Chapter 50
หลังจากนั้นอีกสี่เดือนถัดมา พายุยังคงไม่หยุดตามหาวารินทร์ แต่ด้วยหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบที่บริษัท ทำให้พายุไม่สามารถตามหาวารินทร์ได้อย่างเต็มที่นัก เพราะวายุไม่สามารถรับหน้าที่ในการบริหารแทนได้ทั้งหมด เนื่องจากวายุอยู่ปีสุดท้ายและกำลังใกล้จะจบการศึกษา วงจรชีวิตของพายุจึงไม่เคยพักผ่อนมาตลอดหลังจากที่ได้สติขึ้นมา กลางวันเป็นประธานบริษัท บริหารกิจการให้ไปได้ด้วยดี ส่วนกลางคืนก็เป็นนกตัวใหญ่ยักษ์ที่บินสำรวจไปทุกหนทุกแห่งเพื่อตามหาบุคคลที่สูญหายไป
“เป็นยังไงบ้างพี่วันนี้” เมื่อพายุก้าวขาเข้ามาในบ้าน วายุก็เอ่ยปากถามพี่ชายทันที ในช่วงนี้วายุเองก็สลับไปมาระหว่างบ้านวายุเทพกับบ้านวารีรินทร์ เพราะตัววายุเองก็เป็นห่วงพ่อกับแม่เพราะพายุไม่อยู่บ้านในตอนกลางคืน ส่วนนารินทร์เองก็ไปๆมาๆเช่นเดียวกับวายุ
“ก็เหมือนเดิมว่ะ…ไม่มีแม้แต่วี่แวว”
“แต่ช่วงนี้นาบอกผมว่ารู้สึกได้ถึงกระแสอะไรบางอย่างแต่เป็นแค่เสี้ยววิแล้วก็หายไป…ยิ่งช่วงนี้ถี่มากด้วย”
“อืม” พายุพูดแค่นั้นก่อนจะเดินผ่านเข้าบ้านไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปทำงานตามปกติ
“พี่วายุ!!! นาจับกระแสจิตนั้นได้อีกแล้ว นาว่าต้องเป็นพี่รินทร์แน่ๆ” นารินทร์วิ่งหน้าตาตื่นลงมาจากชั้นสองแล้วพุ่งเข้าหาวายุทันที
“คิดมากหรือเปล่า ถ้าเป็นวารินทร์จริงๆทำไมเราถึงพึ่งรู้สึกได้ล่ะ”
“นาจะไม่คิดมากแบบนี้เลยถ้าพี่ดำไม่รู้สึกเหมือนนา…นาคุยกับพี่ดำแล้ว พี่ดำบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่พี่รินทร์จะพรางกระแสจิตเพื่อปกปิดที่อยู่ของตัวเอง เพราะพี่รินทร์รู้ว่าพี่ดำกับนารับรู้ถึงการมีตัวตนของพี่รินทร์”
“แล้วเราจะเอายังไงล่ะ…พอจะจับได้ไหมว่ากระแสนั้นมาจากแถวไหน”
“จับได้ครับ นาว่าเราลองไปตามหาพี่รินทร์กันที่นั่นเถอะอย่างน้อยก็ยังได้ลอง นารู้สึกเป็นห่วงพี่รินทร์ยังไงก็ไม่รู้ เพราะครั้งล่าสุดนาจับกระแสจิตนั้นได้นานกว่าปกติ ถ้าคิดในทางกลับกันคือพี่รินทร์กำลังแย่มากๆจนพรางจิตตัวเองไม่อยู่ไงล่ะ” วายุเริ่มมีสีหน้าเครียดขึ้นมาฉับพลัน เพราะอาการร้อนรนของนาและการคาดเดาไปต่างๆนานาของคนรักและในที่สุดวายุก็ตัดสินใจ…
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเตรียมตัวกัน…อ่อ อย่าพึ่งบอกพี่พายุเรื่องนี้ล่ะ” นารินทร์พยักหน้ารับคำวายุก่อนจะพากันเดินขึ้นไปที่ห้องเพื่อเตรียมตัวเดินทาง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีบุคคลอีกคนหนึ่งแอบฟังเรื่องทั้งหมดจากอีกมุมหนึ่งของบ้าน
“ฮัลโหล…วันนี้ฉันไม่เข้าบริษัท ถ้ามีเอกสารอะไรสำคัญให้เอาเข้ามาให้คุณพ่อคุณแม่เซ็นที่บ้าน” สายถูกตัดไปพร้อมกับความหวังของพายุที่หวังว่า…ครั้งนี้เค้าจะได้เจอคนรักอีกครั้ง
“เอาล่ะเราจะไปกันหรือยัง” วายุถามความพร้อมกับนารินทร์เมื่อทั้งคู่เตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้ก็เป็นเวลาสายหน่อยๆและทั้งคู่ก็ไม่ได้สังเกตเลยว่า พายุยังไม่ได้ออกไปจากบ้าน
“พร้อมแล้วครับ”
“พี่ก็พร้อมแล้วเหมือนกัน” เสียงปริศนาดังขึ้นจากทางหน้าบ้านทำให้ทั้งคู่หันไปสนใจกับบุคคลที่มาใหม่
“พี่ดำ!!!”
“พี่จะไปด้วย…เราคงรู้สึกได้สินะว่าวารินทร์ไม่ได้อยู่คนเดียว บางทีอาจจะมีใครบางอยู่กับวารินทร์ในตอนนี้” เมื่อพี่ดำพูดจบวายุก็ขมวดคิ้วทันที เพราะพายุก็พึ่งกลับมาที่บ้าน แล้ววารินทร์จะอยู่กับใครได้ล่ะ ส่วนใครอีกคนที่แอบฟังอยู่จากระยะไกลก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินว่ามีใครบางคนอยู่กับวารินทร์…ใครคนนั้นที่ไม่ใช่เค้า
“เรารีบไปกันเถอะ” เมื่อรถของทั้งสามคนออกจากบ้านไปแล้ว พายุก็ขับรถตามไปทันทีโดยเปิดสัญญาณ GPS ที่ติดอยู่ที่รถทุกคัน แต่ก็ทิ้งระยะห่างมากพอสมควรเพื่อไม่ให้พวกวายุรู้ตัว…การเดินทางใช้เวลานานพอสมควรจนกระทั่งรถของวายุหยุดอยู่ที่หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจากสภาพโดยรอบแล้วความเจริญยังเข้าถึงได้ไม่ดีนัก แต่มันก็เหมาะที่จะเป็นที่ซ่อนอำพรางตัวเพื่อตัดขาดการติดต่อจากคนภายนอก
“มันมาจากแถวนี้แหละ…ใช่ไหมพี่ดำ” นารินทร์หันไปถามความเห็นจากพี่ดำเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ผิดแน่ แต่มันก็กว้างพอสมควรนะ…พวกเราจะเริ่มจากตรงไหนก่อนล่ะ”
“ผมว่าเราลองเดินไปถามคนแถวนี้ก่อนก็แล้วกัน” วายุออกความเห็นซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้านใดๆ ทั้งสามคนจึงเริ่มออกเดินถามคนที่ผ่านไปผ่านมาโดยโชว์รูปของวารินทร์ให้ดูอย่างชัดเจนเพื่อบ่งบอกลักษณะของวารินทร์
ทางด้านของพายุที่พึ่งขับรถมาถึงก็จงใจจอดรถให้ไกลออกไปจากรถของวายุ เพื่อไม่ให้พวกวายุรู้ตัว ถ้าหากพวกนั้นจะย้อนกลับมาที่รถ พายุยืนมองรอบๆอย่างพิจารณาก็คิดว่าสมกับเป็นวารินทร์ที่เลือกที่นี่ เพราะวารินทร์ไม่ชอบความวุ่นวายแบบในเมืองใหญ่ พายุจึงไม่แปลกใจมากนักหากวารินทร์จะมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่
วายุ นารินทร์ และพี่ดำที่เดินออกถามทุกคนมาที่ผ่านไปมาตลอดบ่ายก็เริ่มรู้สึกท้อแท้ เพราะไม่ว่าจะถามใครทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคุ้นๆ แต่ไม่น่าจะเคยเห็น ทำให้ความหวังของการค้นหาตัววารินทร์ครั้งนี้ริบหรี่ลงทุกที
“เฮ้อ…นี่ก็จะบ่ายแล้วนะ เราไปหาที่นั่งพักกันเสียหน่อยแล้วกัน” พี่ดำพูดขึ้นก่อนจะเดินนำทั้งคู่ให้ตามไป ซึ่งนารินทร์กับวายุก็เห็นด้วย ยอมเดินตามพี่ดำไปแต่โดยดี…ทั้งสามคนเดินเข้าป่ามาเรื่อยๆโดยจุดมุ่งหมายของพี่ดำก็คือน้ำตกในป่าลึก เพราะพี่ดำได้กลิ่นของน้ำตกมาจากเขาลูกนี้ แม้ว่าบรรยากาศมันจะวังเวงมากมายเหลือเกิน แถมยังมีสัตว์เลื้อยคลานมากมายผิดปกติโดยเฉพาะงู
“นารินทร์…รู้สึกเหมือนพี่ไหม” ดำหันไปถามนารินทร์
“ใช่…นาว่างูมันเยอะผิดปกตินะ ถึงเค้าจะไม่ทำอันตรายพวกเราก็เถอะ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปล่ะก็ไม่แน่” ตลอดทางที่เดินเข้ามาทั้งสามเจองูไม่ต่ำกว่า 20 ตัว ไม่ว่าจะเป็นงูเล็ก งูใหญ่ มีพิษ หรือไร้พิษ ซึ่งมันบ่อยเกินไปที่จะเจองูชุกชุมมากขนาดนี้ และในจังหวะที่ทั้งสามกำลังเข้าเขตน้ำตก สายตาของทุกคนก็พุ่งตรงไปที่ร่างของคนๆหนึ่งที่มีผ้าคลุมหัวสีดำกำลังนั่งอยู่ข้างน้ำตก ทั้งสามคนจึงหยุดเดินก่อนจะหาที่ซ่อนแล้วแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้ โดยที่พายุที่แอบเดินตามมาโดยบังเอิญก็พลอยหยุดชะงักไปด้วย
“อึก…โอ้ยยยยย…อื้อ” บุคคลที่อยู่ข้างน้ำตกอาการไม่สู้ดีนักโดยที่เอามือข้างหนึ่งกุมท้องไว้ก่อนจะค่อยๆยืนขึ้นแล้วหันกลับมา ทำเอาทั้งสามคนตะลึงอย่างตกใจปนดีใจ เพราะคนๆนั้นคือคนที่พวกเค้าพยายามตามหามาตลอดแปดเดือน พายุเองก็ดีใจจนเนื้อเต้นแต่ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยตัวเองออกไปต่างจากสามคนข้างหน้าที่แทบจะกระโจนเข้าใส่วารินทร์
“วารินทร์!!!/ พี่รินทร์!!!/ รินทร์!!!” วารินทร์ผงะทันทีที่ได้ยินเสียงของทั้งสามคนพร้อมกับอาการเจ็บปวดของร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“…” วารินทร์ทำท่าจะวิ่งหนีแต่ก็ถูกมือของวายุจับไว้เสียก่อนทำให้วารินทร์ไม่มีแรงจะขัดขืนเพราะร่างกายยังไม่สมบูรณ์ดีนัก
“อย่าหนีนาเลยนะพี่รินทร์ กลับไปกับพวกเราเถอะ เรื่องทั้งหมดพี่เข้าใจผิดนะ พี่พายุไม่ได้…” นารินทร์พูดยังไม่ทันจบวารินทร์ก็จ้องตาของทั้งสามคนทำให้เกิดภาพหลอนขึ้นก่อนจะรีบแกะมือออกจากการจับกุมของวายุแล้วหนีไปอีกทางทันที พายุที่แอบมองเหตุการณ์อยู่ก็แอบตามวารินทร์ไปอย่างเงียบเชียบที่สุดจนกระทั่งวารินทร์นำมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่มีทางเข้าค่อนข้างแคบและอาจจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำหากไม่สังเกตดีๆ
“มาอยู่ที่นี่เองสินะ” พายุเดินตามวารินทร์เข้าไปในถ้ำ โดยที่วารินทร์ไม่ทันรู้ตัวเพราะความเจ็บปวดกำลังเล่นงานวารินทร์อย่างหนักจึงไม่ได้ระวังตัวมากเท่าที่ควร จนกระทั่งมาถึงที่ๆวารินทร์ทำเป็นที่พักอาศัย บรรยากาศภายในถ้ำค่อนข้างปลอดโปร่งถึงจะดูมืดทึบไปหน่อยแต่อากาศก็สดชื่น แถมยังมีลำธารไหลผ่านอีกต่างหาก
“อึก…อื้อ…อ๊า” ร่างของวารินทร์ทรุดลงกับพื้นพร้อมกับมือที่ประคองท้องของตัวเองเอาไว้ ทำให้พายุที่ยืนมองอยู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ถลาเข้าไปประคองวารินทร์ด้วยความเป็นห่วง
“คะ…คุณ” วารินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงทำให้ไม่สามารถขัดขืนพายุได้
“ทำใจดีๆไว้นะ วารินทร์” พายุพูดปลอบวารินทร์ก่อนจะพยายามอุ้มวารินทร์ขึ้น แต่วารินทร์ก็ไม่ยอมง่ายๆ ดิ้นจนหลุดออกจากการประคองของพายุแล้วไปคว้าห่อผ้าขนาดกลางมากอดไว้แน่น พายุเห็นดังนั้นจึงอุ้มทั้งคนทั้งห่อผ้าแล้วเดินออกมาจากถ้ำนั้นทันที
“พี่รินทร์!!! พี่พายุ!!! พี่รินทร์เป็นอะไรครับ” นารินทร์ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน พร้อมๆกับพี่ดำที่เข้าประชิดตัวเพื่อดูอาการของวารินทร์ทันที
“รีบพาวารินทร์กลับไปที่บ้านเถอะ” พี่ดำพูดจบพายุก็แทบจะบินถลาแทนเดินกลับไปที่รถ เมื่อมาถึงรถพายุก็วางร่างของวารินทร์ด้านข้างคนขับอย่างทะนุถนอมก่อนจะออกรถทันทีโดยไม่สนใจพวกวายุที่ตามหลังมาติดๆ รถหรูราคาแพงของพายุและวายุในตอนนี้แทบจะกลายเป็นรถแข่งบนทางหลวงที่ชอบก่อความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด ขอเพียงแค่ตอนนี้ให้ถึงบ้านอย่างอย่างเร็วที่สุดก็พอแล้ว
“พายุลูกไปไหนมาล่ะ แล้วนั่น…วารินทร์!!!” สุดาเผลออุทานเสียงลั่นเมื่อเห็นลูกชายของตนอุ้มร่างของใครอีกคนที่ไร้สติเข้ามาในบ้านอย่างเร่งรีบก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองอย่างว่องไว
“แม่!!! พี่พายุล่ะ” สุดาที่พูดไม่ออกได้แต่ชี้มือขึ้นไปบนห้อง ทั้งสามคนที่ตามมาที่หลังก็วิ่งตามกันขึ้นไปติดๆ สุดากับสุพจน์เห็นตามนั้นก็วิ่งตามขึ้นมาอย่างงงๆ แต่ดูเหมือนว่าพวกเค้าจะเข้าไปในห้องไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าวารินทร์จะได้สติขึ้นมาแล้วและกำลังมีปากเสียงกับพายุอย่างดุเดือด
“อย่ามายุ่งกับฉันออกไปนะ!!!” เสียงของวารินทร์เล็ดรอดออกมาทำเอาคนที่อยู่หน้าห้องทั้งหมดหยุดชะงักและตั้งใจฟังบทสนทนาของวารินทร์และพายุ
“ไม่ยุ่งไม่ได้คุณเป็นเมียผมนะ!!!”
“ฉันไม่ใช่เมียคุณ!!!...นี่ปล่อยนะ ไม่งั้นคราวนี้ฉันฆ่าคุณจริงๆแน่!!!” สุดาแทบเข่าอ่อนแต่ก็ยังมีสุพจน์ประคองไว้ด้านหลังพร้อมกับพูดปลอบเบาๆ
“หึ…คุณไม่ทำหรอก เพราะถ้าคุณจะทำจริงๆ ผมตายไปนานแล้ว คุณคงไม่ลงทุนดูดพิษกลับเข้าตัวเองจนสภาพคุณแย่ขนาดนี้หรอก” วารินทร์สะอึกกับคำพูดของพายุพร้อมกับคำถามในใจ…พายุรู้ได้ยังไงว่าเค้าทำอย่างนั้น
“พูดไม่ออกเลยสิ…ผมรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว จากนารินทร์น้องชายของคุณไง ความจริงก็ต้องขอบคุณเค้านะที่มีพลังพิเศษแบบนั้น”
“ปล่อยฉันนะ!!! ฉันบอกให้ปล่อยไง!!!” วารินทร์พยายามดิ้นภายในอ้อมกอดของพายุแต่ก็ยังคงกอดห่อผ้าเอาไว้แน่น พายุที่สังเกตเห็นอย่างนั้นก็แย่งห่อผ้านั้นมาจากวารินทร์
“นี่อย่าแกะมันออกนะ อย่ายุ่งกับของๆฉัน!!!”
“คุณจะหวงทำไม ของๆคุณมันก็เหมือนของผมนั่นแหละ” พายุจับมือทั้งสองข้างของวารินทร์กดไว้กับเตียงก่อนกระตุกห่อผ้าอย่างแรงจนของที่อยู่ข้างในกระจายออกมา
“นี่มันอะไรกันน่ะ” พายุหยิบสิ่งของนั้นขึ้นมาดูทีละชิ้นอย่างบรรจงก่อนจะเริ่มคิ้วขมวดแล้วจ้องวารินทร์เขม็ง
“คุณจะอธิบายให้ผมฟังไหม” วารินทร์หันหน้าหนีพายุทันที
“ก็ดี เพราะผมก็ไม่มีทางเลือกมากนักหรอก” พูดจบพายุก็จูบวารินทร์อย่างรวดเร็วก่อนจะถกเสื้อของวารินทร์ขึ้นแล้วเอาใบหน้าแนบไปกับหน้าท้องของวารินทร์ ส่วนวารินทร์เองก็ไม่ยอมง่ายๆดิ้นไปมาจนกระทั่งความเจ็บระลอกใหม่ถาโถมเข้าใส่วารินทร์อีกครั้ง ร่างบางจึงได้ยอมสงบนิ่งให้พายุพิสูจน์บางอย่างๆไม่เต็มใจนัก
“วารินทร์!!! นี่คุณ…”
“บอกให้ปล่อยไงเล่า!!! โอ้ยยยยย!!!” วารินทร์พุ่งเข้ากัดคอของพายุอย่างแรงด้วยเขี้ยวของงูใหญ่จนทำให้พายุเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด แต่มือของพายุก็ยังไม่ยอมปล่อยวารินทร์
“ต่อให้ผมต้องตายผมก็จะไม่ปล่อยคุณไปอีก…ผมจะไม่ยอมผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง…เหมือนชาติที่แล้ว” เลือดอุ่นๆในกายของพายุค่อยๆไหลออกมาจากปากของวารินทร์ที่ยังคงกัดคอของพายุคาเอาไว้
“ถ้าผมจะตาย…ก็ขอตายด้วยมือคุณ” วารินทร์ค่อยๆผละออกจากคอของพายุแล้วนอนนิ่งอย่างไม่ไหวติงโดยมีพายุจ้องหน้าอย่างไม่ลดละ
“ตอบผมมาคำเดียว”
“…”
“คุณท้องใช่ไหมวารินทร์”
ปล. ว้าวววววววววววววว เอ๊ะ อะไรยังไง????
