ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๙-
“พี่ทองดี อ้ายพี่ทองดี” ร่างโปร่งวิ่งทั่กๆลงบันได เผลอกระแทกส้นเท้าลั่นจนคนฟังต้องเอ็ดขึ้นมา
“เบาๆหน่อยสิอ้ายพันวัง วิ่งซุกซนเป็นเด็กไปได้”
คนถูกดุยิ้มแหย เปลี่ยนเป็นค่อยๆย่องลงจากบันไดแทน แล้ววิ่งอ้อมเข้ามายังใต้ถุนเรือน จระเข้ที่มีอายุหน่อยจะได้อยู่ประจำเรือนคอยทำความสะอาดทำครัว จระเข้ที่ยังหนุ่มยังแน่นจะถูกส่งออกไปทำนาตามบริเวณรอบๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตกับมนุษย์ หลังจากอยู่มาสักพักพันวังจึงเริ่มเคยชินกับสภาพนี้
ทองดีนั่งชันเข่าอยู่บนแคร่ด้านล่าง กำลังเด็ดดอกแคเตรียมมื่อเย็น
“เรียกข้าซะเสียงดัง จะว่ากระไรรึ?”
เด็กหนุ่มพุ่งตรงไปหา แล้วนั่งคุกเข่าฝั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้าจะถามว่า..เย็นนี้มีอะไรกินบ้างขอรับ?”
“ก็มิมีอันใดมากดอก ก็แค่ผักจิ้มน้ำพริกเท่านั้นเอง”
“แค่นั้นรึขอรับ?”
พอเห็นไอ้หนุ่มคะยั้นคยอนัก ชายวัยกลางจึงได้หมุ่นคิ้วมองด้วยนึกสงสัย ร้อยวันมันก็ไม่เห็นจะเข้าครัวมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องอาหารการกิน ออกจะเลี้ยงง่ายอยู่ง่ายมาเสียนาน พอมาวันนี้ดันอยากจะถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“รึเจ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษเล่า?” ทองดีถามกลับ “ข้าจะได้เตรียมไว้ให้”
“มิใช่เช่นนั้นดอก”
“แล้วอะไรเล่า แน่ะ ยังมาทำตาระริกระรี้มีพิรุธอีก”
“เอ่อ…ข้า-ข้าคงเริ่มต้นคำถามผิดไป…”
พันวังคล้ายกำลังอ้ำอึ้ง เขายิ้มไม่หุบมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ด้วยเหตุผลหลายๆประการ
ก่อนจะเอ่ยต่อประโยคมา
“อ้ายพี่แสนตาให้มาถามน่ะขอรับว่า ข้าวเย็นนี้มีอะไรกินบ้าง?” เท่านั้นแหละบรรดาคนที่ได้ยินในบริเวณนั้นถึงกับถลึงตาโต โดยเฉพาะอ้ายทองดีที่แทบจะลุกไปหยิบครกมาแทบไม่ทัน โดยไร้ซึ่งการสั่งการใดๆอื่นเพิ่มเติม
“ข้าสิจะไปเด็ดชะอมมาทอดไข่บัดเดี๋ยวนี้”
“ข้าจะตำเครื่องแกงส้มไว้รอ เจ้ารีบไปตักน้ำมาเสีย”
“ปลาตากแห้งนี่ได้ที่รึยังนะ”
“แล้วไฟเล่า ใครว่างรีบจุดไฟที”
เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มปริ ความเต็มตื้นจนแทบทะลักออกมาจากอกนี่ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อเช้าที่อ้ายพี่แสนตายอมลุกขึ้นจากเตียงเดินมานั่งที่เก้าอี้ ตั้งแต่ที่อ้ายพี่แสนตากินข้าวเช้าข้าวกลางวันจนหมดไม่เหลือสักเม็ด ตั้งแต่ที่เมื่อครู่นี้…อ้ายพี่แสนตาถามคำถามคำนั้นออกมา ให้เขารีบลงมาถามอ้ายพี่ทองดีเสียอีกทีหนึ่ง
“แล้วท่านจ้าวบอกรึไม่ จะให้เตรียมสำรับเข้าไปฤๅจะกินด้านนอกเล่า”
“ถึงขั้นนี้แล้ว…ข้าจะทำทุกทางเข็นอ้ายพี่ให้ออกมาจากห้องให้ได้ขอรับ” พันวังว่า มองท่าทางเปี่ยมสุขของทุกคนด้วยรอยยิ้มกว้าง “เอาแต่อุดอู้คุดคู้อยู่เพียงในห้องคงไม่ดีนัก ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อยคงจะดีขึ้น”
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าอีกแรง”
“แน่นอนขอรับ!”
“อ้ายพันวัง…” ใครคนหนึ่งบอก ตรงเข้ามากอดเขา
“พวกข้าสิขอบใจเจ้ามาก” “ร้ายดีเช่นไรอย่างน้อยก็มีเจ้าอยู่ คอยเอาอกเอาใจท่าน”
“นับแต่ที่อ้ายพันตราเสียไป หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกข้าก็มิรู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน”
“ขอบใจเจ้ายิ่งนัก”
“ไม่เป็นไรดอกอ้ายพี่ทั้งหลาย ข้าสิยินดีนักที่ได้รับใช้อ้ายพี่แสนตา” เขาตอบ จับมืออีกคนอย่างทะนุถนอม “ถ้านี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ ข้าสิเต็มใจนัก”
“เจ้านี่ช่างเป็นเด็กดีนัก”
“แล้วจ้าวโคจรจะเสียใจ ที่ทิ้งเพชรน้ำงามอย่างเจ้าไว้ที่นี่”
ทุกคนหัวเราะร่วน ขนาดพันวังยังอมยิ้มออกมาเล็กน้อย คล้ายกับว่ามีคนปล่อยข่าวเรื่องสัญญาแลกตัวระหว่างเขากับอ้ายแม่หญิงบุหลันเพียงชั่วครู่ชั่ววัน ซึ่งแม้เรื่องนั้นจะเป็นความเท็จทั้งปวง แต่ก็พอจะคลายความสงสัยของบรรดาจระเข้ที่พำนักที่นี่ไปได้บ้าง
“ว่าแต่…พวกท่านเห็นอ้ายพี่สหัสบ้างรึไม่ขอรับ? อ้ายพี่แสนตาถามหาเช่นกัน”
“อ้ายสหัสน่ะรึ? ออกไปสำรวจตั้งแต่สองสามวันที่แล้ว ยังมิได้กลับมาเลย”
“ชะอ้าว”
หัวใจแทบจะหล่นไปกองที่ตาตุ่ม
เขานึกถึงคำที่อ้ายสหัสพูดเมื่อวันก่อน..ความว่ามนุษย์ช่างอันตรายนัก..
“เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นรึเปล่าขอรับ?”
“มิเป็นไรดอก มันสิส่งคนมาบอกเราแล้วว่าจะประจำการอยู่ตรงนั้นสักอาทิตย์สักเดือน มิต้องเป็นห่วงไป”
“แล้วข้าจักบอกอ้ายพี่แสนตาว่าเช่นไรดี?”
“ก็เพ็จทูลไปตามตรงนั่นแล”
“มิมีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นดอก อ้ายพันวัง…พระแม่คงคาสิเฝ้าคุ้มครองพวกเราอยู่”
รอยยิ้มของอ้ายทองดีทำให้คนฟังยิ้มตาม และเป็นเช่นนั้นจริงๆ…
เคยมีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า ในดวงใจของจระเข้ทุกดวงเต็มไปด้วยธารน้ำใส ที่พระแม่คงคาเป็นผู้ให้กำเนิดมาแต่กาลก่อน ปั้นร่างจากเม็ดดินละเอียด…และใส่จิตวิญญาณของสายน้ำลงไป เช่นสักวันร่างกายนี้ก็จะเน่าเปื่อยลงสู่ดิน มีเพียงดวงใจเท่านั้นที่กลับคืนสู่ห้วงธารา
นั่นคือชาวเรา…ที่เป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ
...ที่ทั้งได้รับการคุ้มครอง…และปกป้องมันเรื่อยมา… มิช้านานนักขบวนอาหารมากมายก่ายกองประหนึ่งมีงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ก็ถูกลำเลียงไปให้ถึงศาลาริมน้ำ บ่าวไพร่นั่งเฝ้ารับตั้งแต่หัวกระไดเลียบไปจนตามทาง พอได้เวลาจ้าวบ้านหนุ่มจึงปรากฏตัว เคียงคู่มากับคนงามต่างเมืองที่เกาะแขนพยุงเดินมาจนถึงตั่งนั่ง
ยามเย็นที่พระอาทิตย์สีแดงก่ำใกล้จะหลุบหายเข้าหมู่ไม้ช่างงดงามนัก ม่านฟ้าที่เคยเป็นสีครามยามกลางวันเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงอ่อนๆไล่ขึ้นไปจากเส้นขอบฟ้า เสียงนกเพรียกร้องเรียกหากันกลับรังเป็นฝูงใหญ่ โดยที่ใครต่อใครคงทึกทักเอาเองว่าบรรยากาศระรื่นตาเช่นนี้ช่างเป็นใจให้จ้าวแสนตานัก
“อ้ายพี่สิกินเข้าไปเยอะๆ”
“อื้อๆ”
“แกงส้มชะอมทอดนี้รสดีนัก กุ้งก็ตัวโต๊โต”
“อื้อๆ”
“ฤๅจะปลาจาระเม็ดทอดนี่ก็ได้ มาเถิด ข้าตักให้”
“อื้อๆ”
“อ้ายพี่กินอีกสิ กินเยอะๆนะขอรับ”
“เอ๊ะเจ้านี่” เสียงทุ้มว่า
“ช้าๆก็ได้…เยอะขนาดนี้ข้ากินไม่หมดหรอก” “เอ้า! หากอ้ายพี่กินไม่หมดแล้วจะมีเรี่ยวแรงไปทำสิ่งใดได้เล่า”
คนฟังลอบยิ้มบาง “แล้ว ‘สิ่งใด’ ที่เจ้าว่าน่ะ…มีนัยอันใดรึเปล่าล่ะ?”
คู่สนทนาหมุ่นคิ้ว ฟาดป้าบไปเสียที
“อ้ายพี่นี่พูดอะไรมิอายฟ้าดิน หรือต่อให้มิอายฟ้าดินก็อายพวกอ้ายพี่คนอื่นที่นั่งอยู่นี่บ้างสิ!”
บรรดาบ่าวไพร่ที่นั่งเรียงอยู่โดยรอบพากันหัวเราะคิกคักประกอบฉาก คนถูกค่อนแคะหมุ่นคิ้ว เพ่งสายตามองไปยังจระเข้น้อยใหญ่ที่แอบมานั่งจ้องยามที่ตนรับประทานอาหาร เลยชี้หน้าเป็นเชิงบอกให้หยุดหัวเราะกันสักที ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดทำตามเสียเท่าไหร่
เลยว่าไปตามเรื่อง
“แล้วพวกเจ้าเล่ามิมีกิจอันใดไปทำรึ มานั่งจ้องข้าแดกข้าวอยู่ได้”
อ้ายทองดีแสร้งทำเป็นประนมมือเทอดเกล้า แล้วว่า “กิจของพวกข้าก็คือดูแลความเป็นอยู่ของท่านจ้าวเนี่ยแหละขอรับ ใยจะไปไหนได้”
“อ้ายทองดี…”
“ขอรับ?”
“ฤๅยังไม่ไสหัวไปอีก เดี๋ยวจะโดนตีน……แค่ก!”
อาการไอเช่นนั้นทำเอาทุกคนตกใจนัก บ่าวหลายคนพากันวิ่งไปแย่งกระโถนมาบริการถึงที่ ส่วนท่านจ้าวผู้แสนดีก็โบกมือควับ แทบจะสะบัดตีนยันหน้าทุกผู้
“แค่กๆ! ไปได้แล้วไป”
“ท่านจ้าวเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?”
“เพียงอาหารติดคอเท่านั้น ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
“ค่อยยังชั่วหน่อย…”
แสนตาหมุ่นคิ้ว “บ๊ะ ยังไม่รีบไปอีก! ดูแลข้าแค่น้องพันวังคนเดียวก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ!!”
“เอ้า ฉไนจึงปฏิเสธความหวังดีพวกข้าเช่นนั้นเล่า”
“พวกข้าเพียงมาดูให้เห็นกับตา ว่าจ้าวแสนตาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกข้ายังมีชีวิตอยู่ดีน่ะขอรับ”
“อ้ายนี่ ริมาสาปแช่งข้า…..”
เท่านั้นแหละอ้ายพี่ทองดีเลยลุกพรวด “เอ้าพวกเรา จะชักช้าอยู่ใย รีบไปได้แล้วไป อาหารเย็นของพวกเราอยู่ที่เรือนบ่าวกระนู้นโน่น”
ฝูงจระเข้พากันหัวเราะคิกคักไม่หยุด แต่ก็ยอมลุกขึ้นทยอยเดินจากไปดั่งที่หัวหน้าฝ่ายตนเองว่า แม้คนมองจะหงุดหงิดใจที่สั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็มิอาจเอ่ยด่าไปมากกว่านั้นได้ ด้วยรู้ว่าไอ้บรรดาที่มันมานั่งจ้องหน้าดูเขาเนี่ยเพราะเป็นห่วงด้วยกันทั้งนั้น
“..ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะ อ้ายพวกนี้” จ้าวแสนตาหันมาบ่นอิดออดในลำคอ เบือนสายตาไปมองคนดีที่นั่งอยู่เคียงกาย “เอ๊ะเจ้านี่ ยังมิวายล้อเลียนข้าเช่นเดียวกับไอ้พวกนั้นอีกรึ?”
“อะไรรึ? ข้ามิได้ล้อเลียนท่านสักหน่อย!”
“แล้วไอ้ที่อมยิ้มจนแก้มตุ่ยอยู่นี่มันกระไรกันเล่า”
“อย่างน้อยก็มิได้มีเจตนา..”
“…ชิชะ เดี๋ยวข้าจะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเสียให้เข็ด”
“บัญชีกระไรเล่า ก่อนหน้านั้นท่านกินอาหารดื่มยาให้แข็งแรงก่อนดีกว่าไหม” พันวังว่า สุรเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“ไว้ถึงตอนนั้นจะคิดบัญชีเช่นไรกับข้าก็ย่อมได้” ชายหนุ่มชะงัก ทอดสายตาหวานลึกมองมา “จริงรึ?”
“จริงสิ”
“เช่นนั้นก็เตรียมใจไว้ได้เลย”
“หายดีแข็งแรงให้ได้ก่อนเถิด”
“อย่าได้ท้าข้าเชียว เพียงช้ำรักเท่านี้มิถึงตายดอก”
เด็กหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ยกมือถูที่ข้างแก้มแก้เขิน พิจมองร่างสูงตรงหน้าที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอีกครั้งหนึ่ง
จริงอยู่ที่อ้ายพี่แสนตาของตนอารมณ์ดีมากพอจะออกมาเดินข้างนอกได้เป็นครั้งแรกของเดือน แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มอยู่ในสภาพอาการที่ดีมากนัก ผิวเข้มที่เคยมีสเน่ห์ร้อนแรงยามต้องแสงตะวันกลายเป็นซีดเซียว ทั้งร่างกายใหญ่โตยังดูผอมโซลงไปเสียมากนัก กว่าจะฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมาเป็นสภาพเดิมได้คงเสียเวลามิใช่น้อย
แต่ก็มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรขนาดทำไม่ได้ เพียงแค่ครั้งนี้อ้ายพี่แสนตายอมขยับตัวจากอาการซึมเศร้าบ้างก็เป็นความก้าวหน้าขั้นหนึ่งแล้ว
…เพียงดวงตาคมคายที่ยังมีประกายสดใสนั่น…ก็เพียงพอแล้ว…
…เพียงได้มองอีกคนที่ยังมีรอยยิ้มอยู่เช่นตอนนี้ …เท่านั้น ‘ดวงใจ’ ก็สุขมากเกินพอแล้ว…= = = = = = = = = =
…แต่ความสุขกลับอยู่ได้เพียงไม่นานนัก… เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกคนขยับตัว ค่อยเลื่อนศีรษะกลมมนให้นอนหนุนที่หมอนนุ่มแทนแผ่นอกกว้าง กับไออุ่นที่ละออกไปแทบจะในทันที
ร่างโปร่งปรือตามองคนข้างๆที่เคลื่อนกายลุกขึ้นจากเตียงในความมืดมิด เพียงแสงจันทร์ที่ส่องเล็ดลอดม่านผืนบางเข้ามาเท่านั้นที่พอจะให้เห็นเค้าร่างสูงใหญ่นั่งอยู่เช่นนั้นสักพักหนึ่ง ถึงจะยอมลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินไปถึงบานประตู
“อ้ายพี่แสนตา..?” ในที่สุดเขาก็เอ่ยทักออกไปจนได้
เจ้าของนามสะดุ้งเล็กน้อย เบือนดวงเนตรสีอำพันมาสบ…เป็นดวงตาที่เจิดจ้าในความมืดจนน่ากลัว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มขยับตัวกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ
“ข้าทำให้เจ้าตื่นกระนั้นรึ?”
อีกฝ่ายยกมือขยี้ตา ดันกายให้ลุกขึ้นนั่งโดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น “จะไปไหนรึขอรับ?”
“เปล่าหรอก ข้าเพียงได้ยินเสียงประหลาดเท่านั้น”
เด็กหนุ่มหมุ่นคิ้ว เงี่ยหูฟังดั่งคำว่า…แต่มิได้ยินเสียงใด
“…อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ มิต้องกังวลนัก” กลีบปากหยักจุมพิตที่หน้าผาก “..หลับเถิดแก้วตา”
“ไม่เอา” พันวังส่ายหน้าหวือ “อ้ายพี่แสนตาไปไหน ข้าจักไปกับท่านด้วย”
“แต่…”
ว่าแล้วก็รีบหยิบยกคำอ้าง “ตื่นขึ้นมาแล้วก็หลับมิลงดอกขอรับ หากมิมีสิ่งใดจริง…จึงถือว่าเดินเล่นชมจันทร์กับอ้ายพี่ มิเสียเปล่าสักหน่อย”
รอยยิ้มกว้างประทับอยู่ในอกคนมองให้ชุ่มชื่นหัวใจนัก ก่อนคนตัวเล็กกว่าจะพลิกกายลุกขึ้นจากเตียง เหนี่ยวแขนแกร่งให้ลุกตามเพื่อเดินออกไปสูดกลิ่นดอกแก้วและบรรยากาศยามราตรีที่ภายนอก
ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบด้าน เพื่อสำรวจหาต้นตอ ‘เสียงประหลาด’ ดั่งที่อ้ายพี่ของตนว่า แต่พิจมองรอบตัวเท่าใดก็เห็นเพียงความมืดสลัวนัก นอกจากพวกเขาสองคนแล้วแทบไม่เห็นเงาร่างของสิ่งใด แม้ตะเกียงน้ำมันก็ยังจุดเพียงบางหัวเรือนเอกเท่านั้น
“นั่นประไร มิเห็นมีสิ่งใดมากวนอ้ายพี่เลย กังวลไปใยเล่า”
เด็กหนุ่มว่า แต่เมื่อเงยหน้ามองคนข้างตัวถึงได้ชะงัก
เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำสีหน้าโล่งอกหรือสบายใจแบบที่ตัวเองกำลังทำอยู่เลยสักนิด
เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นจนแทบเป็นเส้นเดียว ทุกเส้นประสาทตึงเขม็งจนจับเส้นขึ้นที่ขมับ ดวงตาสีอำพันวาวโรจน์จ้องเขม็งไปยังตลิ่งด้านล่าง ก่อนร่างสูงจะรุดเดินไปที่หัวกระได
“อ้ายพี่?”
วินาทีนั้นพันวังนึกกลัวนัก แต่ไอ้ครั้นจะให้เดินหนีไปก็ใช่ที
“อ้ายพี่แสนตา มีอะไรรึขอรับ?”
ชายหนุ่มเบือนสายตามาสบ แผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะหายใจที่รุนแรงนัก ดวงตาคู่นั้นกำลังสั่นเทาด้วยใช้ความคิดหนัก ก่อนจะรุดตรงไปยังฆ้องใหญ่หน้าเรือนเพื่อตีป่าวปลุกบรรดาจระเข้น้อยใหญ่ให้คืนสติในความมืดมิด
คนตัวเล็กยกมือปิดหูโดยพลัน ด้วยไม่เคยได้ยินจังหวะฆ้องที่รุนแรงเช่นนี้
“….อ้ายพี่…..” “สถานการณ์มิสู้ดีนัก เจ้าสิหลบไปอยู่ที่ยุ้งข้าวด้านหลังก่อน”
“แต่อ้ายพี่แสนตา…”
“นี่เป็นคำสั่ง เจ้าได้ยินชัดรึไม่!?”
คำตะคอกจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง เขารู้สึกได้ถึงริมฝีปากสั่นเทาของตัวเอง จึงพยักหน้ารับ..แล้วกลับหลังหันวิ่งออกไปตามคำสั่งจ้าว
…เกิดอะไรขึ้น…?
…ใยอ้ายพี่แสนตาจึงได้ร้อนรนเช่นนั้นกันเล่า…?
ร่างโปร่งวิ่งทั่กๆลงกระไดที่ด้านหลัง ก่อนมองลอดใต้ถุนเรือนไปยังเรือนบ่าวด้านหน้า คบเพลิงมากมายถูกจุดขึ้นจนสว่างจ้าพร้อมเสียงเอ็ดตะโรของบรรดาบ่าวไพร่ที่กรูกันออกมาจากเรือนใหญ่ เขาเงี่ยหูฟัง พยายามแปรกระแสเสียงอื้ออึ้งเหล่านั้นเพื่อจับความ…แต่ไม่ได้อะไรสักนิด
หัวใจที่เต้นอยู่กลางอกดังระรัวเหมือนกลองจนต้องยกมือกดมันเอาไว้ เรียวขาที่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆก็คล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรง เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น กลืนน้ำลาย..ก่อนจะหันหลังกลับไปมุ่งหน้าสู่ยุ้งข้าวที่ตั้งอยู่แยกออกไป
พลั่ก! เพราะรีบร้อนนักจึงสะดุดล้มไม่เป็นท่า เนื้อตัวเปื้อนดินเพียงเล็กน้อยไม่เท่ากับแผลถลอกที่หัวเข่า พันวังกลั้นน้ำตาลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วตรงไปขึ้นกระไดยุ้งฉาง
ด้วยขั้นบันไดที่ชันกว่าเรือนใหญ่นักกอปรกับความลนลานทำให้เขาแทบจะล้มเสียได้ตลอดเวลา เมื่อปีนป่ายขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายถึงได้มองย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง..จากจุดนี้ทัศนียภาพยามค่ำคืนถูกเงาเรือนบดบังเสียสิ้น แทบไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงไฟสุมลึกเช่นนั้น
…อ้ายพี่แสนตา… “อึก…”
เขาเผลอกัดฟันจนเจ็บ ยินเสียงกรีดร้องโวยวายมาไม่ใกล้ไม่ไกล เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงสิ่งนั้นไม่ใคร่จะดีนัก
และรู้เพียงว่า..
บัดนี้เขาอยู่คนเดียว... “ข้าแต่พระแม่คงคา….” สิบนิ้วยกขึ้นประนม เทอดอยู่เหนือศีรษะ “โปรดอย่าให้มีเรื่องร้ายๆใดๆเกิดขึ้นอีกเลย…โปรดอย่าให้ชาวเราต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีกเลย ได้โปรดเถิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย…ได้โปรดเถิด”
…เราก็แค่…อยากอยู่อย่างสงบเพียงแค่นั้น…
…แค่อยากมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น…
เขาสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่รินไหลลงมาอาบแก้ม
และแรงสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังเปรี้ยงปร้าง
เมื่อเงยหน้ามองฟ้า เมฆดำครึ้มเข้าปกคลุมผืนนภากว้าง…จากเมื่อครู่ที่ดวงจันทร์กลมโตเคยส่องสว่าง ทำได้เพียงส่องแสงจากๆอยู่แง้มกลีบเมฆ
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มิอาจกลั้นน้ำตาที่เกิดจากความกลัวนี้ได้เลย
พันวังร่ำไห้จนร่างกายสะอึกสะอื้นนัก บางทีอาจจะมากกว่ายามที่ตนร้องไห้ครั้งก่อนเสียอีก เขานึกถึงภาพของจ้าวโคจรกับแม่หญิงบุหลันในคืนแต่งงานนั่น ก่อนจะย้อนนึกกลับมาถึงภาพของอ้ายพี่แสนตาของตน นึกย้อนกลับถึงยามที่ได้รับสัมผัสอบอุ่นและอ้อมกอดอ่อนโยนของคนทั้งคู่ นึกถึงเหตุผลที่น้ำตานี้รินไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘ความกลัว’
…มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น
….คือความกลัว…ที่จะสูญเสียคนสำคัญไปตลอดกาล= = = = = = = = = =
นานแสนนาน..กว่าดวงใจที่เต้นระรัวนี้จะสงบลง กว่าที่น้ำตาจะแห้งเหือดไปอย่างไร้เหตุผล กว่าที่จะควบคุมลมหายใจของตัวเองไม่ให้ติดขัดได้
เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่า แผลถลอกทำให้เลือดซึมไหลออกมาไม่น้อย แต่กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนี่ก็กลบไปได้แทบทุกอารมณ์ความรู้สึก เขาคลานออกมาจากที่ซ่อนตัว ชะโงกหน้ามองออกไปยังด้านหน้าเรือนที่ค่อยสงบลงอย่างช้าๆ จึงตัดสินใจปีนลงจากยุ้งข้าว แล้ววิ่งกลับไปทางเดิม
เขาได้กลิ่นเลือดลอยมาตามคุ้งน้ำ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยเจือปนอยู่ด้วย บางทีอาจจะเป็นกลิ่นของพวกมนุษย์
…นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า ‘สงคราม’ คืออะไร
พันวังกลับเข้าไปที่เรือนใหญ่ สองข้างแก้มยังเต็มด้วยรอยน้ำตา
ท่ามกลางกลุ่มหนึ่งที่เป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่กลายร่างเป็นจระเข้เสียเต็มตัวแหวกว่ายอยู่ในท้องน้ำ ดวงตากลมโตสอดส่ายหาร่างที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องไม่เป็นไร
…ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาพบ “อ้ายพี่แสนตา!!” เขาวิ่งลงขั้นกระได ตรงเข้าไปหาร่างสูงที่เดินซัดเซมาจากซากปรักหักพังที่เคยเป็นศาลาท่าน้ำ แขนข้างหนึ่งเปียกน้ำจนแปลงเป็นเกล็ดมาถึงหัวไหล่
…เพียงแขนอีกข้างหนึ่งซึ่งพาดรอยบาดลึก ปล่อยให้เลือดไหลซึมจงท่วมไปทั้งแขน
“อ้ายพี่แสนตา อ้ายพี่แสนตา” คนตัวเล็กสอดกายเข้าไปประคองเจ้าของนาม พร่ำเรียกชื่ออีกคนปากสั่นมือสั่นไปเสียหมด ปล่อยหยาดน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง…แต่คนมองกลับส่งยิ้มอ่อนๆให้ แล้วใช้มือข้างที่ไม่ได้เจ็บปาดเกล็ดน้ำตาออกให้เสีย
“น้องพันวัง เจ้าสิมิเป็นไรนะ?”
“ขอรับ” อีกฝ่ายสูดลมหายใจ พยุงคนเจ็บไปนอนที่แคร่ใต้ถุนบ้าน “ข้าไม่เป็นไร อ้ายพี่เล่า…โปรดรอประเดี๋ยวก่อน ประเดี๋ยวก่อนเพียงเท่านั้น ข้าจักนำยามาทาให้”
“ใจเย็นๆก่อน ข้ามิเป็นไรดอก”
“แต่…แต่เลือด…”
“แผลแค่นี้คงมิทำให้ถึงตาย เพียงดูสาหัสนัก”
ชายหนุ่มระบายยิ้มเอ็นดู
“ก่อนอื่นเจ้าสิควรสงบอารมณ์เสีย ตื่นตระหนักเช่นนี้จะทายาให้ข้าได้เช่นไรเล่า”
แม้จะร้องไห้เสียหนักนัก แต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้า
บ่าวรับใช้นายหนึ่งก็นำยาและผ้าสะอาดมาให้ พันวังก็ก้มหน้าก้มตาทำแผลเสียให้ง่วน ทั้งที่ตนเองก็ยังหายใจหายคอไม่ปกตินัก สองมือสั่นเทาจนเบามือไม่เป็น กระนั้นคนเจ็บก็ไม่ได้ว่ากระไร มิได้แหกปากกรีดร้องให้ยุ่งยากมากความ ทำเพียงแค่ส่งทอดสายตาเอ็นดูมอง แล้วยิ้มบางเท่านั้น
ไม่นานท่านจ้าวจึงโบกมือเรียกให้บรรดาขุนพลต่างๆมานั่งประชุมกันเสีย ทั้งที่ยังพันแผลไม่เสร็จดีนัก…พันวังจึงได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
“เราเสียอ้ายสหัสไปกับการโจมตีครั้งนี้ นอกเหนือจากนั้นมีผู้ใดอีกเล่า”
“ข้าสิเร่งนับจำนวนและพยาบาลคนเจ็บอยู่ ค่ายที่ต้นน้ำคงแตกไม่มีชิ้นดี”
“เคราะห์ร้ายของอ้ายสหัสนักแล”
“ถึงกระนั้นมันยังทำความชอบไว้” จ้าวแสนตากล่าว “หากมิได้มันที่เป่าแตรสัญญาณเตือนมาแต่ไกล เราคงจะพ่ายศึกนี้เป็นแม่นมั่น”
“แล้วเราจักทำอย่างไรกันดีขอรับ?”
“นั่นสิ ยามนี้อ้ายพวกมนุษย์รู้ตัวแล้ว พวกที่หนีรอดคงกลับไปเตรียมแผนการ”
“ช้าเร็วคงเร่งบุกมาอีก ถึงยามนั้นทางเราคงรับมือไม่ไหว”
“ฤๅจะต้องยอมเสียเรือนนี้ไปอีกเล่า”
“ท่านจ้าวขอรับ”
คำนั้นทำให้ทุกคนในบริเวณเงียบเสียงลงเป็นแถบ เพื่อรอฟังคำพูดจากนายเหนือหัวเพียงผู้เดียว
คนถูกเรียกนิ่งเงียบไปนาน…นานมากพอที่พันวังจะผูกปมสุดท้ายเสร็จแล้วผละออกมานั่งคุกเข่าเฝ้าอยู่ห่างๆ ชายหนุ่มมีสีหน้าวิตกนัก แต่บรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหลายก็มิต่างกัน
“เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” จ้าวแสนตากล่าวในที่สุด บ่าวหนึ่งจึงชิงพูดก่อน
“ถ้ามิเช่นนั้น เราอาจจะตายกันยกเรือนนะขอรับ”
“โปรดทบทวนดูใหม่”
“ข้ามิปล่อยให้ตายทั้งเรือนดอก พวกเจ้าสิไปเก็บข้าวของซะ” คำสั่งนั้นทำให้ทุกคนเงียบลงทันที “เตรียมพาพลพรรคจำนวนหนึ่งอพยพไปยังเมืองพิจิตร ฝ่ายนั้นยังมีไมตรีต่อกันอยู่ คงยินยอมรับพวกเจ้าให้พำนักพักพิงเป็นแน่”
“แล้ว…แล้วท่านจ้าวเล่าขอรับ?”
“ข้าสิอยู่เป็นเมืองหน้าด่าน หากไม่มีใครอยู่เลยพวกนั้นคงได้ตามร่องรอยไปถึงเมืองสระหลวง ถึงตอนนั้นคงได้ตายห่ากันหมดจริงดั่งปากเจ้าว่า”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจักอยู่เอง” นายหนึ่งกล่าวขึ้นมา “ท่านจ้าวสิเร่งเตรียมตัวเดินทางเสีย”
“ใช่ขอรับ พวกข้าสิจะอยู่เอง”
“เจ้าจะขัดคำสั่งข้ากระนั้นรึ?”
“ท่านจ้าว…”
“อย่าดื้อดึงไปเลยขอรับ เทียบชีวิตพวกข้ากับท่านยังมิได้ ฉะนั้น….”
จ้าวหนุ่มส่ายหน้า มิใช่เพียงแค่อยากปกป้องพวกพ้องแค่นั้น หากความเจ็บปวดเบื้องลึกที่ยังปักฝังอยู่ภายในอกนี้…ทำให้ดวงตาคู่คมเผลอทอดมองออกไปไกลแสนไกล
“…หากต้องตาย ข้าจักยอมตายอยู่ที่นี่” …เพียงทิฐินี้เท่านั้น…
…เพียงมิปรารถนา…จะพบหน้าใครบางคนเท่านั้น…TBC============================