ถามพลางแยกสาบเสื้อออกจากกัน ไหล่เล็กลาดเปลือยปรากฏสู่สายตา เสื้อสีขาวร่วงลงพื้นเมื่อผมช่วยอีกฝ่ายดึงออกจากข้อมือ ไหปลาร้าทั้งสองข้างกับหัวไหล่มนเห็นได้ชัดเพราะน้องตัวเล็กมาก ผิวขาวจัดจนเรียกได้ว่าซีดเซียว มีเพียงยอดอกเท่านั้นที่มีสีทับทิมระเรื่อ ๆ เจืออยู่
“เปล่าครับ แค่จะอาบน้ำ”
“โกหกพี่อีกแล้ว”
ปอหลบตา ผมเลยบรรจงจูบไปที่หัวไหล่ซ้าย ไล่ริมฝีปากและลมหายใจร้อน ๆ มาจนถึงกกหู กล้ามเนื้อบนผิวกายนุ่มเกร็งตัวขึ้นมาถนัด ปอขยับตัวหนี ผมเลยได้แต่มองเส้นกระดูกสันหลังที่นูนขึ้นมาเป็นทรงสวยอย่างพิจารณา
“มีอะไรก็พูดกันสิ”
“ผมแค่คิด” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงเบา งอไหล่ทั้งสองไปด้านหน้าให้กระดูกคดตัวเล็กน้อย “ความรักของพี่ธันคืออะไร”
“ของปอล่ะคืออะไร”
“ผมไม่รู้...”
“ถ้าพี่บอกว่าความรักของพี่คือความสุขล่ะครับ ความสุขที่วิเศษ ที่แม้แต่เวลาที่เราเผชิญเรื่องทุกข์ใจอยู่กับคนพิเศษ มันก็ยังเป็นความสุข”
“คน ๆ นั้นเป็นผมเหรอ” หมอปอเอ่ยเสียงเบา แต่กลับชัดเจน ผมขยับเท้าเข้าใกล้อีก คราวนี้รวบกอดเอวบางไว้ด้วยมือทั้งสองข้างไม่ยอมให้คนตัวเล็กเดินหนี “ถามเหมือนไม่รู้”
“ถ้าวันหนึ่ง ความรักของพี่ธันมันจะเปลี่ยนไปเหมือนพี่กรณ์กับพี่นุ้ยหรือเปล่า มันจะจางลงไปเรื่อย ๆ จนเราลืมว่ามันคือความรักไหม”
“ถามอะไรแบบนั้น พี่รักปอมากี่ปี ยังไม่เชื่อใจกันอีกหรือไง”
“ก่อนหน้านี้พี่ธันยังไม่ได้...ผมไม่อยากพูดอะไรแบบนี้เลย แต่ลึก ๆ ผมก็ยังคิด” เด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ่ยเสียงสั่น แววตายังคงไหวระริกมองปลายเท้า “ผมมีลูกไว้ยึดพี่ธันไว้ไม่ได้เหมือนพี่มี่กับพี่เต้ ผมไม่มีอะไรเลย ผมเป็นแค่หมอหมาข้างบ้านที่วิ่งหาแต่พี่ธันตั้งแต่เด็ก ๆ ตั้งแต่จำความได้ผมก็มีพี่ธันแล้ว....ถ้าวันหนึ่งมันหมดไป วันนั้นผมจะอยู่ได้ยังไง”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความสั่นไหว ปอไม่ได้กลัวที่จะรัก ความกลัวของปอเปลี่ยนไป ผมสัมผัสได้จากน้ำเสียง แม้เจ้าตัวไม่เคยบอกว่ารักผม เราไม่เคยตกลงคบหาดูใจกันเป็นกิจจะลักษณะ แต่ผมกลับสัมผัสได้ว่าปอรัก เป็นความรักที่กำลังสั่นคลอนด้วยความกังวล วันนี้ปอเห็นความรักของใคร ๆ ในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันเลยเป็นกังวลว่าถ้าวันหนึ่งผมหมดรัก...
“คิดมากทำไมคนดี พี่เคยทิ้งปอเหรอ...”
“ไม่รู้สิ ผม...”
“เด็กโง่”
ผมยิ้ม คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงก่อนเงยหน้ามาสบตากับผมในกระจก หมอปอเปลือยในท่อนบน ขณะที่ผมยังสวมชุดทางการเต็มขั้นแต่ผมกลับไม่มีอารมณ์จะทะลึ่งตึงตังใส่ พูดกันตรง ๆ ผมก็มีจิตสำนักมากพอที่จะรู้ครับว่าตอนไหนควรเล่น ตอนไหนควรจริงจัง มัวแต่หยอกไอ้ตัวเล็กไปเรื่อยเดี๋ยวก็พากันพัง ความรู้สึกของปอเปราะบางและเป็นสิ่งที่ผมหวงแหนมากที่สุด
“คิดว่าพี่พยายามตัดใจกี่ครั้งก่อนจะลงมือจีบปอ ถ้าพี่ทำได้ พี่ทำไปนานแล้ว พี่รักปอไม่น้อยไปกว่าที่ปอรักพี่หรอกนะ เผลอ ๆ จะมากกว่าด้วยซ้ำ กังวลอะไรครับ”
ปรเมศวร์ส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนหยุดนิ่งเมื่อผมยื่นหน้าไปจูบเบา ๆ ที่ขมับ ใช้จมูกกดลงแล้วกระซิบข้างหู “แต่งงานไหมล่ะ ปอกับพี่”
“แต่งงานไม่ใช่จุดสิ้นสุด ไม่ใช่คำตอบว่าพี่ธันจะไม่ทิ้งผมด้วยซ้ำ”
“เห็นไหมล่ะ” พูดพลางหัวเราะไปด้วย สักพักก็จัดการหมุนร่างเล็ก ๆ ให้หันกลับมาเผชิญหน้า เราสบตากันพักใหญ่แต่ไม่มีใครพูดอะไร ปลายจมูกปอแดง มีเสียงสูดน้ำมูกเป็นพัก ๆ
“ร้องไห้ทำไมคนดี”
สิ่งที่ได้กลับมาคือหัวเล็ก ๆ ส่ายไหวดุกดิก ไม่คิดว่าปอจะคิดมากกับเรื่องของเราขนาดนี้ เห็นแล้วก็อดดีใจนิด ๆ ไม่ได้ “แค่ปอเชื่อพี่ พี่เชื่อปอก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องคิดหรอก”
“ผมจะอยู่ยังไงถ้า...”
“ปอ....มันยังมาไม่ถึง ความกลัวของปอตอนนี้กำลังทำให้เราทั้งสองคนไม่มีความสุขกันทั้งคู่นะ” ผมใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่กลิ้งลงบนแก้มเนียน จ้องมองคนตัวเล็กด้วยสายตาจริงจัง ขนตายาวหลุบลงต่ำ แม้จะอยู่ใต้เลนส์แว่นมันก็ยังดูยาวและขับใบหน้าให้ดูน่ารักน่าชังเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องกลัว พี่รักปอเป็นเรื่องจริง วันหนึ่งพี่อาจจะทิ้งปอไป เชื่อเถอะว่าวันนั้นคงเป็นวันที่พี่แก่ตาย ไม่ใช่เพราะเลิกรักปอแล้ว”
คำพูดของผมไม่ได้เติมแต่งหรืออยากหลอกล่อให้อีกฝ่ายหลงระเริง เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความสัจจริง ไม่ใช่แค่ปอที่จำความได้ก็มีผมในชีวิต ตัวผมเองเมื่อนึกถึงอดีตทีไรก็มีแค่ภาพของเด็กผู้ชายตัวแกร็นคนหนึ่งที่เอาแต่ร้องหาเสมอ ๆ
ปอโตเป็นหนุ่ม เสียงแหบห้าว ร่างกายใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย มีกลิ่นตัวในแบบของผู้ชายเจือไปกับแป้งเด็กที่คุ้นจมูกแต่เขาก็ยังเป็นน้องปอตัวเล็ก ๆ ของผมอยู่ดี เวลาอยู่กับเพื่อนปออาจดูเป็นผู้ชายสุภาพ พูดน้ำเสียงนุ่มนวล มีความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เวลาที่อยู่กับผมปอก็เป็นแค่หมาที่เรียนหมอเพื่อมารักษาลูก ๆ ของตัวเองเท่านั้น เป็นหมาน้อยของผมที่เห่าบ้าง งับบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังจงรักภักดีไม่เปลี่ยน ไม่ใช่จงรักภักดีกับผม แต่จงรักภักดีกับความรู้สึกของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
ถึงกว่าจะยอมรับออกมาว่าคิดยังไง ก็ลองใจผมซ้ำ ๆ ซาก ๆ เสียจนคนถูกลองใจเหนื่อยหน่ายไปบ้าง แต่ไม่เคยคิดท้อถอยเลยสักครั้ง
ปอรักผม
ลึก ๆ แล้วผมบอกตัวเองอย่างนั้นมาตลอด
ความสัมพันธ์ของผมกับเด็กหนุ่มข้างบ้านไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวา ร้อนแรง มันค่อยเป็นค่อยไปจนวันหนึ่งกลับเด่นชัดขึ้นมาในใจ ยากที่จะหลีกเลี่ยง ยากที่จะปฏิเสธ และเขาคือคำนิยามของความรักทุก ๆ อย่างที่ผมพอจะนึกออก
ทุกครั้งที่เห็นหน้าปอ ผมเห็นความสุข
“เดือนหน้าวันคริสมาสต์ไปสวิซกับพี่ไหม”
“ไม่รู้ปิดเทอมหรือยัง”
“อ้อ นั่นสิเนอะ ถ้างั้นเช็กวันสอบวันสุดท้ายแล้วมาบอกพี่อีกทีนะ” เด็กหนุ่มทำหน้าฉงน แต่ผมก็ไม่รอให้อีกฝ่ายสงสัยอยู่นาน เรื่องปอผมเคยคุยกับที่บ้านไว้บ้างแล้ว แม่กับพี่ ๆ ก็รู้จักหมอกันหมด เพียงแต่ยังไม่เคยพาเจ้าตัวไปเที่ยวเล่นในที่ ๆ ผมเติบโตมาเลยสักครั้ง
“บินไปเยี่ยมแม่พี่ที่นั่นกัน ส่วนหมาก็ฝากป่านดูแล ไปกันสองคน พี่กับปอ ฮันนีมูนไง”
“ไม่ขำเลยนะครับ”
“ไม่ได้ขำสักหน่อย พี่จริงจังอยู่นะ”
พูดพลางทำคิ้วขมวดไปด้วย จับแก้มขาวทั้งสองข้างด้วยมือเพียงข้างเดียว บังคับให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา เพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้นเด็กหนุ่มก็มีสีเลือดฝาดกระจายทั่วทั้งหน้า ลามไปยันใบหูทั้งสองข้างผิดกับผิวเดิมไปคนละเรื่อง “มาเป็นครอบครัวเดียวกันไหม”
“พี่ธันนนน”
“นี่พี่จริงจังนะ ไม่ต้องมาหลบตา พี่ไม่ยอมให้ปอโตกว่านี้ไปหาทางเลือกอื่นแล้ว คนที่ต้องกลัวจะโดนทิ้งจริง ๆ น่ะเป็นพี่รู้ไหม แก่หง่อมอยู่คาบ้านไม่รู้หรอกว่าปอออกไปข้างนอกจะไปเจอใครบ้าง คนดีกว่าพี่เต็มไปหมด หนุ่มกว่าพี่ รวยกว่าพี่ แต่หล่อกับรักหมามากกว่าพี่นี่ไม่น่ามีแล้ว ปอจะทิ้งพี่ไปเมื่อไรก็ได้ พี่ไม่ยอมนะเว้ย”
“อย่ามาเวอร์น่า”
“เห็นไหม ถ้าไม่คิดจะทิ้งกันอยู่แล้วทำไมไม่มาเป็นครอบครัวเดียวกันไปเลย ทั้งปีพี่อยู่กับปอที่ไทย แค่คริสมาสต์เราจะบินไปบ้านพี่กัน ไปฉลองวันขอบคุณพระเจ้า ไปใช้ชีวิตกับครอบครัวของพี่ ไปแบบนี้ทุกปีแบบที่พี่เคยทำ ตอนอยู่ไทยที่บ้านปอจะพาพี่ไปไหนพี่ก็จะไปด้วย แบบนี้ดีไหม”
“ใครอยากให้ไปด้วยวะครับ”
“ปอนั่นแหละ” พูดพลางอมยิ้ม เห็นคนตัวเล็กอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างก็สบายใจ เห็นกลีบปากของอีกฝ่ายยกขึ้นนิด ๆ แล้วรู้สึกว่ามันสวย เวลาที่หมอยิ้ม แปลว่าหมอมีความสุข ซึ่งถ้าหมอยิ้มเวลาอยู่กับผม นั่นหมายถึงผมคือความสุขของปอ
“ทีนี้ตอบคำถามพี่ได้หรือยัง ความรักของปอคืออะไร พี่ตอบของพี่ไปแล้วนะ”
เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่น ใช้จังหวะที่ผมยกมือขึ้นกอดอกคาดคั้นกระโดดผลุงไปยืนบนเตียง แต่ก็ไม่ลืมเกี่ยวเอาเสื้อเชิ้ตที่กองอยู่บนปลายเท้าติดไปด้วย
“ไม่ต้องมาหลอกถามเลย ผมจะอาบน้ำแล้ว”
“จะอาบน้ำแล้วเอาเสื้อขึ้นไปทำไม”
“อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะไม่ปลอดภัยไงล่ะ พี่ธันไปนอนห้องเล็กเลยนะ”
“เฮ้ย ไล่เจ้าของบ้านได้ไงวะ ไอ้เด็กนี่”
“ให้เลือกว่าจะฟังคำตอบปอแล้วไปนอนห้องเล็กหรือจะนอนด้วยกันแต่ไม่ต้องฟัง”
“ขี้โกงนะเอ็ง”
“ไม่ได้ขี้โกง แต่ถ้าพูดไปแล้วมันไม่ปลอดภัยต่างหาก”
ผมยิ้ม ไม่ต้องกลัวว่าไม่ปลอดภัย คืนนี้แหละคืนอันตรายของที่รักเลยครับ “โอเค ๆ พี่ยอมไปนอนห้องเล็กก็ได้ แต่ขอฟังให้ชื่นใจหน่อยเถอะ ความรักของปอคืออะไร”
ริมฝีปากสีสวยบดเข้าหากันเล็กน้อย แก้มที่เป็นสีชมพูอ่อน ๆ แดงขึ้นไปอีก หมอปอกอดเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองไว้แน่น “...
พี่ธัน...ตอบแล้ว! ออกจากห้องไปเลย!”
“โอเค ๆ” ผมฉีกยิ้มกว้าง น่ารักแบบนี้คิดว่าคืนนี้จะปล่อยให้รอดจริง ๆ เหรอ เด็กน้อยเอ๊ย “เดินมาล็อกประตูเองเลยมา กลัวอะไรกันนัก ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
หมอหมาทำท่าระแวง แต่ก็เดินลงมาข้างล่างอย่างรักษาระยะห่าง พอใกล้มากพอที่จะคว้าได้ผมก็พลิกตัวรวบเอวเล็กเข้าไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนมือข้างที่ว่างตวัดขึ้นจับข้อมือบาง ชูขึ้นเหนือหัวทันท่วงที
“ไอ้พี่ธัน! ขี้โกง!”
“ไม่ได้โกง ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องกลัว...” ผมคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย โน้มตัวไปจูมที่ปลายจมูกก่อนแตะเบา ๆ บนริมฝีปากช่างจ้อนั้นด้วยความทะนุถนอม
“คืนนี้โดนแน่...จะกลัวไปทำไม พูดจาน่ารักแบบนี้ไม่คิดจะทวงรางวัลพี่สักดอกสองดอกเหรอจ๊ะ"
"รางวัลบ้าอะไรครับ หาเรื่องรังแกกันมากกว่า"
"รางวัลที่ที่รักบอกว่าความรักของปอคือพี่ไงครับ"
"ไม่ได้พูดสักหน่อย...แค่เรียกชื่อเฉย ๆ" เสียงหลังกระซิบแผ่ว ย่นคอเข้าหากันเมื่อผมพ่นลมหายใจร้อนใส่ ตากลมเบือนหนีขณะที่สีบนแก้มกับหูไม่เคยโกหก
"งั้นคืนนี้พี่ต้องลงโทษคนโกหก"
"ไอ้พี่ธันบ้า! ทำไมรางวัลกับบทลงโทษมันเป็นอย่างเดียวกันวะครับ!"
ผมฉีกยิ้มกว้างยอมรับหน้าตาเฉย "ไม่รู้ล่ะ ยังไงคืนนี้พี่ก็ได้กอดปอแน่ ๆ ไม่ปล่อยให้รอดหรอก"
TBC
สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ วันนี้ไม่เกี่ยวกับกระทงเท่าไร แต่พรุ่งนี้งานแต่งแห่งชาติล้วน ๆ เจอไปสามงานซ้อน ดิฉันจะจนกับการใส่ซองเอา มีข่าวดีคือเราก็กำลังจะแต่งค่ะ ทุกอย่างพร้อมยกเว้นเจ้าบ่าว ยังหาไม่ได้ (อีนี่...) ตอนหน้าเจอกันใหม่ช่วงคริสมาตเลยเนอะ ตอนนี้หมอยอมบอกรักแล้ว แต่เขียนไปเขียนมาแอบรู้สึก อีหมอนี่ป๊อดชะมัด เดี๋ยวกลัวตัวเองเป็นเกย์ เดีั๋ยวกลัวพี่ธันไม่รัก โอ๊ยย อยากเพ่นกบาล ฮาาา แต่ถ้าตอนนี้ไม่กลัวก็ไม่ยอมบอกรักกันสักทีสิเนอะ
ปล. เห็นมีเรื่องนี้ติดรายชื่อเรื่องสั้นประทับในในเซ็งเป็ดอวอร์ดด้วย (เรื่อง คำประกาศฯ อีกเรื่อง) กราบขอบพระคุณทุกท่านที่นึกถึงและโหวตให้นะคะ อุตส่าห์ติดไปกับเขาด้วย ดีใจ

เจอกันใหม่ตอนหน้าค่าา 