พสุทาเลื่อนลั่นดั่งกัมปนาท
ด้วยอาฆาตมาดแค้นสาปสิ้นสูญ
มาลวงหลอกปอกใครให้อาดูร
ทวีคูณความเจ็บทบทวี
ใครใคร่หลอกมิเท่าคนรักใคร่
วอนฟ้าดินอื่นใดเป็นสักขี
หักความสัตย์ลบล้างมิตรไอ้อัปรีย์
ทรพียอมทด..ด้วยตัวตาย
-๒๕-
…ฝนเทลงมาดั่งฟ้ารั่ว ผมคิดว่าเราหลุดจากฤดูฝนมาเรียบร้อยแล้วแต่ก็คิดว่าคงยังไม่ใช่ หรือไม่ก็ไอ้ฝนนี่เป็นฝนอาคมแบบที่อาจารย์คงเคยร่ายคาถาไว้…แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่อีก และกว่าที่ผมจะหาที่หลบฝนได้นั้น..ทั้งเสื้อผ้าและกระเป๋าเป้ก็เปียกปอนไปหมด
ผมคิดว่าผมคงร้องไห้…แต่ไม่ใช่
…ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคล้ายกับว่าเป็นเพียง…เรื่องล้อเล่น
‘…กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม..กลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดา….’ พูดเป็นตลกไปได้ไอ้พี่วัน คิดว่าที่ผ่านมาผมต่างจากมนุษย์ธรรมดาตรงไหนกันห๊ะ?
บอกเลยนะว่าต่อให้มีเรื่องหมูหมากาไก่อีกนับร้อยนับพันเรื่องมันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาสักเท่าไหร่หรอก
คิด แล้วก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ว่าทั้งๆที่ยืนกรานจะเป็นจะตายแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีประเด็นไหนเลยที่จะเถียงเขาขึ้น สิ่งที่ทำได้ก็มีแต่เก็บข้าวของออกจากบ้านหลังนั้น ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนพักที่หอ..แล้วก็เตรียมตัวไปสอบในวันพรุ่งนี้ประหนึ่งว่าไม่เคยมีอะไร
…….งั้นเหรอ?
…ใจคอจะทำแบบนั้นได้ยังไง? ‘…แต่คงไม่ลืมใช่มั้ย…ว่าใครเป็นคนฆ่าท่านพ่อท่านแม่ของท่าน’
‘สิ่งเดียวที่ท่านต้องไม่หันหลังให้คือ ‘พวกเรา’…คือ ‘ความแค้น’ ทั้งหมดของพวกเรา’
‘…อาผิดหวังในตัวท่านนัก จ้าวทิวัน’
ถ้อยคำซ้ำๆเดิมๆเวียนว่ายกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง มันทำให้เกิดข้อสงสัยที่ว่า…ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาบ่มเพาะความแค้นใส่หัวพี่วันมากแค่ไหน และพูดคำพูดพวกนั้นออกมาด้วยความรู้สึกยังไง จนชั่ววูบหนึ่งที่เผลอคิดอย่างอคติไปเลยว่า…หัวใจของเขาทำด้วยอะไรกันแน่
ชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปเป็นคนใกล้ตัวจริงๆอย่างนั้นหรือ..?
…แล้วถ้าเรื่องที่อาจารย์คงพูดเป็นเรื่องโกหกล่ะ ต่อให้หอกสัตตะโลหะไม่มีอยู่จริง หรือต่อให้เลือดจ้าวจะสิ้นได้ก็ต่อเมื่อถูกทรยศก็เถอะ…ถ้ามันไม่มีหลักฐานมากพอไอ้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันอาจจะเป็นแค่การ ‘คิดไปเอง’ ก็ได้
…ถ้าท่านอาพันวังเป็นคน ‘ฆ่า’ พ่อแม่ของเขาจริง
….…แล้วพี่วัน…จะทำยังไงต่อได้ล่ะ?
ผมยกมือแตะที่แก้มเย็นชืดของตัวเอง..ยังรู้สึกถึงสัมผัสของปลายนิ้วของเขา ริมฝีปากของเขา และแทบจะทุกอย่างของเขาที่ฝากไว้บนร่างกายนี้ ทั้งเสียงทุ้มพร่าสั่นสะท้านแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่กระซิบอยู่ข้างหูร้อนผ่าว และน้ำคำที่บอกให้ผมจากไปให้ไกล
…บอกว่าผมยังไม่จำเป็นที่ต้องอยู่เคียงข้างเขา…ในเวลาที่แย่ที่สุดของชีวิตแบบนี้
เมื่อมองกลับไปตามทางที่เพิ่งเดินผ่านมาจึงพบแต่ความว่างเปล่า ซอยเล็กๆที่มองจากภายนอกก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่ามีเรือนไม้หลังใหญ่ขนาดนั้นซ่อนอยู่ภายใน ถัดจากตัวผมไปเพียงไม่กี่เมตรเป็นถนนใหญ่ ที่มีผู้คนมากมายต่างพากันวิ่งหลบฝน พลุกพล่านจนรู้สึกเหมือนเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นแค่ฝันไป
…พรุ่งนี้เขาจะไปมหา’ลัยไหม?
…พรุ่งนี้เราจะยังได้เจอกันอยู่หรือเปล่า?
…พรุ่งนี้เขาจะกอดผม..จูบหน้าผากผม..แบบที่เขาชอบทำรึเปล่า?
…พรุ่งนี้จะเป็นเหมือนเดิมได้ยังไง
…ถ้าวันนี้…ผมก้าวเท้าเดินออกมาจากที่นั่นแบบนี้… เปรี้ยง!! “ว้าย!”
“อะไรน่ะ? ฟ้าผ่าลั่นเชียว…แถวนี้หรือ?”
ป้าคนขายน้ำชะโงกออกมาจากด้านในตัวร้าน และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความขมุกขมัวที่แทรกมาด้วยหยาดฝนโปรยปราย
ผมเองก็เช่นกัน
ภายในอกก็โหวงชอบกลหลังเสียงสนั่นเมื่อครู่ เพียงแค่ยังไม่ละสายตาไปจากทางที่ผมเพิ่งเดินจากมา แต่ฝนก็ตกหนักราวกับตั้งใจจะประท้วงไม่ให้ผมเดินกลับไป
..เอาล่ะ ใจเย็นๆก่อนนะไอ้ไกร..
..เรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นก็ได้..
ไอ้พี่วันก็เป็นพวกไม่พูดให้ชัดเจนอยู่แล้วด้วย ที่เขาบอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ..กับท่านอาพันวังนั่นน่ะ ก็อาจจะแค่เรื่องสนทนาตามประสาอาหลานธรรมดาก็ได้ เห็นแบบนั้นแต่หมอนั่นก็เป็นคนใจเย็นอยู่นะ(ยกเว้นตอนติดสัด..) เพราะงั้น…มันคงไม่เกิดเรื่องแย่ๆไปมากกว่านี้หรอก..
ผมถอนหายใจแล้วหมุนตัวกลับมา วิ่งฝ่าฝนไปไม่เกินห้าเมตรก็ถึงหน้าร้านขายน้ำ หน้าร้านมีทั้งร่มไม้และร่มแดดคันใหญ่ ทำให้มีกลุ่มคนยืนพักหลบฝนอยู่จำนวนไม่น้อย ผมยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าตัวเอง แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋าน่าจะมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่อยู่บ้าง เลยหมุนกระเป๋าเป้มาด้านหน้า…ว่าจะหาอะไรมาเช็ดหน้าเช็ดผมกันไม่สบายไว้ก่อน….
เปรี้ยง!! ..อีกครั้งหนึ่ง.. “ฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอเนี่ย”
“น่ากลัวชะมัด”
“ตกหนักขนาดนี้ไฟจะดับรึเปล่านะ”
“โอย อยากกลับบ้าน”
ท่ามกลางเสียงบ่นงึมงำเป็นระยะๆนั่นทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง อะไรบางอย่างมันทำให้ในอกรู้สึกไม่สู้ดีนัก ผมมองไปรอบๆ..ท่ามกลางคนธรรมดา หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครที่โดนน้ำและกลายร่างเป็นจระเข้น่ะนะ ไม่ว่าจะเป็นน้องนักศึกษาท่าทางเฟรชชี่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถือ คุณลุงแก่ๆถือถุงกับข้าวยืนมองท้องฟ้าอย่างใจเย็น หรือป้าขายชาชักที่ดูเหมือนวันแบบนี้จะขายดีเป็นพิเศษ
…ผมคิดว่าตัวเองช่างธรรมดาเหลือเกินเมื่ออยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น
แต่พอคิดไปคิดมา..ถ้าไอ้พี่วันมายืนอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เขาเองก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรเลยเหมือนกัน
‘...พี่วัน…อยากเป็นมนุษย์รึเปล่า…?’ ผมนึกถึงรอยยิ้มของพี่วันตอนที่ผมถามคำถามนั้นออกไป
ให้ตายเถอะ..หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ว่าผมจะพยายามทำอะไรก็เหมือนมันจะตามมาหลอกหลอนผมไปเสียหมด แล้วแบบนี้จะให้ผมตรงกลับหอไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง!!
เปรี้ยง!! เสียงสนั่นลั่นอีกครั้งหนึ่งดังขึ้นเมื่อฝนที่ตกหนักเมื่อครู่ค่อยเบาลงแม้เพียงนิด ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า..ทุกอย่างยังเป็นสีมืดครึ้มเหมือนเช่นเคย
“คุณพระ อะไรกันเนี่ย”
“น่ากลัวจริง”
“…ทำไมเสียงดังขนาดนี้กันล่ะ? บ่อยไปรึเปล่า?” คำถามที่ดังลอยเข้ามาในหมู่คำอุทานเซ็งแซ่ทำให้ผมชะงัก มันดังทวนอยู่ในสมองหลายต่อหลายครั้งราวกับต้องการจะย้ำ
...ย้ำให้รู้ว่าเสียงที่เกิดขึ้น…ราวกับไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ!
..อะไรบางอย่างบอกให้ผมหมุนตัวกลับไป สายฝนที่สร่างซาลงแม้เพียงเล็กน้อยทำให้มองเห็นทางเบื้องหน้าได้ถนัด การวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังทางที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องที่ควรจะอยู่ในมโนสำนึกเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกเหมือนกระเป๋าเป้ที่ยังสะพายไม่เรียบร้อยดีนั้นหนักอึ้งกว่าเดิมนัก รู้สึกถึงน้ำเย็นฉ่ำที่แทรกซึมเข้ามาในรองเท้าผ้าใบ รู้สึกลมหายใจที่ร้อนผ่าวกระทบลงบนผิวเหนือริมฝีปาก รู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่ลดต่ำลงเพราะสายฝนนี้…
‘…สิ่งเดียวที่จะฆ่าพวกเราได้…คมดาบเดียวที่จะกรีดลงบนผิวเนื้อของพวกเราได้…’ ที่สำคัญ..ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะกลางอกตัวเอง
‘…….คือการทรยศ’ …ถ้าเช่นนั้นแล้วการหักหลังของท่านอาพันวัง…ไม่เรียกว่าการทรยศอย่างนั้นรึ? เบื้องหน้าของผมคือรั้วไม้เดิมๆที่ผมเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน มันยังคงทอดยาวแสดงขอบเขตความกว้างใหญ่ของตัวบ้านเหมือนที่มันเคยทำมาโดยตลอด
…เหล่าบ้านไม้ที่ดำเป็นตอตะโกราวถูกเผาจนเกรียมท่ามกลางสามฝนพรำ ต้นไม้ใหญ่ที่เคยเป็นสีเขียวชุ่มฉ่ำทั้งหลายกลับหักโคนลงมาไม่เหลือชิ้นดี ทั้งไม้พุ่มไม้น้อยต่างถูกทับระเนระนาดจนแบนแทบจะแนบสนิทไปกับพื้นดินเหลวไม่เหลือเค้าหญ้าสีเขียวที่เคยเป็น รวมไปถึงบ่อน้ำหน้าบ้านที่เคยใสกระจ่างกลับดำเละเป็นโคลน..
..ผมยืนมองซากบ้านเรือนไม้ที่คุ้นเคยหลังนั้นด้วยหัวใจที่คล้ายกับว่าหยุดเต้นไปแล้ว
……เพราะผม…มาช้าเกินไป+++++++++++++++++++
มันยากที่จะรวบรวมสติ
..และผมนึกขอบคุณความสามารถในการยอมรับความจริงของตัวเองก็ตอนนี้แหละ
“พี่วัน…พี่วัน!”
ผมตะโกนออกไป เสียงไม่ได้ดังมากนัก..และคิดว่าคงไม่มีใครตอบกลับมา
“ไอ้พี่วัน!”
ประตูรั้วทางเข้าหลักยังคงสภาพดีอยู่เหมือนเช่นตอนที่ผมออกมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ผมเขย่ามันเพียงเล็กน้อยมันก็เปิดออก..และไม่รีรอที่จะเดินเข้าไป เพียงแค่สองก้าวต่อจากนั้นรองเท้าผ้าใบคู่โปรดก็จมลงไปในโคลนเละจนเกือบล้ม และตอนที่ผมคิดว่าตัวเองทรงตัวได้..ร่างกายก็ขะมำไปข้างหน้าจนต้องก้าวไปอีกก้าว
บ้าชะมัด..!
..เละไปหมดเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!! “พี่วัน!” ผมตะโกนอีกครั้ง พื้นที่เหลวเป็นโคลนเละเช่นนี้ทำให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ลำบาก “พี่วัน พี่อยู่ไหน พี่วัน!”
ตอนที่ผมมองกลับไปที่ตำแหน่งที่เคยเป็นเรือนนอนของเขา..มันเหมือนมีอะไรบางอย่างในอกหลุดร่วงออกไป เสาต้นใหญ่ทั้งหมดคล้ายกับว่าถูกขวานเล่มใหญ่จามหักหมด ส่วนที่เคยเป็นหลังคานั้นหล่นแหลกลงมาทับตัวเรือนพังจนเหลือแต่ซากไม้ที่ดำสนิท และนั่นถือเป็นข้อดี..ผมคว้าแท่งไม้อะไรสักอย่างมาค้ำตัวเอาไว้ได้
“พี่วัน พี่อยู่ไหน? พี่วันครับ..!”
ผมตะโกนออกไป หวังจะเห็นอะไรสักอย่างขยับบ้างสักนิด
“มาลา วรรณนา..ไปไหนกันหมด!?! พี่วัน!! ท่าน…ท่านอาพันวังล่ะ!? โอ้ย!!” ผมสบถหนัก ไม่เห็นอะไรที่น่าจะมีชีวิตอยู่ที่นั่นสักนิด “..ใครก็ได้..จ-จระเข้ตัวไหนก็ได้ ใครก็ได้โผล่มาให้ผมเห็นหน่อย โอ้ยย ขอร้องล่ะ!”
..มืดแปดด้าน.. ผมเข้าใจคำนี้โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรมนี่ก็ครั้งแรก
สถานที่แห่งนั้นไม่เหลืออะไรเลย..ไม่เหลือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าชีวิต และชั่ววินาทีที่ผมกำลังจะเดินไปที่บ่อน้ำฝนกลับเทกระจาดลงมาอีกรอบ และตอนที่ผมไปยืนอยู่ริมบ่อ..ทุกอย่างแม่งก็ลื่นพรวดจนผมไหลลงไปทันที
ผมคว้าหญ้าแถวนั้นเอาไว้ดึงตัว นึกทบทวนความทรงจำของตัวเอง..ใช่แล้ว ตรงนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของบ่อน้ำ และ..ถ้าไม่มีใครอยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่ซากของจระเข้หลงเหลืออยู่แถวนี้..นั่นเป็นไปได้ว่า…อาจจะอยู่ในน้ำ
สิ่งที่สะท้อนขึ้นมาไม่ใช่อะไรเลยนอกจากท้องฟ้าขุ่นมัว
..และความกลัวก็เข้ามาครอบงำในหัวใจ
พี่วัน..
…พี่อยู่ที่ไหนกันแน่… ฟุ่บ!! จังหวะนั้นเองที่ดวงตาสีอำพันคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ผมจากในบึงน้ำ ความตกใจทำให้ผมผงะถอยหลังโดยพลัน ก่อนที่ปากแหลมเล็กจะโผล่ขึ้นมาจากน้ำ และใช้ดวงตากลมโปนคู่นั้นจ้องมองผม
..และผมจำได้
“มาลา?”
ผมทักออกไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้มันทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่หนีไป แต่ยังไม่ทันที่เจ้าจิ้งจกน้อยนั่นจะถึงตัวผม อีกเสียงลั่นก็ดังขึ้นเสียก่อน
……มันคือเสียงกรีดร้อง……. …เสียงที่ทุ้มแหบและฟังไม่เป็นภาษาดังอยู่ไกลออกไป ผมเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน..คล้ายกับตอนที่อาจารย์คงตรงเข้ามาจัดการกับมาลา และมันไม่ใช่เสียงอะไรเลยนอกจาก…
เสียงร้องของจระเข้ ยังไม่ทันที่เสียงครวญครางนั้นจะจบลงไป ร่างเล็กนั่นกลับตวัดตัวดำดิ่งลงไปในน้ำ
“อ..เดี๋ยว!” ผมลุกพรวดอยากจะรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เขาหายไปก่อน และในน้ำสีคล้ำนั่นก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ้ง และไม่ต้องพยายาม..ผมเดาได้แน่นอนว่าตัวเองไม่มีทางจะดำตามเจ้าสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำแบบนั้นได้แน่ๆ
และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา…ผมถึงได้รับรู้ถึงความจริงอะไรบางอย่าง…
ว่าไอ้ที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นสระน้ำขนาดใหญ่หน้าบ้านไอ้พี่วันน่ะจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
มันคือคูน้ำ..คูน้ำที่ขุดทอดยาวออกไปถึงภายนอกรั้วไม้ของบ้าน
ผมลุกขึ้นขึ้นอีกครั้ง ค่อยพาตัวเองหลบไปตามรั้วช้าๆ พื้นบริเวณรั้วยังแข็งแรงและไม่ชุ่มน้ำอยู่ เสียงกรีดร้องนั่นหายไปแล้ว และผมคิดว่ามันมาจากปลายทางของคูน้ำนี่เป็นแน่
..เอาวะ..มาถึงขนาดนี้ไม่มีเวลาให้มึงมาป๊อดอยู่ว้อยไอ้ไกร บอกตัวเองตามนั้นก็ขออนุญาตปีนข้ามรั้วนี่เสียหน่อย มันไม่ได้ยากเลยเพราะทำบ่อยเป็นพิเศษครับ ผมเหวี่ยงตัวขึ้นไปอยู่ข้างบน ใช้สองมือดันที่ขอบขณะหย่อนขาลงมาอีกฟากหนึ่งตามท่าที่ตัวเองถนัด
และตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นเมื่ออยู่เหนือกว่าระดับสายตาปกติ..
พื้นดินที่เหลวเป็นโคลนภายในบ้านราวกับสลักทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เอาไว้แล้ว ทั้งทางลากที่ยาวลงมาถึงคูน้ำคล้ายกับลำตัวของสัตว์ชนิดหนึ่งที่เคลื่อนที่ รวมไปถึงรอยเกล็ดจางๆฝังอยู่ตามนั้น และ…รอยเท้าขนาดใหญ่อันประกอบด้วยสี่นิ้วและสี่กรงเล็บที่ฝังลึกลงไปในดินเลน
..เพียงแค่อุ้งเท้านั้น..กลับมีความกว้างมากกว่าสองฝ่ามือ
ผมตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น และยืนสงบสติอารมณ์อยู่นานสองนานกว่าจะทำใจได้ ผมเข้าใจแล้วว่ามันหมายความว่ายังไง…มันเรียกว่า ‘น่าขนลุก’ ….น่าขนลุกทั้งๆที่เป็นแค่จินตนาการ
‘..ท่านจ้าวตัวใหญ่มากจริงๆขอรับ..’
‘…ท่านจ้าวคงไม่อยากให้ท่านไกรเห็นในร่างนั้นเท่าไหร่…’ …...ไอ้พี่วัน…เหรอ? ..
…..
..หยุด หยุดคิดเสียทีไอ้ไกร
แกไม่ได้มาที่นี่เพื่อสะพรึงกับเรื่องที่ผิดธรรมชาติแบบนั้นสักหน่อย และต่อให้พี่วันจะเป็นยังไงนั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่แกจะหันหลังกลับไปจากเรื่องนี้ แกปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ไม่ได้
..ไม่ใช่เพียงแค่จระเข้..
…….แต่เพราะเขาสำคัญ……..
….นั่น…คือเหตุผล…. ที่ปลายสุดของคูน้ำกลับเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเส้นโลหิตหลักของประเทศ ผมมองออกไปอย่างไม่เชื่อสายตา..ถึงได้เพิ่งเห็นว่าฝนที่ตกหนักลงมาทำให้ดวงตามองไม่เห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจนนัก
สะพานไม้เก่าๆเลียบตามคูไปจนถึงสุดปลายทาง ผมเร่งฝีเท้าไปให้ถึงจนเกาะขอบเขตกั้น จ้องมองออกไปท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เห็นอะไรเลย..ทุกอย่างดูคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเลย และ…น่ากลัวที่สุด
กระแสคลื่นในแม่น้ำซัดอย่างบ้าคลั่งจนเรือข้ามฟากและเรือด่วนเจ้าพระยาพากันจอดเทียบท่าหยุดทำการชั่วคราวไปหมด ผมที่กำลังลังเลว่าตัวเองจะวิ่งไปทางซ้ายหรือขวาดีก็เล็งเห็นมวลคลื่นก้อนใหญ่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำ มันดูผิดตาจนต้องเพ่งมอง
และผมมองเห็น…
……สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สองตัวที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ลำคอของผมแห้งผากตอนที่ผมตัดสินใจวิ่งไปทางนั้น สะพานไม้เก่าดูโยกเยกพร้อมจะหล่นจนต้องตั้งสติทุกครั้งที่วางเท้าลงไป ผมหอบหายใจ..รู้สึกเหมือนนาฬิกาของตัวเองวิ่งช้าลงทุกครั้งที่เข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้ง…ที่มองเห็นสิ่งเหล่านั้นท่ามกลางสายฝนชัดขึ้นเรื่อยๆ
ผมเดินมาไกลจากปากคูบ้านพี่วันเยอะพอสมควร อาจจะมากกว่าสองร้อยเมตร..หรือเป็นกิโล..นั่นผมแค่สันนิษฐานครับ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องโกหกของตัวเองเพื่อบอกว่าไอ้แข้งขาที่อ่อนล้าขึ้นเรื่อยๆเหล่านี้ไม่ได้มาจากความหวาดกลัวแต่อย่างใด
ทั้งที่อยู่บนบก แต่ผมรู้สึกคล้ายกับตัวเองกำลังจะจมน้ำ
สะพานไม้สิ้นสุดลงที่ตำแหน่งเลี้ยวโค้งเข้าอีกคลองหนึ่ง มันเป็นระยะที่พอจะมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน…
….ดวงตาสีอำพันทั้งสองคู่จ้องเขม็งกันไม่ลดละ…ส่องประกายวาวโรจน์ใต้เงาฟ้าครึ้ม โครม!! มวลน้ำบริเวณใกล้ตัวแตกกระจายเมื่อร่างหนึ่งถูกตวัดโครมโยนมาใกล้ ผมเผลอยกมือบังส่วนที่สาดกระเซ็นขึ้นมาถึงใบหน้า สะพานไม้ที่ยืนอยู่โยกคลอนจนต้องคว้าเสาค้ำไว้พยุงตัว
ชั่ววูบหนึ่งที่ผมสำเหนียกได้ว่าไม่ควรตามมา หากร่วงลงไปเสียตอนนี้คงได้ตายเพราะว่ายน้ำไม่แข็งพอ
เกล็ดสีเขียวเข้มจนเกือบดำยามต้องน้ำจึงขึ้นประกายเงาเป็นมันออกสีทองผลุบขึ้นลงระหว่างผิวน้ำ คลื่นลูกใหญ่ก่อตัวสูงยามร่างหนาใหญ่แหวกว่ายตรงเข้ามาจนเสาค้ำโคลงเคลง จึงดำมุดลงไปในน้ำตามคู่กรณีที่แหวกหนีไปก่อน ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งด้วยหางขนาดใหญ่กว่าเรือหางยาว..ตวัดจามลงมาราวต้องการแบ่งผืนน้ำออกเป็นสองฟากฝั่ง พลันสะเทือนเลื่อนลั่นกระทบมาถึงผืนแผ่นดิน..
ครืนนน! “หวา!”
ความโคลงเคลงทำให้ผมทรุดตัวลง ทั้งสองมือเหนี่ยวไม้ราวเอาไว้แน่นจนเจ็บ..พื้นไม้เก่าที่เหยียบอยู่ราวพร้อมจะหักครืนลงไปได้ทุกเมื่อทุกครั้งที่ ‘เขา’ แหวกว่ายไปมา
จับตามองอีกฝ่ายอย่างไม่กระพริบตา
..และไม่อาจควบคุมลมหายใจตื่นกลัวของตนให้เป็นจังหวะได้
ด้วยลำตัวที่ยาวพอๆกับเสากระโดงเรือนั่นทำให้ผมตกใจทุกครั้งที่เขาแหวกว่ายเข้าไปใกล้กับตอม่อสะพาน หากตวัดหางผิดแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งคงไม่แคล้วพังเสาหลักนั่นให้รถราบนนั้นร่วงลงมาเป็นแน่ ความปราดเปรียวที่เกิดขึ้นทำให้ผมเบิกตากว้าง..ร่างมหึมาเช่นนั้นกลับสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขนาดนั้นเพียงแค่การแหวกว่ายผ่านผิวน้ำ จมดิ่งและฮึดขึ้นมา…โรมรันกับศัตรูที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งอย่างไม่ไว้หน้าและหาได้ยี่หระใดๆ
รูปเขียนในบันทึกปกดำยกขึ้นมาทาบทับกับภาพตรงหน้าได้อย่างแม่นยำ แรกผมเคยนึกว่าสิ่งที่ร่างภาพเอาไว้เหล่านั้นเป็นเพียงบันทึกเปรียบเปรยที่อยู่เหนือจินตนาการ
….แต่จริงๆแล้วไม่ใช่
ดวงตาสีทองคู่นั้นผมจำได้ดี..
…แม้ตอนนี้มันจะฉาบไปด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่เหมือนเดิมก็ตาม.. ผมอยากจะตะโกนเรียกเขา แต่ทั้งลำคอเหมือนมีเพียงผงทรายแห้งผากทั้งๆที่ปรารถนาชื่อของเขามากกว่าสิ่งอื่นใด
เขาคือ..
....จ้าวธารา..
TBC==========================