(ต่อ)
แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้ดังปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ทั้งที่รู้สึกหัวหนักๆ ปวดหนึบๆ แต่ก็ต้องฝืนกดรับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะบางทีอาจจะเป็นแม่หรือน้องสาวผมโทรมาก็ได้
“บันนี่”ดูเหมือนจะไม่ใช่ญาติฝ่ายไหนของผมทั้งนั้น เพราะคนที่เรียกผมด้วยชื่อนี้มีอยู่แค่คนเดียว
“เมโล่?” ความคิดผมได้รับการยืนยันความถูกต้องโดยชื่อที่โชว์หน้าจอ
แน่นอนว่ามันทำให้ผมแปลกใจ ผมไม่ได้ติดต่อกับหมอนั่นเลยตั้งแต่ปิดเทอม เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องทำแบบนั้น ผมสนิทกับไอ แต่ไม่ได้สนิทกับแมวยักษ์ต่างดาวนั่นด้วย ถึงพักหลังๆ หมอนั่นจะชอบมาป้วนเปี้ยนรอบตัวผม แต่เราก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก
“ช่ายยย เค้าเอง ไออยู่ที่บ้านบันนี่เปล่า?”
“เอ๊ะ?” ผมเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนมีไอมาค้างด้วย เลยรีบผุดลุกขึ้นนั่ง หันมองหา แล้วก็ต้องใจหายเพราะตรงที่ที่ให้ไอนอนตอนนี้มีเพียงแค่ผ้าห่มที่ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อย
“เมื่อคืนไอไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่หอ เลยสงสัยว่าไปอยู่บ้านบันนี่เปล่า?” เมโล่พูดต่อจังหวะเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงกดชักโครกดังมาจากห้องน้ำพอดี
ผมหันไปมองประตูห้องน้ำ แล้วถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าอีกคนยังไม่ได้ไปไหน
“อื้อ อยู่”
“งั้นเดี๋ยวเค้าไปรับไอนะ ช่วยบอกทางไปบ้านบันนี่ทีสิ”
“เอ๊ะ อ้อ โอเค..” ผมบอกทางให้ตามที่ทางนั้นขอ ทั้งที่อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมต้องมารับ?
“แล้วเจอกันนะ” พอได้ข้อมูลที่ต้องการ หมอนั่นก็วางสายไป
ไอออกมาจากห้องน้ำพอดี ดูท่าทางจะอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยแล้วด้วย ไอส่งยิ้มเป็นเชิงทักทาย ผมจึงทำแบบเดียวกันตอบกลับไป
“ตื่นเช้าจัง”
“สงสัยแปลกที่มั้ง.. เดี๋ยวนะ” ไอยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามผมที่กำลังจะลุกออกจากเตียง เขาค้นหามือถืออยู่สักพักก็ยกมันขึ้นมาถ่ายรูปผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“เฮ้” ผมร้องประท้วงที่ถูกเก็บภาพในสภาพยับยู่ยี่หลังตื่นนอน ยื่นมือหวังจะไปคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องนั้นมากดลบภาพซะ แต่เจ้าของก็รีบกระโดดถอยห่างและซ่อนมันเอาไว้ข้างหลังให้พ้นมือผม
“ฮ่ะๆๆ จะเอาไปให้พวกสาวๆ ดู เผื่อจะเปลี่ยนใจหันมาเป็นแฟนคลับเราบ้าง”
“แฟนคลับไอมีตั้งเยอะ เหลือไว้ให้เราบ้างเถอะ” ผมลุกตามไป ยังไม่ละความพยายามที่จะกำจัดภาพนั้นทิ้ง
“ใครบอก เพื่อนผู้หญิงกลุ่มเราเป็นแฟนคลับคุณชายทั้งนั้นแหล่ะ”
ผมตามคว้าทางซ้าย ไอเบี่ยงตัวหลบทางขวา พอผมตามคว้าทางขวา ไอก็เบี่ยงหลบอีก ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมจับโทรศัพท์ไอไว้ด้วยมือทั้งสองข้างทั้งที่เจ้าของเขาก็ยังไม่ปล่อยมือ
แบบนี้มันก็เหมือนผมกำลังกอดไออยู่เลยน่ะสิ?
“โทษที..” ผมปล่อยมือและยอมถอยออกมาก่อน
!.. แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าต้นคือไว้ แล้วดึงกลับไปให้หน้าผากแนบกัน
“ตัวร้อน มีไข้นี่นา” ไอรายงานหลังใช้วิธีวัดอุณหภูมิที่ทำเอาผมเกือบหัวใจวาย
“เพราะไอตัวเย็นหรอก” ผมค่อยๆ ผละห่างออกมาอย่างไม่ให้น่าเกลียด “เพิ่งอาบน้ำมานี่นา”
“ไม่ นายตัวร้อน เรารู้สึกได้ถึงไอร้อนจากตัวนายเลย” อีกคนยืนกราน ขยับจะเข้ามา แต่ผมยกมือห้ามไว้ แล้วเบี่ยงตัวเดินไปทางห้องน้ำ
“ธรรมดาของหนุ่มฮอตน่ะ” ผมหันกลับไปยักคิ้ว คนฟังดูอึ้งไป ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา
“ไอลงไปรอข้างล่างก่อนนะ เราอาบน้ำแป๊บ เดี๋ยวลงไปทำอะไรให้กิน” ผมตะโกนบอกข้ามห้อง ได้ยินเสียงรับคำกลับมา ตามด้วยเสียงเปิดปิดประตู
ผมถอนหายใจแล้วเดินไปนั่งพักบนฝาชักโครกเพราะอาการวิงเวียนคล้ายจะหน้ามืด
“ปวดหัว..”
สุดท้ายแล้วคนที่ ‘หาอะไรให้กิน’ ก็ไม่ใช่ผม แต่เป็นไอที่ทำโจ๊กจากโจ๊กสำเร็จรูปที่หาได้ในครัว
“ให้แขกหาข้าวให้กินทั้งสองมื้อเลยเรา” ผมยิ้มแห้งๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับไอ
“คิดมากน่า” อีกคนอุตส่าห์ยิ้มปลอบใจ “กินโจ๊กแล้วก็หายากินซะด้วยนะ สีหน้านายดูไม่ดีเลย”
“อื้อ..” ผมรับคำยังไม่ทันสุดคำ เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น
“ใครมาหานายแต่เช้าเลย?” ไอชะเง้ออกไปทางหน้าบ้าน
“สงสัยเป็นเมโล่..” พูดแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับไอเลย
“เมโล่?”
“หมอนั่นโทรมาเมื่อพักใหญ่ๆ บอกว่าจะมารับนาย”
“หมอนั่น..” ไอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ห่วงไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว”
ผมยิ้มให้อย่างไม่มีความเห็น แล้วเดินออกมาเปิดประตูให้คนตัวสูงโย่งที่ยืนรออยู่นอกรั้ว
เป็นอีกครั้งที่ลุคของเมโล่ทำให้ผมรู้สึกสนใจ วันนี้หมอนั่นใส่กางเกงขาห้าส่วน เสื้อยืด สวมทับด้วยสเวสเตอร์ไหมพรม(แต่เนื้อไม่หนามาก) แถมยังพันทับอีกชั้นด้วยผ้าพันคอขึ้นมาจนถึงปาก(..เข้าใจว่าคงเพราะอากาศมันเย็น นี่ก็ปลายเดือนตุลาฯแล้ว แล้วเมื่อวานฝนก็เพิ่งตกไป แต่ยิ่งกว่านั้นคงเพราะมันเป็นหวัดด้วยแหล่ะ หลักฐานคือเสียงสูดน้ำมูกเป็นระยะนั่น (ก็ว่าเสียงตอนคุยโทรศัพท์ฟังแปลกๆ))
และที่สะดุดตาสุดๆ นอกจากความสูงของเจ้าตัว ก็เป็นไอ้หมวกกันน็อคหูแมวแบบครึ่งใบนั่นล่ะ ไม่รู้ว่าไปซื้อมาจากไหนล่ะ แต่ดูน่ารักเชียว ฮ่ะๆๆ
“บ้านเราหายากหรือเปล่า?” ผมทักทายระหว่างเลื่อนประตูรั้วเปิด
มองเลยไปด้านหลังอีกฝ่ายก็เห็นรถเวสป้าสีม่วงอ่อน รุ่นเดียวกับของไอจอดอยู่ ..คงเป็นพาหนะที่หมอนั่นใช้พาตัวเองมานี่ที่ ..แต่พูดก็พูดเถอะ ปกติเวสป้ามันก็ไม่ใช่รถคันใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งพอเอามาเทียบกับขนาดตัวไซส์ไททันของเมโล่.. ผมว่ามันดูเหมือนรถของเล่นไปเลยล่ะ
“ไม่เท่าไหร่ แล้ว..” คนพูดชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน ผมเลยเดาว่าคงมองหาไอ
“ไออยู่ในบ้านแน่ะ เรากำลังจะกินข้าวเช้ากันพอดี”
“เค้ามาทันข้าวเช้าพอดีใช่ไหม?”
“ห๊ะ?”
จ๊อกกกกกกกกก..ชัดเลย.. ผมมองหน้า มองท้องที่เพิ่งส่งเสียงร้อง แล้วก็ไปมองหน้าอีกครั้ง
“เอ่อ มากินด้วยกันสิ”
“อื้อ” เมโล่ยิ้มรับสดใสราวกับเด็กๆ
ตกลง..
ที่ไอ้หมอนี่มันรีบมาแต่เช้า เพราะห่วงไอ? หรือเพราะอะไรกันแน่?
หลังเสร็จจากมื้อเช้า ผมก็เดินออกมาส่งไอกับเมโล่ที่หน้าบ้าน ไอดูละล้าละลังเพราะเป็นห่วงอาการของผม แม้จะเห็นว่าผมกินยาไปบ้างแล้วก็ตาม จนผมต้องยืนยันว่าหลังจากนี้จะไปหาหมอ ไอถึงยอมวางใจกลับไป
“เมโล่” ผมดึงเสื้อเจ้าของชื่อตอนที่กำลังจะไปขึ้นรถ
“อะไรเหรอ?”
“ทำไมถึงคิดว่าไอจะมาบ้านเราล่ะ? หรือว่าไล่โทรถามจากเพื่อนไอทุกคน?” ผมถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด
เพื่อนไอก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ แล้วทำไมถึงคิดว่าจะมาหาผมล่ะ? หรือหมอนี่จะไล่โทรทีละเบอร์จนมาถึงเบอร์ของผม
“เปล่า นอกจากที่บ้านไอ ก็โทรหาบันนี่คนแรกนี่แหล่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“อืออ ก็แค่รู้สึกว่าไอน่าจะมาที่นี่น่ะ”
คำตอบของเมโล่ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจสักนิดเลย
“อะไรกันเหรอ?” ไอที่ไปคร่อมรถแล้วกลับมามองพวกเรา
“ไม่มีอะไร” ผมยิ้มตอบไป “ขี่รถกลับดีๆ ล่ะ”
“นายก็รีบไปหาหมอด้วยล่ะ”
“อื้อ เดี๋ยวก็จะออกไปแล้วล่ะ”
“ไว้วันหลังเค้าจะมาเล่นด้วยนะ”“อ่ะ..อื้อ” ผมโบกมือตอบเจ้าแมวไททันกับรถของเล่นทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เมื่อเวสป้าสองคันลับหายไปจากสายตา ผมก็หมุนตัวกลับเข้าบ้าน หยิบเอากระเป๋าตังค์กับกุญแจรถ แล้วออกจากบ้านมา..
ปี๊นนน!เสียงแตรจากรถคันหลังทำให้ผมสะดุ้งรู้สึกตัว เงยหน้ามองสัญญาณไฟก็พบว่ามันเป็นสีเขียวแล้ว..
แต่ผมยังรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ช่วงที่ขับรถมาก็รู้สึกตาพร่าเป็นพักๆ พอติดไฟแดงก็เลยถือโอกาสพักสายตา แต่ดูเหมือนว่าผมจะเผลอเหม่อไป
ปี๊นนนน!!เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ผมตัดสินใจขับแอบไหล่ทาง ยาลดไข้ที่กินไปก่อนหน้านี้ดูจะไม่ช่วยผมสักเท่าไหร่ นอกจากไข้จะไม่ลดแล้ว อาการปวดหัวยังไม่ทุเลาลงสักนิดเดียว แย่จริง..
ก๊อก ก๊อก ก๊อก..
มีตำรวจมาเคาะกระจกรถผม ผมเลยจำใจต้องลดกระจกเพื่อให้เขาได้ทักทายสักหน่อย
“จอดตรงนี้ไม่ได้นะน้อง”
“ครับๆ ผมกำลังจะไปแล้ว”
“เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ดีเลย”
“ผม.. เมารถน่ะ”
“เมารถหรือเมาค้างกันแน่?”สุดท้ายผมก็ได้ลงไปเป่าวัดแอลกอฮอล์ซะหนึ่งฟู่ เพื่อความสบายใจของพี่ตำรวจและเพื่อนร่วมถนนคนอื่น แน่นอนว่าผมรอดกลับมาอย่างปลอดภัย(ก็ผมไม่ได้เมานี่) แต่ก็โดนเทศน์ไปกลายกัณฑ์โทษฐานหลับใน(ผมก็ไม่ได้หลับในเหอะ) กำลังจะกลับขึ้นรถ ก็เหลือบไปเห็นเด็กขายดอกไม้พอดี ก็เลยได้กุหลาบขาวดอกโตไปฝากคนที่กำลังจะไปหาหนึ่งดอก
ไม่รู้ว่าจะชอบหรือเปล่า แต่ก็คงดีกว่าไปมือเปล่าล่ะ
“พี่ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณหนูสั่งห้ามเด็ดขาดว่าห้ามเปิดประตูให้คุณ” เสียงลำบากใจของพี่แจ๋มดังผ่านลำโพงมือถือที่แนบอยู่กับหูผม ขณะที่ผมยืนแหงนมองประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทด้วยความสิ้นหวัง
ใช่สิ พี่แจ๋มน่ะลำบากใจ ส่วนผมน่ะลำบากแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกโกรธมากขนาดนี้ แล้วนี่ผมจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ?
“วันนี้คุณกลับไปก่อนนะคะ ไว้รอคุณหนูอารมณ์ดีก่อน คุณค่อยมาใหม่นะคะ”
“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ?” ผมพยายามอ้อน
“โธ่ คุณต่าย พี่ก็อยากจะช่วยคุณนะคะ แต่ถ้าคุณรู้จักคุณหนูดี คุณก็น่าจะรู้ว่าเวลาที่โกรธเธอจะไม่ยอมฟังใครเลย เอาไว้ค่อยมาใหม่ทีหลังเถอะนะคะ” เสียงโทรศัพท์ตัดไปพร้อมกับความหวังสุดท้ายของผม
ผมมองดอกกุหลาบสีขาวในมืออย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไป พลันภาพที่เห็นก็พร่ามัวจนผมต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่ความไม่ปลอดโปร่งพวกนั้น ..มันดีขึ้น อย่างน้อยก็ตอนนี้
“พโย? พโย!” ผมสังเกตเห็นแม่บ้านชาวพม่าที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ไกลนัก เธอสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้ว่าถูกผมเห็น
“พโย มานี่ๆ” ผมกวักมือเรียกเธอพลางยิ้มดีใจ “ช่วยเปิดประตูให้หน่อยสิ”
เธอดูพะวักพะวง เธอเป็นแฟนคลับคนหนึ่งของผมนะ เวลาผมมาบ้านหลังนี้ เธอจะชอบยกนั่นยกนี่มาเสิร์ฟบ่อยๆ แต่วันนี้เธอกลับดูไม่อยากจะเข้าใกล้ผมชอบกล ผมเห็นเธอหันซ้ายหันขวา ลังเลว่าจะมาหรือไม่มา แล้วสุดท้ายเธอก็ทิ้งสายยางแล้ววิ่งหนีไป
“อ้าว เฮ้ย! พโย!! กลับมาาา” ผมยื่นมือผ่านลูกกรงประตูเข้าไปไขว่คว้าหาอะไรที่ไม่สามารถจับต้องได้
ให้ตาย.. จู่ๆ ผมก็นึกอยากจะเอาหัวโขกประตู แต่ถ้าทำแบบนั้นก็กลัวว่าจะต้องปวดหัวมากกว่าเดิม เลยตัดสินใจไม่ทำดีกว่า ผมแหงนหน้ามองประตูที่สูงตระหง่านอีกครั้ง แล้วตัดสินใจ..
“เอาวะ!”แม้จะดูไม่ใช่วิธีของสุภาพบุรุษเท่าไหร่ แต่นาทีนี้ใครจะมัวมาห่วงเรื่องนั้นกัน!
ในเมื่อไม่ยอมเปิดให้เข้าก็
ปีนแม่ง!! “หยุดอยู่แค่นั้นแหล่ะ”ยังไปไม่ทันถึงดวงดาวก็มีเสียงปริศนาดังขึ้น พร้อมกับวัตถุบางอย่างที่มีสถานะเป็นของแข็งมาจิ้มเข้าที่เอวของผม
ผมหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายวัยฉรรจ์ในเครื่องแบบ ปีกตรงอกบ่งบอกว่ามาจากกองทัพอากาศ ดาวบนบ่าบ่งบอกว่ายศนายร้อย กระเป๋าในมือบ่งบอกว่าเพิ่งเดินทางมาถึง ส่วนปืนซึ่งหันปากกระบอกมาทางผมนี่คงไม่ต้องบอกแล้วใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร?
“ลงมาจากประตูบ้านกูเดี๋ยวนี้เลย ไอ้หัวขโมย”TBC.ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะรักจะเชียร์ใครดี พอถึงตอนนี้ก็กลายเป็นว่าไม่รู้จะเกลียดใครดี.....รึเปล่า? ฮ่าๆๆๆๆ
เขาถึงได้มีคำพูดว่า ‘ดูคนต้องดูยาวๆ อ่านนิยายก็ต้องอ่านหลายๆ ตอน’ ไงคะ (
เอ๊ะ มีไหมนะ?)
มนุษย์เราก็แบบนี้แหล่ะ มีคละเคล้ากันไป ทั้งด้านมืดด้านสว่าง ไม่มีใครดีไปทั้งหมด
ไม่มีใครเลวไปทั้งหมด ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีเกนหลง (เอ๊ะ เกี่ยวไร?
)
ตัวละครของไวท์ก็เป็นอะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ
ปล. จริงๆ มันก็แค่นิยายแหล่ะเนาะ จะอินแล้วเกลียดตัวละครก็ได้ ไม่ว่า แต่อย่ามาเกลียดเค้านะตัวเอ๊งงง