[Ultimate Love] ยากนัก... รักนี้ ♥♥♥ ตอนส่งท้าย up!! 011114/P.44 จาก ss1 สู่ ss2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณปลื้มหนุ่มคนไหนมากที่สุด? (เลือกได้ 2 ข้อ)

รักชาติ  (คุณหนูผู้ไล่ตามความรัก)
101 (21.8%)
ไอ  (หนุ่มเฟรนด์ลี่ที่เดาใจได้ยาก)
41 (8.8%)
เมโล่  (แมวยักษ์จากต่างดาว)
109 (23.5%)
ปูเป้  (โชตะวัยประถมฯ)
5 (1.1%)
เฮียภาค  (กัปตันสุดเข้ม)
32 (6.9%)
เฮียภูมิ  (ผู้กองจอมกะล่อน)
14 (3%)
แกรี่  (แบดบอย+ค้ำคอร์)
32 (6.9%)
ชายต่าย  (ผู้เกิดมามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ 555)
130 (28%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 273

ผู้เขียน หัวข้อ: [Ultimate Love] ยากนัก... รักนี้ ♥♥♥ ตอนส่งท้าย up!! 011114/P.44 จาก ss1 สู่ ss2  (อ่าน 279353 ครั้ง)

ออฟไลน์ White Raven

  • I'm beautiful in my way.~
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +779/-3
    • Fanpage
ยากนัก... รักนี้ ♥




ตอนที่ 18




“Long time no see.”


พอเข้ามานั่งในรถ เจ้าของรถก็หันมาพูดยิ้มๆ  “Miss me?”


“ทำแบบนี้ทำไม?”  ผมไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพยายามกวนประสาทผมยังไง สายตาผมจับจ้องไปที่กระจกมองข้างซึ่งสะท้อนเงาของใครบางคนที่กำลังมองตามมาทางนี้เช่นกัน


“เพราะยูดูไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้เท่าไหร่น่ะสิ Brother, did you forget? ไอรักการทำเรื่องที่ยูเกลียดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว But.. pretty surprised to see you here.”


“ก็แค่ตามเพื่อนมา..”  ผมตัดใจบ่ายหน้าจากกระจกไปมองทางข้างหน้าแทน


“Friend? You still call him a friend?”  คนพูดหัวเราะลงคอ  “What a pity.”


“นายเป็นคนบีบบังคับเขาก่อนนะ”  ผมเสียงแข็ง ใจอยากจะคิดว่ามันมีเหตุผลเพียงพอให้เขาเลือกแบบนั้น


ผมรู้.. มันน่าสมเพช ถึงจะบอกว่าเข้าใจว่าสถานการณ์มันบีบบังคับให้รักต้องเลือก แต่ก็ยังแอบหวังไว้ลึกๆ ว่ารักจะไม่ตอบรับคำท้าทายนั่น ที่ผ่านมาเขาแสดงออกว่าทั้งหึงทั้งหวงผม แต่พอเอาเข้าจริง มันก็ยังไม่มากพอที่เขาจะไม่เอาผมไปพนันกับใคร


“แต่มันเป็นคนเลือกเอง อย่าลืมสิ”  อีกฝ่ายสวนกลับมา  “ไอไปง้างปากใครไม่ได้หรอกนะ”


“แล้วถ้าเป็นนายจะทำยังไง?”  ผมชักหงุดหงิด ไม่รู้ว่าหงุดหงิดคนที่กำลังคุยด้วยหรือใครกันแน่


“ใครก็ตามที่กล้าสร้างเงื่อนไขแบบนั้นกับไอ..”  เขาพูดช้าๆ  “I’ll crush them all.”


“ทั้งที่นายตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบกว่าเนี่ยนะ?” 


“Who cares.”  คนพูดไหวไหล่ 


ผมเบือนหน้าออกไปมองนอกกระจก เวลาอาจทำให้ใครหลายคนเปลี่ยน แต่ไม่ใช่กับคนคนนี้.. แรกเริ่มที่ได้รู้จักกับรัก ผมก็เคยคิดว่ารักเป็นคนแบบนี้เหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่ใช่ รักยังมีจิตใจที่อ่อนโยนกว่าผู้ชายคนนี้เยอะ แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของเขาก็คือความเชื่อมั่นในตัวเองที่มีอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งรักยังคงห่างไกลจากคำนั้นมาก


ภายนอกรักอาจเหมือนคนแกร่ง คนกล้า เวลามีเรื่องก็มักจะออกหน้าแทนเพื่อนเป็นคนแรก แต่ภายในลึกๆ แล้วรักไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลย ..และแน่นอน ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวผมด้วย


“แล้วทำไมยูถึงไปคบกับคนไม่เข้าท่าแบบนั้นได้ล่ะ? ..don’t look like your type.”


“คนที่ไม่เข้าท่ามันคือนายนั่นแหล่ะ”  ผมขมวดคิ้ว จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง แต่ทางนั้นกลับหัวเราะชอบใจ


“Oh come on… don’t be mad.”  เขาพูดยิ้มๆ เอื้อมมือมาลูบต้นขาผม  “Your cute face makes me hard, you know?”


ผมปัดมือนั่นออก เบือนหน้าไปมองนอกกระจกอย่างหงุดหงิด ไม่คิดอยากต่อปากต่อคำกับคนโรคจิตอีก


“พอถึงข้างล่างแล้วช่วยจอดรถด้วย”


“Why?”


“ก็จะกลับบ้านน่ะสิ”


“Why?”


“แล้วจะให้เราไปบ้านนายด้วยหรือไง?” 


“Why not?”


“Please don't troll me, Garry.”  ผมพูดเสียงต่ำ ความอดทนใกล้จะถึงขีดสุด แต่กลับไปทำให้ทางนั้นชอบใจ


“ฮ่าๆๆๆ นึกว่ายูลืมชื่อไอไปแล้วซะอีก My little bunny ไม่เจอกันตั้งสองปี ไม่มีวันไหนที่ไอไม่คิดถึงยูเลย รู้ไหม?”  หมอนั่นเริ่มพล่าม  “คิดถึงเวลาที่ยูโกรธ คิดถึงเวลาที่ยูเสียใจ คิดถึงแววตาเจ็บปวดเวลาที่ถูกแย่งของรักของหวงไป และคิดถึงที่สุด..เวลาที่ยูร้องไห้”  มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหายใจรดหูผม  “พอนึกถึงหน้ายูตอนเปรอะไปด้วยน้ำตาทีไร ไอก็เกือบจะถึงจุดสุดยอดทุกทีเลยว่ะ”


ผมคว้าคอหมอนั่นโดยไม่ทันคิด ทำให้รถแฉลบเกือบชนขอบที่กั้นทาง หมอนั่นเหลือบมองถนน แล้วกลับมาเลิกคิ้วทำหน้ายิ้มๆ เป็นเชิงถามว่าผมจะเอาไงต่อ ผมเลยต้องจำใจปล่อยคอเสื้อมัน ยังไม่อยากตายด้วยสาเหตุงี่เง่า ที่สำคัญ ใครจะไปอยากตายพร้อมไอ้บ้านี่กัน!


“ความจริงตายพร้อมกันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ”  อีกฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร


“ไปตายคนเดียวเหอะ”  ผมหันกลับไปสนใจวิวข้างนอกเหมือนเดิม แม้มันจะไม่มีอะไรให้น่าสนใจก็เถอะ แต่ยังไงมันก็ยังดีกว่าการมองหน้าคนข้างๆ นี่ล่ะ


ผมรู้จักหมอนี่ตอน ป.2 ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันมาจากไหน(จู่ๆ ก็โผล่มา) เจอทีไรก็ไม่เคยเห็นมันแต่งชุดนักเรียนสักครั้ง (เพิ่งมารู้ตอนหลังว่ามันเป็นเด็กโรงเรียนนานาชาติที่อยู่ไกลออกไปเหมือนกัน แต่ผมเจอมันแถวหน้าโรงเรียนผมประจำ?) และตั้งแต่เจอกันครั้งแรกมันก็แย่งขนมผม เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆ มา แล้วก็เริ่มพัฒนาไปแย่งของเล่นบ้าง ไถเงินค่าขนมผมบ้าง สารพัดที่มันจะสรรหาวิธีมาแกล้งผม..


เป็นแบบนั้นมาตลอด อาจไม่สม่ำเสมอ แต่ผมก็เจอมันได้เรื่อยๆ จะหายไปเฉพาะช่วงปิดเทอม และไม่ว่าผมจะพยายามหลบยังไง แต่ถ้าผมยังต้องไปโรงเรียน มันก็จะหาผมจนเจอ(ไม่รู้ชาติก่อนเคยเป็นหมาล่าเนื้อหรือไง) ผมเคยเอาวิชายูโดมาใช้กับมันตอน ป.4 หลังจากตอนนั้นมันก็หายไปเกือบปี โผล่มาอีกทีมันสามารถจับทางยูโดผมได้หมด ผมเลยรู้ว่ามันหายไปซุ่มเรียนยูโดมา


ผมไม่เคยรู้เหตุผลว่าทำไมแกรี่ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตารังควาญผมขนาดนั้น จนกระทั่งตอนผมอยู่ ม.2 เย็นวันหนึ่งผมกลับมาบ้าน เห็นมันนั่งคุยอยู่กับแม่ของผม ในบ้านของผม ผมจะรู้สึกตกใจขนาดไหนก็คงเดากันได้ แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมช็อคที่สุด จนกระทั่งแม่แนะนำว่ามันเป็นพี่ชายคนหนึ่งของผม ที่เกิดจากหนึ่งในบรรดาผู้หญิงอีกหลายคนของพ่อ นั่นแหล่ะที่สุดของความตกใจ


หลังจากนั้นมันก็ทำเป็นแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนพวกเรา แต่ความจริงแล้วหาโอกาสมากลั่นแกล้งผมมากกว่า ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร กระทั่งกับแม่ แม่เห็นใจผู้หญิงทุกคนของพ่อ แน่นอน แม่เห็นใจลูกของพวกเธอด้วย ..ทั้งที่พวกเขาอาจไม่ได้ชอบเรา หรืออาจเกลียดเรา และแกรี่ก็เกลียดผมยิ่งกว่าใคร แต่เพราะหมอนั่นไม่ได้มีท่าทีว่าจะไปยุ่งกับพี่สาวหรือน้องสาวของผมด้วย ผมเลยคิดว่าผมยังพอทนเงียบไว้ได้


ล่าสุดก็เรื่องของผู้หญิงที่ผมเคยรักมากคนหนึ่ง.. ‘ปารีส’ 


เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ผม ปารีส และลูกปลา ผมรู้ตัวมาตลอดว่ารู้สึกกับปารีสพิเศษกว่าที่รู้สึกกับลูกปลา แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรมากมายกว่านั้น จนกระทั่งเธอไปตกหลุมรักแกรี่ และตัดสินใจตามเขาไปเรียนต่อที่อังกฤษหลังจบมัธยมนั่นแหล่ะ ผมถึงได้รู้ตัวว่าผมรักเธอมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่เหลือโอกาสอะไรไว้ให้ผมแล้ว


“ปารีสเป็นยังไงบ้าง?”  พอคิดถึงแล้วก็อดถามถึงเธอไม่ได้


เราไม่ค่อยได้ติดต่อกันบ่อยนัก อาจเพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน อาจเพราะเธอยุ่ง หรืออาจเพราะอะไรก็ตามแต่ เลยทำให้ผมไม่ค่อยรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับเธอเท่าไหร่ ยิ่งหลังๆ เธอยิ่งหายไปเลย แม้แต่ลูกปลาที่สนิทมากกว่าผมก็ยังติดต่อเธอไม่ได้ (ลูกปลารู้จักแกรี่ รู้ด้วยว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม แต่ไม่เคยรู้ว่าเราเป็นพี่น้องต่างแม่กัน)


“Who knows.”  คำตอบชุ่ยๆ ทำให้ผมขมวดคิ้วอีกรอบ


“แต่เธอเป็นแฟนนาย”


“My ex.” แกรี่หันมาพูดเน้นย้ำทีละคำด้ยท่าทางหงุดหงิด  “เลิกกันไปตั้งครึ่งปีแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะทั้งที่ปากเธอพร่ำเพ้อว่ารักไออย่างนั้นอย่างนี้ แต่เธอกลับรู้เฉพาะเรื่องของยู รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับยู และไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับไอเลย! น่าประทับใจไหมล่ะ?”  เขายิ้มประชดประชัน  “She hasn't told ya?”


“เราไม่ได้คุยกันนานแล้ว”


“Seriously?”  แกรี่กระตุกมุมปาก


“นี่จอดสิ”  ผมท้วงเมื่อรถลงมาถึงข้างล่างแล้ว แต่แกรี่ยังไม่มีทีท่าว่าอยากจะแวะจอดแต่อย่างใด


เขาทำหูทวนลมและยังขับรถไปเรื่อยๆ ผมพยายามใจเย็น รอดูท่าที แต่พอมองเห็นทางขึ้นทางด่วนอยู่ข้างหน้า ผมก็ทนเฉยอีกต่อไปไม่ไหว


“แกรี่! บอกให้จอดรถไง จอด!”


“Don't order me around!” หมอนั่นหันมาตวาดด้วยเสียงที่ทำให้ผมเผลอเม้มปากสนิทโดยไม่รู้ตัว


พอผ่านด่านเก็บเงินได้ เขาก็เหยียบคันเร่งจนเกือบมิด แววตาวาวโรจน์จนผมนึกกลัวใจ สักพักจู่ๆ เขาก็ชะลอ และจอดรถนิ่ง


“ลงไป”


ผมมองหน้าคนพูดอย่างไม่เข้าใจ


“Get out of my car.” แกรี่พูดช้าๆ ชัดๆ โดยไม่มองมาที่ผม  “Now!!!”


ผมเปิดประตูลงมาโดยไม่รอให้เจ้าของเขาไล่ซ้ำอีก แล้วปิดประตูกระแทกเต็มแรงบ่งบอกสภาพอารมณ์ของผมในตอนนี้บ้าง เสียงเครื่องยนต์เร่งกระหึ่มอีกครั้ง ก่อนที่คนขับตีนผีจะพามันหายลับไปจากสายตาเพียงไม่กี่วินาที ทิ้งผมเอาไว้ลำพังกลางทางด่วน..





จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหม?


มันช่างไม่ใช่วันของผมจริงๆ เริ่มจากเรื่องของกี๋ ไปเรื่องของไอ จากนั้นก็ถูกรักโกรธ ถูกเอามาเป็นของเดิมพัน เจอกับคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด แถมตอนนี้ยังมาถูกทิ้งเอาไว้บนทางด่วนอีก อยากรู้จริงๆ ว่ามันยังมีที่แย่กว่านี้อีกไหม?


ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ไม่มีมิสคอล ไม่มีแมสเซส เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่ผมเริ่มเดินรอนเร่อยู่บนนี้ ไม่มีรถคันไหนหยุดสนใจผม ซึ่งก็เข้าใจได้ ใครๆ ก็ห่วงสวัสดิภาพของตัวเองก่อนทั้งนั้น มืดก็มืด เปลี่ยวก็เปลี่ยว แถมผมก็ไม่ใช่คนตัวเล็กๆ ที่ดูไม่มีพิษภัยอะไร แล้วก็คงไม่มีคนสติดีๆ ที่ไหนขึ้นมาเดินเล่นบนนี้หรอก ..ใครๆ ก็คงคิดแบบนี้แหล่ะ


พอเริ่มเมื่อย ผมเลยหยุดเดิน ยืนนิ่งรับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านไป ลองก้มลงมองไปข้างล่างพลางคิดเล่นๆ ว่าถ้ากระโดดลงไปก็คงจะถึงไวกว่าเดินอยู่แบบนี้แน่ๆ แต่ขอโทษเถอะ นั่นไม่อยู่ในลิสต์รายการที่ผมนึกอยากจะทำหรอก


!


ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือปริศนามาคว้าเข้าที่เอว สัญชาตญาณสั่งให้จับล็อคแขนขวาของอีกฝ่าย ขยับเบี่ยงตัวเตรียมจะทุ่มอยู่แล้ว ถ้าไม่หันไปเห็นซีกหน้าของเจ้าของมือมืดซะก่อน..


“เฮียภูมิ!” 


แวบแรกผมเรียกตามความคุ้นชิน เพราะผมเคยเจอเฮียภูมิบ่อยกว่า และเคยคุยกับเขามากกว่า แต่พอลองพิจารณาใบหน้าหล่อเข้มที่ดูจริงจังไร้แววขี้เล่นแล้ว ผมก็เปลี่ยนความคิดใหม่   


“เฮียภาค?”


“นึกว่าไอ้บ้าที่ไหนซะอีกที่กำลังจะคิดสั้น”  เขาพูดหน้าดุเสียงดุโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือจากเอวผม


“คิดสั้น? เดี๋ยวนะ..”  ผมพยายามจับต้นชนปลาย  “ผมไม่ได้จะคิดสั้น ผมก็แค่ยืนกินลมชมวิวก็แค่นั้น”


ผมมองเลยไปยังรถที่จอดนิ่งอยู่ข้างหลังเขา.. ข้อดีของรถราคาแพงก็คือมันสามารถมาหยุดข้างหลังคุณได้โดยที่คุณจะไม่รู้ตัวเลยสินะ?


“บนทางด่วนตอนเกือบสี่ทุ่มเนี่ยนะ?”  เขาทำหน้าไม่เชื่อถือ ผมไหวไหล่อย่างไม่รู้จะว่ายังไง เขาเริ่มมองไปรอบตัว  “แล้วรถนายล่ะ?”


“ไม่มี”  ผมตอบไปตามจริง


“แล้วขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง?”  ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือจากเอวผม ถอยไปก้าวหนึ่ง แต่คิ้วยังขมวดอยู่


“ผมอาจเทเลพอร์ทมา ใช้คอปเตอร์ไม้ไผ่ หรือขี่ไม้กวาด.. แต่ความจริงที่น่าเจ็บใจก็คือ ผมถูกไอ้บ้าคนหนึ่งทิ้งเอาไว้!”


คนฟังถอนหายใจยืดยาว เขามองเข้ามาในตาผมเหมือนต้องการจะหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่สนใจคำพูดหงุดหงิดพาลพาโลของผม อารมณ์ทั้งหลายแหล่ที่สะสมมาตลอดทั้งวันเริ่มมาอัดแน่นจุกอยู่ที่คอ ขอบตาร้อนผ่าว


ผมรู้สึกเหมือนว่าอะไรบางอย่างในตัวผมใกล้จะพังทลายเต็มที..


“ไปขึ้นรถเถอะ”  เฮียภาคพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม เขาเดินกลับไปที่รถโดยไม่สนว่าผมจะตามไปหรือไม่ เปิดประตูฝั่งข้างคนขับ ยืนรอจนกว่าผมจะเข้าไปนั่งข้างใน แล้วปิดประตูให้ตามหลัง


“ขอบคุณครับ”  ผมบอกเสียงเบาเมื่อเขากลับมาประจำที่นั่งคนขับแล้ว รู้สึกผิดที่เมื่อครู่ไปพาลเอากับเขาที่อุตส่าห์หวังดีลงมาดูใจคนที่(เขาคิดไปเองว่า)กำลังจะฆ่าตัวตายอย่างผม


“อืม”  ทางนั้นรับคำง่ายๆ โดยไม่ซักถามอะไรอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกำลังต้องการอยู่พอดีเลย


รถเริ่มเคลื่อนตัว ตาของผมมองไปรอบๆ เห็นกล่องกำมะหยี่ที่คิดว่าน่าจะเป็นกล่องแหวนล้มตะแคงอยู่บนคอนโซลรถ คล้ายกับว่ามันถูกโยนไปไว้ตรงนั้น กระจกมองหลังสะท้อนภาพดอกไม้ช่อใหญ่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่เบาะหลัง.. ผมเคยได้ยินจากรักเหมือนกันว่าเฮียภาคมีแฟนแล้ว คบกันมานานตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนนายร้อย และยังบอกอีกว่าบางทีพวกเขาอาจจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้
หรือว่านี่เขากำลังจะไปขอแฟนแต่งงาน?


“เอ่อ เดี๋ยวถ้าลงจากทางด่วนแล้วช่วยจอดด้วยนะครับ”  ผมพูดอย่างเกรงใจ


“ทำไมล่ะ? จะให้ไปส่งที่บ้านก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไรครับ เผื่อเฮียมีธุระต้องไปที่อื่น..”  ผมมองไปทางกล่องกำมะหยี่


เฮียภาคเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร เลยหยิบเอากล่องที่ว่านั่นใส่เก๊ะเก็บให้พ้นหูพ้นตา


“วันนี้ไม่มีธุระที่ไหนแล้วล่ะ”  เขาบอกแบบนั้นแล้วหันไปหยิบช่อดอกไม้ที่อยู่ข้างหลังมายื่นให้ผม  “รับไปสิ”


ผมต้องงงอยู่แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าควรจะรับดีไหม หรือจะรับไปทำไม เขาก็เลยดันมันเข้ามาในอกผมให้ผมต้องรับไปโดยปริยาย


“มันไม่ควรถูกทอดทิ้ง”


ไม่ควรถูกทอดทิ้งงั้นเหรอ.. ?


ผมไม่ทันได้มีเวลาหาความกระจ่างไปมากกว่า ก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งขับมาปาดหน้ารถของเฮียภาค ทำให้ต้องเหยียบเบรคกระทันหันจนล้อบดกับถนนเสียงดังสนัน ใจหายใจคว่ำกันไป


“อะไรวะ?!”  เสียงเฮียภาคสบถ


ผมเงยหน้าได้อีกครั้งก็เห็นไอ้บ้านั่น..ก็ไอ้บ้าคนเดียวกับที่ทิ้งผมไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนั่นแหล่ะ ไม่ต้องสงสัยหรอก มันลงจากรถ ตรงมาทุบมือกับกระจกฝั่งที่ผมนั่งสลับกับพยายามเปิดประตูรถ


“คนรู้จักเหรอ?”  เฮียภาคถาม ผมยักหน้าอย่างจำใจ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะยอมปลดล็อคประตูรถตามที่คนข้างนอกต้องการ ยังนิ่งคอยรอดูท่าทีต่อไป


จนกระทั่งแกรี่เดินกลับไปที่รถของตัวเอง แล้วหยิบไม้เบสบอลออกมา ผมเลยต้องรีบกระวีกระวาดบอกให้เฮียภาคยอมปลดล็อค เพราะแกรี่เป็นมนุษย์ประเภทที่อยู่นอกเหนือการควบคุมโดยสิ้นเชิง เขาทำหลายอย่างที่คนอื่นคิดไม่ถึงได้ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับนิสัยสุดโต่งนั่นได้ยังไง


เฮียภาคดูไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของผมนัก เขาหยิบปืนออกมาจากเก๊ะ แต่ผมขอร้องเขาว่าอย่าทำแบบนั้น


“ผมจะลงไปเคลียร์เอง ไม่เป็นไร”


พอผมลงจากรถ แกรี่ก็ตรงมากระชากแขน และพอเห็นว่าผมมีช่อดอกไม้อยู่ในมือมันก็ปัดทิ้งไป แถมยังกระทืบซ้ำด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะออกแรงลากผมไปที่รถมันโดยไม่สนใจว่าผมจะพูดหรือจะขัดขืนยังไง


“จะพาเขาไปไหน?”  เฮียภาคเดินตามมาคว้าไหล่แกรี่ มันหันกลับไปพร้อมกับหมัดที่ซัดเข้าเต็มโหนกแก้มของอีกฝ่าย จนเฮียภาคที่ไม่ทันตั้งตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว เลือดกำเดาไหลออกจมูกทันตา


“Don’t stick your nose! Fuckin' asshole!”  แกรี่ตวาดพร้อมชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยไม้เบสบอล ก่อนจะหันหลังกลับแล้วฉุดกระชากผมต่อ


ผมเห็นเฮียภาคเดินตามมาด้วยแววตาวาวโรจน์ เขาป้ายเลือดออกจากจมูกลวกๆ และก่อนที่ผมจะได้ทันห้ามเขาหรือใคร เฮียภาคก็กระชากไหล่แกรี่ให้หันกลับไปหาอีกครั้ง คราวนี้หมอนั่นเงื้อไม้เบสบอลเตรียมฟาดใส่ แต่เฮียภาคใช้ปัดป้องด้วยวิชาป้องกันตัว จนไม้เบสบอลกระเด็นหลุดมือแกรี่ไป แล้วตามด้วยหมัดที่พุ่งเข้ากรามหมอนั่นเต็มๆ จนมันร่วงไปนอนมึนอยู่บนพื้นถนน แต่แป๊บเดียวก็ดีดตัวลุกขึ้น แล้วทำท่าจะพุ่งใส่เฮียภาคที่ตั้งท่ารอรับอยู่แล้ว


“ไม่! แกรี่! หยุด!”  ผมเอาตัวเข้าไปขวาง กอดเอวไอ้หมาบ้านั่นไว้แล้วต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อดันให้มันออกห่างจากเฮียภาค แน่นอนว่ามันไม่ยอมให้ความร่วมมือดีอยู่แล้ว ดิ้นดิ้นทั้งด่า สารพัดคำหยาบคายทั้งไทยทั้งอังกฤษเท่าที่มันจะนึกออก กว่าจะพามันมาที่รถได้เล่นเอาเกือบหมดแรง ต่างคนต่างยืนหอบทั้งคู่ มันจ้องหน้าผมเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วหันไปมองเฮียภาคที่ยังอยู่ที่เดิมด้วยสายตาแค้นเคือง


“ขึ้นรถเถอะ แกรี่”


“Don’t…”  มันจะตวาดกลับ แต่ผมพูดแทรกก่อน


“Please.” ผมขอร้องทั้งน้ำเสียงและแววตา ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน ไม่เหลือแรงจะไปรับมือกับใครอีกแล้ว  “เราจะไปกับนาย..”


“งั้นก็ไปขึ้นรถซะ”  อีกฝ่ายดูสงบลงกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตไปให้เฮียภาค


ผมเดินไปเปิดประตูรถอีกฝั่งอย่างว่าง่าย ได้แค่หันไปมองเฮียภาคด้วยสายตาเสียใจและขอโทษ ตอนนี้ผมทำดีที่สุดได้แค่นี้เอง ไว้พรุ่งนี้ผมจะไปขอโทษเขาด้วยตัวเองอีกที ..ถ้าเขาไม่โกรธจนไม่อยากได้ยินคำขอโทษจากปากผมไปซะก่อนล่ะนะ


“มันเป็นใคร?”  พอขึ้นรถมาได้ แกรี่ก็ถามเสียงเย็น


ผมเอนหัวพิงประตูรถ ตอนนี้ไม่อยากทำอะไรแล้วทั้งนั้น แม้แต่ตอบคำถามของอีกฝ่าย


“Are you deaf? I said, who the fuck is that?”


“พี่...ของเพื่อน”  ผมพึมพำกับประตูรถ  “เขาบังเอิญผ่านมา”


“แล้วทำไมมันต้องให้ดอกไม้ยู?”


ผมหยุดคิดเล็กน้อยก่อนตอบ


“เขาแค่ฝากถือ.. นายไม่น่าไปทำแบบนั้น”


“Shut up, bitch. อย่าทำให้ไอหงุดหงิดไปมากกว่านี้”  คนพูดมองตรงไปข้างหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ผมปิดปากตัวเองเงียบตามที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วอย่ามาคิดว่าจะง้างปากกันได้อีก พอกันที..


จู่ๆ รถที่วิ่งแบบไม่เกรงใจป้ายกำหนดความเร็วสูงสุดบนทางด่วนก็เริ่มชะลอลง แล้วจอดหลบข้างทาง ผมหันควับไปมองคนขับ นี่มันคิดจะใช้ลูกไม้เดิมแกล้งผมก็แล้วเหรอ? ..แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ามันดูพร่าจนน่าแปลกใจ


ผมเห็นมือที่ยื่นมาใกล้ ผมหันหน้าหนีแล้วผลักมือนั้นออกไป แต่อีกฝ่ายก็ดื้อดึงใช้กำลังจนที่สุดก็จับล็อคใบหน้าผมเอาไว้ได้


“...you crying?”  หมอนั่นพึมพำแล้วพยายามจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก


ผมก็พยายามผลักเขาออกไปอีก กระพริบตาก็รู้สึกว่าขนตามันเปียก นี่ผมร้องไห้เหรอ? แต่ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นมากนักหรอก ลำพังแค่ดิ้นรนสลัดอีกฝ่ายให้หลุดก็เต็มกลืนแล้ว ท้ายทอยผมถูกขยุ้มเข้าอย่างแรง จากนั้นก็กระชากจนหน้าหงาย เจ็บจนน้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิม แล้วแกรี่ก็เข้ามาเลียมัน


“I love to see you cry.” เสียงกระซิบพึมพำ  “So sweet…” 


แกรี่ไล่จูบซับน้ำตาผมลงมาเรื่อยๆ จากตา มาข้างแก้ม จนมาถึงริมฝีปาก ผมยกมือคั่นระหว่างปากพวกเราเอาไว้ก่อนที่มันจะแตะกัน ผมไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้หลบสายตาที่จ้องมองมา


แกรี่จ้องผมนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยที่ผมไม่สามารถตีความสายตาคู่นั้นออก ก่อนจะยอมถอยกลับไปที่ของตัวเอง


“I’ll take you home.”





กลับมาถึงบ้าน แม่ยังนอนดูทีวีรอผมอยู่ แม่ถามถึงรถคันที่มาส่งเหมือนกัน แต่ผมก็ตอบส่งๆ ไปแล้วรีบขึ้นข้างบนเลย รู้สึกเหนื่อยเหมือนร่างจะแตก ผมทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งเสื้อผ้าแบบนั้น แล้วนอนหลับตานิ่งไม่ขยับตัว ผมได้ยินเสียงรถคุ้นหูเคลื่อนมาหยุดใกล้ๆ บ้าน ผมรู้อยู่แล้ว ผมเห็นตั้งแต่หน้าปากซอยแล้ว รักจอดรถซุ่มรอดูว่าเมื่อไหร่ผมจะกลับมา เขาคงกลับบ้านไปรอบหนึ่งแล้วเพื่อเปลี่ยนเป็นรถคันนี้ จะเข้ามาจอดรอใกล้บ้านผมเลยก็คงกลัวคนผิดสงสัย เลยรออยู่ข้างนอกแบบนั้น ผมยังนอนนิ่ง รู้ว่าเขายังอยู่ แต่ผมยังไม่อยากขยับตัว จนผ่านไปพักใหญ่ ผมก็ลุกไปดูที่หน้าต่าง


รักกำลังเงยหน้ามองมาทางนี้พอดี..


ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความ  ‘กลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน’


‘ขอโทษ.. ฝันดี’  รักตอบกลับมา



(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2015 08:53:33 โดย White Raven »

ออฟไลน์ White Raven

  • I'm beautiful in my way.~
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +779/-3
    • Fanpage
(ต่อ)



“เมื่อคืนก็กลับดึก วันนี้ยังออกแต่เช้าอีกเหรอ พี่ต่าย?” 


แม่ถือแซนด์วิชกับโอวัลตินเดินตามมาท้วงขณะผมนั่งใส่ร้องเท้าหน้าบ้าน


“ต่ายต้องแวะไปที่หนึ่งก่อนน่ะแม่”


“แล้วจะไม่กินอะไรสักหน่อยเหรอ?”


“เดี๋ยวไปกินที่มหา’ลัย”


“งั้นก็โชคดีจ้ะ”


“ไปแล้วครับ”  ผมหันกลับไปไหว้แม่ แล้วออกจากบ้านมา ได้ยินเสียงแม่โหวกเหวกเร่งน้องให้รีบแต่งตัวดังไล่หลังมาด้วย



ความจริงวันนี้ผมมีเรียนบ่าย แต่ความตั้งใจที่จะต้องไปขอโทษเฮียภาคเพราะเมื่อคืนทำให้ผมรีบออกแต่เช้า ระหว่างทางผมแวะเข้าร้านขายของที่รู้จักกันร้านหนึ่ง ซื้อลูกประคบสมุนไพรมา ผมรู้ว่ามันใช้ดีเพราะเคยใช้ประจำเวลาพลาดท่าบาดเจ็บตอนเล่นยูโด ผมจะเอาไปให้เฮียภาคนั่นแหล่ะ หมัดของแกรี่น่าจะสร้างปัญาหาให้เขาในเช้านี้พอสมควร


“มาแต่เช้าเลยนะคะคุณต่าย คุณหนูยังไม่ตื่นหรอกค่ะ เธอเพิ่งจะขึ้นไปนอนเมื่อเช้านี้เอง”  พี่แจ๋มรายงานทันทีที่เห็นหน้าผม


“ทำไมล่ะครับ?”  ผมแปลกใจ ก็น่าจะกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่นา


“ไม่ทราบค่ะ เห็นนั่งมืดๆ ซึมๆ อยู่ในห้องรับแขกเหมือนคนมีอะไรในใจ พี่น่ะเกือบจะหัวใจวายตอนลงมาหุงข้าวแล้วเจอเธออยู่ตรงนั้น เอ่อ..พวกคุณยังไม่คืนดีกันอีกเหรอคะ?”


ผมยิ้มจืดๆ ให้โดยไม่ตอบอะไร


“แล้วเฮียภาคล่ะครับ?”


พี่แจ๋มดูแปลกใจเมื่อได้ยินคำถาม แต่เธอก็ตอบอย่างเต็มใจ


“นอนอ่านหนังสืออยู่บนห้องแน่ะค่ะ พี่เพิ่งเอาแกฟาขึ้นไปเสิร์ฟให้เมื่อกี๊นี้เอง”  แล้วเธอก็ลดเสียงลง ขยับเข้ามาพูดใกล้ๆ   “แต่แถวใกล้ๆ ดั้งจมูกเธอมีรอยช้ำน่ากลัวเชียว ไม่รู้ไปทำอะไรมา”


ผมยิ้มจืดๆ ให้เธออีกครั้ง ก่อนบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเฮียภาคสักหน่อย


“ต่ายครับ.. ขอเข้าไปได้หรือเปล่าครับ?” 


ผมได้เสียงอนุญาตเบาๆ จากคนเข้าใน จึงผลักประตูเข้าไป เห็นเจ้าของห้องยังอยู่ในชุดนอนแขนยาวสีเข้ม นั่งพิงหัวเตียง ในมือมีหนังสือคล้ายหนังสือนิยายต่างประเทศเปิดค้างไว้ บนหน้ามีรอยช้ำน่ากลัวอย่างที่พี่แจ๋มบอกจริงๆ


เขามองตรงมาเหมือนกับรอให้ผมพูดก่อน


“เอ่อ.. ผมมาขอโทษเรื่องเมื่อคืน ..ที่ทำให้เฮียต้องเสียเวลา แถมยังต้องเจ็บตัว ..ผมขอโทษแทนแกรี่ แล้วก็ขอโทษเรื่องดอกไม้ด้วย ขอโทษสำหรับเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดครับ”  ผมยกไหว้คนที่นั่งรับฟังด้วยอาการสงบ


“นายคงไม่ได้อยากให้มันเกิดหรอก..”  เขาหยุดคิด  “ฉันยอมรับคำขอโทษก็แล้วกัน.. แล้วถืออะไรมาด้วยน่ะ?”


“อ๋อ นี่ลูกประคบสมุนไพรครับ”  ผมขยับเข้าไปใกล้ ยกลูกประคบที่ถือติดมือมาให้ดู  “มันดีสำหรับรักษาอาการช้ำ เอ่อ..”  ผมชี้หน้าตัวเองตรงบริเวณเดียวกับที่มีรอยช้ำบนหน้าเฮียภาค


“แล้วมันใช้ยังไง?” 


“ก็ต้องเอาไปนึ่งก่อน สัก 10-15 นาที แล้วค่อยเอามาประคบตรงรอยช้ำครับ”


“งั้นก็ไปทำสิ”  เขาพูดหน้าตาเฉย จนผมไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ยินถูก


“ครับ”


“ไปนึ่งมาสิ จะได้เอามาลองว่าดีจริงหรือเปล่าไง”


“อ่อ..ครับ”


ผมถือลูกประคบเดินออกมาจากห้องนั้นงงๆ ลงมาถึงข้างล่างก็ยังมึนไม่หาย เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครเลยเดินเข้าไปในครัว มีพโยอยู่ในนั้น ผมเลยให้เธอจัดหาที่นึ่งลูกประคบมาให้ผม ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็กลับขึ้นมาอีกทีพร้อมด้วยลูกประคบที่ร้อนกำลังได้ที่


“ได้แล้วครับ”  ผมเอากะละมังใบเล็กที่ใส่ลูกประคบและปิดผ้าขนหนูไว้อีกทีไปวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง


“แล้วใช้ยังไง?”  คนถามนั่งมองกะลังมังเฉย


ผมขมวดกับตัวเอง รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินคำถามเดียวกันนี้มาแล้ว แต่ก็ยังยิ้มสู้แล้วบอกเขาอีกรอบ


“ก็เอาไปประคบตรงที่ช้ำครับ”


“ก็มาทำสิ”


ห๊ะ? ..คือผมต้องประคบให้เขาด้วยงั้นเหรอ?


ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเฮียภาคตกลงเป็นคนยังไงกันแน่? สำหรับเฮียภูมิน่ะผมแน่ใจว่าเป็นพวกกรุ้มกริ่ม หมาหยอกไก่ ส่วนเฮียภาคที่ผมคิดไว้หลังได้รู้จักแบบเผินๆ คือดูเป็นคนนิ่งๆ จริงจัง หนักแน่นสไตล์ทหาร แล้วตกลงมันใช่หรือเปล่า? ผมว่าวันนี้เขาแลดูมึนๆ ยังไงไม่รู้นะ ..หรือจะเป็นเพราะพิษหมัดของแกรี่?


“โทษนะครับ..”  ผมหยิบเอาลูกประคบไปแตะตรงรอยช้ำ เจ้าของแผลหรี่ตาลงเพราะความร้อน แต่ไม่ได้หันหนี


“แล้วจะยืนทำอยู่แบบนั้นน่ะเหรอ?”  คนพูดขยับตัวให้ที่นั่ง ผมก็เลยต้องนั่งลงบนเตียงของเขาอย่างไม่มีทางเลือก


ผมพยายามจดจ่ออยู่กับรอยช้ำตรงหน้า เพราะถ้าเผลอเลื่อนสายตาขึ้นไปสูงกว่านั้นเมื่อไหร่ ผมเป็นต้องได้สบตากับเขาทุกที มันทำเอาใจคอไม่ดียังไงบอกไม่ถูก รู้ว่าเขาแค่มองหรือกำลังสแกนกรรมให้ผมกันแน่ เล่นไม่ละสายตาไปจากหน้าผมเลยแบบนี้


“ไปรู้จักกับคนแบบนั้นได้ยังไง?”  บทสนทนาที่อีกฝ่ายเปิดขึ้น ทำผมลอบระบายลมหายใจโล่งอก  “ไอ้แกรี่นั่น”


“ไม่รู้สิครับ มันมาของมันเอง”  ผมเลี่ยงที่จะบอกว่าพวกเราเกี่ยวข้องกันยังไง เพราะไม่อยากให้ใครมาขุดคุยประวัติครอบครัวผม ..ก็ไม่ได้โกหกซะทีเดียว อย่างน้อยไอ้เรื่องที่ว่ามันมาของมันเองนั่นก็เป็นเรื่องจริง


“เพิ่งรู้จักกันเหรอ?”


“รู้จักมาตั้งแต่ ป.2 แล้ว แต่เราไม่เชิงว่าเป็นเพื่อนหรืออะไรกันหรอก”


เฮียภาคดูเหมือนมีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับแกรี่อีก แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ แล้วก็เปลี่ยนคำถาม


“หมอนั่นใช่คนที่ทิ้งนายไว้บนทางด่วนด้วยหรือเปล่า?”


ผมพยักหน้ารับ มือยังบรรจงประคบประหงมรอยช้ำให้อีกฝ่ายไปเรื่อยๆ


“แล้วก็ไปวนรถกลับมารับ?”  อันนี้เหมือนเขาพึมพำกับตัวเอง  “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”


“ก็ไปส่งผมที่บ้าน.. ชอบทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ประจำแหล่ะ”


“แปลว่ามีเรื่องแบบนี้บ่อย?”


“ถูกทิ้งบนทางด่วนนี่เพิ่งครั้งแรก”


ก๊อก ก๊อก ก๊อก.. ประตูถูกเคาะทั้งที่มันเปิดออกก่อนแล้ว เฮียภูมิใส่แค่กางเกงนอน ยืนกอดอกพิงขอบประตูโชว์มัดกล้ามกับซิกแพคพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น หัวยุ่งเหยิงที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งตื่นนอนทำร้ายความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย


“หลังจากอกหัก แถมยังถูกหมาบ้าที่ไหนไม่รู้ฟัด การมีพยาบาลน่ารักๆ มาคอยดูแลแต่เช้าแบบนี้ก็ไม่ทำให้ชีวิตดูแย่ไปซะทีเดียวหรอกใช่ไหม พี่ชาย?”  คนพูดเดินยิ้มเผล่เข้ามาในห้อง


ว่าแต่.. เมื่อกี๊เขาพูดว่า ‘อกหัก’ เหรอ?


“เฮียภูมิ..”  ผมยกมือไหว้


“ไม่ต้องไหว้หรอก เห็นเรายกมือไหว้ทีไร พี่รู้สึกเหมือนตัวเองแก่มากทุกที”  คนพูดเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ ยกขาไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งวางแหมะบนสะโพกผมเนียนๆ  “นี่ยังไม่ 30 เลยด้วยซ้ำนะ เหลืออีกตั้ง 2 ปี”


“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”  ผมแกะมือเขาออกอย่างไม่ให้น่าเกลียด


เฮียภาคจับเอาลูกประคบไปประคบให้ตัวเอง พลางส่งสายตาดุๆ มองฝาแฝดของตัวเอง


“เมื่อคืนครับ”  เฮียภูมิใช้สองมือจับหน้าผมไว้ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยๆ ใต้ตา และยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากโดยไม่จำเป็น  “หน้าตาดูเพลียๆ นะ มีปัญหากับการนอนเหรอ? ไอ้พวกเรื่องบนเตียงเนี่ยปรึกษาพี่ได้นะ ถนัด”  มีขยิบตาให้ด้วย


“ขอบคุณครับ.. แต่ไม่รบกวนดีกว่า”  ผมจับมือเขาออกจากแก้ม แล้วกระเถิบหนีออกมา แต่กลายเป็นว่าผมขยับเข้าไปใกล้เฮียภาคซะอย่างนั้น


“แกกำลังคุกคามทางเพศเขาอยู่นะ”  เฮียภาคปรามเสียงเข้ม เขาเอามือมาโอบเอวผมแล้วดึงเข้าหาตัว เข้าใจว่าต้องการกันผมจากน้องชายของเขา แต่อีหรอบแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากที่น้องชายเขาทำเลยสิ?


“อย่าลืมบอกตัวเองด้วยล่ะ คุณพี่”  เฮียภูมิพูดยิ้มๆ สายตาล้อเลียนของเขาทำให้เฮียภาครู้ตัว แล้วปล่อยมือจากเอวผม เขากระแอมไอแก้เก้อ ขณะที่เฮียภูมินั่งหัวเราะชอบใจ


“ต่าย..”


รักปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูพร้อมสีหน้าเรียบเฉย แต่มันก็ทำให้ผมโล่ใจ อย่างน้อยก็จะได้ออกไปจากตรงนี้สักที


“ขอคุยด้วยหน่อย”





ถึงจะพูดแบบนั้น..


แต่หลังจากมานั่งอยู่ในสวนด้วยกันพักใหญ่ รักก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ผมเลยตัดสินใจพูดก่อน


“รัก เรื่องเมื่อคืน..”


“เลิกกันเถอะ”


ผมนิ่งค้าง คำพูดที่คิดเรียบเรียงเมื่อกี๊ละลายหายหมด ตอนนี้คิดอยู่อย่างเดียวว่าผมเพิ่งได้ยินอะไรมา ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเค้นเสียงให้หลุดออกจากคอได้


“อะไรนะ?” 



“เราเลิกกันเถอะ”  รักพูดซ้ำ ซ่อนแววตาของตัวเองด้วยการหลุบมองต่ำ


“ทำไม?”  ผมไม่เข้าใจ  “เราทำอะไรผิดอีก?”


รู้สึกเหมือนมีน้ำตารื้นขึ้นมา มือสั่นจนต้องจับกันเอาไว้แน่น


“ไม่.. มึงไม่ได้ผิด กูต่างหากที่ผิด หลังจากเรื่องเมื่อคืน มึงไม่โกรธกูหรือไง? ขนาดกูยังโกรธตัวเองเลย”


“โกรธสิ มากด้วย คิดว่าถ้ามีครั้งที่สองเราจะไม่ให้อภัยรักแน่”


“มันจะไม่มีอีกแล้วล่ะ”  รักยิ้ม แต่แววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย  “สบายใจได้ มึงไม่ต้องเจอกับเรื่องแบบเมื่อคืนอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องมาทนกับนิสัยเสียๆ ของกู ปากเสียๆ ของกู ไม่ต้องคอยมาเอาอกเอาใจกูอีก กูจะไม่ยึดมึงไว้อีก มึงจะได้ไปหาคนที่มึงรักจริงๆ..”


“แต่เรารัก รัก!” ผมทั้งโกรธ เสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง สับสนวุ่นวายอยู่ในอกจนแทบจะควบคุมมันเอาไว้ไม่ได้


“อย่าหลอกตัวเองดีกว่า.. มึงรักไอ้ไอ”


“ทำไมเราต้องรักไอ?”


“ก็มึงรักมันมาตลอด!”  รักเหมือนจะเริ่มเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน  “มึงรักมันมาตั้งแต่แรก มึงห่วงมัน แคร์มัน สนใจเรื่องของมัน แล้วแบบนี้จะให้กูเข้าใจว่ายังไง?”


“การที่เราเคยชอบไอ ก่อนจะตัดใจแล้วมาคบกับรัก มันแปลว่าเราจะไม่สามารถหันกลับไปหาไอไม่ว่าจะในฐานะไหนเลยใช่ไหม? ความรักของรักมันมีอยู่แค่รูปแบบเดียวหรือไง? แล้วไอ้ที่รักกล้าเอาเราไปเป็นของเดิมพันเมื่อคืนล่ะ มันไม่ใช่เพราะว่ารักก็รักเพื่อนของตัวเองเหรอ? แล้วทำไมเราจะรู้สึกแบบนั้นกับไอบ้างไม่ได้? เราห่วงไอก็เพราะเรารู้ถึงปัญหาของเขา แคร์เขาก็ไม่ต่างจากที่รักแคร์เพื่อน! แล้วก็อย่าเข้าใจผิดว่าที่ผ่านมาเราต้องคอยทนกับรัก เราไม่เคยคิดจะทน! เรารู้ดีว่ารักเอาแต่ใจ ปากร้าย แต่ไม่ได้ใจร้าย ขี้หึง ขี้หวง เราคงต้องหมดความอดทนเข้าสักวันแน่ถ้าคิดแค่ว่าจะต้องทนกับนิสัยพวกนั้นให้ได้ แต่เพราะเราไม่เคยคิดแบบนั้นไง! เราไม่ทน แต่เปิดใจยอมรับ ในเมื่อเราเลือกที่จะรักคนคนนี้แล้ว ทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเขาเราก็ยอมรับมันได้ทั้งหมด ..แล้วรักล่ะ เคยคิดที่จะยอมรับที่เราเป็นเราแบบนี้บ้างไหม?”


คนฟังเม้มปากแน่น ผมทิ้งช่องว่างเพื่อละลายความรู้สึกที่มาจุกอยู่ตรงคอ พอมันค่อยคลายลงแล้วจึงเริ่มพูดต่อ


“ความรู้สึกเราอาจไม่ได้เริ่มจากร้อยในตอนที่ตกลงคบกัน แต่มันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน เราเปิดใจให้รักเข้ามาข้างในมากขึ้นทุกทีๆ แต่รักกลับไม่ยอมเปิดใจตัวเองเลย รักคิดแต่ว่าเราไม่ได้รักรัก เรารักไอ แล้วก็เริ่มจับผิดกับทุกสิ่งที่เราทำให้ไอ โดยมองข้ามทุกอย่างที่เราตั้งใจทำให้รัก ทั้งที่มันเอามาเทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”


ผมขมวดคิ้วเอาไว้แน่น กลัวว่าถ้าผ่อนลงแม้แต่น้อยแล้วน้ำตาที่กลั้นไว้มันจะไหลออกมา


“เราอยากให้รักลองทบทวนดูใหม่อีกครั้งนะ วันนี้เราจะถือว่ารัก...ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ถ้ารักกลับไปคิดทบทวนดูแล้ว.. ก็ยังรู้สึกว่าเราทำไม่แฟร์กับรักอยู่ดี ..ถึงตอนนั้นรักค่อยเดินมาบอกกับเราอีกครั้ง....แล้วเราจะไม่ดึงดันรั้งรักเอาไว้อีก”  ผมสูดหายใจเข้าลึก  “งั้นวันนี้เรากลับก่อนนะ”


ผมหันหลัง หลับตานิ่งเพื่อข่มอารมณ์ ก่อนจะเริ่มออกเดินทีละก้าวอย่างมั่นคง ทั้งที่ข้างในมันล้มระเนระนาดไม่เป็นท่าไปหมดแล้ว





ปี๊น ปิ๊นนน..


“แท็กซี่ไหมครับ คุณหนู?”  คนที่ขับรถมาเทียบข้างๆ ลดกระจกลงถามพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มประจำตัว


ผมเพิ่งเดินมาถึงกลางซอยบ้านรัก ที่จริงก็มีทั้งแท็กซี่ทั้งวินมอ’ไซด์ขับผ่านไปหลายคัน แต่เพราะวันนี้ผมไม่ได้รีบร้อนอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ดีกว่า


“ผมมีแค่ค่ารถเมล์”  ผมเดินต่อ รถคันนั้นก็ขยับมาตีคู่อีก


“ความจริงแล้ววันนี้เรามีโปรโมรชั่น นั่งฟรีถึงที่หมาย แถมยังได้ทิชชู่อีกกล่องหนึ่งด้วยนะ”  ทิชชู่กล่องที่ว่าถูกโบกไปโบกมาอย่างกับมันน่าสนใจพอจะดึงลูกค้าได้จริงๆ งั้นแหล่ะ


ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงประตูรถเปิด ก้าวเข้าไปนั่ง แล้วรับทิชชู่กล่องนั้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง


“ไปมหา’ลัยนะ?”


“ครับ”


ผมเอนหัวพิงประตูรถ แล้วปิดตานิ่ง เฮียภูมิคงพอรับรู้ถึงอารมณ์ของผมได้ เลยขับรถไปเงียบๆ ไม่หยอกไม่หยอดเหมือนที่ชอบทำ มีเพียงเสียงเพลงสไตล์ Easy listening เท่านั้นที่ดังคลอไปตลอดทาง




“จอดข้างหน้าด้วยครับ”  ผมชี้ให้จอดแถวสวนสาธารณะใหญ่ที่จำได้ว่านั่งรถไฟฟ้าผ่านทุกวัน ก็ได้แต่ผ่าน แต่ไม่เคยเข้าไป ไหนๆ วันนี้ก็ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะแยะ แวะเข้าไปเอ้อระเหยหน่อยจะเป็นไรไป


“แต่ยังไม่ถึงเลยนะ”  เฮียภูมิคงหมายถึงมหา’ลัย


“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมมีเรียนบ่าย”


“สวนสาธารณะงั้นเหรอ”  คนพูดสอดส่ายสายตาไปนอกรถ  “อืมมม พี่ก็ว่าง..”


“ผมอยากอยู่คนเดียวสักพักน่ะ”  ผมบอกความต้องการ เพราะพอจะเดาสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่ออก


เฮียภูมิเลิกคิ้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอบอุ่นให้อย่างที่ผมไม่เคยได้เห็นจากเขามาก่อน แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวผม


“งั้นไม่กวน”  เขาโน้มตัวข้ามมาเปิดประตูรถฝั่งผมให้  “เชิญครับ”


“ขอบคุณครับ”


“แล้วอย่าโดดเรียนล่ะ”  เขากลับไปยิ้มกรุ้มกริ่มอีกครั้งหลังผมลงจากรถมาแล้ว


“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”


ผมยืนรอจนรถของเฮียภูมิเคลื่อนตัวออกไป  ถึงได้หันหน้าเข้าหาสวนสาธารณะ แม้จะยังไม่สายมาก แต่เพราะเป็นวันธรรมดา แถมยังเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ผู้คนก็เลยค่อยข้างบางตา จนบางมุมออกแนววังเวงเลยล่ะ ซึ่งก็ดี ผมกำลังต้องการอะไรแบบนี้อยู่พอดี ร่มรื่น เงียบสงบ





“บันนี่จริงๆ ด้วย”


ไม่รู้ว่าผมนั่งเหม่อมองแมลงที่เรียกกันว่า ‘จิงโจ้น้ำ’ เดินเล่นอยู่ในสระบัวนานแค่ไหนแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงทักซึ่งมาพร้อมกับเงาใหญ่โตที่บดบังร่างผมจนมิดนั่นแหล่ะ


“เมโล่?”


ผมแหงนหน้าขึ้นมอง หมอนั่นก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน เขาอยู่ในชุดกางเกงวอร์มกับเสื้อยืด ในมือข้างหนึ่งถือถ้วยไอติมตักถ้วยใหญ่ ส่วนอีกมือมีสายจูง.. ผมไล่สายตาลงมาตามสายเรื่อยๆ ก็เจอะกับเจ้าขนปุกปุยสีขาวล้วน แต่มันไม่ใช่หมาอย่างที่ผมคิด มันคือแมว...เอ่อ..แมวนั่นแหล่ะมั้ง ผมไม่ค่อยแน่ใจ หน้าตามันแปลกๆ นิดหน่อย ดูบานๆ กลมๆ มองแล้วเหมือนของยัดนุ่นมากกว่าของจริง ตาตี่อีกต่างหาก แถมมองผ่านๆ ยังดูเหมือนมีคิ้วด้วย ตัวอ้วนกลม แขนขาหนาปึ้ก และมีสายจูงรัดไว้ที่หน้าอก ก็...ปกติเขาจูงแมวออกมาเดินเล่นกันแบบนี้ด้วยเหรอ? เพิ่งเคยเห็น..


“เพิ่งเคยเห็นอยู่แถวนี้”  เมโล่ทิ้งตัวนั่งข้างผม


เจ้าตัวกลมก็มาดมๆ ถูๆ ผมอยู่สักพักก็เดินขึ้นมานอนในตักผมเลย ..อั้ก รู้แล้วว่าทำไมเมโล่ถึงเลือกที่จะจูงมันแทนที่จะอุ้ม ก็ตัวหนักซะขนาดนี้นี่นะ ที่เห็นพองๆ นี่ไม่ใช่เพราะขนเหมือนแมวบางสายพันธุ์หรอก ถ้าเป็นสำหรับเจ้าตัวนี้ล่ะก็ ไขมันล้วนๆ เลยเหอะ


“ก็เพิ่งเคยมานี่แหล่ะ พอดีว่างๆ น่ะ แล้วเมโล่กับ..”  ผมก้มมองเจ้าก้อนไขมันที่หลับอุตุไปแล้ว อะไรจะง่ายปานนั้น?


“แคนดี้”  เมโล่ช่วยต่อให้


“โอ้ ชื่อแคนดี้เหรอ? น่ากินจังเลยนะ”  ผมลูบขนแคนดี้เบาๆ มันนุ่มมือเหมือนขน..เอ่อ ผมของเมโล่เลย


“ห้ามกินนะ!”


ผมหันไปมองเมโล่ที่ดูเชื่อจริงจัง แล้วหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่


“ถ้าบันนี่หิว เอานี่ไป”  เมโล่ยัดเยียดถ้วยไอติมตักใส่มือผม


“เราพูดเล่น ไม่ได้คิดจะกินแมวนายจริงๆ สักหน่อย”  ผมยื่นถ้วยไอติมคืน แต่เมโล่ผลักกลับมาอีก


“แต่บันนี่ดูท่าทางหิว”


“เราไม่ได้หิว”  ผมยืนยัน ถึงจะยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าหิวเลยสักนิด


“จริงๆ นะ หน้าบันนี่เหมือนคนหิว”  เมโล่ก็ยืนยันเช่นกัน


“จริงเหรอ?”  ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังทำหน้ายังไงอยู่กันแน่


“อื้อ ดูน่าสงสารมากเลย ไม่มีใครในจักรวาลนี้ที่จะน่าสงสารไปกว่าคนหิวอีกแล้วล่ะ เค้ารู้ดี เพราะเคยหิวบ่อยๆ”  คนพูดนั่งกอดเข่า ซบหัวไว้กับเข่า เอียงหน้ามาทางผม


ผมหัวเราะกับตรรกะแบบมนุษย์ต่างดาวของเมโล่ ..หิวเหรอ? หิวนี่มักจะมาคู่กับ ‘โหย’ ใช่ไหม? ผมว่าผมน่าจะกำลังโหยมากกว่าหิวนะ ..หรือเมโล่จะอ่านความรู้สึกผมออก?


“ขอบใจนะ แต่กินได้จริงๆ เหรอ?”  ผมก้มมองไอติมตักในมือ มันแหว่งหายไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังเหลืออยู่อีกเยอะ


“บันนี่ไม่ชอบไอติมเหรอ?”


“เปล่า เมโล่ต่างหาก ไม่เสียดายเหรอ?”  ผมถามยิ้มๆ แล้วยื่นถ้วยคืนไห้ เพราะพอจะรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายอยู่บ้าง


เมโล่มองไอติมตักในถ้วยเหมือนถูกสะกดจิต ลูกกระเดือกที่เคลื่อนตัวทำให้รู้ว่าเจ้าของผมกลืนน้ำลาย ผมอยากจะขำ แต่ก็กลั้นเอาไว้ ท่าทางเมโล่ต้องต่อสู้ระหว่างมนุษยธรรมกับสัญชาตญาณอย่างหนักเลยล่ะ


แต่สักพักก็เหมือนจะรู้สึกตัว เลยส่ายหน้ารัวๆ


“ไม่.. ไม่ ไม่ บันนี่ดูหิวกว่า”  แล้วก็พยักหน้าอย่างคนตัดใจ  “บันนี่กินเถอะ”


“ขอบใจนะ..” 


ผมยอมตักไอติมในถ้วยกินแต่โดยดี อีกฝ่ายอุตส่าห์ต่อสู้กับตัวเองถึงขนาดนั้นเพื่อยกมันให้ผม ถ้าไม่กินก็จะเป็นการทำลายน้ำใจของเขาเปล่าๆ แม้ว่าผมจะไม่รู้สึกหิวเลยก็ตาม


“อร่อยไหม?”


“อื้อ มากเลยล่ะ”


“เค้าก็ว่าอร่อย” 


“บ้านเมโล่อยู่แถวนี้เหรอ?”


“ห่างไป 3 ป้ายรถเมล์”


“แล้วเดินมาหรือขึ้นรถเมล์มากัน?”


“เดินมา”


“มาบ่อยเหรอ?”


“อื้อ”


ผมรู้สึกถึงมือใหญ่ที่กำลังลูบหัวผมอยู่เบาๆ เลยเงยหน้าขึ้นมอง เมโล่ยังนั่งกอดเข่าแล้วซบหัวไว้กับเข่าเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมก็แค่มือที่เอื่อมมาลูบหัวผม


“เค้าชอบเวลาที่บันนี่ทำแบบนี้กับเค้าเหมือนกัน”


งั้นเหรอ.. ผมเองก็ชอบเหมือนกัน นอกจากแม่แล้วก็มีเมโล่นี่แหล่ะ ที่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนแบบนี้ รู้สึกเหมือนกำลังถูกปลอบใจอยู่เลย ..แล้วก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน


ผมเอียงหัวเข้าหาฝ่ามือใหญ่ หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากมือข้างนั้น แต่สัมผัสจากลมอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมาบนหัว ตามด้วยริมฝีปากที่แนบลงมาบนกลุ่มผม ก็ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง


“แต่เราไม่เคยทำแบบนี้นะ”  ผมพูดกับถ้วยไอติมในมือ



“เค้าแถมให้” พูดจบก็ก้มลงมาจูบซ้ำอีกที..












TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2014 10:04:16 โดย White Raven »

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
มีคนปลอบชายต่ายของเราแล้ว

รักชายต่ายที่สู้ดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เพิ่งจะเคยเห็นชายต่ายระเบิดอารมณ์ครั้งแรกเลย เพราะปกติจะเป็นคุณชายนิ่งๆสบายๆ แบบอะไรก็ได้ไม่เป็นไร แอบตกใจแหะ ชายต่ายมีพี่น้องคนละแม่ด้วยและท่าจะหลายคนอยู่

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
กรี๊ดดดดดดดด วันนี้มันวันอะไรของคุณชายเนี่ยยยย :z3:  :o12:
สารพัดจะปัญหา โถ่ๆๆๆๆๆ  :hao5: สุดท้ายแล้ว ใครจะเป็นเจ้าของกระต่ายตัวนี้น้อ
รอตอนต่อไป.... :กอด1:

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เมโล่น่าร้ากกกกก ชอบคนแบบเมโล่ ใสๆซื่อๆเหมือนเด็ก //ชูป้ายไฟเป็นแฟนคลับเมโล่

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
เรายังอยสกให้รักเป็นพระเอกนะ  แง๊  :ling3:

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
อ๊าคคคค   เฮียภาคก็ชอบบบ   งอนรักแล้ว   เชอะ!!! 

ปล  เมโล่วววว  เราคิดถึงนายยยยย  มาหาเราหน่อยสิ เดี๋ยวเหมาไอติมวอลมาให้ !!   :hao6:

ออฟไลน์ k_U_K_K_I_K

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เมโล่มาแบบนิ่มๆ 555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2

ออฟไลน์ murasakisama

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-4
ฮาเร็ม!!!! เรื่องนี้มันคือฮาเร็มของชายต่าย :hao6: ไม่รู้จะเลือกใครดีเลย แต่ยังไงก็เชียร์เมโล่มากกว่ารักนะ เพราะรักนิสัยเด็กเกินไปเหมาะจะเป็นน้องชาย ส่วนเฮียแฝดนี่ออกแนวหมาหยอกไก่เป็นพี่ชายไปอะดีแล้ว แกรี่ก็แค่เพื่อน สุดท้ายก็ต้องไอซินะ  :ling1:

ออฟไลน์ leceto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ชายต่ายเจอมรสุมหน่วงๆ บางทีเราก็แอบคิดว่าเอ๊ะหรือว่าชายต่ายกับรักชาติเค้าจะไม่เหมาะกันจริงๆ  และที่รักชาติบอกเลิกก็คงเพราะรู้สึกผิด ลึกๆแล้วรักชาติดูอ่อนไหวมากและคงไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหาตรงนี้ยังไง  แต่ไม่ว่าต่อไปเรื่องจะเป็นแบบไหน เราก็ยังจะเป็นแม่ยกรักชาติอยู่ (รักชาติคงไม่หายไปใช่ม้ายยยยยย)

ออฟไลน์ Maewjunsu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 325
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ชายต่ายน่าสงสารจริงๆตอนนี้ แสดงว่าพ่อชายต่ายนี่มากรักหลายใจเมียเยอะลูกแยะละซิ ยังไม่รู้เรื่องพ่อชายต่ายเลยอยากรู้มาก รักชาติรักชายต่ายจริงหรือแค่หลงถ้ารักจริงบอกเลิกกันได้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ??? ชักอยากให้ชายต่ายได้กับมนุษย์ต่างดาวซะแล้ว มีแฟนเป็นมนุษย์โลกมันยุ่งยากนักรักกับมนุษย์ต่างดาวคงจะดีกว่า

ออฟไลน์ Littlesir

  • I adore all the things you hate about yourself.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-0
แอบปลื้มเฮียภาคนะ
เป็นแฝดกันนิสัยคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ดูๆแล้วน่าจะเป็นพี่ชายที่ดีให้ต่ายได้
แกรี่นายมันโรคจิต ชอบเห็นบันนี่ร้องเหรอ แบบเราทำเค้าร้องแล้วเราก็อยากปลอบเค้าเองน่ะเหรอ ชอบบันนี่ใช่ม๊ะ? แบบว่าชอบด้วยแต่ก็เกลียดด้วยไรงี้ป่ะ (มั่ว)
คือเราว่าบันนี่น่าจะคู่กะรักนั่นแหละ ถ้ารักไม่ถอดใจถอยไปเองซะก่อนล่ะนะ ครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนให้รักเข้มแข็งขึ้นก็ได้
พอๆเลิกเดาๆ มารอตอนต่อดีกว่า
ปล. เมโล่แมวน้อยของเค้า น่ารักแลดูอบอุ่นมาก จริงใจใสซื่อ อร๊ายยยย
อยากด้าายยยยอ๊าา

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
จนตอนนี้เราก็ยังชอบชายต่ายมากๆๆๆๆๆ

แล้วไงก็แค่คนธรรมดา ที่อยากมีความรัก รักแล้วคิดถึงคนรอบข้างไม่ได้เหรอไง
ที่น่าเบื่อคือ อิพวกรักแล้วตัวเองต้องได้หมดทุกอย่างของคนรักนั่นแหละ
ตรูรำคาญรักชาติสุดๆๆๆๆๆๆๆ ทำตัวว่ารักต่าย แต่จริงๆรักตัวเองมากกว่า ไม่อยากให้ตัวเองเสียใจ #โดดถีบยอดหน้า


ไม่เชียร์ใครให้ต่ายทั้งนั้น ต่ายมีสิทธิเลือกค่ะ!!

ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ในฐานะแม่ยกรักชาติและสมาคมคนหมั่นไส้อิคุณช๊าย เราจึงเข้าข้างรักชาติเสมอ รักชาติไม่ผิด 555555 ชายต่ายดูแคร์อีตาแกรี่นี่จัง การกระทำคำพูดอะไรทำไมดูมีผลต่อจิตใจชายต่ายแปลกๆ ถึงขนาดทำชายต่ายร้องไห้เลยแน่ะ =_= ไม่ชอบเลยผู้ชายแบดบอยแบบนี้ เห้อม

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
ตอนนี้เริ่มเชียร์เฮียภาค กับเมโล่ซะแล้ว

คนอื่นๆ ไม่เคย คิดถึงจิตใจของชายต่ายเลย

ต้องสองคนนี้เลย เชียร์ขาดใจสุดดิ้น

ออฟไลน์ Linea-Lucifer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อยากจะตายเพราะเมโล่ น่ารักกกกกกกกก
แถมรูปแมวจูบหัวกระต่ายนั่น อ้ากกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Shin Heeyoo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
อ่านตอนนี้แล้วเครียด
มามุ้งมิ้งเอาตอนท้ายเรื่องที่เจอเมโล่นี่แหละ
เรายกต่ายให้เมโล่ได้มั้ย
รู้สึกว่าเมโล่เป็นคนเดียวที่อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องคิดมากน่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สรุปแกรี่เป็นพี่ชายที่หลงน้องตัวเองเข้าให้แล้ว ชอบแกล้งให้น้องร้องไห้แล้วมีความสุข
เฮียภาค เฮียภูม ถึงจะน่าหลงใหลแต่บทแค่ไม้ประดับสินะ
เมโล่ของเจ้น่ารักทุกตอน แถมตอนนี้ทำตัวดีมีประโยชน์ด้วย เดี๋ยวเลี้ยงหนม
ถ้าชายต่ายจะเลือกรักชาติ เราก็ไม่ว่า แต่รักชาติก็ช่วยทำตัวให้สมกับที่ได้รับความรักด้วยจะดีมาก

ออฟไลน์ uchikas

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
“แต่เรารัก รัก!” 


จุกกว่านี้มีอีกไหม -_-
ตอนนี้ไม่มีไอเลย สไลด์ตัวเองออกจากเล้า

ออฟไลน์ pa_jae

  • You don’t even know how very special you are..my jaejoong
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
โธ่....รัก   หนูทำได้แค่นี้เองเหรอลูก   o7 o7

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เง้อ สุดท้ายบันนี่เป็นนายเอก เมโล่เป้นพระเอก แว้กก อิอิอิ

ออฟไลน์ andear

  • ยาราไนก๊ะ ??
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
เมโล่ ยอมโผล่มาแล้วหรือจ๊ะ น่าร๊ากกกกกกที่สุกเลย
น้องต่ายอยู่กับเมโล่ดีกว่านะ น่าร๊ากกกกกกกก

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
เมโล่ นายน่ารักที่สุดเลย

ออฟไลน์ echoficy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อร้ายยยยยยย. เมโล่ น่ารักที่สุดดดด :-[

ออฟไลน์ yoyo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เฮ้ย แบบ แอบชอบแกรี่  5555
เท่ฝุดๆ แบดบอด + ค้ำคอร์

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
หลังจากคนที่หกโผล่ขึ้นมา(คนที่หกใช่ไหมนะ) นั่นละก็เริ่มรู้สึกว่าคนเขียนจะทำร้ายเราซะแล้วแล้วก็จริง คือแบบยังไงก็ต้องเลิกกันหรือ แล้วตกลงต่ายจะคู่กับใครละ แบบว่าอย่าให้ต่ายต้องชีช้ำโดยต้องถูกบอกเลิกบ่อยๆนะ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
แก้โจทย์ความสัมพันธ์ครั้งนี้หนักกว่าแก้โจทย์เลขอีก Orz
ส่วนตัวชอบให้ต่ายเคะนะ แต่กับรักเป็นข้อยกเว้น
ตอนนี้ให้คะแนนเฮียภาคกับเมโล่เต็มๆ
แต่ส่วนตัว... แอบไม่ชอบไอ55555555
แบบใครก็ได้ที่ไม่ใช่คนนี้อ่ะไม่ปลื้มมมมมมมมมมม!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด