ตอนที่ 10
ชนกานต์ต้องทนข่มความอายเรื่องที่เขาเกือบถูกโรคจิตปล้ำในห้องน้ำร้านอาหารไปเป็นเดือน กระทั่งได้ถอดเฝือกออก ความอับอายตอนนั้นก็เหมือนถูกยกออกไปด้วย ชนกานต์แสนดีใจที่ได้ถอดเฝือกออก เพราะนอกจากมันจะเป็นเหมือนเป็นตัวประกาศเรื่องที่เขาเกือบถูกโรคจิตปล้ำนั่นแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ปวีร์เอามาใช้เป็นข้ออ้างในการมารับมาส่งหรือไม่ก็แวะค้างที่ห้องของเขาอยู่ทุกวัน
ชนกานต์ไม่ชอบใจความรู้สึกของตัวเองที่เริ่มชินกับการที่มีปวีร์เข้ามาก้าวก่ายชีวิตตัวเอง มีปวีร์คอยทำนู่นทำนี่ดูแลอยู่ตลอดเวลา
ลึกๆก็ไม่อยากยอมรับกับตัวเองนักว่ากำลังกลัวว่าจะเคยชินจนขาดผู้ชายที่แสนจะเกลียดขี้หน้าคนนี้ไม่ได้
วันนี้ชนกานต์เลยตั้งใจจะคุยเปิดอกกับปวีร์เสียทีว่ารู้สึกอึดอัดแค่ไหน เผื่อการคุยกันดีๆ ปวีร์จะรับฟังขึ้นมาบ้าง บางทีอาจต้องเอาเจ้าตัวเล็กในท้องมาเป็นข้ออ้าง เพื่อที่ปวีร์จะได้รู้ตัวว่าควรเว้นระยะห่างให้เขา ไม่ใช่ทำอย่างเช่นทุกวันนี้
“นี่..ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ชุดนอนของคุณหายไป”
“เอ๋?” ชนกานต์ทำหน้างงที่ปวีร์พูดสวนมา
“มันก็ต้องอยู่ในตะกร้าสิ ก็ฉันถอดแล้วโยนใส่ตะกร้าไป เรื่องนั้นช่างมันเหอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
แต่ดูเหมือนปวีร์จะยังคงใส่ใจกับเสื้อผ้าที่หายไปมากกว่า
“ของในห้องนอนก็ดูเหมือนถูกขยับไปอยู่หลายชิ้นนะ”
“อะไรของนายกัน?” ชนกานต์ขมวดคิ้วก่อนเดินเข้าไปดูในห้องนอน ข้าวของในห้องก็ดูเหมือนเดิม เว้นแต่เพียงเสื้อผ้าในตะกร้าที่อยู่ข้างตู้มันหายไปอย่างที่ปวีร์ว่า
“นายแน่ใจนะว่าก่อนออกจากห้องไปเมื่อเช้า ไม่ได้เอาเสื้อผ้าไปเข้าเครื่องซักน่ะ?”
“ผมกะจะมาซักคืนนี้”
ทั้งสองคนมองสบตากัน รู้สึกผิดปกติ
ชนกานต์เดินไปที่ลิ้นชักแล้วไขกุญแจเปิดดูข้าวของสำคัญ ก็ยังอยู่ครบ ปวีร์เดินออกไปดูประตูหน้าห้องก็ไม่มีรอยงัดแงะ
“หายไปแค่เสื้อชุดเดียว คงไม่ใช่พวกตีนแมวหรอก อีกอย่าง..ไม่น่าจะเข้ามาขโมยได้นะ”
ชนกานต์ที่เดินตามออกมาพูด หันมองไปที่กล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงระเบียงหน้าห้องแล้วก็รู้ดีว่าที่คอนโดของตัวเองนี้มียามรักษาความปลอดภัยคอยจับตาดูอยู่ยี่สิบสี่ชั่วโมง และที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาเรื่องขโมยเลยสักครั้ง
“แต่เสื้อมันจะหายไปได้ยังไงกัน”
ปวีร์แย้งอย่างติดใจสงสัย ชนกานต์ยักไหล่แล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง พอเห็นปวีร์ไม่เดินตามมาก็หยุดแล้วเรียกอีกครั้ง
“เข้ามาได้แล้ว ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”
เห็นน้ำเสียงจริงจังของชนกานต์ที่เอ่ยเรียก ปวีร์เลยยอมโยนความสงสัยทิ้งไปแล้วเดินตามเข้ามาในห้อง
“จะพูดเรื่องอะไร?”
ชนกานต์เหลือบตามองผู้ชายตรงหน้า คนๆนี้คือพ่อของลูกในท้องถึงไม่อยากยอมรับก็ตามที
แต่ถ้าไม่ตัดสินใจพูดอะไรสักอย่าง
ความอึดอัดมันคงแน่นอยู่ในอกจนระเบิดออกสักวัน
“พูดตามตรงเลยก็แล้วกัน...ฉันอึดอัดใจ ฉันไม่อยากให้นายเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันมากเกินไป”
ปวีร์นิ่งไปก่อนจะเลิกคิ้ว
“คุณจะบอกว่าคุณไม่ชอบใจที่ผมเข้ามาคอยดูแลคุณกับลูกแบบนี้น่ะหรอ?”
“ใช่ ฉันดูแลตัวเองกับลูกได้ ไม่จำเป็นต้องมีนายมาคอยยุ่งวุ่นวาย”
สีหน้าของชนกานต์จริงจัง ปวีร์ยังคงเลิกคิ้วมองชนกานต์อย่างประเมินก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก
“โอเค..ดูแลลูกผมให้ดีก็แล้วกัน”
ปวีร์บอกแล้วล้วงเอากุญแจห้องของชนกานต์มาวางคืนก่อนเดินออกจากห้องไป ทำเอาชนกานต์ถึงกับงงว่าทำไมปวีร์ถึงยอมเดินออกจากห้องไปได้โดยง่ายแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาปวีร์จัดได้ว่าเป็นพวกช่างตื้อเลยทีเดียว
ส่วนคนที่เดินออกไปนั้นหยุดยืนอยู่หน้าห้อง รอยยิ้มยังคงระบายอยู่บนใบหน้า ปวีร์คิดว่าคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากไปว่าการที่ชนกานต์เอ่ยปากไล่เขาไม่ให้เข้ามายุ่งวุ่นวายแบบนี้ ก็เป็นเพราะตัวชนกานต์เองกำลังใจอ่อนกับเขาแน่ๆ เขาเลยไม่ตื้อให้ชนกานต์รำคาญใจ
สิ่งที่ตอนนี้เขาจะทำ..
ก็คือรอให้ชนกานต์เรียกหาเขาเอง
ส่วนชนกานต์เมื่ออยู่ตามลำพังก็ได้แต่นิ่งคิด ข้างในใจไม่ได้รู้สึกสบายขึ้นหรือมีความสุขอย่างที่หวัง
การที่ปวีร์ยอมทำตามความต้องการของเขาง่ายๆมันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าปวีร์เองก็เบื่อหน่ายที่ต้องดูแลเขาหรือเปล่า ที่ผ่านมาคงทำเพราะลูก สบโอกาสเขาไล่ก็เลยรีบติดปีกหนีกันแบบนี้
“คนอย่างนายมันน่าโมโหชะมัด!”
ชนกานต์พึมพำอย่างหัวเสียก่อนกระแทกเท้าเดินกลับเข้ามานั่งโซฟา สายตาเหลือบเห็นกองหนังสือเกี่ยวกับลูกแล้วก็ต้องสะบัดหน้าหนี
เขาควรดีใจสิที่ได้โลกส่วนตัวกลับคืนมาง่ายๆ
ไม่ใช่มานั่งหงุดหงิดแบบนี้!
ความหงุดหงิดรำคาญใจของชนกานต์ยังคงต่อเนื่องไปจนผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ปวีร์ยังคงเว้นระยะห่างตามที่เขาขอได้อย่างดีเยี่ยมและบางทีก็ไม่ได้แค่ดูว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างเท่านั้น แต่เหมือนกับการถูกเมินเสียมากกว่า
ใช่...ปวีร์กำลังจงใจเมินใส่เขา
ชนกานต์นึกอย่างหงุดหงิดใจระหว่างที่นั่งฟังประชุมพรีเซ้นส์
ปวีร์ที่กำลังยืนพรีเซ้นส์อยู่หน้าห้องนั้นไม่ยอมมองมาที่เขาเลยแม้แต่น้อย ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยตั้งแต่เริ่มพรีเซ้นส์จนกระทั่งเสร็จ
แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างเขาจะง้อ ก็บอกได้เลยว่าคิดผิด
แค่ลูกคนเดียว เขาเลี้ยงได้ และเลี้ยงได้ดีโดยที่ไม่ต้องมีปวีร์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตด้วยแน่!
ชนกานต์คิดแล้วเดินกระแทกเท้าผ่านหน้าปวีร์ไป คนถูกเมินใส่กลับบ้างเริ่มกระวนกระวาย ชนกานต์ไม่รู้หรอกว่าปวีร์เองนั้นใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ที่จะไม่เข้าไป‘ตื้อ’อย่างที่เขาต้องการ
ยากชะมัด...
ปวีร์รำพึงในใจขณะห้ามไม่ให้ตัวเองเข้าไปหาชนกานต์ นี่มันแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น คนใจแข็งอย่างชนกานต์คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก
แต่บางที..ก็คงไม่มีโอกาสที่ชนกานต์จะใจอ่อน..
ปวีร์รู้ดีถึงความเสี่ยงในข้อนี้ รู้ดีว่าตัวเองทำเรื่องเลวๆกับชนกานต์เพราะความคึกคะนองไปมากแค่ไหน
เขาควรจะทำอย่างไร...ให้ชนกานต์ใจอ่อนกันนะ?
ความคิดนี้ลอยวนมาทุกครั้งที่ปวีร์ล้มตัวลงนอนบนเตียง เตียงที่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้มีชนกานต์กับลูกมานอนด้วยกัน
ทว่าไม่รู้ว่าฝัน...จะเป็นได้เพียงแค่ฝัน
หรือจะได้เป็น...
ความจริง
“อยากย้ายไหมล่ะ? พอดีเลย มาทำงานกับพี่สิ ช่วงนี้สาขาที่ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนคนอยู่ กานต์เป็นภาษาญี่ปุ่นนี่ ไปทำงานที่นู่นดีไหมล่ะ?”
ดนัยเอ่ยขึ้นหลังจากชนกานต์โทรไปปรับทุกข์เรื่องของหายให้ฟัง
ข้อเสนอของดนัยทำให้ชนกานต์ชะงัก ใบหน้าดูสดใสขึ้น เขาเองก็เคยคิดเรื่องเปลี่ยนงานใหม่อยู่ตอนช่วงที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้องตอนช่วงแรกๆ แต่ก็ไม่ได้หางานเป็นจริงเป็นจังเพราะปวีร์เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิต
ถ้าได้งานใหม่ตอนนี้ก็น่าสน เขาจะได้ย้ายหนีจากปวีร์ ไม่ต้องทนอยู่กับการถูกซุบซิบนินทาว่าเขาป่องกับใครที่มันคงเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าตอนที่ท้องเขาจะเห็นชัดแน่ๆ
อีกอย่าง..โปรเจคก็เสร็จไปแล้ว งานที่มีตอนนี้ก็ยังไม่สำคัญมาก ถ้าเขาลาออกตอนนี้ บริษัทก็ไม่เดือดร้อน
“แล้วถ้าไปญี่ปุ่น ผมจะได้ตำแหน่งอะไรล่ะ?”
ชนกานต์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความสนใจก่อนเริ่มซักถามขอบเขตและหน้าที่ของตำแหน่งงานนั้น
ชนกานต์คุยกับดนัยเป็นชั่วโมง ก่อนที่จะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
“ตกลง ผมรับงานนี้ พร้อมเริ่มงานเลยสิ้นเดือนนี้”
ดวงตาของชนกานต์พราวระยับขณะทอดสายตามองดูปฏิทินที่เหลือเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็จะหมดเดือน
เขาจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกในท้องเพียงลำพัง!
ตัดสินใจแล้ว ชนกานต์ก็ไปยื่นใบลาออกกับฝ่ายบุคคล แน่นอนว่าเมื่อเรื่องถึงหูของหัวหน้า การลาออกของชนกานต์ย่อมถูกคัดค้าน
“คุณมีปัญหาอะไรหรอชนกานต์? คุณกำลังจะได้เลื่อนขั้นนะ”
วูบหนึ่งที่ชนกานต์นึกเสียดาย ผลตอบแทนที่เขาทุ่มเทให้บริษัทนี้กำลังสัมฤทธิ์ผล แต่เขากลับชิงลาออกก่อนจะได้มันมา
“ผม..มีความจำเป็นส่วนตัวน่ะครับ นึกเสียใจอยู่เหมือนกัน”
คนเป็นหัวหน้าจ้องเขาอยู่พักหนึ่งก่อนถอนหายใจยาว รู้ดีว่าถ้าเขาไม่ยอมพูดเอง ให้ซักไซ้เท่าไหร่ก็คงไม่ได้คำตอบ
“อืม..ก็หวังว่าเราจะได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งนะ คุณเป็นคนที่เก่งมาก ยังไงถ้าหมดความจำเป็นส่วนตัวอะไรนั่นแล้ว อยากกลับมาทำงานที่นี่ เรายินดีต้อนรับเสมอนะ”
“ขอบคุณมากครับ” ชนกานต์ค้อมศีรษะให้พร้อมรอยยิ้ม ดีใจที่มีคนเห็นคุณค่าตนเอง
ด้วยระยะเวลาอันแสนสั้นที่มีทำให้ชนกานต์ต้องเร่งรีบเก็บข้าวของในห้อง ข้างที่มีอยู่ในห้องก็ไม่ได้มากมายอะไร ชนกานต์เลือกเก็บเฉพาะของใช้จำเป็นไปเท่านั้น
“ของพวกนี้...” ชนกานต์ครางเสียงเบาขณะดึงถุงเสื้อผ้าเด็กที่ปวีร์ซื้อมาคราวนั้นออกมาจากตู้
เสื้อตัวน้อยที่ลูกต้องใช้มันพาให้ชนกานต์ลำบากใจ จะเอาไปด้วยก็กลัวจะทำให้คอยนึกถึงปวีร์เวลาเห็นลูกสวม แต่จะทิ้งเอาไว้..ภาพที่ปวีร์ยิ้มแย้มดีใจตอนซื้อมันก็ทำให้รู้สึกผิด
“เฮ้อ...” ชนกานต์ถอนหายใจ วางถุงนั้นไว้ข้างๆกระเป๋าเดินทางที่ยังคงเปิดอยู่ เอาไว้ค่อยตัดสินใจตอนวันที่จะไปอีกครั้ง
“ไปอาบน้ำกันดีกว่าเนอะ” ชนกานต์คุยกับลูกพร้อมกับลูบท้องเบาๆก่อนเดินไปยังห้องน้ำ
ในเวลาเดียวกันนั้น ข่าวเรื่องที่ชนกานต์ลาออกจากบริษัทก็เข้ามาถึงหูปวีร์ระหว่างที่นั่งดื่มเหล้าอยู่กับพัสกรที่ร้านอาหาร
“อะไรนะ!? ชนกานต์..เอ่อ..หัวหน้ากานต์ลาออกอย่างนั้นหรอ?”
“อือ อะไรวะ อยู่แผนกเดียวกันกับรู้เรื่องช้ากว่าคนนอกแผนกอย่างกูอีกหรอ?” พัสกรแซวแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ปวีร์ตีหน้าบึ้งใส่เพื่อน
“กูออกไปหาลูกค้ามา ไม่ได้อยู่บริษัทจะรู้ได้ไง”
ปวีร์บอกเสียงกรุ่น นึกถึงเหตุผลที่ชนกานต์ลาออกแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไร
แต่เขาจะยอมให้ชนกานต์พาลูกหนีไปจากเขาไม่ได้เด็ดขาด!
“โตขึ้นแล้วสินะ”
ชนกานต์เอ่ยยิ้มๆเมื่อสังเกตได้ว่าท้องของตัวเองนูนขึ้นมาบ้างแล้ว อีกไม่นานก็คงเห็นชัด เขาลูบฟองสบู่เบาๆที่ท้องนานเป็นพิเศษ ดั่งต้องการให้ไออุ่นจากฝ่ามือส่งไปถึงเจ้าตัวเล็กที่ยังคงเป็นก้อนเลือด
กว่าจะอาบน้ำเสร็จ ชนกานต์ก็คิดว่ามันคงเลยเวลาสี่ทุ่มมาแล้ว เขายกมือปิดปากหาว คิดว่าจะไปเก็บของอีกสักนิดแล้วเข้านอน
พรึ่บ!
อยู่ดีๆไฟในห้องน้ำก็ดับ ชนกานต์ขมวดคิ้วมุ่น คลำหาทางออกมาจากห้องน้ำ แต่พอเปิดประตูห้องน้ำออกไปก็ชะงักเพราะห้องนอนที่เปิดไฟไว้ก็ดับเช่นกัน
ไฟดับหรอนี่?
ชนกานต์คิดในใจ จะเดินไปหยิบมือถือมาส่องแทนไฟฉายก็ชะงัก เพราะเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ตรงปลายเตียง ชนกานต์ถอยหลังจะหนีกลับเข้าไปในห้องน้ำ เจ้าของเงาปริศนานั้นปราดเข้ามากระชากร่างเขาและลากไปที่เตียง ชนกานต์ขืนตัวเองไว้ พยายามเตะและต่อยคนร้ายอย่างเต็มแรง แต่ก็ถูกกดลงกับเตียง กลิ่นเบียร์และกลิ่นบุหรี่ฉุนกึกโชยเข้าจมูกให้พะอืดพะอม
“จะหนีผมไปไหนครับคนสวย..” น้ำเสียงที่พูดข้างหูยามกดหน้าลงมาไซ้คอทำเอาชนกานต์ขนลุก
มันคือผู้ชายที่จะปล้ำเขาที่ร้านอาหารวันนั้น!
“แก! แกเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง!!”
“อยากรู้หรอครับ?..ผมไม่บอกคุณหรอก มันเสียเวลา”
ชนกานต์ทำหน้าขยะแขยง มือของผู้ชายคนนี้ลูบไปทั่วร่างของเขา
มันทาบทับลงมาเต็มกาย ชนกานต์พยายามยกขาขึ้นถีบแต่ก็ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ มันจับสองมือเขาตรึงไว้กับเตียง เพียงพริบตาที่ชนกานต์คิดหาทางเอาตัวรอด บางอย่างก็วูบเฉียดแก้มเขาไป
“ถ้าไม่อยากเสียโฉมก็หยุดดิ้นแล้วอ้าขาให้ผมเสียดีๆ!”
มันตะคอกใส่เขา กลิ่นลมหายใจเหม็นเปรี้ยวเข้าปะทะใบหน้า ชนกานต์อยากสำรอกแต่ไม่กล้าขยับ คนร้ายกดมีดขู่อยู่กับแก้มของเขา
ชนกานต์เบือนหน้าหนี แกล้งนิ่งยอมให้มันแตะต้องร่างกายทั้งที่ขยะแขยงเต็มทน มันซุกไซ้ไล่จูบต่ำลงไป มือกระชากเสื้อนอนจนหลุดและลามไปจะถอดกางเกง
ชนกานต์ข่มใจที่กลัว รวบรวมแรงไว้ระหว่างที่รอให้มันเผลอ หาจังหวะระหว่างที่ไอ้โรคจิตกำลังเพลินกับการพร่ำเพ้อว่ามันหลงรักเขาตอนเดินผ่านกันในตึกนี้และตัดพ้อที่เขาเอาผู้ชายเข้ามานอนกอดในห้องเพื่อถีบมันออกไป
“คุณไม่เคยสนใจผม แล้วยังเอาไอ้ผู้ชายคนนั้นมานอนกกนอนกอดอีก คุณทำกับผมแบบนี้ได้ยังไงกัน”
มันถาม เสียงคล้ายคนคลุ้มคลั่ง แต่มือที่ถือมีดอยู่มันขยับออกห่าง ในช่วงที่มันยันกายขึ้น ชนกานต์ได้ยินเสียงมันปลดเข็มขัด
ผลั่ก!!!
ชนกานต์งอขาแล้วถีบมันเต็มแรงก่อนรีบลุกจากเตียงวิ่งไปทางประตูทันที ไอ้โรคจิตล้มหงายกระแทกพื้น มันรีบตะกายลุกวิ่งตามชนกานต์มา และจับตัวชนกานต์ไว้ได้ก่อนที่จะวิ่งออกไปข้างนอกระเบียง
“ถีบกูหรอ” มันตวาดใส่ สองมือบีบเข้าที่คอเรียว ท่าทางโกรธจัดจนหน้าแดงไปหมด ชนกานต์เห็นตาลอยๆของมันก็รู้สึกผวา พยายามดิ้นสุดแรง สองมือตะกุยมือมันที่บีบคอตัวเองจนหายใจไม่ออก
“อึ่ก..ชะ ช่วย ช่วยด้วย!!”
ชนกานต์ร้องขอความช่วยเหลือ น้ำตาไหลออกมาด้วยความกลัว สองขาออกแรงถีบไปทั่วหวังจะให้คนข้างห้องได้ยินเสียงโครมครามแล้วเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นมาดู
“ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอกครับ คืนนี้..คุณต้องเป็นเมียของผม”
ใบหน้าของมันที่แสยะยิ้มเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ ชนกานต์หลับตาปี๋ ภาวนาให้ใครสักคนมาช่วยเขาที!
กว่าจะดื่มกับพัสกรเสร็จ ใจของปวีร์ก็รุ่มร้อนราวกับไฟ
เขารีบบึ่งรถไปยังคอนโดของชนกานต์ทันที ถึงแล้วก็หยิบเอากุญแจห้องของชนกานต์ที่แอบไปทำสำรองมาถือไว้แล้วก้าวไวๆขึ้นลิฟต์ไป
นึกคำพูดไปตลอดทางที่เดิน แต่พอใกล้ถึงห้องของชนกานต์ก็ชะงัก เพราะตรงระเบียงห้องมีคนยืนมุงอยู่จำนวนหนึ่ง
“มีอะไรหรอครับ?” เขาเดินไปถาม ยังไม่ทันจะได้คำตอบก็มีเสียงดังมาจากในห้อง
โครม!!
เขาสะดุ้งแล้วเบิกตากว้าง ใจหล่นวูบเมื่อนึกถึงเจ้าของห้อง
“คุณกานต์!!?”
ปวีร์รีบปราดไปไขกุญแจแล้วเปิดเข้าไปทันที ในห้องชนกานต์กำลังดิ้นรนต่อสู้กับผู้ชายที่เขาไม่เห็นหน้า มันไม่สนใจแม้แต่น้อยที่เขาเปิดประตูเข้ามา
“ไอ้ระยำ!” ปวีร์ตวาดเสียงดัง วิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อมันแล้วเหวี่ยงออกจากชนกานต์ คนร้ายกระเด็นไปกระแทกชั้นวางของจนแจกันตกลงมาแตกข้างๆ
“มึงนี่เอง! มึงคิดจะทำอะไรเมียกู!”
ทันทีที่เห็นหน้า ปวีร์ก็จำมันได้ เขาปราดเข้าไปหามัน มันแสยะยิ้มใส่แล้วยกมีดพับที่ล้วงจากกางเกงขึ้นมาขู่ ปวีร์หยุดกึก มองมันด้วยแววตาโกรธจัด
ชนกานต์ลุกขึ้นมาอย่างลำบาก เสียงไอค่อกแค่กเรียกความเป็นห่วงจากปวีร์ที่เดินเอาตัวมาบังไว้ ชนกานต์จับแขนปวีร์ไว้แน่น นึกขอบคุณเหลือเกินที่ปวีร์มาทัน ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกไอ้โรคจิตคนนี้ข่มขืนหรือไม่ก็ฆ่าตายแน่ๆ
“กูก็จะจับเมียมึงทำเมียบ้างไง”
คำพูดของมันทำเอาปวีร์เดือดดาล พุ่งเข้าหามันอย่างไม่กลัวมีด
“ไอ้ระยำ!” ปวีร์ตะคอกแล้วเบี่ยงตัวหลบมีดมัน หมัดสวนต่อยไปเฉี่ยวแก้มมันเสียงดังพลั่ก! แต่ไม่หนักพอจะล้มมันได้ ปวีร์หันมาอีกครั้งแล้วเตะขาไปขัดขามันอย่างว่องไว มันเซถลาล้มไปทางชนกานต์ เคราะห์ดีที่ชนกานต์ถอยหนีทัน พ้นระยะมีดของมันไปหวุดหวิด
“เกิดอะไรขึ้นครับ!!?”
เสียงของคนที่ดังเข้ามาขัดจังหวะทำให้คนร้ายหันไปมอง รปภ.ที่ได้รับแจ้งจากคนข้างห้องที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่กรูกันเข้ามา
“มานี่!!”
คนร้ายมันโผไปคว้าแขนชนกานต์ไว้ ชนกานต์ยกขายันถีบมันจนมีดกระเด็น แต่โชคไม่ดีเพราะมันกระเด็นไปเฉี่ยวโดนต้นแขนของปวีร์
“โอ้ย!”
“ปวีร์!”
ชนกานต์ร้องเรียกชื่อปวีร์อย่างตกใจ ไอ้โรคจิตคว้าแขนได้อีกครั้งก็ลากไปทางห้องนอน ชนกานต์ขืนตัวไว้ด้วยการจับกรอบประตูไว้แน่น
“ปล่อยสิเว้ย!!” มันตวาดใส่ ปวีร์และรปภ.คืบเข้าไปใกล้ด้วยความระวัง ชนกานต์ถีบขาใส่มันอีกครั้งจนมันกระเด็นล้มไปในห้องนอนก่อนรีบฉวยโอกาสวิ่งไปหาปวีร์
“คุณกานต์!”
ปวีร์กางแขนกอดชนกานต์ไว้แน่น ใจหายนึกว่าจะต้องเสียชนกานต์ไปเสียแล้ว ส่วนรปภ.ตามคนร้ายเข้าไปข้างในห้อง เสียงเอะอะดังออกมาถึงนอกระเบียง
(ต่อ)