ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๕-
ใกล้ได้ฤกษ์แต่งงานจ้าวแสนตากับแม่หญิงบุหลัน
ขบวนจระเข้แห่งพิจิตรนครจึงจัดเตรียมความพร้อมออกเดินทางไกล ด้วยล่องไปตามลำน้ำเช่นนี้กว่าจะถึงอโยธยาคงจะเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็ม ทั้งสำรับปิ่นโตน้ำสะอาดอาหารแห้ง ทิ้งเพียงอ้ายแม่พิกุล อ้ายกล้า และจระเข้อีกครึ่งกองพำนักต่อที่เรือน
พันวังตระเตรียมห่อผ้าน้อยสะพายขึ้นบ่า เดินลัดเลาะผ่านบรรดาจระเข้น้อยใหญ่ที่กำลังวุ่นวายในเวลาย่ำรุ่ง ทุกผู้ตนต่างดูเร่งร้อนไปเสียหมดด้วยจ้าวโคจรท่าทางกระหายอยากจะไปมากกว่าใคร แรกรับสั่งจะออกตอนรุ่งสาง ฉไนยังไม่ทันจะอะไรดึก็ออกมาตีฆ้องร้องป่าว เร่งเวลารัดขึ้นกว่าชั่วยาม
“ยินว่าท่านจ้าวสิออกมาเดินเล่นเสียทั้งคืน” บ่าวหนึ่งกล่าว “มิได้หลับได้นอนรึไร”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรเล่า?”
“ข้าสิท้องไม่ค่อยดี ถึงได้ออกมาแทบทุกชั่วโมง” เขาอธิบาย “คราเห็นท่านจ้าวนั่งชมดาวอยู่บนแคร่ใหญ่ พอออกมาอีกครั้งจึงได้เปลี่ยนไปเดินจงกรมใต้ต้นโพธิ์ ท่าทางกระวนกระวายนัก”
“คงจะตื่นเต้นกระมัง”
“ตื่นเต้นอะไรกันเล่า นี่มิใช่หนแรกที่จะออกเรือไปต่างเมืองเสียหน่อย”
“บ๊ะ แต่นี่สิเป็นหนแรก” อ้ายอินทรกล่าว ด้วยวางภูมิรู้ใจจ้าวยิ่งกว่าใคร “หนแรกที่จ้าวแสนตาเพื่อนรักจะได้แต่งนางเข้าเรือน เป็นเจ้าจักไม่ตื่นเต้นพร้อมแสดงความยินดีกับเกลอหรอกรึ?”
“ข้าก็มิได้คลางใจอะไรนักดอก”
“เออ ก็ดี”
“…แต่อย่าหาว่าอย่างนี้อย่างนั้นเลยอ้ายอินทร”
หนึ่งในบรรดาเด็กรับใช้กระซิบกระซาบ
“ตื่นเต้นเช่นนี้ หากมิบอกข้าคงจะคิดว่าจ้าวโคจรจะแต่งงานเสียเอง” “ชิชะดูพูดเข้า จ้าวแสนตากับจ้าวโคจรเป็นเพื่อนเพเล่นหัวกันมาตั้งแต่เจ้ายังเป็นแค่ไข่ ฤๅจะรู้ความผูกพันของทั้งคู่ได้กระไรเล่า”
“ยามอยู่ก็เห็นมีปากเสียงสรวลกันทุกเมื่อเชื่อวัน…”
“ก็มิได้หมายความว่ามิได้ลงรอยกันเสียหน่อย” ชายวัยกลางเท้าสะเอว เฉดหัวไอ้คนปากมากไปหนึ่งที “ดู ยังจะมัวมาพูดเข้า รีบหอบขบวนสำรับอาหารนี่ขึ้นเรือไปเสีย ประเดี๋ยวท่านจ้าวก็จะลงมาแล้ว….แล้วอ้ายพันวังไปไหนเสียเล่า พันวัง! อ้ายพัน….”
“ข้าอยู่นี่อ้ายพี่อินทร” เด็กหนุ่มร้องตอบ รีบสาวเท้าเข้าหา “ข้าสิรอท่านเรียกมานานแล้ว จะให้ข้าขึ้นไปเรียนท่านจ้าวแล้วกระนั้นรึ?”
คนฟังหมุ่นคิ้ว “บ๊ะ หากเจ้ารู้งานใยไม่เริ่มลงมือเลยเล่า”
“ข้ารู้งาน มิได้รู้เวลาสักหน่อย…”
“เอ้า ยังมิวายมาเล่นลิ้น…ไป ไปเสีย เรียนท่านจ้าวทราบ ขบวนเรือพร้อมออกเดินทางแล้ว”
เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มปริ ละออกจากงานใต้โถงด้านล่างวิ่งทั่กๆขึ้นบันไดไป สวนกับบรรดาพี่น้องที่หอบข้าวของลงมา ด้วยจ้าวโคจรมีคำสั่งให้ตระเตรียมแก้วแหวนเงินทองเป็นของกำนัลจากแดนพิจิตรไว้พร้อม ราวกับจะไปสู่ขอสาวนางใดก็มิปาน และเมื่ออ้ายอินทรถาม…
“คราวข้า…” นั่นเป็นคำตอบ “…อ้ายแสนตาคงทำเช่นเดียวกัน”
..จึงไม่มีข้อกังขาใดๆอีก ไม่นานก็สาวเท้ามาถึงหน้าเรือนใหญ่ เท้าเปล่าทั้งสองข้างเหยียบบนพื้นไม้ส่งเสียงดังตึกตักเพียงแผ่วเบากว่าจะไปถึงหน้าห้อง ซึ่งประตูไม้สักบานใหญ่กลับเปิดออกก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปสัมผัสสลักประตูเสียอีก
ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้ามาเจอก็แทบผงะ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อน
“ได้เวลาแล้วรึ?” เด็กหนุ่มคลางใจในกระแสเสียงนั้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากรับคำง่ายๆ “ขอรับ”
“ดี”
“แล้วข้าวของของจ้าวพี่เล่าขอรับ?”
“ให้เด็กยกไปตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”
“ดู…จ้าวพี่ตื่นเต้นนะขอรับ?”
นั่นเป็นคำถามลองเชิง และคนฟังก็ดูพร้อมที่จะตอบบ่ายเบี่ยงนัก
“แน่สิ” ชายหนุ่มก้าวเท้านำออกไปก่อน “นั่นสหายข้า”
คนฟังพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกประหลาดกับพฤติกรรมที่แปลกไปของคนตรงหน้า แต่ความจริงที่ว่ายิ่งตนรู้มากเท่าใดตนก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากข่มอารมณ์หึงหวงไว้ในใจ
และนั่งท่องทุกคืนหน้ากระจกใหญ่ว่าตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้…
หาใช่คู่ครอง ร่างโปร่งบางเดินตามร่างสูงกว่าลงมาที่หน้าชาน สาวเท้าลงบันไดไปจนขึ้นเรือ บรรดาบ่าวไพร่ทยอยตามประจำตำแหน่งพร้อม ไม่นานหัวเรือจึงเป่าแตรร้อง…พร้อมออกเดินทาง
เพลานั้นแสงตะวันยังไม่มีวี่แววจะขึ้น อาศัยตะเกียงสลัวและแสงจันทร์อ่อนนำทางไปตลอดลำน้ำ เสียงไม้พายเรือแจวแหวกในห้วงธาราดังเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกัน ขบวนเรือแจวนับสิบลำจึงเคลื่อนตัวแหวกหมู่น้ำไปด้านหน้า เพียงเรือลำใหญ่ตรงกลางเท่านั้นที่มีนายพายมากกว่า นั่นคือเรือจ้าว…อย่างมิต้องสงสัย
อ้ายพันวังวางหอบของใช้ส่วนตัวของตนไว้ใต้ที่นั่ง ซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านขวามือของที่จ้าว
ก่อนจะหันไปเกาะขอบเรือมองไปรอบๆอย่างใคร่รู้
ด้วยตนนั้นเกิดและโตที่เรือนในเพียงแห่งเดียว แม้แต่ตลาดหรือวัดวาอารามก็ยังมิเคยแม้แต่จะมีโอกาสไป จริงอยู่ที่ได้ออกมาพายเรือเก็บรากบัวกับอ้ายแม่พิกุลอยู่บ้าง แต่ก็มิเคยไปไกลถึงต่างนครข้ามแดน ด้วยเหตุนั้น...ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรให้กระวนกระวายใจก็ตาม เด็กหนุ่มก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ
“ยามนี้มองไปก็เห็นแต่ความมืดนัด” อ้ายรดินหัวเราะร่วน “เจ้าสิจักกลัวเสียเปล่า”
คนถูกค่อนแคะมุ่ยหน้า “อ้ายพี่รดินก็ทำเป็นรู้ ข้าสิแค่ดูไปรอบๆเท่านั้น”
“ดูทำไมกัน?”
“ข-ข้าคอยระวังภัยยังไงเล่า!”
“ระวังภัยกับผีสิ หากเกิดเรื่องจริงเจ้าสิคงถูกนำไปอยู่กลางวง มิได้คอยมารับมือเป็นทัพหน้าดอก ยังจะปากแข็ง” ชายหนุ่มตาเดียวหัวเราะ ก้าวเท้าข้ามที่นั่งไป “จะนอนเอาแรงก็ย่อมได้ รอให้ตะวันขึ้นก่อนจักเห็นอะไรมากขึ้น”
“ยินว่าจะเลียบเลาะหลบหมู่มนุษย์มิใช่รึ? ข้าคงมิเห็นอันใดนอกจากหมู่แมกไม้นานา คงมิต่างจากท่องป่าเสียเท่าไหร่”
“รู้กระนั้นเจ้าก็ยังตื่นเต้น?”
“ข-ข้าสิเคยท่องป่าเสียที่ไหน”
“นั่นประไรเล่า”
“อ้ายพี่รดินจักไปไหนก็ไป! ข้ามิพูดด้วยแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ”
“จะหัวเราะอะไรกันเล่า!”
“ถึงจะมิต่างจากท่องป่า แต่หากมองสูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีอะไรเพลินตามิใช่น้อย”
จ้าวโคจรเอ่ยมาประโยคแรก ก่อนจะกวักมือเรียกให้อีกคนเข้าหา
“เจ้าสิเห็นเหล่าวัดวาอาราม ประดับแก้วเพชรตามยอดเจดีย์ ยามต้องแสงตะวันสดใสจึงได้งามจับตานัก ฤๅจะพูดถึงทุ่งนาเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาดีเล่า มิว่าจะสิ่งใดก็น่าประทับใจไปเสียหมด”
รอยยิ้มนั้นทำให้เสี้ยวหนึ่งของดวงใจรู้สึกโล่งอก ด้วยจ้าวพี่โคจรเอาแต่ตีหน้าเครียดจริงจัง ไม่หยอกล้อหือรือกระไรตั้งแต่เมื่อคืนวาน ครานี้จึงสบายนัก…ว่าจอมทะเล้นกะล่อนของตนได้กลับคืนมาแล้ว
“จ้าวพี่เคยผ่านไปอโยธยากี่หนกันรึ?”
“นับครั้งไม่ถ้วนเชียวล่ะ” มือใหญ่รั้งเอวบางให้ขึ้นไปนั่งบนตั่งด้วย “ก่อนนี้ตอนเจ้ายังเล็กนัก..เด็กกว่าอ้ายกล้าเสียด้วยซ้ำ ข้าจึงมิได้พาไปด้วย”
“ยินว่านครแห่งนั้นเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน…คงจะแตกต่างจากเมืองเรามิใช่น้อย”
“แต่เดชะเราสิเป็นเผ่าจระเข้ เรือนของอ้ายโคจรจึงมิได้แตกต่างจากเรานัก”
“….เช่นนั้นหรอกรึ…”
เสียงหวานอ่อนลงพร้อมใบหน้าน่ารักที่เง้างอด คนมองขยับยิ้มกว้าง จับเชยคางมนให้ขึ้นมาสบตา
“หากเจ้าทำตัวดี ข้าสิพาไปชมเมืองด้วยตัวเอง”
“จริงรึ!?” ดวงตาสีอำพันเป็นประกายระรื่นทันตา “จ้าวพี่สัญญาแล้วนะ?”
“ข้าให้คำมั่นเช่นนั้น”
“จ้าวพี่ช่างมีเมตตานัก นี่สิบารมีจ้าวโคจรถึงได้ขจรขจายไกลนั---“
“พอเลย หากจะเยินยอประจบข้าจะมะเหงกให้ เอ้า มาทางนี้”
ร่างสูงตบตักตัวเองเบาๆ ส่วนอีกคนกลับทำหน้าฉงนนัก จนกระทั่งมือใหญ่ต้องรั้งลำคอระหงลงมานอนแนบตัก แล้วขยี้ศีรษะเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดูระคนหมั่นเขี้ยวเหลือครณา
“นอนเสีย อ้ายน้องพันวัง การเดินทางไกลมันเหนื่อยและลำบากกว่าที่เจ้าคิดนัก”
“แต่ข้ายังมิง่วงนี่…”
“ใครสั่งใครสอนให้ต่อปากต่อคำกับข้ากันหืม?” นายเหนือหัวหมุ่นคิ้ว แกล้งทำเป็นดุ “จ้าวสั่งให้นอน เจ้าก็ต้องนอน”
เด็กหนุ่มหน้างอ เบ๊ะปากหันไปทางอื่น “ขอรับ…”
อีกคนหัวเราะเบาๆ “แหน่ะ ยังมาเง้างอน”
“ข้าจะไปงอนอะไรได้เล่า”
“แหน่ะ ยังมิยอมนอนดีๆอีก”
“จ้าวพี่นี่..! ข้าอยากจะตีปากท่านนัก”
“เอ้า นอนเสีย ข้าสิจะร้องเพลงกล่อมเจ้า”
ชายหนุ่มขยับยิ้มหวาน ค่อยบรรจงลูบผมอีกคนช้าๆ…ต้องยอมรับว่าน้องพันวังของเขาช่างน่ารักนัก ไม่ว่าใครเห็นก็อดที่จะเอ็นดูเสียมิได้
ก่อนจะเอ่ยปากขับเพลงออกมาแผ่วเบา ดังเคล้าเสียงแจวเรือเป็นจังหวะนุ่มนวลไปเรื่อย เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก…ด้วยไม่เคยเห็นอีกคนร้องเพลงกล่อมนอนมาก่อน พอเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับดวงตาหวานล้ำนั่น..เลยยอมลดเสียงหัวเราะลงเสีย
เสียทุ้มห้าวดังแผ่วๆท่ามกลางความเงียบงัน เป็นท่วงทำนองที่ไม่ได้เพราะพริ้งนักแต่กลับจับใจ คนฟังปรือตาลงช้าๆ…กำลังจะปล่อยให้ร่างกายตัวเองหลับใหลด้วยการหลับตา
มันเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่แสนหอมหวาน โดยที่พันวังไม่เคยรู้เลยว่า
…อีกมิช้านานนี้…ชีวิตของเขาคงได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง= = = = = = = = = =
“อ้ายบักโคจรนี่ ดูสิ ใยไม่หาหมวกเหมิกผ้าคลุมหัวมาสวมให้น้องเล่า เดินทางตอนกลางวันเช่นนี้มิเป็นลมแดดเอาหรอกรึ!”
นั่นเป็นคำทักทายแรกทันทีที่ขบวนเรือจระเข้แห่งพิจิตรเข้าเทียบท่า เท่านั้นแหละคนฟังทั้งหลายถึงกับหัวเราะคิกคัก ไม่เว้นแม้แต่คนถูกด่าที่ระเบิดหัวเราะลั่น แล้วยกขาแทบจะถีบอีกคนไปเสียที
“อ้ายนี่ ข้าสิเดินทางมาเหนื่อยยังจะมาว่า”
“เจ้าเหนื่อย น้องก็เหนื่อยมิแพ้กันดอก ผิวน้องแดงหมดแล้วเจ้ามิเห็นรึ?”
“อ้ายนี่ ยังมิเลิกมอง น้องพันวังก็หาใช่จะอ่อนแอดั่งเจ้าเปรียบเปรย หากเช่นนั้นคงไม่หอบหิ้วพาเดินทางไกลมาถึงนี่ดอก”
“ถูกของจ้าวพี่โคจร อ้ายพี่สิพูดจาประหลาดนัก” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นทันที ดวงหน้าขาวโดนแดดระเรื่อจับสีชมพูจางๆ “ข้ามิได้อ่อนแอเช่นนั้นเสียหน่อย แดดเพียงแค่นี้มิระคายผิว ล่องมาตามลำน้ำสิเย็นชื่นใจ จักห่วงกระไรเล่า”
“เอ้า” จ้าวบ้านแสร้งทำเป็นฉงน ทั้งรอยยิ้มกว้างยังฉาบอยู่บนใบหน้า “ไม่ห่วงเจ้าแล้วจะให้ข้าห่วงหมาแมวที่ไหน จึงเฝ้าบอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…อ้ายโคจรดูแลเจ้าได้มิดีพอดอก”
“ชะอ้าว แล้วไอ้ที่เจ้าดูแลแม่หญิงบุหลันเล่า? จักมาว่าอะไรข้าได้?”
“เมียก็เมียสิ พันวังก็พันวัง ใช่สิ่งเดียวกันที่ไหน”
“ชิชะ ข้าคงต้องเด็ดดอกไม้ไปซับน้ำตาให้อ้ายแม่หญิงแล้วกระมังเช่นนี้”
น้ำเสียงนั้นพยายามพูดให้ติดตลก ซึ่งจ้าวแสนตาเองก็หัวเราะร่วนเช่นกัน ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสีหน้าประหลาดบางอย่างของไอ้คนพูดสักนิด
“มาเถิด พวกเจ้าทั้งสอง”
มือใหญ่ผายไปด้านหลัง พยักเพยิดขึ้นเรือนหลัก
“มายืนคุยตรงนี้เห็นจะไม่ดีนัก ขึ้นเรือนพักผ่อนก่อนเทอด…ข้าให้คนเตรียมน้ำท่าไว้พร้อม พวกเจ้าเองให้ปฏิบัติตัวตามสบาย ที่นี่มิต่างจากบ้านอีกหลังหนึ่ง จระเข้ด้วยกัน…ข้าพร้อมต้อนรับเต็มที่อยู่แล้ว”
เรือนหมู่หลังนี้กว้างขวางโอ่โถงนัก ด้วยรู้กันว่ากำลังของจ้าวแสนตาซึ่งสู้รบกับหมออาคมเป็นนิจนั้นยิ่งใหญ่กว่าชนพิจิตรเราเกือบเท่าเห็นจะได้ เสาไม้แดงหลักทุกตนดูราวกับถูกปลูกสร้างขึ้นมาใหม่มิช้านาน ยินว่าเมื่อไม่กี่ขวบปีที่ผ่านมาเพิ่งโดนจู่โจมหนัก คงบูรณะก่อร่างสร้างตัวสมัยนั้น ต่างกับเมืองสระหลวง ซึ่งอยู่มาเนิ่นนานไม่รู้กี่ร้อยปี สภาพจึงเป็นไม้เก่าขึ้นเทาสวย…แต่ก็มีบรรยากาศที่แตกต่างกันไป
ขอบรั้วของเรือนคือหมู่แมกไม้ดอกครึ้ม เลยไปหน่อยจึงจะเป็นทุ่งนากว้างใหญ่ แตกต่างจากเมืองพิจิตรที่มีเพียงป่ารกกับท้องน้ำล้อมรอบ นั่นเป็นเหตุผลที่เด็กหนุ่มตื่นตานักทุกย่างที่ก้าวเดิน และเป็นสิ่งที่จ้าวแสนตาแอบลอบมองด้วยรอยยิ้มเล็กๆด้วย
“เจ้าสินอนเรือนนี้” ชายหนุ่มผิวเข้มชี้ไปที่เรือนรับรองหลังใหญ่หลังหนึ่ง “ส่วนน้องพันวังจักได้นอนเรือนเล็ก”
“เอ๋? มิเป็นไรดอกอ้ายพี่แสนตา ข้าสินอนรวมกับเรือนบ่าวได้”
“ใยจึงกล่าวเช่นนั้นเล่าคนดี เจ้าสิหาใช่บ่าวธรรมดาแล้วนะ”
นิ้วกร้านเอื้อมมาหยิบจมูกเสียหนึ่งหนด้วยหมั่นเขี้ยว คนฟังย่นจมูกใส่ รีบบอก
“ก-ก็มิต่างกันมากมายดอก”
“เอ้า พวกเจ้านี่ขัดหูขัดตานัก เห็นใจข้าบ้างจักตายรึไร?” จ้าวโคจรว่า “ไป ไปพักผ่อนเสีย ข้าสิจะนอนหลับสักตื่น ฝากบอกให้คนนำสำรับมาให้ด้วยล่ะ”
เจ้าบ้านตัวดีหัวเราะ “ขอรับท่านจ้าว”
“บ๊ะ เจ้านี่ก็กวนประสาท”
“ใยจึงดูหงุดหงิดเช่นนั้นเล่าอ้ายโคจร ข้าสิเพียงหยอกล้อ ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงไปได้”
คนฟังยกมือลูบหน้าลูบตาแล้วเสยผมขึ้น เขามองไปรอบๆ..ด้วยเหตุผลที่บ่าวคนสนิทรู้ดีว่าคิดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากแก้ต่างแก้ตัว
“เดินทางไกลเพียงเหนื่อยนัก สงสัยจะได้ไข้ขึ้น”
“งั้นจงรีบไปพักผ่อนก่อนเถอด ที่ขอไว้จะรีบให้เด็กรับใช้เตรียมให้โดยพลัน”
จ้าวโคจรพยักหน้าหนึ่งครั้ง เปิดบานประตูเข้าเรือนไป ตามด้วยพลขนของอีกจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มยืนมองอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาอาวรณ์..จวบจนกระทั่งบ่าวรับใช้คนอื่นๆเดินออกมา…แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้งอย่างเงียบงัน
..เช่นเดียวกับหัวใจคนมอง… “..เจ้านั่นสิดูแปลกนัก” อ้ายพี่แสนตากล่าว “มิยิ้มแย้มสดใสเช่นเคย”
“จ้าวพี่คงเหนื่อยกระมัง เป็นเช่นนี้ตั้งแต่หัววัน” พันวังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะแก้ต่างให้อีกคนทำไม แต่เขาก็ทำ “อ้ายพี่อย่าได้กังวลเลย”
“มันเป็นเช่นนั้นมานานเท่าไหร่แล้วเล่า?”
“ตั้งแต่อยู่พิจิตรกระมังขอรับ หลังฤดูอ้ายพี่มิค่อยสบอารมณ์นัก…เป็นเช่นนี้ทุกปี”
เขาโกหก
..มันเป็นคำโกหกที่น่าเกลียดที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา.. “นั่นสินะ…อากาศร้อน…” แต่อ้ายแสนตามิได้ติดใจเอาความอะไร ซ้ำยังยื่นมือมาโอบเอวบางให้เดินเคียงคู่กันไปด้วย “..บางคราข้าก็เป็น จิชักชวนลงไปแหวกว่ายเล่นในลำหนอง ก็กลัวน้องจะเหนื่อยเกินไปเสียหน่อย”
“อ้ายพี่นี่พูดจาน่าตีนัก อย่างท่านลงไปเจ้ามนุษย์พวกนั้นคงจะตื่นตูมกันแน่”
“จะว่าไปข้าก็มิได้คืนกลายมานาน เผลอๆอาจจะลืมวิธีว่ายน้ำไปแล้วก็ได้กระมัง”
เด็กหนุ่มหัวเราะ เอามือฟาดแขนไปทีนึง “ตลกนักนะ”
“เจ้าสุขข้าก็ดีใจ”
“อ้ายพี่นี่พูดจาน่าตีนัก” เด็กหนุ่มย้ำคำเดิม “ตัวจะแต่งงานอยู่รอมร่อยังมีหน้ามาหยอดคำหวาน อ้ายแม่หญิงมายินเข้าเห็นจะได้เข้าใจผิด รังแต่จะรู้สึกแย่ทั้งสองฝ่าย”
แสนตาผ่อนลมหายใจ “เจ้าเลิกพูดถึงอ้ายแม่หญิงเสียทีได้ไหม…”
“ใยจึงพูดเช่นนั้นเล่า อ้ายพี่หญิงเป็นเมี---“
“ชี่”
ปลายนิ้วหนึ่งกดลงมาที่ริมฝีปาก บังคับให้อีกคนเงียบลง
“เจ้าจักมิพูดจาขัดบรรยากาศสักหนมิได้รึ ข้าสิอยากย้ำกายในตัวเจ้าสักหนให้รู้ว่าข้าคิดถึงเนื้อเนียนนี่แค่ไหน แต่เจ้าสิ…ดูท่าทางไม่เคยนอนฝันคิดถึงข้าเสียสักคืน”
“บ-บัดสินัก!” เด็กหนุ่มแก้มแดงนัก ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนอีกคน “นี่ก็หมดฤดูมาหลายวันหลายคืนแล้วไซร้ ใยยังจะหื่นมิรู้เวลา”
“ข้ามิได้คิดอะไรเสียหน่อย เพียงนึกถึงเจ้า..แล้วกายข้าก็ร้อนรุ่มขึ้นมา”
“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้! อ้ายพี่สิติดคำท่านจ้าวโคจรมารึไร”
“เช่นนั้นที่ไหน อยู่กับข้า…ใยจึงทำหมางเมินเช่นนั้นเล่า”
“อ้ายพี่กำลังจะแต่งงาน” ร่างโปร่งย้ำ ขืนกายออกมาได้สำเร็จ
ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบตากับอีกคนนิ่ง มือสองข้างวางไว้บนอกกว้าง..แนบมากพอได้ยินเสียงหัวใจของอีกคนที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะ แตกต่างจากเขานัก…ที่รู้สึกคล้ายว่าดวงใจดวงนี้คงหยุดเต้นไปแล้ว
“…เรา…มิควรทำเช่นนี้” จระเข้มิใช่สัตว์ที่ถือคู่ครองผัวเดียวเมียเดียว
แต่ด้วยอาศัยในร่างมนุษย์เสียนาน…วัฒนธรรมบางอย่างที่ซึมซับเข้าไปอย่างช้าๆทำให้อ้ายแสนตาเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แม้จะไม่มากนัก กระนั้นการถูกปฏิเสธทันทีที่ตนเข้าสัมผัสเช่นนี้ก็ทำให้ลำคอแห้งผาก จนชายหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้งมิรู้จะพูดสิ่งใดดี
ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า
“ข้าขอโทษ”
“…มิใช่ความผิดท่านดอก” พันวังกล่าว ก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้าสิปล่อยให้มันเกินเลยมาถึงขั้นนี้”
“อย่าโทษตัวเองเลยน้องพันวัง”
ท่าทางสลดเช่นนั้นทำให้เจ้าของนามอ้ำอึ้งนัก
“อ้ายพี่…”
“พอเทอดคนดี” จ้าวแสนตายกยิ้มที่มุมปาก..แม้ดวงใจจะบอบช้ำมากก็ตาม “ยิ่งเจ้าพูดข้ายิ่งรู้สึกผิดนัก เจ้าไปพักผ่อนเทอด…นี่เรือนเล็กของเจ้า”
ชายหนุ่มผายมือไปตรงหน้า เป็นเรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางของเรือนรับรองและเรือนหลักใหญ่
“นี่เป็นเรือนของอ้ายน้องพันตรา…ญาติผู้พี่ของเจ้า แต่จนบัดนี้มิมีบ่าวรับใช้ใดเทียบเคียงได้…ข้าจึง…”
จู่ๆคำพูดก็หายไปจากปาก
แสนตาหลับตาลง ผ่อนลมหายใจ
“….ขอโทษ ข้า…ข้ามิรู้จะพูดเช่นไร มัน…”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินัก” เด็กหนุ่มสวนขึ้นมา ด้วยมิอยากรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์เคลือบแคลงเช่นนี้ไปมากกว่านั้น “ขอบคุณอ้ายพี่มาก ข้า…ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน…”
“จ้ะ ใช่…เอ่อ ตามสบายนะ”
“ขอรับ”
“หากขาดเหลืออะไร จักให้เด็กรับใช้สรรหามาให้…ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม”
“เป็นความเมตตานัก ขอบพระคุณขอรับ”
เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยหลังไปที่หน้าประตูห้องช้าๆ ยังคงเก้ๆกังๆกับกระแสเสียงประหลาดของอ้ายพี่แสนตาอยู่ กระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้านี่เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว..พวกเขาสิควรเว้นระยะห่างกัน
ไม่ว่าจะด้วยรู้สึกผิดต่อจ้าวโคจรก็ดี ต่ออ้ายพี่หญิงบุหลันก็ดี
…แต่กับความรู้สึกข้างในของตัวเองเนี่ยสิ…ที่หนักหน่วงกว่านั้นเยอะ
“น้องพันวัง” สุรเสียงแหบทุ้มนั้นเรียกขึ้นมาเสียก่อน
“เรายัง…เป็นพี่น้องกันได้ใช่รึไม่?” คำถามนั้นทำให้คนฟังชะโงกหน้าออกมาจากประตูห้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอ่อน
“…เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาขอรับ”