ครั้งนั้น
วันเจ้าพระยายังสดใส
ยังมีจ้าวกุมภาผู้เกรียงไกร
สถิตอยู่ใต้ห้วงชลธาร
สร้างตัวเป็นหมู่รวมฝูง
เฝ้าชักจูงชี้ทางสืบลูกหลาน
อยู่อาศัยเมืองหลวงหลบรุกราน
สร้างคำสร้างม่านบังจริง
ภัยร้ายหลบรุกในหมู่เรือน
ผู้เพื่อนบิดเผือนเป็นสิ่ง
ทรยศสร้างแผลดุจปลิง
อันเจ็บยิ่งยิ่งหนี..ไปที่ใด
-๓๑-
อยู่ไหน?
อยู่ไหน..?
ไปไหนแล้ว..? ผมหายใจแรง ยกมือปาดเหงื่อที่ตกลงมาที่ข้างแก้ม ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าที่นี่มันร่มรื่นครับ..แต่ต้องยอมรับว่านั่นผมคิดผัด ไม่ว่าหมู่แมกไม้จะหนาครึ้มแค่ไหนลองได้เจออากาศเมืองไทยแล้วจะรู้ว่าเหงื่อแต่ละวันชั่งขายได้เป็นกิโล
แต่เดี๋ยวก่อน…ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบ่นเรื่องสภาพภูมิอากาศประเทศไทย
เมื่อปราดสายตาไปมองรอบๆก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าไอ้สัสนี่ตูอยู่พิกัดใดของโลก เงาร่างของคนคุ้นเคยนั้นหายไปแล้ว…หายไปเหมือนหมอกยามเช้าที่โผล่มาเพียงแค่วูบหนึ่ง แต่เป็นวูบเดียวที่ผมจำได้ดี…จำได้จนติดตา ว่านั่นไม่ใช่เพียงภาพลวงตาที่เกิดจากการมโนเพราะความจิตตกนี้แน่ๆ
หัวใจดวงนี้ยังคงเต้นแรงอยู่..
ลมหายใจนี้ก็ยี่กระชั้นถี่อยู่.. ไม่มีใครหลอกเราได้แนบเนียนเท่ากับเราหลอกตัวเอง ผมหยุดเดิน ผ่อนลมหายใจสั้นๆก่อนถามตัวเองเพื่อยืนยันอีกครั้งว่านั่นใช่ ‘มาลา’ จริงๆอย่างที่ผมสันนิษฐานหรือไม่
แล้วต่อให้เป็นมาลาจริงๆ…มันจะมีเรื่อง ‘บังเอิญ’ ขนาดนั้นเลยหรือ?
ผมมาที่นี่ตามความปรารถนาของตัวเอง ความต้องการของตัวเอง…
…หรือแค่วิ่งตามเงาของใครก็ไม่รู้มากันแน่? เวลาที่ ‘ความหวัง’ วิ่งผ่านพ้นตัวเราไป…มันคือความรู้สึกที่คล้ายกับหัวใจหล่นวูบ และร่างกายก็พร้อมจะสลัดเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีทิ้งไปเพื่อทรุดตัวลงนั่งกับพื้นนี่ หรือให้คิดอีกที…กางเกงยีนส์ยี่ห้อดีนี่คงไม่เหมาะจะคลุกฝุ่นสีแดงพวกนี้เท่าไหร่ล่ะมั้ง…
…เลิกถ่ายมิวสิคได้แล้วไอ้เกรียงไกร
ตั้งสติสิตั้งสติ ขออนุญาตตีหน้าตัวเองสองทีครับ ผมตั้งใจไว้ว่าตัวเองจะไม่ท้อ ดังนั้นตอนนี้ห้ามท้อ อย่างน้อยก็เดินกลับไปหาพวกไอ้โป๊ยแล้วเริ่มใหม่ก็ได้ถ้ายังไม่แน่ใจอะไรขนาดนี้ ครั้งหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงดลบันดาลให้เราได้เจอกันจริงๆนั่นแหละ
ผมกำลังจะกลับหลังหันเดินย้อนกลับไปตามทางเก่า พอเห็นทางเดินอิฐสีแดงอยู่ใกล้ๆก็บ่นตัวเองอยู่สองนานว่าทำไมโง่วิ่งมาตามพื้นดิน ให้ฝุ่นสีแดงพวกนี้ติดตามซอกรองเท้ากันได้นะ…แย่จริง
เมื่อเท้าเหยียบขึ้นมาบนทางเดิน ถึงได้หันมองซ้ายมองขวา
ทางซ้ายเชื่อมกับโบราณสถานวัดมหาธาตุที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง และเป็นทางเดินที่ทอดยาวต่อไปจนถึงถนนลาดยางที่ผมวิ่งจากมาเมื่อครู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ถ้าเดินไปนี่คือการย้อนกลับทางเดินไปยังศาลหลักเมืองที่แยกกับพวกเพื่อนๆเป็นแน่
ส่วนทางขวาเป็นทางเดินที่หลุบเข้าไปในแมกไม้ ปกคลุมไปด้วยใบไม้ราวไม่ได้มีคนแว่บเข้ามาทำความสะอาดเสียนาน มองไปก็เห็นสะพานข้ามคูเล็กๆอยู่ลิบๆดูน่ากลัวไม่น้อย…แต่ก็น่าสงสัยไม่แพ้กัน
ผมตบหน้าตัวเองอีกครั้ง
แล้วเดินไปทางขวา ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงเสียเวลา
เมื่อส้นรองเท้ากดน้ำหนักลงบนใบไม้แห้งกรอบส่งเสียงให้ผมตื่นตัวทุกจังหวะ เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบงัน…แม้กระทั่งเสียงเล็กๆน้อยๆมันก็ทำให้ผมสะดุ้งจนต้องเหลียวหลังมองได้
กำลังทำอะไรอยู่…และกำลังไปที่ไหน
ไม่รู้…อะไรทั้งนั้น ผมเดินมาถึงสะพานไม้เก่าๆอันนั้นตอนที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดคราดจนสะดุ้ง เลยรีบควักๆหยิบๆมันขึ้นมากดรับ
…ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าใคร
ปิ๊บ “รอกูแปปนึง”
((….)) มันเงียบไป ((ไอ้สัส ทำเอากูเสียวไส้ อยู่ดีๆก็วิ่งไปไหนไม่รู้))
“นั่งเล่นรอไปก่อนนะพวกมึงอ่ะ”
((มึงอยู่ไหนเนี่ย))
“หลัง..เอ่อ…วัดมหาธาตุ”
ผมว่าไปตามเรื่อง…เริ่มทำจมูกฟุดฟิดเพราะขี้นกเกลื่อนเต็มสะพาน ท่าทางยังกับไม่มีใครมาทำความสะอาดส่วนนี้เสียนานแล้ว ซ้ำอีกฝั่งหนึ่งนั้นยังเป็นเพียงเกาะกลางโล่งๆที่โอบล้อมด้วยคุ้งน้ำ ไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นไม้รกชัฎจนไม่เห็นกระทั่งทางเดินอิฐสีแดงพวกนั้น…
“ไม่ต้องห่วงๆ แค่มาเดินเล่น…เดี๋ยวก็กลับไปละ”
((แล้วให้พวกกูทำไง?))
“รำไป”
((พ่อง))
“งั้นนั่งจิ้มคุกกี้รันไปก่อน”
((ไอ้เวร…))
“เดินเล่นก็ได้เอ้า รอกูแปปเดียวเท่านั้นแหละ”
((ให้กูไปหามั้ย?))
“ไม่ต้องเลยนะ!”
((ไกร…มึงทำตัวแปลกๆนะไอ้ห่า ตั้งกะเริ่มต้นจะมานี่ละ มึง…))
“เปล่านี่! ไม่มีอะไรสักหน่อย!”
((แล้วมึงวิ่งหน้าตื่นออกไปแบบนั้นมันคืออะไร!?))
“…กู…กู…”
พอเห็นผมอ้ำอึ้งอยู่สักพัก มันถึงได้รีบสวนขึ้นมาทันควัน
((ไม่รู้ละ กูจะไม่คุยเรื่องเครียดนี้ตอนคุยโทรศัพท์ มึงกลับมามึงต้องเล่าให้กูฟังทุกอย่าง ต่อมเสือกกูมันสั่นระริกมาสักพักละ และตอนนี้มันกำลังจะระเบิด))
“….กูเชื่อว่ามึงไม่อยากรู้หรอก”
((กูจะอยากหรือไม่อยาก กูเนี่ยแหละเป็นคนตัดสิน สัส รีบกลับมา))
ผมถอนหายใจ รู้สึกหมั่นไส้การพูดจาที่แสนจะมั่นใจในตัวเองของมันเสียเหลือเกิน แต่เพราะแบบนั้นแหละทำให้ผมกล้ามากพอจะก้าวเท้าก้าวแรกเข้าสะพานไป
“เออๆ เดี๋ยวกูรีบไป รอแปปนึง”
((อย่าช้า))
“จ้าจ้า”
พรืด!! “เหี้ย!!” พอกำลังจะกดวางสายผมก็แทบลื่นพรืดกับทางเดินเล่นเอาคว้าราวจับเอาไว้แทบไม่ทัน ผลที่ได้เหรอครับ ก็หลีกเลี่ยงการก้นจ้ำเบ้าลงไปได้ แต่มือเนี่ยสิที่เต็มไปด้วยขี้นกแห้งๆเต็มเลย
“อี๋…” ผมคราง จ้องมือตัวเองหน้าแหย “ต้องล้างมืออย่างด่วน…เดี๋ยว เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ…มือถือ…ใช่! มือถือ”
มือสองข้างผมว่างเปล่าครับ ไม่ต้องแปลกใจเลย
“คุณพระช่วย…”
ท่าทางดวงผมคงตกมาก เวลาไม่กี่เดือนซื้อมือถือใหม่ไปสองเครื่อง และ..กำลังจะได้กลับไปซื้อเครื่องที่สามก็ตอนนี้แหละให้ตายเหอะ!!
ผมชะโงกหน้าลงไปมองใต้สะพาน นั่นไง มือถือตัวดีนอนแอ้งแม้งอยู่ที่ขอบเนินตรงจุดที่น้ำเกือบจะท่วมถึง แหม ถ้ามันขึ้นมามากกว่านี้อีกสักสองนิ้วคงจะได้ถอยเครื่องใหม่จริงๆดังวลีข้างต้น
หลังจากสวดมนต์อยู่สักพักหนึ่ง ผมก็ก้าวลงไปที่เกาะกลางอันเต็มไปด้วยหญ้ารกทึบ ก่อนจะเหวี่ยงตัวข้ามราวสะพานไปเหยาะอยู่ตรงขอบบึง พื้นดินบริเวณนั้นยังเป็นสีแดงอิฐเหมือนเช่นที่เป็นด้านบน เพียงแต่เปียกชื้นกว่าจนรองเท้าแทบจะจมหายไป
ผมถอนหายใจ กำลังจะก้มหยิบมือถือที่ตัวเองทำตกเอาไว้ตรงนั้น
…ก่อนจะชะงัก
ที่เยื้องออกไปใต้สะพาน ซ่อนอยู่ในหลืบหลังพุ่มไม้นั้น
…มีถ้ำอยู่+++++++++++++++++++
มันบ้ามากครับ
บ้า บ้ายิ่งกว่าบ้า อยากรู้มั้ยว่าบ้าตรงไหน…แม่งบ้าที่ผมเสือกใจกล้าหน้าด้านเดินเข้าไปเนี่ยแหละ
ตอนแรกผมไม่แน่ใจนักว่ามันจะใช่ ‘ถ้ำ’ อย่างที่ผมคิดรึเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นโพรงแคบๆที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติก็ได้ แต่พอได้ขยับเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
แม้กว่าครึ่งของปากทางเข้าจะถูกปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวพรางตา แต่เมื่อแหวกเข้าไปพิจจารณาดูถึงได้รู้ว่าปากทางนั้นเกิดจากหินขนาดใหญ่หลายๆก้อนมาเรียงต่อกันกันดินถล่มเอาไว้ ท่าทางไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างเป็นแน่
หรือมันจะเป็น…โบราณสถานแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม และคนก็ไม่ค่อยได้มาแถวนี้เท่าไหร่ก็เลยปล่อยปละละเลยให้มันเป็นแบบนี้
…แต่หัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกนี้บอกผมว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
ด้านในเป็นทางเดินที่มืดสนิท และดูราวกับจะทอดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ผมเผลอหันกลับไปมองข้างหลังและซ้ายขวาดูว่าจะมีใครแอบดูผมอยู่รึเปล่า ผมหวังให้เห็นใบไม้ไหว สายลมพัดแรงๆ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว
แต่ให้ตายเหอะ…ผมอยู่คนเดียว!
..และกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องบ้าๆแบบนี้เพียงลำพัง! ผมผ่อนลมหายใจสั้นๆอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกตัวเองพร้อมจะเต้นแทปตีจังหวะประหลาดๆอะไรก็ได้ให้เข้ากับเสียงกลองในอก แล้วกลั่นกรองความกล้าที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในนี่ออกมาซะ
..จงตื่นขึ้น! พลังของข้า!
……..กูบ้าไปแล้ว… “บัดซบเอ้ย…”
ผมครางอ่อน หยิบมือถือมากดเปิดไฟฉายแล้วส่องเข้าไป จากจุดนี้ผมแทบไม่เห็นอะไรเลยสักนิด และมันเป็นความคิดที่พิลึกพิลั่นไม่น้อยสำหรับการเดินเข้าไปแบบนี้
จากนี้จะผมจะได้ถูกบันทึกชื่อเป็น ‘ผู้กล้า’ ‘ผู้พิทักษ์’ หรือ ‘ผู้กอบกู้โลก’ ดีล่ะ
….แค่คิดตูก็สนุก(ของตูคนเดียว)แล้ว
“เอาวะ…” ผมตบหน้าตัวเองไปทีนึง “เป็นไงเป็นกัน”
ตอนแรกผมคิดว่าหัวใจตัวเองเต้นดังแล้ว แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไป…มันกลับดังขึ้นไปอีก
ผมใช้ความพยายามอย่างหนักในการก้าวเข้าไปสามก้าว ถึงได้รู้ว่าก้าวที่สี่มันไม่ได้อยากอย่างที่คิด และเมื่อก้าวที่เจ็ดมาถึง..ผมก็คิดว่าควรจะตะโกนออกไปทักทายกับคนอื่นๆที่อาจจะอาศัยอยู่ในนี้รึเปล่า พอก้าวที่สิบสามที่แสงสว่างจากภายนอกไม่ได้เข้ามาแล้วผมก็เริ่มคิดว่าควรจะถอยหลัง แต่หลังจากที่เปิดไฟฉายของมือถือส่องเอาถึงได้ก้าวไปถึงก้าวที่สิบเจ็ดได้…
มันปัญญาอ่อนมากที่นั่งนับก้าวตัวเองอยู่แบบนี้ เพราะพื้นหินที่ไม่เท่ากันนั้นทำให้เราต้องตั้งสมาธิมากในการก้าวแต่ละครั้ง จนกระทั่งผมเริ่มสัมผัสได้ว่าตัวเองก้าวลงต่ำอย่างช้าๆ บางที..นี่อาจเป็นบันไดไปสู่อะไรสักอย่าง
…ตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วครับว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับไอ้พี่วันยังไง
…กูมาตามหาจระเข้หรือมาค้นพบมิติใหม่ทางประวัติศาสตร์กันแน่วะ ผมยังคงก้าวลงมาตามทางเดินนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงโถงหนึ่ง..ซึ่งผมคิดไปเองว่ามันเป็นโถงน่ะนะ อาจจะเพราะว่ามันมีขนาดที่กว้างกว่าทางเดินที่ผมผ่านมาสัก3-4เท่าเห็นจะได้
และมันทำให้ผมต้องหยุดเดิน ด้วยไม่รู้ว่าจะก้าวขาต่อไปดีรึไม่
แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อจากนั้น ก้มมองมือถือในมือที่อับสัญญาณแบบสุดขั้วก็ทำให้ผมถอนหายใจ จะถอนตัวตอนนี้ก็เห็นจะไม่ทันแล้วไอ้เกรียงไกรเอ้ย…สมน้ำหน้ามั้ยละ เสือกอยากรู้เรื่องอะไรที่มันเกินตัวแบบนี้ก็เลยเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ
ที่สุดทางของโถงแห่งนั้นมีทางเดินต่อไปอีกครับ
แต่ผมคิดว่ากำลังจะตีตั๋วกลับแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ต้องกลับไปบอกไอ้โป๊ยมันก่อน หรือไม่ก็ลากมันลงมาด้วยกันซะเลย…ไหนๆก็ไหนๆแล้ว….
เดี๋ยวก่อนนะ…
...นี่มัน….อะไรน่ะ? ผมคงผิดเองที่เผลอชะโงกหน้าเข้าไปมองแบบนั้น และคงผิดเองที่สงสัยกับไอ้วัตถุตกแต่งผนังรูปทรงประหลาดนี่ น่าแปลกที่ตลอดทางเดินที่ผ่านมาผมไม่เห็นมันเลย
มันน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า… ‘คบไฟ’
หน้าที่ของมันน่าจะเป็นการจุดไฟ ให้แสงสว่างกับทางเดินเหมือนหลอดไฟของโลกที่พัฒนาแล้วเนี่ยแหละ และที่น่าประหลาดใจคือมันยังมีกลิ่นน้ำมันจางๆ คล้ายกับว่ายังมีคนใช้งานมันอยู่ในไม่ช้านานนี้
ก่อนที่ผมจะสวมบทเป็นโคนันไอ้หนูยอดนักสืบ ผมควรจะทำสิ่งที่เหมาะกับผมมากกว่าการมานั่งวิเคราะห์หลักฐานพวกนี้ ก็คือการเดินเข้าไป
และให้ตายเถอะ! ผมเดินเข้าไปจริงๆ!
…กูทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย!?!
ผมคิดว่าถ้าผมก้าวเท้าเข้าไปมากกว่านี้อีกสักก้าว…มันคงจะใกล้ถึงจุดที่ผมจะเสียใจที่ก้าวเท้าเข้ามาเป็นแน่ แต่เพราะมันยังไม่ถึงจุดนั้นสักทีกระมัง ขาผมเลยยังก้าวต่อไปได้เรื่อยๆ
จนกระทั่งผมเห็นแสงไฟสีส้มไหวๆอยู่ลิบๆ ถึงได้หยุด
หัวใจผมเต้นดังด้วยความตื่นเต้นกึ่งตระหนก ที่สำคัญกว่านั้นคือมือที่กำมือถือนี้สั่นเทาไปเสียหมด ผมคิดว่าจะก้าวขาหนีไป แต่เท้ากลับยังคงก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกไม่กี่ก้าวผมจะถึงคบไฟที่ถูกจุดนั้นอยู่แล้ว
“ห๊าววว”
“ปิดปากซะด้วยสิวะ”
“ก็มันง่วงนี่หว่า”
“อะไรฟะทำมาบ่น เจ้าน่ะ…เมื่อเช้าก็ตื่นสายมิใช่รึไง?”
เสียงบทสนทนานั้นเล่นเอาผมชักเท้ากลับแทบไม่ทันครับ มันดังลอยมาจากที่ไกลๆพร้อมเสียงฝีเท้าที่ก้าวเป็นจังหวะของคนสองคู่
ผู้ก่อการร้าย โจรใต้ มาเฟีย พวกค้ายา ลอบตัดไม้ป่า สารพัดกลุ่มคนที่ลอยเข้ามาในหัวทำเอาผมรู้สึกสับสนไปหมด ที่แน่ๆคือ…ไม่มีใครพอใจที่ได้เห็นคนนอกเข้ามาบุกรุกพื้นที่ของตัวเองเป็นแน่..!!
ไม่ต้องสนว่าพวกมันจะเป็นใคร สนใจไว้เถอะว่าตูไม่รอดแน่ถ้าพวกเขามาเจอ…!
“อ..”
พลั่ก!
เคร้ง! คุณเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มั้ยครับ……
เวลาที่คุณอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายมากๆ คุณจะท่องอยู่ในใจตลอดว่าพลาดไม่ได้ๆ เราพลาดไม่ได้ หรืออะไรก็ตามแต่ และเมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะ…
บู้ม! ต้องมีผีมาขัดขาอยู่ทุกที
ตอนนี้ผมก็เป็นแบบนั้น
และขอบอกเลยว่า…
มันเลวร้ายสุดๆ!!! นอกจากที่ผมจะเผลอสะดุดก้อนหินล้มหน้าทิ่มลงไปเต็มๆแล้ว ไอ้มือถือที่ถือๆพกๆอยู่เนี่ยแหละแม่งกระแทกกับก้อนหินดังสนั่นแยกแตกเป็นชิ้นๆไปโดยปริยาย ถ้าไม่นับเรื่องเลือดกำเดาที่ไหลย้อยนี่ล่ะก็…คงจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกินไปกว่าที่ใครสักคนตะโกนขึ้นมาว่า…
“ใครน่ะ!!” …หรอกครับ “ไอ้ชิบหายเอ้ย…”
ผมกัดฟันกรอด ตะเกียกตะกายกึ่งเดินกึ่งคลานหนีไปตามทางเก่า และถามว่าสภาพทุลักทุเลอยู่แบบมืดๆของผมแบบนี้นี่จะทันไอ้สองตัวที่มันกวดมาด้านหลังทั่กๆนี้มั้ย!! ไม่เลย!!
ลาก่อนครับพ่อ ลาก่อนครับอาหมอก ลาก่อนไอ้โป๊ย ลาก่อนแตงโม ลาก่อนแก้ว
ลาก่อนไอ้พี่วัน
…ถ้าชาติหน้ามีจริง…ขอให้เราได้เจอกันในรูปแบบที่ดีกว่านี้ก็แล้วกันนะ
อย่างน้อยก็ขอให้เราเป็น
‘มนุษย์ธรรมดา’ เหมือนกันที…
หมับ!! “อื้ออ!!”
ผมยังไม่ทันจะพร่ำพรรณนาเซย์กู้ดบายกับทุกคนที่รู้จักให้ดี ก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาปิดปากผม แถมยังรั้งจนร่างกายแทบจะล้มลงไปทิ่มพื้นอีกสักรอบ
ความตกใจทำให้ร่างกายผมเซถลาไปแนบเข้าไปซอกหิน พอตั้งสติถึงได้รู้ว่า ‘ใครบางคน’ กำลังดันผมให้หลบอยู่ในเงามืด เขาส่งเสียง ‘ชี่’ ออกมาเป็นเชิงสั่งให้ผมเงียบ ซึ่งผมจะทำอะไรได้ละครับ! ในเมื่อมือที่ใหญ่และหยาบกร้านนี้แทบจะทะลวงคอหอยผมอยู่แล้ว!!
ตาผมเบิกโพลงนานจนกลัวว่าจะตาแห้งกันไปซะก่อน พยายามจ้องมองตรงไปด้านหน้าที่เห็นเพียงเงาร่างเลือนรางเพียงเท่านั้น
แต่เพราะอะไรไม่รู้…สัมผัสรุนแรงเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงอดีตขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
…มันเป็นวันที่ฝนตกหนักที่อาจารย์คงเรียกผมไปช่วยงานคอมพิวเตอร์ ช่วงเวลาที่ทุกคนกลับบ้านกันไปเกือบหมดทั้งตึกแล้ว ผมที่ดันเอะใจกับเสียงประหลาดที่เกิดขึ้นในทางเดินระหว่างลิฟท์ และเสือกใจกล้าเดินเข้าไปดู
กับเรื่องราวประหลาดน่าอัศจรรย์ที่ผมพบเจอในครั้งนั้น
…วัน…ที่เปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล… “อยู่เงียบๆ…ตรงนี้นะ” สุรเสียงทุ้มห้าวนั้นกระซิบบอกผม ในอกที่เต้นถี่ด้วยความหวาดกลัวนี้กลับผ่อนลงช้าๆตามจังหวะ พอผมพยักหน้าเขาก็ปล่อยมือออก หันหลังยืนบังผมที่พยายามขดตัวซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดแทน
ผมเหลือบสายตามองเขา มองแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่ผมคุ้นเคย
..พลันน้ำตาก็เหมือนจะไหลออกมา
…ไอ้พี่วัน และให้ตาย…แม่งเป็นโมเม้นท์การเจอกันอีกครั้งที่เลือด(กำเดา)สาดชะมัด
TBC========================