ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๘-
…ความรักคืออะไรรึ? คือการเป็นห่วงหา…ยามที่เห็นเขาเจ็บเราสิเจ็บมากกว่า..
หรือเพียงแค่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาอยู่กับใครอีกคนกันแน่..
หากไม่อาจเห็นภาพบาดจิตใจยามเห็นจ้าวแสนตาอยู่กับแม่หญิงบุหลันเป็นความรัก แล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับอ้ายแสนตา ยามที่เห็นเขาทุกข์น้ำตาจึงออกมามากกว่า หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เลือกจะอยู่อโยธยาเช่นนี้โดยไร้ความห่วงหาจากบ้านเกิดเมืองนอนเช่นนี้…มันมิเรียกว่า ‘ความรัก’ หรอกรึ..?
ถ้าความรักคือการรักใครได้แค่เพียงคนเดียว…
…ถ้าเช่นนั้นแล้ว…ความรู้สึกที่มีอยู่นี่คืออะไรเล่า? “อ้าว อ้ายพันวัง…มีอันใดรึ?”
“ข้าสิจะขอยกสำรับมื้อกลางวันไปให้อ้ายพี่แสนตาน่ะขอรับ”
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นก็นั่นละ” บ่าวหนึ่งชี้ “ยกไปได้เลย”
“ขอรับ”
“ท่านจ้าวเป็นเช่นนั้นก็มิรู้จะทำเช่นใด…ข้าฝากเจ้าด้วยล่ะอ้ายพันวัง”
“ขอรับ”
เด็กหนุ่มรับคำ…คิดอยู่เสียนานว่าควรมีประโยคอะไรต่อท้ายสักหน่อยดีรึไม่…แต่ไม่เลย
จากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสนไกล เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไร้ที่พึ่งทางใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมแบบใหม่นี้ แต่พันวังเองก็ทำได้ไม่เลวนัก เขาค่อยๆคุ้นชินกับมัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เปลี่ยนไป หรือคนที่เปลี่ยนตาม
…หรืออาจจะเพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำ…ก็เป็นไปได้ ร่างโปร่งตรงไปที่โต๊ะเตรียมของ มองบรรดาอาหารอันกอปรด้วยข้าวต้มและเครื่องเคียงอีกเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างทานง่ายและเป็นของโปรดของอ้ายพี่แสนตาทั้งนั้น
“จนบัดนี้ข้าก็ยังมิรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่าถามข้าเลย ข้าก็มิต่างกับเจ้า”
“เรื่องที่ไล่ท่านจ้าวโคจรออกจากบ้านก็เรื่องหนึ่ง แล้วเหตุใดอ้ายแม่หญิงบุหลันถึงได้ไปกับเขาด้วยเล่า”
“ข้าว่าเรื่องนี้…หากตริตรองดูดีๆก็จะเห็นความเป็นไปได้กระมัง”
“เช่นไรล่ะ?”
“เจ้านี่ก็โง่นัก เรื่องเช่นนี้จะพูดได้เสียที่ไหน”
“เอ้า เจ้าก็รีบๆพูดมาเสียสิ”
“มิสังเกตหรอกรึ ใยพอมาถึงนี่จ้าวโคจรถึงได้อาการประหลาดนัก” บ่าวหนึ่งกระซิบกระซาบ “ไม่หือไม่อือ ไม่ร่วมยินดี ขนาดข้าวปลาก็ทานน้อยมิได้ต่างจากท่านจ้าวเราตอนนี้สักนิด”
คนฟังพยักหน้า “ก็…นั่นสินะ”
“แล้วเช่นไรอีกเล่า?”
“แม่หญิงบุหลันยิ่งเป็นตัวเมียที่หาได้ยากยิ่งด้วย คิดเช่นนี้แล้วก็ต่อยอดเอาละกัน”
“ประเดี๋ยวสิ บอกมาขนาดนี้แล้วใยจึงมิบอกให้หมดเล่า”
“นั่นสิ จะมัวอมพะนำอยู่ใย เขาก็งุนงงกันทั้งค่ายนั่นแหละ”
“เอ้า ข้าสิพูดได้เสียที่ไหน เรื่องของจ้าว”
“กระนั้นก็พูดมาเสียนานมิใช่รึ” ว่าแล้วไอ้คนพูดมากก็โดนตะหลิวฟาดไปเสียที ด้วยมือของอ้ายพี่ทองดี ที่พันวังคิดว่าคงมีศักดิ์เท่าอ้ายอินทรของฝั่งพิจิตร คนโดนฟาดก็ร้องโอดโอยเสียยกใหญ่ แต่ทองดีก็ยังตีหน้ายักษ์ใส่ แล้วเอ็ดเสียงดัง
“พวกเจ้าสิเลิกนินทาเรื่องพวกนี้เสีย หากใครมาได้ยินเข้าคงจะเล่ากันไปปากต่อปาก”
“ฤๅเจ้ารู้เรื่องนี้ดีกระนั้นรึ? อ้ายทองดี”
“รู้สักที่ไหน อย่างน้อยข้าก็มิได้เอามาถกเป็นประเด็นเช่นเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเจ้าของนามหรี่ตาจับผิด โบกตะหลิวอีกครา “ไป ไปให้พ้นเสีย ทำงานทำการซะ ข่าวว่าหน้านางานหนักนักมิใช่รึ”
“ขอร้าบบ”
“แหน่ะ ยังมีน่ามาล้อเลียน”
“พวกข้าก็กำลังจะรีบไปอยู่นี่”
พันวังลอบผ่อนลมหายใจ คว้าสำรับอาหารที่ตนตั้งใจมาเอาเดินออกจากโรงครัว แม้ตนมิได้มีส่วนร่วมกับบทสนทนาทายปริศนาเมื่อครู่ แต่ก็อยู่ฟังจนจบกระบวนความ
แม้เวลาจะผ่านมาเสียร่วมสัปดาห์ตั้งแต่ที่ขบวนจระเข้แห่งพิจิตรยกกองกลับไป…การเดินทางที่มิได้ผ่านการเตรียมพร้อมนั้นคงลำบากนัก ทั้งไม่มีปิ่นโตกินข้าวระหว่างทาง ทั้งบางตัวยังมิได้หลับได้นอน ซ้ำวันนั้นแดดยังออกร้อนเปรี้ยงปร้างเสียอีก คิดแล้วก็อดเป็นห่วงพรรคพวกของตนไม่ได้ ด้วยกลัวใครสักคนจะเป็นลมเป็นแล้งกับอากาศร้อนเช่นนั้นเสียก่อน
…แต่ดูคล้ายฝั่งนี้จะน่าเป็นห่วงมากกว่านัก
นอกจากคำครหาและเสียงกระซิบกระซาบไปทั่วทั้งเรือนแล้ว สิ่งที่น่าหนักใจกว่านั้นคงจะเป็นความรู้สึกของจ้าวแสนตา…ที่ไม่รู้ว่าถูกทำลายลงไปเท่าไหร่
เด็กหนุ่มก้าวเท้าขึ้นบันไดช้าๆด้วยกลัวน้ำแกงในมือจะหกเสียก่อน หลายคนเหลือบมามองเขา แล้วหลบไป…มันเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามง่ายๆ
...ที่ว่าทำไมเขาถึง…ยังอยู่ที่นี่…
…แค่เพราะเขาปล่อยอ้ายพี่แสนตาให้อยู่คนเดียวเช่นนี้ไม่ได้… ความจริงที่ว่าตนควรจะกลับไปยังคงค้างคาอยู่ในหัว และเรื่องที่จ้าวเหนือหัวของตนได้กระทำการเช่นนั้นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่หลายคนจะขับไล่ไสส่งตัวเองออกไป กระนั้นก็ไม่มีใครทำ ด้วยเพราะรู้ดีว่าจ้าวแสนตาเอ็นดูเด็กหนุ่มพันวังนี่มากมายเพียงไร
แค่เพียงเหตุผลนั้น…จะพอแล้วรึไม่? ก๊อกๆๆ “อ้ายพี่แสนตาขอรับ”
…ไม่มีเสียงตอบรับ… พันวังผ่อนลมหายใจ ก่อนจะถือวิสาสะผลักบานประตูให้เปิดออก เขาวางสำรับอาหารลงบนโต๊ะกลางก่อน ถึงจะเดินกลับไปปิดประตูบานเดิมให้สนิท แล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองในห้องนอน
เจ้าของห้องยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม เหมือนกับตอนที่เขาออกไป
ร่างสูงดูอ่อนแรงนักเมื่อทำได้เพียงทอดกายอยู่บนเตียง ปล่อยให้ดวงตาสีอำพันคู่นั้นเบือนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไรจุดหมาย ทั้งวรกายด้วยเหนื่อยล้าแม้ไม่ได้ทำกิจอันใดมากนัก
..กระนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยากเย็น…
“…อ้ายพี่แสนตา…” เจ้าของนามเบือนสายตามาสบ แล้วยิ้มอ่อนให้
คนมองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องเอ่ยออกไป
“กินอาหารเสียหน่อยเถิดขอรับ ข้าจะยกมาให้นะ”
การพยักหน้าเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นทำให้คู่สนทนาอึดอัดในอกนัก ยามที่หันหลังกลับมายกสำรับอาหารอีกครั้งนั้นต้องยกมือปาดหยดน้ำตาเล็กๆเสียก่อน พันวังใช้เวลาสงบสติจากอาการนั้นอยู่เพียงไม่นาน ก็เข้าไปปรนนิบัติอ้ายพี่ของตนได้
..จ้าวแสนตาอ่อนแอลงนัก.. ราวกับวันที่ท้องน้ำแห้งขอดจนเห็นพื้นดินแห้งแตกระแหง และ…เขากำลังรู้สึกเช่นนั้น
ครั้งหนึ่ง…เคยได้ยินถึงเหตุผลที่ทำไมจ้าวถึงเป็นจ้าว เพราะสายเลือดสูงศักดิ์กับพลังอำนาจสูงส่งนี้ หากจระเข้แปลงอย่างเรามีอายุได้มากถึงหนึ่งร้อยปี จ้าวอาจจะอยู่ได้ถึงพันปีหมื่นปี ยามรบราต่อกรกับมนุษย์ อาคมคาถาหรือหอกดาบก็มิอาจสะเทือนซึ่งผิวหนังของจ้าวได้
…จึงได้ชื่อว่า
‘จ้าวธารา’ แต่กระนั้นอายุจ้าวก็มิเคยอยู่ได้นานนัก
แม้จะเคยได้ยินมาเพียงตำนานอันแสนไกล ว่าเพียงคมหอกเดียวที่สามารถแทงทะลุผิวหนังจ้าวได้ เพียงสิ่งเดียว…ที่ทรงอำนาจมากพอจะสังหารจ้าวได้
…คือการ ‘ทรยศ’
อาจเพราะครึ่งหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ ความรู้สึกจึงได้สร้างความสัมพันธ์ที่แสนเปราะบางขึ้นมา
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว มือที่พยายามตักป้อนข้าวอยู่นั้นก็สั่นเสียดื้อๆ เด็กหนุ่มรู้สึกยากที่จะสะกดความรู้สึกไว้ข้างใน ยิ่งมองคนตรงหน้าที่อ่อนแอลงแบบนี้ด้วยแล้ว…
ในอกปวดนัก
…ราวกับพร้อมจะแตกสลายลงเหมือนเม็ดดินก็มิปาน “พันวัง?”
เสียงแหบเรียก ดวงตาคู่นั้นยังเจือความเป็นห่วงอยู่มิใช่น้อย
“เจ้าเป็นกระไรรึ?”
คนถูกถามหลุบตาลง “มิเป็นไรดอก อ้ายพี่สิกินเสีย”
ว่าแล้วก็จ่อช้อนที่ริมฝีปาก คู่สนทนายังคงดูเหมือนสงสัยอยู่ แต่ก็อ้าปากรับแต่โดยดี
“พอแล้ว” จ้าวหนุ่มกล่าว “ข้าอิ่มแล้วล่ะ”
พันวังก้มหน้าลง มองข้าวต้มที่ยังเหลือกว่าครึ่งในชามตัวเอง เขามีหน้าที่เฝ้าดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ แต่หากแม้แต่งานที่ได้รับมอบหมายให้ป้อนข้าวป้อนน้ำยังมิสำเร็จ จะช่วยอ้ายพี่แสนตาได้อย่างไรกัน
“อ้ายพี่กินอีกเสียหน่อย ข้าสิจะไปเอายาบำรุงกำลังมาให้” เด็กหนุ่มกล่าว พยายามคะยั้นคะยอ
“จะต้องกินยาอีกรึ?”
“แน่สิขอรับ”
อีกคนเบ๊หน้า “งั้นข้าไม่กินเห็นจะดีกว่า”
“อ้าว โถ่อ้ายพี่” ร่างโปร่งโอดครวญ “เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายเป็นปกติล่ะขอรับ”
ช่วงเวลานั้นเองที่คนฟังเงียบไป
นาน..กว่าจะเอ่ยออกมา
“ข้าสิ…อยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด” คำพูดนั้นทำให้ในอกแห้งผากนัก เด็กหนุ่มสั่นศีรษะระรัว
“โปรดอย่าพูดเช่นนั้น”
“ทำไมล่ะ?”
“หากอ้ายพี่จากไปเสีย แล้วข้าเล่าจะอยู่กับใคร”
คนฟังยิ้มอ่อน แตะมือลูบไล้ที่ข้างแก้มเนียน..สัมผัสอบอุ่นเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายเอียงหน้ารับ ก่อนหันไปจูบมือที่แสนอ่อนโยนข้างนั้นอย่างเผลอไผล
“ไม่รู้สิ..พันวัง…ข้าน่ะ….” เปลือกตาสีเข้มปิดลงสนิท กลีบปากหยักเม้มเข้าหากันแน่น “ข้ารู้สึกคล้ายตัวเองทำผิดนัก ทั้งกับอ้ายโคจร…แม่หญิงบุหลัน…หรือกระทั่งเจ้า”
“อ้ายพี่ไม่ผิดสักนิด”
พันวังวางชามลง โผเข้ากอดซบอีกคนซุกหน้าลงที่อกกว้าง…แม้จะปฏิเสธออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็มิอาจพูดออกไปได้อย่างเต็มปากว่าเป็นความผิดจ้าวโคจร หรือเป็นความผิดใครต่อใคร
…อาจจะเพียงคนละเล็กละน้อย…เรื่องเล็กน้อยที่ละเอียดละอ่อนนัก
“…เรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้นดอกขอรับ”
มือใหญ่เลื่อนมาโอบปลอบร่างโปร่งบางไว้ แล้วลูบสัมผัสทั้งหัวทั้งหลัง หมายจะปลอบโยนคนตัวเล็กที่ขี้แยร้องไห้โฮเช่นนี้อีกครั้ง
“ข้าฝืนรั้งเจ้าไว้ด้วยความอ่อนแอของข้า..ข้าสิผิดนัก”
“มิใช่ดอก…” เสียงหวานพร่ำกระซิบบอก “เป็นประสงค์ของข้าเอง ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่แสนตา จะมิทิ้งท่านไปไหน”
“จะสงสารก็ดี หรือจะอยู่ด้วยรู้สึกผิดต่อข้าก็ดี” จมูกโด่งกดลงบนหน้าผากเนียน จูบปลอบให้อีกคนหยุดสั่นสะท้านเช่นนี้…หรือบางทีอาจจะแค่การปลอบใจตัวเอง “ช่างน่าสมเพชนักที่…ข้ากลับนึกดีใจ อย่างน้อยเจ้าก็มิได้จากข้าไปไหนเหมือนใครคนอื่น”
“อ้ายพี่แสนตา…ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่แสนตา”
“ข้ารักเจ้า..พันวัง” มันเป็นเสียงกระซิบที่เอื้อนเอ่ยออกมา ราวน้ำเย็นหวานที่ราดลงบนเนื้อหัวใจ
“แล้วเจ้าเล่า…รู้สึกเช่นไร?” พันวังมิได้ตอบสิ่งใดออกไป
เพียงเงยหน้าขึ้นประทับริมฝีปากเคล้าเคลียกับอีกคน
เขายังไม่แน่ใจคำตอบของคำถามนั้น จึงเลี่ยงที่จะไม่พูดออกไป แต่ก็มีบางอย่างที่เขาพอจะเข้าใจตัวเองได้ชัดเจน……
“…ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน ข้าสัญญา”= = = = = = = = = =
“น้องพันวัง”
“ขอรับ?”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ยกมือเกาแก้ม “ยินข่าวว่าขบวนของจ้าวโคจรเดินทางถึงพิจิตรปลอดภัยดี เจ้ามิต้องเป็นห่วงนักนะ”
“ขอรับ ขอบคุณอ้ายพี่สหัสนักที่เป็นธุระให้ข้า”
“มิใช่ดอก ที่จริงข้าเองก็เป็นห่วงอยู่มิใช่น้อย ด้วยพวกเราทั้งหมดก็คนกันเองทั้งนั้น…เพียงแค่…”
จังหวะที่เสียงเงียบทิ้งช่วงลงไปนั้นคือความเงียบงัน ที่พวกเขาทั้งคู่เข้าใจกันดี
ในเพลานั้นมีเพียงหกตนเท่านั้นที่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โชคดีที่อ้ายพี่รดินและอ้ายพี่สหัสช่างแสนภักดีนัก ถึงได้เก็บเงียบเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ยอมปริปากพูดออกมา ด้วยคิดว่ามิใช่เรื่องที่ต้องหยิบยกเอานายไปพูดจาพล่อยๆ รังแต่จะให้เกิดความแตกแยกเสียดสีกันเสียเปล่าๆ
ในใจพันวังนึกขอบคุณอ้ายพี่สหัสคนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งที่ตนเป็นคนของทางฝั่งโน้น แต่ก็มิได้แสดงอาการรังเกียจหรือเหยียดนัก ซ้ำยังคอยถามความเป็นไปอยู่เสมอ แม้จะออกมาแบบเก้ๆกังๆนักก็ตาม
มิว่าจะเป็นคนของฝั่งใด จะผิดใจกันแค่ไหน แต่จระเข้ก็คือจระเข้
ชนเผ่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น และสหัสคงตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ดี
“แล้วท่านจ้าวล่ะ…เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ตอนนี้เริ่มกินอาหารได้เยอะขึ้นแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับไป “นี่ก็เพิ่งต้มยาให้ไป ยังคงนอนพักอยู่เพียงแต่ในห้อง”
“ดีแล้ว ท่านร่าเริงขึ้นบ้างรึไม่?”
พันวังส่ายหน้าช้าๆ “…คงยากนัก แต่ข้าจักพยายามให้ดีที่สุด”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“เรื่องกระไรรึ?”
“ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเพียงสักนิด…แต่ต้องมารับกรรมที่ตนมิได้ก่อ”
“ข้าไม่เห็นว่าเป็นกรรมเช่นนั้น ข้าทำเพราะประสงค์ของข้า”
“ข้าถึงต้องขอบใจเจ้า”
เขายิ้มตอบ “อ้ายพี่สหัสอย่ากังวลไปเลย ท่านจ้าวของท่านมิเป็นไรดอก ท่านมิใช่รึที่รู้จักความแข็งแกร่งของอ้ายพี่แสนตายิ่งกว่าใคร”
“เรื่องนั้นก็ใช่…”
“อีกไม่นานเท่านั้น บาดแผลนี้เพียงต้องใช้เวลารักษา”
“….ข้ามิอยากให้มันนานมากไปกว่านี้เลย…”
คำที่คล้ายกับกระซิบกระซาบไม่แน่ใจเช่นนั้นทำให้คนฟังต้องเลิกคิ้วมอง
“อะไรนะขอรับ?”
“…ท่านจ้าวหายไปเช่นนี้ บ่าวไพร่พากันวิตกนัก” ชายหนุ่มถอนหายใจ ทอดสายตามองไปรอบๆเรือน “วาระด้านนอกก็แสนสาหัส ยากจะรับมือ หากข่าวเรื่องจ้าวแสนตาล้มป่วยหลุดไปถึงหูศัตรู มิวายพากันล้มตายหมดเสียทั้งเรือน”
เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาเข้าใจในคำพูดนั้น ด้วยรู้ว่าเมืองแห่งนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากกว่าบ้านเก่าของตน ส่งผลให้จระเข้ที่นี่ถูกตามล่ามากกว่าที่พิจิตร
…และเต็มไปด้วยสงครามมากมาย ศึกที่บางคราต้องรับนั้นหนักนัก วันหนึ่งเมื่อ ‘จ้าว’ ของพวกเขาเจ็บป่วยลง สถานการณ์คงง่อนแง่นน่าดู ที่จริงแล้วพันวังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านั้นมากนัก ด้วยตัวเองเกิดและโตในฐานะนายกำนัล แถมยังอยู่ในเมืองที่ไม่ต้องประมือกับหมอปราบจระเข้บ่อยนัก
ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน หากที่นี่วุ่นวายนัก…หากว่าจ้าวแสนตากับจ้าวโคจรไม่บาดหมางกันเสียก่อนแบบนี้…ก็หวังให้อพยพย้ายไปอยู่พิจิตรกันเสียให้หมด
“แล้วอ้ายพี่สหัสเล่า แต่งองค์เสียครบ จะไปไหนรึ?”
คนถูกถามกรอกตา “ฟังแล้วอย่าเพิ่งเรียนจ้าวเหนือหัวเล่า รังแต่จะอ่อนล้ากว่าเดิม”
“ข่าวร้ายกระนั้นรึ?”
“มิสู้ดีเท่าใดนัก” เขาผ่อนลมหายใจ “ค่ายเราที่ต้นน้ำมิได้ติดต่อกันตั้งแต่ยามก่อน ข้าสิจักไปดู เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น พักนี้พวกมนุษย์ยิ่งร้ายนัก คราก่อนก็บุกจมค่ายตะวันตกไปเสียเฮี้ยน ข้าสิกลัวคราวจะตกซ้ำรอยเดิม ระวังไว้ก่อนจะมิทันการณ์”
“อ้ายพี่โปรดระวังตัว ขอให้กลับมาโดยปลอดภัยนะขอรับ”
“เจ้าเองก็เช่นกัน ข้าขอฝากท่านจ้าวด้วย”
“ขอรับ”
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ หมุนตัวเดินก้าวลงกระไดพร้อมเอ่ยเสียงเบา
“ข้าสิภาวนา…ให้จ้าวแสนตากลับมาแข็งแรงเช่นเดิมในเร็ววัน” คนฟังพยักหน้าเพียงเล็กน้อย รู้สึกภาระที่ตัวเองกำลังแบกอยู่ช่างหนักนัก กระนั้นคำอวยพรก็ยังทำให้เขาหลับตาลง แล้วสวดมนต์อ้อนวอนเช่นกัน
สหัสออกไปในครานี้นำทหารหาญตามติดไปด้วยสองนาย และไม่ใช่ไปด้วยล่องลำเรือแบบที่สัญจรปกติ หากมุดตัวดำดิ่งลงในน้ำ กลายร่างเป็นกุมภาตัวใหญ่เร้นกายอยู่ใต้ห้วงธารา
เด็กหนุ่มยืนมองทั้งสามคนจากบนเรือนจนลับสายตา มองตามคลื่นน้ำที่ผิดปกติจนหายลับไป นั่นแสดงว่าอ้ายพี่ทั้งสามคงจะดำลงไปเสียลึก เป็นวิธีแฝงกายที่น่ากลัวนักกับมนุษย์ แต่เป็นเรื่องปกติยามที่จระเข้มีภัยใกล้ตัว
…เขารู้สึกไม่สู้ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนก้อนหินที่กลิ้งลงจากเนิน รังแต่จะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ข้าแต่พระแม่คงคา…
….ขอให้เรื่องเลวร้ายนี้…ผ่านพ้นไปในเร็ววันด้วยเถิดTBC=====================