ด้วยมนตราลงโลหะหมายจบสิ้น
คืนชีวิตลงสู่ดินให้สาปสูญ
อาบรสเลือดกลิ่นคาวฤทธิ์พอกพูน
ทวีคูณความแข็งแกร่งหรือสิ่งใด
เสกสรรค์สร้างโดยมนุษย์มากอาคม
เสกสุขสมลุโกรธาความยิ่งใหญ่
หมายมาดแค้นทลายสิ้นให้บรรลัย
ปลุกคุณไสย์จอมอาฆาตอาจเวจี
ผ่านล่วงเลยพิธีกรรมมิรั้งรอ
มุ่งหน้าต่อก่อสงครามดามสักขี
ข้าจักล้มชนน่านนอกให้สุดลี้
จมกุมภีล์ด้วยหอก..สัตตะโลห
-๒๒-
‘…มนุษย์…เป็นคนฆ่าพ่อกับแม่ของพี่…’ แต่แทนที่จะเหมารวมมนุษย์ทั้งหมด นั่นควรจะใช้คำว่า ‘พวกหมอปราบจระเข้’ รึเปล่าหนอ…เหมือนกับที่ท่านอาพันวังละเว้นผมไว้ในฐานะ..เอ่อ..คนที่เสือกถลำลึกเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่และท่าทางไม่มีพิษภัยกระมัง ไม่งั้นผมคงได้เป็นอาหารจระเข้ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ
และอาจจะเพราะคำพูดนั้นมันจี้ใจดำเกินไปกระมังทำให้ไอ้พี่วันซึมไปหลายวัน เงียบสนิทจนผมไม่กล้าถามต่อ และก็ปล่อยให้เขาเป็นแบบนั้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
ที่จริงผมก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันครับ..ว่าทำไมจู่ๆพี่วันถึงพูดออกมาเช่นนั้น ทั้งๆที่ปกติก็เอ๋อๆมึนๆถามคำตอบคำ…ไม่ได้ห่าอะไรสักอย่าง กลับพูดจาเถียงท่านอาพันวังฉอดๆๆแบบนั้นได้ (หรือกับครอบครัวเขาจะเป็นพวกเด็กดื้อวะ?)
และตั้งแต่การมีปากเสียงกันคราวนั้นทำให้ผมกล้าพอจะเดินเข้าเดินออกบ้านไอ้พี่วันทางประตูหน้าได้มากกว่าเดิม ด้วยเพราะลำพองใจที่ท่านอาพันวังละเว้นไว้กระมัง(หรือที่จริงเขาแค่พูดขำๆฟะ?) …และเริ่มชินกับสายตาที่มองมาด้วย จระเข้ตัวอื่นๆดูไม่ได้อยากจะกินผมเหมือนที่ผมคิดไปเองในตอนแรก พวกเขาแค่ตกใจ..ประหลาดใจ..หรือสิ่งที่มากกว่านั้นคือ ‘ความกลัว’ มากกว่า
…กลัว…มนุษย์อย่างผม…
…ทั้งๆที่เราต่างก็มีลมหายใจเหมือนกันแท้ๆ อาจเพราะอยู่กับไอ้พี่วันอย่างสะดวกใจนานไปหน่อยกระมัง..ถึงตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่เคยเกลี้ยกล่อมพวกจระเข้เลยสักนิด แถมยังไปท้าทายอำนาจหมอปราบจระเข้อย่างอาจารย์คงเสียบ่อย ท่าทางจะเข้าข้างคนละเชื้อพันธุ์กับตัวเองเสียเหลือเกิน…แต่เคราะห์ดีที่ถึงผมไม่พูดอะไร ไอ้พี่วันก็เหมือนจะรับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณของเขาเอง…
….หรือจริงๆแล้วควรจับจระเข้มานั่งเปิดอกคุยกับพวกหมออาคมวะ?
ล้อเล่นครับ นั่นมันอาฟเตอร์นูนโจ๊กธรรมดา…
จากหลักการแล้วมันก็ดูมีเหตุผลอ่ะนะ..แค่ใช้ในการปฏิบัติจริงไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ
“พี่วัน เหนื่อยมั้ย ไกรนวดให้นะ” ตีบทเป็นภรรยา…เอ้ย! เพื่อน พี่ น้อง ห่าอะไรก็ช่างมันเถอะ…เอาเป็นว่าผมทำตัวเป็นผู้อาศัยที่ดีด้วยการคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าบ้านด้วยฝีไม้ลายมือ อย่าให้สิ้นลายเกรียงไกรสำนักหมอนวดวัดโพธิ์เชียว
ไอ้พี่วันเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านอยู่ เหลือบสายตามามองผม เขายิ้มๆ แล้วลงมานั่งใกล้ๆโดยไม่ได้พูดอะไร
…ผมไม่ชอบพี่วันที่เงียบๆแบบนี้เลยให้ตายเหอะ “เฮ้” ผมวางมือลงบนไหล่เขา ออกแรงบีบนวดเบาๆ “…เป็นไรป่าว?”
เขาไหวไหล่ “เปล่านี่”
“…คิดไรอยู่?”
“เรื่องสอบ” เขาชูชีทเรียนฉบับหนึ่งให้ผมดู “พรุ่งนี้สอบละ เซ็งชะมัด”
“สอบไวก็ปิดเทอมไวไง ปีไกรกว่าจะสอบเสร็จตั้งอีกสองอาทิตย์”
คนฟังเงียบไปแปปนึง แต่ก็ยังขยับตัวเอียงคอแสดงออกว่าชอบให้ผมนวดไหล่ให้แค่ไหน..ผมรู้ว่าเขาเหนื่อย พักนี้ไอ้พี่วันชอบนั่งเหม่อและคิดอะไรอยู่คนเดียว ถามก็ไม่ตอบ..ตามสไตล์นั่นแหละ แต่จะคาดคั้นอะไรก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง สุดท้ายก็ปล่อยให้กองคำถามมันตกตะกอนไปของมันเอง
แล้วพี่วันก็เอ่ยเสียงเบา
“….ไม่อยากปิดเทอม” “หืม? ทำไมอ่ะ?”
แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น แล้วหันมาหาผม “ปิดเทอมไกรกลับบ้านรึเปล่า?”
ผมมองเขาตอบ “กลับดิ ก็กลับทุกครั้งอ่ะ”
“เหรอ………” รับคำเสร็จก็หันกลับไปแบบเนือยๆ เอนหลังลงมาพิงผมจนนวดไม่ถนัด เลยเลิกนวดไปแล้วมองข้ามไปอ่านชีทเรียนเขา วิชาที่ผมคงต้องลงในปีหน้าเนี่ยแหละ
“อะไรฮะคุณพี่ เหงาหรา~”
ผมพยายามทำเสียงหยอกล้อ และเขาก็หัวเราะ
“เออ เหงา ไม่กลับได้ป่ะ”
“ก็แย่ละ เปิดเทอมนี่ยังไม่กลับเลยสักครั้ง โดนด่ากระจุย…เรื่องมือถือหายนั่นก็ด้วย”
“หืม? มือถือหายเหรอ?” คำนั้นของพี่วันทำให้ผมต้องยกมือขึ้นอย่างลืมตัว แล้วบอก “เอ้อ ยังไม่ได้บอกพี่วันเลยอ่ะ มือถือหายตั้งกะโดนอาคมครั้งนั้นละ”
เขาเลิกคิ้ว “ตอนที่..พี่โทรหาวันนั้นอ่ะนะ?”
“อืม ใช่ พี่วันเห็นบ้างป่ะ?”
อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ “ทำไมไม่บอกพี่ตั้งแต่แรก?”
“ก็เห็นพี่ไม่พูดอะไร ก็นึกว่าไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้ถามอ่ะ......”
“…ไอ้พวกนั้นเก็บไปรึเปล่า?” “ไกรจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
“เฮ้อ ให้ตายสิ…แล้วก็อยู่แบบไม่มีมือถือมาเป็นเดือนเนี่ยนะ”
“ใครว่า ซื้อใหม่ละเหอะ” ผมหยิบซัมซุงฮีโร่คู่ใจคนทำงานขึ้นมาโชว์ แอบดอดไปซื้อกับไอ้โป๊ยที่ตลาดมา “แก้ขัดไปก่อนอ่ะ เบอร์เดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมด้วย”
ที่พี่วันไม่สังเกตก็ไม่แปลกเท่าไหร่ครับ เพราะเราอยู่ด้วยกันตลอดจนเกือบไม่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ…และมือถือผมส่วนใหญ่ก็เอาไว้ตามตอนทำงานกลุ่มเนี่ยแหละฮะ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้น
เพราะอะไรบางอย่างทำให้พี่วันคว้ามือถือผมไปดูเฉ้ย ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไรฮะ…จนเขากดเลื่อนๆเช็คแทบทุกตารางนิ้วถึงส่งคืนมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เช็คก่อน ว่ามีชู้รึเปล่า”
ผมเอามือถือเคาะหัวเขา โป๊ก! “ตลกละ ตัวเองยังมีเมียอยู่ตั้งสองคน”
“เมีย? ใครน่ะ?”
“ก็มาลากับวรรณนาไง”
“อ้อ”
ผมชักหงุดหงิดอย่างน่าประหลาด “ไม่แก้ตัวอะไรหน่อยรึไง?”
“ไม่อ่ะ” เขายิ้ม ไถตัวลงนอนตักผม “แบบนี้เรียกว่า ‘หึง’ ใช่มั้ย? ชอบให้ไกรหึงนะ ดังนั้นไม่แก้ตัวหรอก”
จากนั้นผมก็บีบคอเขาเขย่าครับ เอาให้ไอ้เชื้อสายจ้าวจระเข้บ้าอะไรนั่นสูญพันธุ์ไปเลย ไอ้พี่วันแม่งต้องตายด้วยน้ำมือผมเนี่ยแหละไม่ต้องไปถึงมือหมอปราบจระเข้หรอก!
สักพักวรรณนาก็เดินทั่กๆขึ้นเรือนมา ไอ้พี่วันเลยยอมลุกจากตักผมเพื่อรับฟัง ซึ่งไม่มีอะไรหรอกครับ วรรณนาจะขึ้นมาบริเวณในเวลานี้เสมอเพื่อถามเรื่องมื้อเย็น บริเวณนี้คือชานพักหน้าห้องไอ้พี่วันครับ มันอยู่ในร่มไม้..ตอนเย็นก็เลยจะเย็นกว่าในห้องนอน ไอ้พี่วันเสพย์ติดการพักผ่อนบริเวณนี้มาก ครั้งที่ทะเลาะกับอาก็ตรงนี้เหมือนกัน
วรรณนายิ้มให้ผม แล้วหันไปหาท่านจ้าวของเขา “ตั้งโต๊ะเลยไหมขอรับ?”
ไอ้พี่วันมองไปรอบๆ “แล้วท่านอาพันวังล่ะ?”
“ท่านพ่อให้ยกสำรับไปทานบนเรือนขอรับ”
ผมหันไปมองพี่วัน..อยากจะทักเรื่องที่ท่านอาพันวังคงยังเคืองอยู่มิใช่น้อยออกไป แต่ไอ้พี่วันไม่ได้มองมาที่ผม กระนั้นก็ดูทุกข์ใจมิต่างกันนัก
“อืม” เขาตอบรับคำสั้นๆ “ยกสำรับมาให้ที่เรือนแล้วกัน พี่จะทานในห้อง”
วรรณนาโค้งศีรษะลง “ขอรับ”
ผมมองตามกิริยาอ้อนช้อยเช่นนั้นอย่างลืมตัว เห็นกี่ครั้งก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าเขาถูกอบรมเรื่องมารยาทมายังไงกันนะถึงได้งดงามขนาดนี้ จะลุกจะเดินเหินก็หมดจดไปเสียหมด
หลังจากวรรณนาลงเรือนไปแล้ว ผมก็ต้องหันไปหาไอ้พี่วันเพื่อวิจารณ์
“งามแท้” “หืม?” คนฟังจมลงไปกับหน้าหนังสืออีกครั้ง “อะไร? วรรณนาน่ะรึ?”
“จะใครซะอีก”
เขาเหลือบสายตามามองผมแปปนึง แล้วหันไปยิ้มกับกระดาษ “ชอบรึไง?”
“เฮ้ย บ้า”
“ถ้าไกรชอบ จะลองในฤดูบ้างมั้ยล่ะ?”
ผมขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”
“ก็…กับวรรณนาไง” ระยะเวลาสามสิบวินาทีที่ผมนิ่งคิดกับคำแนะนำดังกล่าวเพื่อสรุปความนั้นทำให้ความหงุดหงิดพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จนอดไม่ได้ที่จะขยับตีนไปถีบเขา
“ทุเรศ” เขาดูตกใจกับคำพูดนั้น “อะไร?”
“…ไม่รู้”
“ล้อเล่นน่า” พี่วันว่า “พี่ไม่ให้หรอก ห้ามไกรทำนะ”
“ล้อเล่นแบบนี้ตลกที่ไหนล่ะ?”
“……ก็เห็นไกรเอาแต่ชมวรรณนาอ่ะ”
“แค่ชมก็ไม่ได้แปลว่าชอบนี่” ผมถีบเขาอีกครั้ง มันเริ่มหงุดหงิดจริงๆแล้วแหะคราวนี้
“…เรื่องแบบนั้นน่ะ ถ้าไม่ได้ทำกับคนที่ชอบก็ไม่มีความหมาย…และถ้าทำโดยที่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย…ก็ไม่มีความหมายเหมือนกัน” ไอ้พี่วันจับข้อเท้าผมให้หยุดถีบ สัมผัสของปลายนิ้วเย็นๆทำให้ผมอยากจะชักเท้ากลับ..แต่ทำไม่ได้
ดวงตาสีอำพันคู่นั้นปรืออ่อนจ้องตรงมา..แล้วเอ่ยเสียงเบา
“….แล้วกับพี่…มันมี ‘ความหมาย’ ใช่มั้ย?” ผมชะงักกับรอยยิ้มบนใบหน้านั้น แล้วไอ้สมองที่มีความจำในดีเยี่ยมก็ฉายภาพคืนวันก่อนกลับเข้ามา..ทำเอาเลือดในกายสูบฉีดหน้าแดงซ่าน แล้วกระชากเท้าตัวเองกลับมา
“ไม่รู้ว้อย!!” “ยังจะมาไม่รู้อะไรอีกล่ะ” เขามุ่ยหน้า ดันตัวลุกขึ้นมาจากการนอนกลิ้งบนตั่งเพื่อนั่งข้างๆผม “รู้อะไรมั้ย…ผ่านมาตั้งนาน…ไกรยังไม่เคยบอกชอบพี่เลยนะ?”
ผมขยับตัวหนี “อะไรเล่า ต้องบอกด้วยรึไง”
“บอกสิ”
“….ที่-ที่ทำไปนี่ยังไม่ชัดเจน..อีกเหรอ” เขาหัวเราะ “ชัดสิ แต่บางทีมันก็อยากได้ยินดังๆมากกว่านะ”
“ทำไมต้องดังๆด้วยล่ะ!?”
“ก็เอาให้มันเต็มสองรูหูนี่ไง~”
“ตลกละ น่าอายจะตาย”
“พี่ชอบไกรนะ” “เฮ้ย!!”
คำรักที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยดังขึ้นทำเอาผมหน้าร้อนผ่าว มองเขา..จ้องลงไปในดวงตาสีอำพันระริกระรี้คล้ายแกล้งผมเช่นนั้น และเขาก็หัวเราะออกมา
“เห็นมั้ย…ไม่เห็นน่าอายเลย รู้สึกดีด้วยซ้ำ”
“พ-พูด..พูดบ้าอะไร!?”
..นี่กูเป็นโรคติดอ่างเหรอวะ!?.. “การกระทำสำคัญกว่าคำพูดเฟ้ย!”
เขายกมือยอมแพ้ “จ้า จ้า”
“อะไรวะ!? กวนประสาท!!”
“กวนตรงไหนกัน ก็รู้แล้วไงว่าไกรชอบพี่”
“ไอ้พี่วัน!!”
“หืม? หรือพี่เข้าใจผิด?”
นาทีนั้นทำห่าอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ… “แล้ว..แล้ว..เรื่องท่านอาพันวังจะว่ายังไง?”
เขาขมวดคิ้ว “เปลี่ยนเรื่องไม่เนียนเลยว่ะน้องไกร”
“โอย! นี่ซีเรียสนะ”
คนฟังไหวไหล่ “ก็ไม่ยังไงนี่?”
“แต่…อาพี่ไม่ออกมาทานข้าวด้วยกัน…ตั้งแต่วันนั้นเลยนะ…….” ไม่ต้องรอให้จบประโยคหรอกครับ เพราะไอ้พี่วันกลับผ่อนลมหายใจออกมาก่อน..แล้วเบือนดวงหน้าคมเข้มหันไปทางเรือนแยกของท่านอาพันวังที่อยู่ห่างออกไป และไม่รู้ว่าบ้านนี้มันจะกว้างไปไหน…ถึงแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยทั้งเช้าและเย็น
ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่วันนะ…แต่ในทางกลับกัน การกระทำของอาพันวังก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียหมด ถ้าเป็นก่อนหน้าที่ผมจะได้เจอกับไอ้พี่วันแล้วมารับรู้ว่ามีจระเข้กลายร่างได้ก็คงรู้สึกแปลกๆเหมือนกัน(แถมมีเซ็กส์ได้ด้วย ไอ้ห่าเอ้ย!) และดูจากเรื่องราวในอดีตที่ได้ยินมาคร่าวๆเช่นนั้นก็พอเดาได้ลางๆว่า…ถ้าจะให้ญาติดีกัน…มันเป็นไปแทบไม่ได้…
สำหรับเรื่องนี้..ถ้าจะมีบทสรุป มันก็คงเป็นบทสรุปที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยละมั้ง
……ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ+++++++++++++++++++
ผมเกลียดห้องสมุด
เออ ยอมรับครับว่าผมเป็นเด็กขยันตั้งใจเรียนพอสมควร แต่เพราะเกลียดบรรยากาศเงียบๆกดดัน แถมสายตาของบรรณารักษ์พวกนั้นก็เสือกโหดกว่าดวงตาสีอำพันของท่านอาพันวังเสียอีก เวลาที่ใส่ชุดไปรเวทเดินเข้ามาทีไรต้องโดนเหล่จนตัวแทบพรุน นี่ยังไม่นับเวลาที่เผลอคุยเสียงดังหรือวางหนังสือรุนแรงนะครับ…แม่เจ้า จ้องอย่างกะผมหั่นศพใครซ่อนไว้ในหนังสือ..
……..เอาเถอะ ผมคงเป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบวินัยเท่าไหร่ล่ะมั้ง “เจอบ้างป่ะ?” เสียงไอ้โป๊ยดังลอดผ่านชั้นหนังสือ ผมเหลือบตาขึ้นมาสบตามันระหว่างช่องเล็กๆต่อไปยังอีกฟากชั้น แล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ยัง”
“โหดชิบ วันนี้ทั้งวันจะหาเจอมั้ยวะเนี่ย”
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า หัวข้ออื่นๆคนเค้าเอาไปกันหมดละ…มึงแหละกินข้าวช้า”
“แหม เอาดีเข้าตัวนะครับคุณ ทำอย่างกะว่ามึงรู้งั้นแหละว่าเขาเลือกหัวข้อกันวันนี้”
ผมกรอกตา แกล้งทำเป็นไม่สนใจคำค่อนแคะนั่น “รีบหาเข้าสิ อย่าช้าอยู่”
“เอออ”
“พรีรีพอร์ทพรุ่งนี้นะเว้ย”
“เอออ”
อีกครั้งที่ผมดันหนังสือเก็บเข้าชั้น แล้วหยิบออกมาอีกเล่ม..เพื่อพลิกหน้าดูสารบัญ ส่วนไอ้โป๊ยก็เดินไปคีย์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ห้องสมุด แล้วจดทะเบียนเล่มมาเพื่อหาเป็นหมวดๆ ซึ่งไม่ได้อะไร…วิชาวรรณคดีโบราณห่าเหวอะไรเทือกนั้นมันก็อยู่ไม่พ้น3-4แถวนี้แหละครับ
ผมดันหนังสือเก็บเข้าชั้นแบบเซ็งๆ แล้วถอยออกมาเพื่อเดินไปยังตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม
แล้วชะงัก
..เมื่อที่ตรงนั้นมีใครสักคนยืนอยู่ก่อนแล้ว วูบหนึ่งที่กว่าครึ่งของหัวใจผมรู้สึกผิดอีกครั้งจนต้องยกมือแตะที่หลังใบหูเพื่อให้แน่ใจว่า ‘รอยอาคม’ ที่ไอ้พี่วันมันทำเอาไว้ยังอยู่ ด้วยอะไรไม่ทราบนั่นแหละ…ผมนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ผมกับเธอได้อยู่ใกล้กันแบบนี้ มันนานมากแล้ว..อาจจะตั้งแต่วันที่ทำงานที่หอด้วยกันครั้งนั้นก็ได้
วันที่ไอ้พี่วันเสือกเดินเข้ามาในห้อง…และทำให้ความสัมพันธ์ของเราแม่งเกือบกระจ่างนั่นแหละ และมันแย่ตรงที่วันนั้นผมไม่กล้ามองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
และไม่ต้องย้ำใช่มั้ยครับ เพราะความจริงที่ว่าผมมีอะไรกับไอ้พี่วันแล้วมันยิ่งเพิ่มความกระดากขึ้นมาอีก อย่างที่เธอเคยบอก..ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้สึกผิด ไอ้พี่วันก็ด้วย อีกอย่าง..แก้ว
‘..กะอีแค่เขาไม่รัก ไม่ใช่เรื่องใครต้องมาขอโทษสักหน่อย..’ แล้วผมจะทำยังไง?
.. เดินไปที่ชั้นหนังสืออื่นดี หรือจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นเธอและปล่อยให้อีกฝ่ายทักผมเองดี
บ้าจริง…ไร้สาระชะมัด
….ลูกผู้ชายน่ะ…เวลาแบบนี้เค้าไม่หนีกันหรอกนะ… “แก้ว!” ผมร้องทัก
อีกฝ่ายสะดุ้งจนเกือบทำหนังสือหลุดมือ แล้วหันมามองผมด้วยดวงตากลมโตคู่นั้น..ก่อนจะหัวเราะเหมือนนางฟ้า
“โธ่ไกรน่ะเอง! ตกใจหมดเลยรู้มั้ย”
“ตกใจอะไรขนาดนั้น!” ผมยิ้มออกมาจนได้ “หาอะไรอยู่น่ะ? รีเสริชหรือ?”
“อื้อใช่ เรากะโมเพิ่งเริ่มทำวันนี้เอง”
“เรากับโป๊ยก็เหมือนกัน”
“หวายยย ทำตอนไฟลนก้นแบบนี้เหมือนไม่ใช่ไกรเลยนะ ฮ่าๆๆ”
“เฮ้ เราไม่ได้เนิร์ดขนาดนั้นนะ มันก็ต้องมีบ้างแหละ” ผมมุ่ยหน้า ตั้งใจจะหยอกล้อกับเธอ “แค่ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”
เธอยิ้มอ่อนลง
“เรื่องพี่วันเหรอ?” ผมชะงัก
เพราะลูกตรงที่พุ่งเข้ามาอัดกระแทกใจดัง ‘ปั๊ก’ นี่..ผมไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อน
และอาจจะเพราะผมเงียบไปนานล่ะมั้ง เธอเลยพยายามพูดกลบเกลื่อน…แบบที่จงใจให้ผมเห็นว่าเธอกำลัง ‘กลบเกลื่อน’ น่ะนะ
“ก็เห็นช่วงนี้สนิทกันน่ะไกร ไม่มีอะไรหรอก”
ในอกของผมโหวงขึ้น ผมรู้สึกว่ามันมีรูบางอย่างอยู่
“แก้ว…คือ….” และผมคิดว่าผมอยากจะอุดรูนั้น ด้วยอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คำโกหกกลบเกลื่อนหรือแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น และ…เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นพวกนี้
และเธอเงียบ หันมามองผม..คล้ายกับรอให้ผมพูด
ผมรู้แล้วว่าทำไมเมื่อก่อนผมถึงชอบเธอ..
..เธอที่บอบบางอ่อนโยน..แต่กลับ..
แข็งแกร่งที่สุด “เรา..ชอบพี่วัน” คำนั้นหลุดออกไป..เสียงเบาคล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำถูกกฏของห้องสมุดได้ดีเยี่ยมขนาดนี้
และเธอได้ยิน
“อืม” แก้วรับ..ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “เรารู้”
“เราขอโทษ”
เธอสูดลมหายใจสั้นๆ “ไกรจ้ะ เราเคยบอกแล้ว..สำหรับเรื่องนี้..ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาขอโทษใครหรอกนะจ้ะ”
“ไม่ใช่” ผมก้มหน้าลง “เราอยากขอโทษ ในฐานะ
เพื่อน…เพราะ…เราไม่ได้บอกแก้วก่อน”
เธอเงียบไป พักใหญ่ๆ
ก่อนจะถามกลับ “แล้วพี่วันชอบไกรด้วยรึเปล่าจ้ะ”
ผมรู้สึกหน้าร้อนน้อยๆ “…เราไม่รู้หรอก”
“งั้นเหรอ”
คำตอบรับนั้นไม่ได้มีแววประชดประชัน เหมือนเธอแค่อยากจะปล่อยผ่านมันไปยังไงชอบกล
ผมเงยหน้ามองเธออีกครั้ง และถึงได้เห็นรอยยิ้มนั่น กับมือบอบบางที่ละจากหนังสือที่เธออ่านอยู่เพื่อดึงมือผม..กุมมือผม..และ..
“…เราอวยพรนะจ้ะ” เธอบอก กับมือของผม
“…ขอให้…ไกร…อย่าเป็นแบบที่เราเคยเป็นเลยนะ…” ถ้อยคำอ่อนโยนนั้นกลับวิ่งมาปักอยู่ที่กลางใจ กับสถานะอะไรๆที่คนเก่าของหมอนั่นเคยประสบพบมา
และแม้ว่าจะเจ็บมาก แต่ผมก็ยิ้มตอบเธอ
“…เราไม่เสียใจหรอก” อีกฝ่ายพยักหน้า “…เราก็เหมือนกัน”
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ย?”
“แน่นอนสิ”
“ขอบใจนะ”
“พูดจาเป็นการ์ตูนผู้หญิงไปได้นะไกร ฮะๆ”
ผมหัวเราะตาม “เราไม่เคยอ่านหรอกน่า…เอ้อ แล้วแก้วมาคนเดียวเหรอ? โมล่ะ?”
“โมอยู่ทางโน้นจ้ะ เอ้อ ไกรรู้มั้ยว่าไปยืมวิทยานิพนธ์ของพี่ๆป.โทมาหาข้อมูลได้”
“เฮ้ย จริงสิ”
“เราก็ว่าจะไปพอดีเหมือนกัน” เธอค่อยๆดึงมือตัวเองออก “เราไปก่อนนะ แล้วเจอกันจ้ะ”
ผมพยักหน้ารับ “คืนนี้ถึงเช้าแน่เลยแก้ว”
“อย่าแช่งสิ!”
เธอโบกมือให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปแต่โดยดี
รูในอกผมถูกปิดลง..และรู้สึกดีกว่าเมื่อสิบนาทีที่แล้วเล็กน้อย การสารภาพออกไปทำให้อะไรๆมันโล่งขึ้นเยอะ ถึงจะแอบแปลกใจเรื่องที่เธอไม่ทักว่าผมกับเขาเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ…สงสัยไอ้กิตติศัพท์ ‘หล่อจนผู้ชายแท้ๆยังอยากเป็นเกย์’ ของไอ้พี่วันคงกระฉ่อนน่าดู ยอมรับกันได้ทั้งประเทศแล้วล่ะมั้งนั่นน่ะ
ก่อนหน้านี้แก้วเองก็คงเจ็บปวดกับเรื่องนี้ไม่น้อย (แถมเป็นข่าวดังทั้งคณะอีกต่างหาก เวรกรรมจริงๆ) แต่เพราะเวลามันผ่านมาสักพักแล้วคงไม่แปลกที่จะเริ่มทำใจได้บ้าง
หรือไม่ก็…แก้วเองก็คงคิดว่าไอ้พี่วันไม่ได้จริงจังอะไรกับผมมากนัก เหมือนที่เคยทำกับเธอ..
…มันเป็นเรื่องที่ผมเองก็คิดไว้เหมือนกัน
แต่ไม่เสียใจหรอกนะ ผมชะโงกหน้าออกไปมองหาไอ้โป๊ย เพื่อนรักนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะตัวใน ท่าทางจะยังไม่รู้ว่าแก้วเองก็มาห้องสมุดนี้ด้วยเหมือนกัน ไอ้เวรนี่ก็แปลก..ปากบอกว่าชอบเขาๆ แต่ไม่เห็นจะลุยห่าอะไรสักอย่าง น่าหงุดหงิดแทนจริงๆ
แต่พอเห็นมันท่าทางจะได้ความเรื่องรายงานอะไรสักอย่างแล้วก็ต้องหันมาหาข้อมูลเองบ้างแล้วล่ะครับ จะมาอู้คิดเรื่องส่วนตัวอะไรอยู่ก็ไม่ได้
หนังสือที่แก้วหยิบออกมาเมื่อครู่ยังวางอยู่บนพื้นชั้น ไม่ได้ถูกเก็บให้เรียบร้อย…บางทีแก้วอาจจะรีบเกินไป ก็ช่วยไม่ได้…เรื่องแบบนั้นจะให้คุยกันนานๆมันก็กระไรอยู่ ถ้าแก้วไม่เป็นฝ่ายบอกลาไปก่อน…ผมเองเนี่ยแหละที่คงจะบอกลาเธอเสียเอง
ผมพลิกดูสันปก ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาจากชั้นไหนล็อคใด และเงยหน้าขึ้นมองเลขทะเบียนที่ติดอยู่ทุกสันชั้น ใช้เวลาไม่นานก็หาเจอครับ เลยต้องมานั่งไล่ตัวเลขกันอีกที
เลข38 อยู่ระหว่างเลข37 กับ 39…….
….เจอละ