ช่วงเวลาห่างเหินที่ห่างหาย
พลันเลื่อนลายสัมพันธ์ดั่งภาพเผลอ
ไร้หวนคืนไร้แตะต้องไร้พบเจอ
คราเผลอเรอร่ำร้องทุกครั้งครา
จวบจนสิ้นกลิ่นน้ำตาร้างกันแสง
หอบเรี่ยวแรงน้อยนิดระเห็ดหา
มิหวั่นไหวใช่ชาติหน้าเจอพี่ยา
จักชาตินี้จวบพาลาจนสิ้นกาล
พลิกแผ่นดินฟื้นน้ำธาราสมุทร
จนที่สุดขอบฟ้ามหาศาล
ที่แห่งใดที่แห่งนั้นใครบันดาล
สองเราพาลประสบพบ..ได้จบเจอ
-๓๐-
“พิจิตร?” “เออ” ผมรับคำ “พิจิตร”
อีกคนกระพริบตาปริบๆ “พิจิตรนี่มีวัดอะไรให้แมชเชอร์บ้างวะ? กูแม่งไม่เคยไปเลยว่ะ…”
“คนไทยป่ะวะ เที่ยวในไทยยังไม่ครบเรียกตัวเองคนไทยได้ไง”
“หรือมึงเคยไป?”
“เหอะ” ผมไหวไหล่ “ไม่เคย”
“ถุ้ย!”
“แต่กูรีเสิร์ชมา พิจิตรก็เป็นจังหวัดเก่าแก่เลยนะเว้ย เป็นหัวเมืองหนึ่งสมัยอาณาจักรสุโขทัย หมายถึง..มันก็มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ไม่น้อย” ผมพยายามโน้มน้าว แม้ว่าตัวเองจะไม่แม่นเรื่องประวัติศาสตร์อะไรนักก็ตาม “แถวนั้นน่าสนใจออก”
“ก็โอเคนะ ไกลดี..จะได้เที่ยวระหว่างทางด้วย” แตงโมว่า “คนอื่นว่าไง?”
“…’ไกล’นี่เป็นข้อดีเรอะ?”
“ไหนบอกตอนแรกอยากไปทะเลไง”
“นั่นล้อเล่นหรอก”
“กูไปคุยกับอาจารย์คงมา” ผมรีบชักจูงทันทีที่เห็นว่ามีคนสนับสนุน “แกบอกว่าโอเคนะ แต่ยังไงเราก็ไม่ได้จะไปแมชเชอร์วัดดังๆอยู่แล้วนี่นา”
“มึงไปคุยกับอาจารย์คงมาเมื่อไหร่วะ?”
“เมื่อวาน”
“คนเดียว?” ผมเลิ่กลั่ก “พอดี..แกเรียกไปช่วยงานอ่ะ เลยถามเรื่องนี้เลย”
“อ้อ”
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นพิจิตร?”
คำถามพร้อมการหรี่ตามองด้วยความสงสัยเสียเต็มประดาของไอ้โป็ยทำให้ผมกลืนน้ำลายเอื้อก แอบคิดอยู่แล้วว่าไอ้เพื่อนรักแม่งต้องแอบจับไต๋อะไรได้สักอย่างเป็นแน่ แต่ก็ทำได้แค่หลบตามันฉับด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ (ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ทำผิดอะไรเลยก็เถอะ…)
เคราะห์ดีที่แตงโมสนับสนุนต่อ “ก็ดีนะแก พิจิตร..คนคงไม่ค่อยไปแมชเชอร์อ่ะ”
“แล้วไปไง?”
“รถมั้ย? เราเพิ่งได้ใบขับขี่มา”
“แล้วแกขับคนเดียวไหวรึไง?”
โป๊ยยังขมวดคิ้วเพ่งผมอยู่ แต่ก็หันไปบอก “กูช่วยขับได้ กูก็มีใบขับขี่…แต่ไม่มีรถว่ะ”
“เดี๋ยวเราถามป๊าก่อนล่ะกันเอารถไปได้รึเปล่า”
“ตามนั้น”
“แล้วจะไปวันไหน?”
“เสาร์อาทิตย์มะ วันจันทร์ไม่มีเรียนนี่?”
“แก้วมีนี่ มีตอนบ่ายใช่ป่ะ?” แตงโมหันไปหาเพื่อนรัก “ใช่ป่ะแก้ว..?”
แก้วไม่ได้พูดอะไร
เธอมองผม และผมเดาไปเองว่าในดวงตากลมโตคู่นั้นมีประกายแห่งความหวังซ่อนอยู่..ลึกๆ
“เฮ้แก้ว!” “อ..อื้อ!?” แก้วสะดุ้งนิดๆ หันไปหัวเราะ “ว่าไงนะโม เมื่อกี้เราเหม่อไปหน่อย”
“จ้ะ จ้ะ ยัยจอมเหม่อ” แตงโมก็ค่อนแคะไปตามประสา “รู้ป่ะเนี่ยว่าเค้าจะไปพิจิตรกัน”
“เรื่องนั้นน่ะได้ยินแล้วน่า”
“แล้ววันจันทร์แก้วมีเรียนใช่ป่ะ?”
“ใช่จ้ะ ตอนบ่าย แต่ไม่ได้ซีเรียสนะ โดดได้แหละ”
“งั้นเสาร์อาทิตย์นะ ตกลงกันไว้ก่อน”
“คืนนี้ไปหาๆกันมาละกันว่าอยากแมชเชอร์วัดไหน” ผมแจงรายละเอียดสุดท้าย “พรุ่งนี้มาคุยกัน”
“โอเค”
..จะให้เป็น ‘หมอปราบจระเข้’
อย่ามาพูดให้ตลกหน่อยเลยน่า… ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่บ้ามาก บ้าถึงขนาดที่ควรจะส่งชื่อเข้าชิงรางวัลเรื่องบ้าๆระดับจักรวาล และถ้าผมตกลงกับข้อเสนอสุดโต่งแบบนั้นผมคงจะบ้ามากกว่าอีก คำว่า ‘หมอปราบจระเข้’ น่ะ ผมเองก็เพิ่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมันได้ไม่นาน และไม่ว่านี่จะเป็นความคิดที่มาจากอคติล้วนๆหรืออะไร ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปอยู่ในวงการนั้นอย่างเต็มตัวแน่ๆ
สรุปก็คือ…ผมบอกอาจารย์คงไปว่าผมไม่มีความคิดที่จะทำแบบนั้น ผมยังรักชีวิตตัวเอง..อย่างน้อยก็ยังพอใจกับชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องมีสีสันอะไรแบบนี้ก็พอแล้วล่ะ
และสิ่งที่เขาตอบกลับมามันทำให้ผมรู้สึกดียิ่งกว่า
‘ดีแล้ว’ คำสั้นๆนั้นทำให้ผมรู้ว่า…หากผมตอบตกลงไป อาจารย์คงคงจะผิดหวังในตัวผมไม่น้อยทีเดียว
และถึงผมปฏิเสธก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากเจอ…แต่มันต้องไม่ใช่ทางนี้ หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆคิดและบางทีอาจจะใช้เวลานานไปหน่อย คือ5นาที เพื่อปรึกษาอาจารย์คงในเรื่องที่สมควรสักทีคือเรื่อง ‘รายงาน’ ถึงจะมีเจตนาแฝงอยู่ชัดเจนก็เถอะ แต่จารย์คงก็เหมือนจะเข้าใจและไม่ได้จับผิดอะไรเรื่องนั้น ซ้ำยังเห็นด้วยเป็นอย่างดีอีก
..เพราะผมตั้งใจจะออกตามหาพี่วันให้ถึงที่สุด
และออกสตาร์ทที่เบาะแสเดียวว่าเขาเป็นจระเข้ผู้ดีที่สืบเชื้อสายมาจาก ‘พิจิตร’
….ซึ่งให้ตายเถอะ
ยอมรับจริงๆว่าแม่งเป็นความคิดที่งี่เง่ามาก… นอกเหนือจากความเห็นที่ว่าพิจิตรก็ไม่ใช่จังหวัดที่มีขนาดเล็กอะไรแล้ว ยังมีประเด็นที่ว่าเขาจะกลับไปที่นั่นทำซากหินปูนอะไร และถ้าผมจะเริ่มหา..ก็ต้องเริ่มจากที่ๆเขาหายไปจริงมั้ย โชคร้ายหน่อยที่เขาจมหายไปในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศ จะย้อนขึ้นไปที่ปิงวังยมน่านหรือออกอ่าวไทยทะเลจีนใต้ดีล่ะ…
นี่มันบ้าไปแล้ว! คิดในแง่บวกก็คือ…อย่างน้อยด้วยขนาดตัวเขาคงเข้าไปหลบๆซ่อนๆในคูคลองเล็กๆไม่ได้ ตัดตัวเลือกไปได้นิดหน่อย แล้วก็ไม่มีข่าวไหนออกว่าพบเจอจระเข้น้ำจืดขนาดยักษ์ด้วย ถือเป็นข่าวดีได้มั้ยวะเนี่ย
และผมก็วางแผนอย่างแยบยลครับ…ในที่สุดพวกเราทั้งสี่ อันประกอบด้วย..ผม ไอ้โป๊ย แตงโม และก็แก้ว ก็ตกลงว่าจะเดินทางไปทำรายงานอภิมหากาพย์สามภาคกันที่จังหวัดพิจิตรดังกล่าว และเรื่องที่เยี่ยมไปกว่านั้นก็คือแก้วเองก็รู้ข้อมูลนี้ด้วย เธอถึงได้มีปฏิกิริยาแปลกๆตอนที่เราประชุมกัน
และไม่ว่าเธอจะช่วยผมหาตัวไอ้พี่วันหรือไม่..แต่กว่าครึ่งของหัวใจผมก็โล่งอกอย่างมากกับข้อเท็จจริงที่ผมควรจะรู้นานแล้วที่ว่า….
…..ผมไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่เคย…สักครั้ง…+++++++++++++++++++
ไม่นานก็ถึงวันศุกร์ที่รอคอย
แรกทีเดียวพวกเราตั้งใจว่าจะออกเดินทางกันในวันเสาร์ แต่อาจารย์เลื่อนคลาสไปสอนทบคาบในวันศุกร์หน้า พอว่างก็คิดว่าควรรีบๆไปให้มันจบๆ เวลามีเหลือ..ถ้าขาดเหลืออะไรก็ยังพอช่วยๆกันตามเก็บได้ เพราะไม่ใช่ว่าเราจะได้ไปกันบ่อยๆเสียที่ไหน
นั่นเป็นข้ออ้างของพวกเพื่อนๆนะ
ส่วนผมก็แค่…อยากจะไปทำตามแผนให้เร็วที่สุดมากกว่า
พวกเรานัดรวมกันที่หน้าหอผมกับแตงโมตอนตีห้าครึ่ง แล้วรีบออกเดินทางกันโดยทันที ไอ้โป๊ยบ่นออดแอดว่ามันเพิ่งนอนไปได้2-3ชั่วโมงเท่านั้น แหงล่ะฟะ…ใครให้มันไปดื่มกับพวกไอ้บอลเมื่อคืนล่ะ (แถมไม่ชวนตูอีกเอ้า!)
ระยะทางจากกรุงเทพไปพิจิตร ยังพอจะสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ครับ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็เตรียมเสื้อผ้าติดรถไปแล้วละเผื่อค้างคืนอะไรยังไง ซึ่งจากสมมติฐานพบว่าเราคงไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เสร็จภายในวันเดียวได้หรอกครับ
แตงโมเป็นมือขับแรกก่อน แก้วนั่งหน้าข้างๆ ส่วนไอ้โป๊ยแม่งก็นอนพังพาบอยู่ข้างๆผมท่าทางจะตายแหล่มิตายแหล่
ผมหยิบมือถือขึ้นมากดหาแผนที่พิจิตรอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่เมื่อคืนก็นั่งดูแม่งทั้งคืนแล้วแท้ๆ
ผมไม่มั่นใจเลยครับ
ไม่มั่นใจเลยว่าจะหา ‘เขา’ เจอได้ยังไง…จากสภาพในตอนนี้
….ท้อแท้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยสิกู แตงโมกับโป๊ยทำหน้าที่ทะเลาะกันไปตลอดทางครับ ซึ่งแม้มันจะทำท่าสลึมสลือตลอดเวลาแต่ก็ยังมีสติพอจะเถียงโน่นนี่นั่นด้วย พอสายๆหน่อยมันก็ตื่นละ…พร้อมกับคำถามแรกที่ทำเอาเราทุกคนอยากตะเพ่นกบาลมันสักที
“วัดอะไรนะ?”
แก้วหลุดขำทันที ขณะที่แตงโมร้องลั่น
“วัดนครชุมไง แค่ชื่อวัดที่จะแมชเชอร์แกก็จำหน่อยสิวะโป๊ย”
“อ้าว ชื่อมันก็คล้ายๆกันไปหมดอ่ะใครจะไปรู้เล่า”
“ไม่ใส่ใจว่ะ”
“อ้าวเฮ้ย คนเพิ่งสร่างเมานะ” มันว่า แกล้งทำปากยื่นปากงอ “แกอยากพักเมื่อไหร่ก็บอกนะไอ้โม เดี๋ยวแวะปั๊มหน้ากูขับให้ก็ได้”
“ได้เสีย เราชักเมื่อยๆไหล่ละ”
“กินกาแฟมั้ย?”
“ก็ดีนะ เอาปั๊มที่มีอเมซอนละกัน”
“นี่แกเป็นตัวแทนจำหน่ายอเมซอนเหรอ…”
“บ้าสิ!”
“พวกมึงจะว่าอะไรมั้ยถ้ากูอยากไปเมืองเก่าด้วย” นั่นเป็นคำถามแรกของผมที่ขัดขึ้นมาระหว่างบทสนทนาเชิงหยอกล้อนั้น..ที่แอบคิดได้หลังจากที่พูดไปแล้วว่ามันคงไม่ถูกที่ถูกเวลาเท่าไหร่
ทำเอาทุกคนในที่นั้นต้องเงียบไปชั่วอึดใจ..ก่อนจะถาม
“เมืองเก่าไหน?”
“อุทยานเมืองเก่าอ่ะ ข้างๆเมืองเลย ไม่ไกลมาก” ผมว่า ใช้วาจาพยายามโน้มน้าวทุกสิ่งอออกไป “เสร็จแล้วจะได้แวะหาข้าวกินกันในเมือง ถ้ายังไงก็หาที่พักด้วยล่ะมั้ง…หมายถึง เอ่อ ถ้ามันไม่เสร็จ หรือยังไงก็ได้”
แรกทีเดียวผมคิดว่าที่ตัวเองแสดงออกไปนั้นมันดูลนลานมาเกินไปไหม เพราะความเงียบที่เกิดขึ้นมันสร้างความกระวนกระวายให้ผมไม่น้อย
ก่อนที่โป๊ยกระพริบตาปริบๆ ชะโงกหน้าเข้ามาดูในมือถือผม “ไหนๆ กูช่วยดูทาง”
แล้วแตงโมก็เสริม “ก็ดีนะแก จะได้ไม่ได้มาทำงานอย่างเดียว ฮ่าๆๆ”
“เออว่ะ ก็อยู่ติดกันเลยนี่” เพื่อนรักผมว่า พลางเขี่ยๆแผนที่ในมือถือแล้วถือวิสาสะแย่งไปดูเอง “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เสิร์ชหาร้านอร่อยเลยก็แล้วกัน”
“ไม่พลาดนะแก”
“หรือจะไม่กิน?”
“กินสิกิน”
“อยากกินไรกัน?”
“อะไรก็ได้”
“ส้นตีนมั้ย..”
“ไอ้โป๊ย! แกนี่ต้องหัดไปเรียนรู้วิธีการปฏิบัติกับผู้หญิงใหม่แล้วนะยะ พูดจาหยาบคายจริง”
“…’โทษที” คนถูกดุกระแอมกระไอ “แค่เคยชินว่ะ..”
“เพราะแบบนี้ไงแกเลยไม่มีแฟน ฮ่าๆๆ”
“โหยเฮ้ย พูดยังกะแกมีอ่ะ”
“อ้าวไอ้นี่ เคยได้ยินป่ะ
‘ยังไม่เคยคิดเรื่องนั้นค่ะ อยากให้โฟกัสที่ผลงาน’ ….”
“ถุย!”
“หยาบคายจริงโป๊ย! ไม่เกรงใจเราก็เกรงใจแก้วบ้างดิ๊”
“อ้าวเหรอ” มันกลอกตา
“…’โทษทีแก้ว” “ฮะๆ ไม่เป็นไรจ้ะ” แก้วหัวเราะ หันมามองพวกเราแปปนึง “ตลกดีนะ”
“โป๊ย แก้วหาว่าแกเป็นตัวตลกว่ะ”
“เราไม่ได้พูดอย่างนั้นนะโม!”
“ฮ่าๆๆๆ”
ผมกระพริบตาสองครั้ง พยายามยิ้มกับบรรดามุขทั้งหลายเหล่ที่พวกเขาผลัดกันเล่น แต่ขณะที่กำลังจะเบือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแบบเดิมนั้นเอง จึงตระหนักได้ว่ามือถือตัวเองยังอยู่กับไอ้โป็ย
และเหนือสิ่งอื่นใดนั้นเอง…มันกำลังแอบดูมือถือผมอยู่!!!
“ไอ้สัส!” ผมร้อง พยายามทำให้เสียงตัวเองเบาที่สุดแล้วแย่งมือถือนั้นมา
ส่วนอีกคนสิทำหน้าเหรอหรา ด้วยท่าทางที่คล้ายกับว่าดูเรื่องต่างๆในเครื่องมือสื่อสารนั้นเรียบร้อยหมดแล้ว
โป๊ยเขยิบเข้ามาใกล้ผม แล้วป้องปากกระซิบ
“…นี่มึงยังโทรหาพี่เค้าอยู่ทุกวันเลยเหรอ?” ..นั่นคงเป็นข้อมูลจากบันทึกการโทร และมันทำให้ผมชะงัก
แรกคิดว่าตัวเองควรจะเขินหน้าแดงหรือาจจะฟาดปั๊กเข้าที่ไหล่ สะบัดตีนขึ้นมายันให้หน้าหงาย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ผมเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ทั้งที่ข้างในมันไม่ใช่แบบนั้น
“เออ” มันคือการยอมรับ “ก็แค่โทร”
“แล้วติดป่ะ?”
“ไม่”
“ขึ้นว่าไร? เค้าไม่รับ?”
“ยกเลิกให้บริการ” ผมถอนหายใจ “ตอนแรกๆก็เหมือนปิดเครื่อง ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
“แล้วมึงยังจะโทร?”
“ถามจริงเหอะ…มีคนปกติธรรมดาที่ไหนเค้าหายตัวไปกันง่ายๆแบบนี้บ้างวะมึง” ผมว่า “ต่อให้ไม่ใช่กู หรือต่อให้เป็นมึงก็เถอะ…มึงไม่คิดจะสงสัยอะไรบ้างเลยเหรอที่จู่ๆเค้าก็หายตัวไปง่ายๆแบบนี้?”
“กูสงสัย”
“นั่นไง”
“..แต่ทุกครั้งที่กูสงสัย อยากจะรู้เรื่องอะไร มึงก็ชอบทำเหมือนมีความลับบางอย่างกับกูทุกที” มันเปรยเสียงเรียบ จ้องหน้าผมคล้ายกับไม่ต้องการคำตอบ “แล้วถามจริงเหอะ…จะให้กูสงสัยไปทำไมวะ ถ้ากะอีแค่ความจริงมึงก็ยังไม่บอกกูเนี่ย”
คำพูดพวกนั้นทำให้ผมเงียบไปสนิทใจ
ขณะที่มันก็ยกมือเกาหัว
“เอาเถอะ ลืมไป…กูว่ากูจะไม่พูดเรื่องนี้ละ”
ผมรู้ว่ามันคงโกรธไม่ใช่น้อยครับกับเรื่องนี้
…แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเหมือนกัน… จะให้บอกทุกเรื่องที่ผมรู้ออกไปงั้นหรือ? จะให้ฉุดไอ้โป๊ยลงมาจากชีวิตของคนธรรมดาที่แสนวิเศษนั่นลงมาพะว้าพะวงกับเรื่องมหัศจรรย์ลี้ลับไร้ตรรกะแบบนี้อย่างนั้นหรือ?
เพราะงั้นผมถึงทำได้แค่เงียบ แล้วเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวอยู่แบบนี้
…เพราะคนที่โชคร้ายแบบนั้น…มีแค่ผมคนเดียวก็พอแล้ว+++++++++++++++++++