ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๓-
“สุดท้ายแล้วอ้ายฝนก็ตกลงมามิรู้เวลา” นั่น..เป็นคำพูดที่ทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากการบรรจงเช็ดเนื้อตัวอยู่ใต้เรือน ท่ามกลางเสียงสายฝนจั่กๆที่กระหน่ำตกจากภายนอก ด้วยทุกผู้ตัวต่างเป็นจระเข้แปลงกายด้วยกันทั้งนั้น ทำเอาวิ่งหลบฝนให้จ้าละหวั่น เกรงจะได้กลายร่างในที่มิถูกมิควรแล้วขยับไหวพังเรือนกันเสียเปล่า
บรรดาจระเข้น้อยใหญ่ถึงได้รวมตัวกันที่ใต้เรือนบ้าน เหล่าจ้าวเหนือหัวกางผ้าส่งขึ้นเรือนกันเสียเรียบร้อย มีบ้างที่เห็นน้ำแล้วตื่นตาตื่นใจ ยอมแปรพักต์กลายร่างกันลงไปเริงสำราญ…
จระเข้เป็นสัตว์ที่ขี้ร้อนนัก เพียงปอยฝนเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกดีทั้งนั้น
รวมถึงพันวังก็ด้วย
…แม้ตนจะเคลื่อนเปลี่ยนเพียงเกล็ดสีเขียวตองที่ข้างแก้มก็เถอะ
“ดูสิ แทบจะคืนกายกันหมดทั้งเรือน”
“ยิ่งเห็นยิ่งนึกถึงสมัยก่อน” หนึ่งซึ่งแปลงคืนเป็นเกล็ดเกือบทั่วทั้งตัวว่า ดวงตาสีอำพันส่องประกายในความสลัวเช่นนี้นัก “ครั้งที่เรายังมิต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นมนุษย์ นอนผึ่งลมอาบฝนคลายร้อน สะบัดหางตีป่ายไปมาในท้องน้ำ”
“อ้ายลุงนี่ก็พูดราวตัวเองแก่นัก”
“ข้าอายุมากกว่าพวกเจ้าเสียรอบครึ่งก็แล้วกัน เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ที่ไหน”
“ข้าเห็นด้วยกับอ้ายพี่ทองใบ”
“นับตั้งแต่อ้ายมนุษย์เริ่มตามไล่ล่าชาวเรา ครอบครัวก็หดเหลือน้อยลงไปเสียทุกที”
“อ้ายแสนตาสิมีบุญแท้ นอกจากจะค้นพบเพศเมียที่หาได้ยากยิ่งแล้ว ยังงามล้ำสมชื่อ ‘บุหลัน’ ล้ำค่า”
หนึ่งในบ่าวรับใช้กล่าว
“นึกดูน่าอิจฉาพลพรรคพวกเจ้านัก ไม่นานคงมีจ้าวตัวน้อยมาวิ่งเล่น เราสิกำลังทางตัน…ตัวเมียที่มีก็เพียงอ้ายแม่พิกุลเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ตายห่ากันไปเสียหมด”
“จะพูดว่ากลุ่มเราไร้วาสนารึก็ไม่ใช่ จักพูดได้ว่าจ้าวผืนน้ำแห่งอโยธยาท่าจะบุญมากกว่า”
“แล้วมันต่างกันที่ตรงไหน”
“เอาเถอะน่า”
“เช่นนี้อีกมิช้านาน จ้าวเหนือหัวคงจะเตรียมไร่พลตระเวนหาตัวเมียเสียทั่วทั้งลุ่มน้ำ นำจระเข้ธรรมดามาสวมซึ่งลูกแก้ววิเศษ” หนุ่มเดิมพูดติดตลก “จะร้ายดีก็ทำพันธุ์ได้มิต่างกัน ดีกว่าปล่อยให้เผ่าเราสิ้นสู----”
“สามหาวนัก อ้ายไพร่พวกนี้” อินทร บ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งได้ยินดังนั้นถึงกับตบเข่าฉาด ดวงตาที่ยังเหลือเพียงข้างเดียวปราดมองซึ่งทุกตัวในบริเวณนั้น
“หยิบยกนายมานั่งจับกลุ่มนินทา มีบ่าวที่ใดกระทำการหยาบช้าเช่นนี้บ้าง”
คนพูดรีบยกมือลูบหน้า “ดูก่อนอ้ายอินทร ข้าแค่ห่วงพะวงชะตากรรมเผ่าเราต่อไปเท่านั้น”
“พวกเราหาได้ประสงค์ลบหลู่นายเหนือหัวไม่ ทุกตัวก็รู้กันทั่วเรือนว่าที่เรามีวันนี้ได้เพราะใคร หาใช่บารมีจ้าวรำไพหรอกรึ”
“ซ้ำจ้าวโคจรยังมีเมตตากับเราเช่นนี้ จะลืมบุญคุณกันเสียก็แย่เกินไป”
“เพียงตัวเมียนั้นหาได้ยากนัก”
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จ้าวลุ่มน้ำแห่งเมืองสระหลวงคงจะได้จบสิ้นในรุ่นนี้เป็นแน่แท้”
“ฤๅเจ้าจะบอกว่าปัญหาการสูญพันธุ์นี้มิใช่ภาระของเรา?”
คนฟังกลอกตา ด้วยมิรู้จะปั้นสีหน้าเช่นไรดี “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
“พวกเจ้ามิต้องกังวลเรื่องนั้นดอก”
เสียงแหบกล่าวขึ้นจากมุมหนึ่งของเรือน หญิงชรานั่งชันขาอยู่บนแคร่ไม้ไผ่..สอดดวงตาฝ้าฟางจ้องมองลูกหลานทุกตัวของตนเองไปมา
“มิช้านานจักเข้าฤดู ตัวเมียทั้งหลายจึงจะโผล่ให้ควั่ก…ถึงตอนนั้นก็เป็นเหมือนเช่นทุกปี”
“แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ต้องยอมรับว่าขาดแคลนมิใช่รึอ้ายแม่พิกุล”
“ใช่ ดูสิ…ตอนนี้พวกเราระบายกันเองยังได้ทางเสียมากกว่า”
คำพูดนั้นทำให้บรรดาจระเข้น้อยใหญ่หัวเราะร่วน ด้วยจริงดังคำว่า…สถานการณ์ไร้เพศเมียในวาระวิกฤติกลางฤดูช่างควบคุมยาก เป็นเรื่องปกติที่พรรคพวกเดียวกันจะชวนร่วมหอกระทำกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดเกินเลยนอกจากระบายความต้องการทางเพศเท่านั้น
มันเป็นสิ่งที่พวกเราทำจนเป็นปกติอยู่แล้ว
…อย่าเอาความรู้สึกหวั่นไหวมาปะปน… “อ้ายแม่พิกุลก็ชราภาพมากแล้ว แม้จะขยับเดินเหินก็ยังลำบาก” รดินกล่าว “ภาระนั่นหาใช่เรื่องของท่านอีกต่อไป”
คนฟังหลุบตาลง “หากข้าสามารถให้กำเนิดเพศเมียได้มากกว่านี้คงจะดี…”
“อ้ายแม่พิกุล…”
“ไม่ใช่ความผิดของอ้ายแม่เสียหน่อย” พันวังโพล่งขึ้น พาดขาวม้าผืนหนึ่งไว้บนไหล่
“พวกเจ้าทุกตนก็เลิกพูดเรื่องพรรค์นี้เสีย นอกจากจะมิช่วยทำให้สิ่งใดดีขึ้น รังแต่จะทำให้หดหู่ท้อแท้กันไปหมดทั้งค่าย…เรื่องมงคลของอ้ายพี่แสนตาสิถือเป็นเรื่องดี พวกเจ้าก็ควรแสดงความยินดีสิ มานั่งระทมทุกข์กันเช่นนี้จะได้เรื่องกระไรรึ”
“อ้ายน้องพันวังพูดถูก” รดินรีบสนับสนุน “เพลานี้สิควรรื่นเริง หากพวกเจ้ายังคลางแคลงใจ แล้วนายเหนือหัวเราเล่าจะมีความสุขได้เช่นไร”
คำนั้นทำให้บ่าวที่เหลือมองหน้ากัน แล้วรับคำมั่น
“ขอรับ!”
“อย่าให้ข้าได้ยินเรื่องพรรค์นี้อีก จะจับตอนเสียให้หมด…เข้าใจรึไม่?”
“เข้าใจขอรับ”
“ดี”
“อ้ายพี่รดินก็อย่ามัวกังวลอยู่เลย” เด็กหนุ่มว่าต่อ “รีบไปหาใบบัวบกมาซดดื่มเสีย บาดแผลฟกช้ำจากชนมวยนั่นคงสร้างภาระให้ท่านมิน้อย”
“นั่นสิ…อ้ายกล้า!”
“ขอรับ?”
“เจ้าสิรีบเอาใบบัวบกของเราไปให้อ้ายสหัสเสีย เจ้านั่นคงจะเจ็บตัวไม่ต่างจากข้า”
“ขอรับอ้ายพี่”
พันวังลอบถอนหายใจ เบือนสายตาหันออกไปที่นอกเรือน
สายฝนที่ตกกระหน่ำเช่นนี้ทำให้มองไม่เห็นอะไรด้านนอกสักนิด แต่กระนั้นสิ่งที่ดวงตาคู่หวานนั่นจ้องมองออกไป..กลับเป็นเพียงภาพอดีตที่เกิดขึ้นผ่านไปผ่านมาไม่ถึงชั่ววัน
ยามที่จ้าวโคจรประคองกอดร่างกายของตน กระซิบคำหวานล้ำผ่านเนื้อหัวใจ กับสัมผัสของริมฝีปากและนิ้วมือที่แสนอ่อนโยนชวนรัญจวนนัก ภาพบทร่วมรักเมื่อคืนที่ฉายซ้อนย้ำออกมาทำให้ลำคอแห่งผาก ยิ่งยามนึกถึงดวงตาคู่สวยนั่นร่างกายก็ราวจะหลอมละลายเสียให้ได้
…ถึงแม้ว่าอีกคนจะรับสั่งให้เขาทำเช่นใด ให้กลายเป็นหนึ่งในของเล่นของใครก็ตามแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดมากมายเท่านี้
…เท่ากับที่ตัวเองได้เห็น…สายตาที่อีกคนทอดมองแม่หญิงบุหลันเมื่อบ่าย
และมันแย่ตรงที่…
ตัวเขาเองกลับทำอะไรไม่ได้เลย…= = = = = = = = = =
ฝนหยุดตกแล้ว
และฟ้าเปิดมากพอที่จะให้แสงจันทร์กลมโตส่องสว่าง ลอดเข้าผ่านหน้าต่างกรอบไม้เพียงบานเดียวในห้องขนาดเล็กนี้ได้
แสงนวลสาดลาดจากวงกบลงมาถึงตั่งเตียงหนึ่ง กระทบผิวกายขาวละเอียดของร่างโปร่งบางที่นอนเปลือยกายอยู่ด้วยเป็นห้องหับส่วนตัว ผ้าแพรห่มผืนบางลงไปกองที่หน้าตักปกปิดส่วนลับลงไปถึงต้นขาเรียวดูบอบบางสมวัย ทุกสัดส่วนที่ถูกไอจันทร์จับต้อง..ก็ดูราวเปล่งประกายโดดเด่นไปเสียหมด
เด็กหนุ่มขยับพลิกกายนอนหงาย เรือนร่างที่ถูกปกปิดเพียงเล็กน้อยนั้นดูเย้ายวนนัก
..ยิ่งเมื่อ
‘ใครบางคน’ ทอดมองจากหน้าต่างเพียงบานเดียวนั้น
ร่างสูงใหญ่เกาะขอบบานปีนลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ย่องเบาอย่างเงียบเชียบมาประชิดที่ขอบเตียงได้โดยที่เจ้าของห้องไม่แม้จะรู้สึกตัว แล้วทิ้งตัวลงนอนเทียบที่ด้านข้าง สอดมือใหญ่เข้าไปสวมกอดอีกร่างอย่างแนบเนียน
คนตัวเล็กกว่าสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มปรือดวงตาขึ้น…เอียงดวงหน้าไปสบกับดวงหน้าคมเข้มในระยะใกล้
…ก่อนจะหลับตารับรสจูบเบาๆของอีกคนอย่างไม่ทันตั้งตัว…แต่ก็ไม่ถึงกับขัดขืน
สองมือใหญ่ลูบไล้บนหน้าท้องแบนราวเบาๆให้อีกคนเกร็งขืน ก่อนจะเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาคลึงยอดอกนุ่ม ส่วนอีกข้างกลับเลื่อนลงไปใต้ผ้าแพรบาง ขยับไหวกระตุ้นส่วนตื่นตัวอย่างเบามือ
“อะ..” เสียงครางหวานเล็ดลอดออกมา “…อย่า…”
“ไม่เป็นไร…” เสียงทุ้มกระซิบ..เลื่อนริมฝีปากไปขบกัดที่ข้างหู รดลมหายใจอุ่นร้อนเข้ามาด้านใน “…ข้าเพียงอยากสัมผัสเจ้าเท่านั้น..”
“….อ…อย่าเพิ่ง….”
แต่มือเล็กยังคงจับมืออีกคนที่ใต้ร่มผ้านั้นแน่น กระซิบห้ามเสียงแผ่ว
“…อ้ายพี่แสนตา” เจ้าของนามผ่อนลมหายใจอ่อน ยอมหยุดมือที่ล่วงเกินอีกคนเอาไว้
..แต่ก็ไม่ได้ผละออกเสียทีเดียว
“เจ้ามิชอบรึ?”
“…มิใช่อย่างนั้น…”
“รึชอบสามคนกับอ้ายโคจรมากกว่า?” “อ้ายพี่แสนตา!” คนถูกค่อนแคะตาลีตาเหลือกทันที “ท่านนี่ชักติดวิสัยจ้าวพี่มารึไร? พูดจาบัดสีได้มิอายฟ้าอายดิน มานี่เลย ข้าจะตีให้ขึ้นแดง…”
“ชี่”
นิ้วกร้านแตะลงที่ริมฝีปาก ปรามให้คนโวยวายลดเสียงลง
“จะเสียงดังทำไมเล่า อยากให้คนเขารู้ว่าเราอยู่บนเตียงเดียวกันรึไร?”
พันวังหน้าแดงซ่าน “คิดว่าขู่เช่นนั้นแล้วข้าจะกลัวรึ แต่ไรมาพวกท่านก็ไม่สนใจความรู้สึกข้าอยู่แล้วนี่”
“ซะที่ไหนเล่า เจ้าคิดไปเองแท้ๆ”
“แล้วถ้าจ้าวพี่โคจรมาเห็น…”
“ก็อย่าให้เจ้านั่นเห็นสิ ป่านนี้ไปอยู่กับบ่าวรับใช้นายอื่นแล้วกระมัง…ข้าไปหาที่ห้องจึงไม่เจอ”
ฟังดังนั้น ดวงหน้าน่ารักจึงหงอลงเล็กน้อย
อีกคนอมยิ้ม สวมกอดอีกคนแน่นๆเสียที
“เจ้าก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจไป ที่อ้ายโคจรไม่เรียกใช้บริการ..เห็นเพราะศึกเมื่อคืนวานช่างหนักนัก เกรงดวงใจจะไม่สบายเสียก่อน”
“แล้วอ้ายพี่มาเช่นนี้…มีเรื่องอะไรให้ข้ารับใช้เล่า?” ร่างสูงกว่าชะงัก ด้วยรู้ดีว่าคำถามนั้นเป็นเพียงการลองเชิงหาได้ไร้เดียงสาจริงอย่างที่ควรจะเป็นไม่ และถึงกระนั้นก็ยังยิ้มออกมาได้ ด้วยทั้งหมดทุกอย่างที่อีกคนเป็นเนี่ยแหละทำให้เขารู้สึกเอ็นดู ความร้ายเล็กๆแบบนี้แหละที่ชวนหลงใหลมากกว่าสตรีบริสุทธิ์อื่นใดเสียอีก
“จะอะไรซะอีกเล่า…” ว่าแล้วก็เชยคางมันให้ขึ้นมาสบตา แตะริมฝีปากลงที่ข้างแก้มอีกคน..แล้วคลอเคลียอยู่แสนนาน “ดังเช่นอ้ายโคจรกล่าวไปเมื่อวาน นี่ก็เริ่มเข้าฤดูแล้ว คงยากที่จะหักห้ามใจ….”
“แล้วไม่ห่วงข้าจะเจ็บหนักดังเช่นจ้าวพี่โคจรหรอกรึ?”
“…ข้าก็มิได้จะทำรุนแรงเสียหน่อย”
“ปากดี แล้วแม่หญิงของท่านเล่า?”
“เคราะห์ร้ายนักที่เรายังมิทันได้ร่วมหอลงโรงน่ะสิ”
“แต่การกระทำผิดจารีตเป็นเรื่องปกติของพวกท่านมิใช่รี”
“ปากร้ายนักน้องพันวัง น่าจะจับตีเสียให้เข็ด”
ริมฝีปากหยักไล้มาแตะจุมพิตหนักๆเสียหนึ่งที
“…..แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยัง…ปรารถนากายเจ้าอยู่ดี” คำหวานนั่นทำให้คนฟังต้องก้มหน้างุด
…รึบรรดาจ้าวทั้งหลายจะคารมคมคายเช่นนี้เหมือนกันหมด?
ยังไม่ทันจะสรุปความเสร็จ ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง เด็กหนุ่มก็จำเป็นที่ต้องหลับตาอย่างเสียมิได้ รสจูบร้อนผ่าวจากอีกคนทำให้เขาต้องหอบหายใจอ่อน ยิ่งยามมือใหญ่เลื่อนมาลูบคลำไปทั่วตามร่างกาย ก็ดูราวจะกระตุ้นส่วนสัมผัสให้เกร็งรับไปหมด
ไม่นานร่างใหญ่โตก็เคลื่อนขึ้นมาทาบทับ ผ้านุ่งทั้งหลายหลุดลื่นลงไปกองที่พื้นข้างเตียงปล่อยให้ร่างร้อนผ่าวสองร่างบดเบียดกัน แสงจันทร์ที่อาบไล้ผิวกายก็เหมือนจะร้อนผ่าว..
มือเล็กลังเลที่จะดันอีกคนออกไปจึงค้างอยู่แค่ไหล่กว้าง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออีกคนจับเรียวขาสองข้างให้แยกออกกว้างเพื่อบดเบียดร่างกายลงมา
“…อย่า! อ้ายพี่!”
เสียงหวานร้องบอก แต่ไม่ได้ดังเกินกว่าที่ใครอื่นจะได้ยิน
คนฟังหยุดมือค้างไว้ ขบกัดลงมาที่ยอดอกตึง “มีปัญหาอะไรรึ?”
“..อ..ข้า…” เด็กหนุ่มครางอ่อน พยายามควบคุมสติ “…จ้าวพี่โคจร….”
“อ้ายโคจรทำไม?”
“ข้าเป็น….ของจ้าวพี่โคจร…” คำนั้นทำให้ความเงียบวิ่งเข้ามาคั่นกลาง และแม้ว่าจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่จ้าวหนุ่มก็ยังคงใจเย็น แล้วจูบปลอบอีกฝ่ายเสียที
“เจ้าไม่ชอบข้า…?”
…ไม่มีคำตอบ… “เจ้ารักอ้ายโคจร” ชายหนุ่มกล่าวอีกครั้ง “เรื่องนั้นข้ารู้ดี”
“อ้ายพี่….”
“ถึงกระนั้นข้าก็อดที่จะคาดหวังมิได้…”
“อ้ายพี่แสนตา..” เรียวแขนนุ่มเกี่ยวกอดอีกคนเอาไว้ “ท่านก็รู้…ข้ารักและเคารพเทอดทูนท่านมาก”
“กระนั้นก็ไม่สู้อ้ายโคจร”
“…ท่านผู้นั้นเป็นนายข้า…แต่…”
“ขอร้องล่ะ น้องพันวัง” สองมือใหญ่ประคองดวงหน้าน่ารักเอาไว้ แล้วบดเบียดความใหญ่โตที่หว่างขาไปมา “หากเจ้าจะตัดข้า ก็อย่าทำตัวเช่นนี้ ปฏิเสธออกมาให้ชัด…แล้วข้าจะไป”
“อ้ายพี่…”
“พูดมาเทอด”
ดวงตากลมโตช้อนมองอีกคนอย่างเต็มไปด้วยความหมาย เขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคืออะไร เขารู้ว่าคนตรงหน้าสำคัญกับเขาแค่ไหน..ไอ้ครั้นจะยอมรับความปรารถนาที่เกิดขึ้นนี่เลยก็คงมิได้ จึงต้องแสร้งทำเป็นขัดขืนแม้ร่างกายจะยินยอมไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม
…ด้วยภักดี หนึ่งคำที่ทำให้ภาพเก่าย้อนกลับมาอีกครั้ง ภาพที่ตัวเขาเองยืนอยู่เคียงข้างจ้าวพี่โคจร แต่กลับอยู่ไกลออกไป…ทั้งๆที่มือพยายามสะกิดเรียกอีกคนให้หันมามอง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจ และ…กำลังติดบ่วงในสิ่งอื่นมากกว่าแค่ตัวเขาเอง
พันวังรู้สึกเกลียดขึ้นมา เกลียดที่ตัวเองต้องรู้สึกหึงหวงเช่นนี้ ไม่พอใจกับความรู้สึกปรารถนาอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเช่นนี้ ทั้งที่มันมิใช่ความรู้สึกของจระเข้…
…..คือมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนา ความรู้สึกรับรู้
…และแสนอ่อนแอ เรียวขายาวตวัดรัดบั้นเอวแกร่ง ยกสะโพกขึ้นบดเบียดแทนคำตอบทั้งหมด
แล้วหลับตาลง…เพื่อลบเลือนความรู้สึกเช่นนั้นไป
= = = = = = = = = =
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหลายสิบปีของจ้าวจระเข้หนุ่ม เขามิเคยรู้สึกเช่นนี้
วินาทีที่สบกับดวงตาหวานล้ำคู่นั้น ส่วนหนึ่งของหัวใจเขากลับถูกช่วงชิงไป
ด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบที่ฉุดให้จ้าวโคจรต้องลุกขึ้นจากเตียง เขาเพียงรู้สึกกระสับกระส่าย จนในที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเปิดประตูเดินออกจากเรือนนอน และตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะไปที่ไหนดี
เขาไม่อาจลบใบหน้านางออกจากสมองได้เลย… เพียงชั่ววูบเดียวที่นางปรากฏตัวออกมา นอกจากช่วงเวลานั้นฝนก็ตกหนักจนถึงช่วงค่ำ แม่หญิงบุหลันเก็บตัวอยู่เพียงแต่ในห้อง แน่นอน…มันเป็นเรื่องปกติ เพศเมียคงไม่อาจออกมาเดินเพ่นพ่านยามที่ตัวผู้รออยู่เสียเต็มเรือน ยิ่งเป็นถึงว่าที่จ้าวหญิงคนสำคัญด้วยแล้ว..ยิ่งต้องระวังตัวให้หนัก
ชายหนุ่มไม่รู้จักเหตุผลที่ตัวเองร่ำร้องอยู่ในอกนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจมันเสียทีเดียว เขาท่องอยู่ในใจมากกว่าร้อยกว่าพันรอบทีเดียวว่าอ้ายแม่หญิงนั่นเป็นคนของเพื่อนรัก
…แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยากพบนาง ร่างสูงยืนเกาะราวระเบียงที่ด้านนอกชาน ดอกแก้วกาหลงส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนลอยมาแตะที่จมูก เขาเงยหน้าขึ้นมองเพชรเม็ดงามดวงโตที่ประดับอยู่กลางท้องฟ้า เมฆหมอกที่เคยหนาครึ้มกลับจางออกจนฟ้ากระจ่างตานัก
…เป็นบรรยากาศที่เหมาะจะไปลากคอเกลอรักออกมาจิบเหล้าเคล้าแสงจันทร์เสียจริง
คิดเสร็จสรรพก็ก้าวเท้าเลียดไปตามราวระเบียง พอพ้นโค้งกิ่งมะยมจึงจะถึงเรือนแขกรับรอง อ้ายแสนตาจอมขี้เซานั่นคงจะพร้อมออกมาอยู่เป็นเพื่อนเขาเป็นแน่ไม่ต้องเดาเลย ฝ่ายนั้นหาใช่เจ้าขี้เซานอนเยอะไม่ เรี่ยวแรงก็มหาศาลมากพอจะอยู่กันได้ถึงเช้า
แต่กลับต้องชะงักลงเสียก่อน
เมื่อ
‘ใครบางคน’ ยืนอยู่ตรงขอบระเบียงเรือนรับรองหลังหนึ่ง
เป็นเงาร่างที่ทำให้หัวใจเจ้ากรรมเต้นโครมคราม แม้อ้ายโคจรจะขึ้นชื่อเรื่องความกะล่อนเจ้าชู้ และดูท่าทางจะเกี้ยวพาราสีเก่งมิใช่น้อย กระนั้นก็ใช่ว่าจะเคยเผชิญหน้ากับเพศเมียบ่อยนัก
“นอนไม่หลับรึแม่หญิง?” นั่นเป็นคำที่ทักออกไป
คนถูกเรียกสะดุ้งจนจับสัมผัสได้ แล้วรีบเบือนดวงหน้ามาสบ
“…แค่…ออกมาเดินเล่นจ้ะ”
เสียงหวานที่ได้ยินครั้งแรกนั้นทำให้คู่สนทนาเผลอยกยิ้มตามอย่างเสียมิได้ ชายหนุ่มขยับก้าวเท้าเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง และเว้นระยะห่างแต่เพียงพอดี
“ยืดเส้นยืดสายออกจากห้องบ้างก็ดีไม่ใช่น้อย” เขาว่า น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “อุดอู้อยู่เพียงในห้องเห็นจะไม่สบายตัวนัก จริงอยู่ที่ตัวผู้มากมายคงจะได้จ้องน้องตาเป็นมัน ก็ใช่ว่าจะหาญหักอันตรายไปเสียทุกตัว”
อีกคนยิ้ม กระชับผ้าคลุมไหล่ตัวเองวางเชิงเล็กน้อย…โดยไม่ได้พูดอะไร
ชายหนุ่มกลอกตา เบือนดวงหน้าเงยขึ้นไปมองพระจันทร์แก้เก้อ
….เขาต้องต่อบทสนทนา
....เขาต้องต่อบทสนทนา
....เขาต้องต่อบทสนทนา แต่กับอีกฝ่ายที่เงียบงันขนาดนั้น กลับไม่รู้ว่าจะกล้าพูดอะไรต่อไปดี
“แล้วท่านจ้าวเล่า นอนไม่หลับรึจ้ะ?”
นางเอ่ยกลับเสียงเบาหวิว คล้ายกับไม่กล้าจะพูดมากกว่า ดวงหน้าสวยเบือนมาเมียงมองเล็กน้อย ท่าทางเจ้าหล่อนคงจะชินกับความเงียบมากกว่าไม่อยากเปิดบทสนทนา
…นั่นทำให้ข้างในพองโตขึ้นมา
“ข้าสิว่าจะมาชวนอ้ายแสนตาไปดื่มเหล้าดูจันทร์ เห็นแม่หญิงยืนเปลี่ยวจึงเข้ามาทัก” ชายหนุ่มตอบไปตามจริง แม้จะตอบไม่หมดก็ตาม ยังตอบท้ายด้วยคำนินทาเพื่อนรักอีกสักดอก “อ้ายแสนตานั่นก็แย่เสียจริง..ปล่อยให้อ้ายน้องบุหลันยืนเหงา ข้าจักเข้าไปลากคอออกมาสั่งสอนเสียให้เข็ด”
อีกคนยกมือปิดปากหัวเราะคล้ายไม่กล้า “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ”
“อยู่ที่นี่ห้องหับสะดวกดีรึไม่? หากมีอะไรขาดเหลือโปรดบอกข้า”
“สบายดีจ้ะ อ้ายแม่พิกุลดีกับข้านัก เด็กรับใช้ก็คอยถามคอยห่วงมิได้ขาด ท่านจ้าวไม่ต้องกังวลเรื่องเล็กน้อยไปดอก”
“เรียกข้า ‘จ้าวพี่’ เทอด” เขายิ้ม “กับอ้ายแสนตานั่นก็เหมือนพี่น้อง มิต้องทำเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล”
“จ้ะ” อีกคนรับคำ “จ้าวพี่โคจร”
…ดวงใจเจ้ากรรมอึดอัดนัก…
…ราวหยิบเม็ดดาวบนฟากฟ้าทั้งมวลมายัดอยู่ภายในก็มิปาน… ร่างสูงเท้าแขนทั้งสองข้างกับราวระเบียง แสร้งมองออกไปชมหมู่แมกไม้ยามค่ำคืน จ้าวหนุ่มมิรู้จะทำเช่นไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดี การยืนคุยกันสองต่อสองกับแม่หญิงของเพื่อนรักก็ใช่จะเป็นเรื่องที่ถูกควร แต่พิจดูดีๆแล้วเขาก็เว้นระยะห่างมาเกือบสามหลาเห็นจะได้ ไม่ใช่ระยะห่างที่ดูผิดจารีตอะไรนัก
…นั่นหมายถึง…เขาแค่อยากจะยืนอยู่ตรงนี้
…เพียงเพื่อได้ใกล้ชิดอีกคนต่อไปแค่
เพียงสักเสียววินาที “แล้วกับอ้ายแสนตา…” เป็นครั้งแรกที่ยามพูดชื่อสหายออกมา…กลับรู้สึกหนักใจขนาดนี้ “พบพานกันได้เช่นไรรึ?”
“ข้าเกิดและโตที่สุพรรณจ้ะ” อีกฝ่ายว่า ยิ้มอ่อน “ยินว่าฝูงข้าถูกฆ่าตายตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย มีมนุษย์เฒ่านิสัยแปลกท่านหนึ่งเลี้ยงข้าไว้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนอ้ายพี่แสนตาจึงได้บุกไปหา และชิงตัวข้ามาน่ะจ้ะ”
“เอ๊ะ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้า…โตมาด้วยมือมนุษย์หรอกรึ?”
คู่สนทนาพยักหน้า “จ้ะ”
“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดร้าย น้องบุหลันช่างโชคร้ายนัก”
เธอยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร
“..? รึเจ้าไม่เห็นพ้องกับความเห็นนั่น?”
“อะ..ไม่เชิงหรอกจ้ะ”
“แล้วทำไม….”
“เพียงแค่มนุษย์เฒ่าตนนั้นใจดีกับข้าเหลือเกิน……..ไม่สิ ข้ามิควรพูดเช่นนี้”
ก้าวหนึ่งที่เขยิบเข้าใกล้กว่าเดิม
“พูดเทอด” เขากล่าว “หากนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าประสงค์”
ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง หนึ่งเพียงทอดมองนวลลอออย่างเผลอไผล ส่วนอีกหนึ่งกับเป็นประกายสดใส..ด้วยคำพูดนั้นไม่เคยมีผู้ใดเคยบอกมาก่อน
“…เขาใจดี” “อืมหึ”
“ข้าจึงคิดว่า…ใช่มนุษย์ทุกตนจะเลวร้ายเหมือนกันไปเสียหมด” คำพูดนั้นถักทอข้อข้องใจให้เกิดในอกคนฟัง กระนั้นชายหนุ่มก็มิได้ปริปากเอ่ยอะไรออกไปนอกจากพยักหน้ารับคำสั้นๆ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของจ้าวหนุ่ม..มิเคยมีคำว่า ‘เมตตาต่อมนุษย์’ อยู่ในเสี้ยวสมองมาก่อน คำพูดที่ออกมาจากปากของแม่หญิงบุหลันจึงเหมือนเป็นศัพท์ใหม่ที่ได้เรียนรู้ กระนั้นก็มิได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้
“จระเข้เองก็เช่นกันจ้ะ…”
แพขนตายาวปรือลงช้าๆ กับคำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับไม่ปรารถนาจะให้ใครมาได้ยิน
“…ใช่ว่าทุกตัว…จะใจดีเหมือนกันหมด…” คนฟังเลิกคิ้ว “ใยเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่า? รึถูกอ้ายแสนตารังแก?”
“มิใช่ดอกจ้ะ”
“อ้ายหนุ่มนั่นรู้วิธีปรนนิบัติสตรีเสียที่ไหน บอกข้าเทอด โดนทำให้ช้ำใจข้าสิไปเอาคืน”
“มิใช่ดอกจ้าวพี่โคจร อ้ายแสนตานั้นแสนดี ดูแลข้าเยี่ยงไข่ในหิน” เธอหัวเราะเบาๆ “อย่าให้จ้าวพี่ทั้งสองทะเลาะกันเพราะน้องเลย ข้าแค่พูดไปเช่นนั้นเอง”
“ไม่จริงดอก หากดูแลดีจริง ใยจริงปล่อยให้น้องนางออกมายืนคนเดียวเล่า”
เธอไม่ได้ตอบอะไร
..และทอดสายตามองออกไปด้านนอก เป็นการเปลี่ยนเรื่องที่ชวนให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก
จ้าวโคจรกระพริบตาเสียหนึ่งครั้ง ก่อนมองตามออกไปบ้าง เท่าที่รู้มา..อ้ายแสนตานั้นก็มิได้พิศวาสอะไรแม่หญิงของเขามากนัก แม้ดวงใจเจ้าจะงามเลิศจนแทบหาหญิงใดมาเทียมมิได้ แต่ครั้งหนึ่งยังเคยพูดว่า ‘ลืม’ ได้ลงคอ
ไม่เพียงอ้ายแสนตาเท่านั้นดอกที่ไม่รู้จักวิธีปฏิบัติกับผู้หญิง เขาเองก็เช่นกัน ใช่ว่าจะมีเพศเมียหลงมาให้ซ้อมฝีมือบ่อยนัก อีกทั้งยังเป็นนายเหนือหัวในชนชั้นปกครอง อยากได้อะไรก็มีคนนำมาถวาย ใช่จะต้องมายืนกระวนกระวายชมจันทร์อย่างไร้สมาธิเช่นนี้ไม่
“แล้วจ้าวพี่เล่า ครู่บอกจะออกไปตามจ้าวพี่แสนตามารื่นเริงกันมิใช่รึ?” นางถามต่อด้วยรอยยิ้มหวานละไม
..จนใจคนฟังเต้นโครมคราม
“ไม่แล้วล่ะ”
โคจรตอบ เสียงเบามิได้ต่างกัน
“อยู่ตรงนี้ต่อคงจะดีกว่า…กระมัง” เขาควรจะจัดการกับความรู้สึกนี้
…แต่ไม่เคยรู้เลย…ว่าต้องทำอย่างไรTBC====================