[Ultimate Love] ยากนัก... รักนี้ ♥♥♥ ตอนส่งท้าย up!! 011114/P.44 จาก ss1 สู่ ss2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณปลื้มหนุ่มคนไหนมากที่สุด? (เลือกได้ 2 ข้อ)

รักชาติ  (คุณหนูผู้ไล่ตามความรัก)
101 (21.8%)
ไอ  (หนุ่มเฟรนด์ลี่ที่เดาใจได้ยาก)
41 (8.8%)
เมโล่  (แมวยักษ์จากต่างดาว)
109 (23.5%)
ปูเป้  (โชตะวัยประถมฯ)
5 (1.1%)
เฮียภาค  (กัปตันสุดเข้ม)
32 (6.9%)
เฮียภูมิ  (ผู้กองจอมกะล่อน)
14 (3%)
แกรี่  (แบดบอย+ค้ำคอร์)
32 (6.9%)
ชายต่าย  (ผู้เกิดมามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ 555)
130 (28%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 273

ผู้เขียน หัวข้อ: [Ultimate Love] ยากนัก... รักนี้ ♥♥♥ ตอนส่งท้าย up!! 011114/P.44 จาก ss1 สู่ ss2  (อ่าน 279340 ครั้ง)

ออฟไลน์ mutoo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-37
ต่ายต้องเป็นรับถึงดี อ่านมาแต่แรกเนี่ยนึกภาพต่ายรุกแล้วแบบว่า มันไม่ช่าย

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
จริงที่พี่ต่ายยไม่ชัดเจนเอง ....แต่คนรักกัน เลิกรักกันง่ายแค่ไหนนะ นี่คิดว่ารักยังรักพี่ต่าย แต่แค่อยากให้บทเรียน รีบคืนดีกันนะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ Minnie~Moo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ชายต่ายไม่เห็นพยายามทำอะไรเพื่อความรักของตัวเองเลย  :ling2:  :ling2:

น่าจะพยายามมากกว่านี้ :angry2: ถึงแม่ว่ารักจะทำเหมือนว่าไม่เอาแล้วแต่อย่างน้อยก็น่าจะลองยื้อไว้ให้ถึงที่สุดก่อน  :fire:

เป็นคนร้ายที่ทำตัวเป็นผู้เสียหายเหมือนที่น้องสาวพูดเลย  :m16:  :m31:  :m16:

เรื่องนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นรัก  :katai1:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
รู้สึกสงสารไอและหมั่นไส้ในเวลาพร้อมกัน ส่วนรักจะเย็นชาไปไหน ชายต่ายก็ทำตัวเปื่อยๆมึนๆไงไม่รู้ ภาคต่อไปน่าจะสนุกหรือมีอะไรเปลี่ยนไปมากแค่ไหน รอติดตามอยู่น้า  :mew1: o13 :impress2: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
รักแน่มาก
หวังว่าต่ายคงได้บทเรียนอะไรบ้างนะ
ส่วนไอ ถ้ายังเป็นแบบนี้จะหาความสุขได้ไหม

ออฟไลน์ bennnyyy

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 791
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 :katai2-1: สมน้ำหน้าน้องต่าย

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
รักเด็ดขาดมาก

แต่คิดว่ารักก็ยังรักต่ายอยู่

ต่ายคงได้บทเรียนบ้าง

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
เหอะๆๆๆๆๆ
กำลังทำใจ
 :call:
ภาวนาขอให้คนเขียน อย่าเล่นอะไรพิศดารทีเถิ้ด
ใจจะวาย :z10:
รอความคืบหน้าของอิต่ายต่อไป :mew1:

ออฟไลน์ poisongodx

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
คงดีที่สุดเเล้ว  :mew2: :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
แล้วพ่อพระเอกก็ไม่เหลือใครเลย

ออฟไลน์ TiwAmp_90

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :mew5:
เป็นเรื่องที่เดาอะไรต่อไปไม่ออกเลยค่ะ
แต่ดูจากที่นักเขียนเกริ่นๆไว้ คงไม่จบเอนดิ้งซักเท่าไหร่(?)
ถ้าถามว่า...เรื่องนี้ชอบใครที่สุด --- บอกเลย "น้องกวาง" 55555
แต่ถ้ากับใครที่ไม่ชอบมากที่สุด --- "ไอ" ไม่ชอบแบบไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!
แถมท้าย --- เค้าสงสารรักอ่าาาาาาาาาาาาาา า .
และคิดในใจตงิดๆว่า อยากให้ชายต่ายคู่กับพี่ภาค, จริงๆนะ

ออฟไลน์ away3g

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-1
 :o12:รอรอรอรออรอ

ออฟไลน์ White Raven

  • I'm beautiful in my way.~
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +779/-3
    • Fanpage
ยากนัก... รักนี้ ♥



บทส่งท้าย




1 เดือนต่อมา...


ในที่สุดงานแต่งงานของพี่หงส์ก็มาถึง โดยพิธีรดน้ำสังข์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านของพ่อแม่เจ้าบ่าวในช่วงเช้า แขกเขรื่อจึงมีเฉพาะเครือญาติและกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่งานฉลองสมรสในช่วงค่ำนี้จัด ณ โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการจัดแจงของครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าว เชิญผู้มีเกียรติมาร่วมงานราว 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนรู้จักของพ่อแม่เจ้าบ่าวทั้งนั้นแหล่ะ


“ใจหินเกินไปแล้ว”  ลูกปลาว่าพลางหมุนแก้วเครื่องดื่มซอฟดริ๊งค์ในมือเล่น หลังได้ฟังผมพูดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจระยะนี้ให้ฟัง ระหว่างแอบหลบงานมาหาเสบียงใส่ท้องด้วยกันแถวไลน์ค็อกเทล


เรื่องของเรื่องคือตั้งแต่งานโอเพ่นส์เฮาส์ ผมกับรักก็เจอหน้ากันบ้างเวลาอยู่ที่คณะ และสำหรับผมมันก็ยังทำใจยากทุกครั้งที่ต้องสบตาหรือเดินสวนกับเขา ถ้าเพียงแค่เขาจะมีปฏิกิริยาสักหน่อย เช่น หลบหน้า หลบตายสา หรือบึ้งตึง เหมือนตอนที่เขาบอกเลิกผมครั้งแรก มันก็คงไม่เจ็บขนาดนี้ แต่นี่เขากลับทักผมบ้าง พยักหน้าให้เวลาเดินสวนกันบ้าง ทำเหมือนที่เขาทำกับคนรู้จักของเขาคนอื่น พอคิดว่าเขาไม่ได้เจ็บปวดเพราะผมแล้ว ผมไม่มีอิทธิพลอะไรต่อหัวใจของเขาแล้ว  มันก็ยากที่จะยอมรับได้สำหรับผมจริงๆ


ยิ่งเมื่ออาทิตย์ก่อน หลักจากปิดเทอมแล้ว พอคิดว่าผมจะมีช่วงเวลาให้ได้พักใจบ้าง เพราะจะไม่ได้เจอหน้าเขาอย่างน้อยก็อีกสักพัก แต่ดันเป็นว่าเขาไปลงคอร์สยูโดแบบสอนตัวต่อที่ตัวโดโจของโควเซนเซย์ ที่ผมเพิ่งรับปากว่าจะไปสอนประจำที่นั่นช่วงปิดเทอม จริงๆ แล้วผมลงคอร์สเด็กเล็กนะ เพราะเป็นงานที่ผมถนัดกว่า และเด็กๆ ก็ชอบผม(คิดว่านะ) ส่วนคอร์สที่รักลงนั้นเลือกลงกับโควเซนเซย์ในตอนแรก แต่บังเอิญเดือนนี้ภรรยาของเซนเซย์เพิ่งจะคลอดลูกสาวคนที่สาม ทำให้แกต้องแบ่งเวลาไปให้ครอบครัวมากกว่าเดิม(อย่างน้อยก็จนกว่าภรรยาจะแข็งแรง) และขอร้องให้ผมช่วยรับโอนคอร์สที่แกรับไว้มาสองเองครึ่งหนึ่ง เพราะแบบนี้หนึ่งในนักเรียนของผมจึงมีรักรวมอยู่ด้วย เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมต้องใช้เวลาอยู่กับเขา 2 ต่อ 2 ถึงอาทิตย์ละ 12 ชั่วโมงแน่ะ


ผมนึกว่าเขาจะเลิกสนใจยูโดตั้งแต่เลิกสนใจผมแล้วซะอีก สงสัยผมจะหลงตัวเองมากเกินไป ที่จริงผมไม่ได้มีอิทธิพลต่อความชอบหรือความไม่ชอบของเขาเลยสินะ (นึกแล้วเศร้า..)


เข้าใจวลีที่ว่า ‘ยิ่ง(อยาก)หนี ยิ่งเจอ’ ขึ้นมาลึกซึ้งเลยทีเดียว ก็ไม่รู้ว่านี่ผมกำลังถูกสวรรค์ลงโทษอยู่หรือเปล่า..


ทั้งที่อยากจะใจแข็งให้ได้อย่างเขา แต่ทุกครั้งที่อยู่กับเขาใจผมมันก็อ่อนยวบทุกที ลองนึกถึงหมาที่เห็นชามข้าววางอยู่ตรงหน้า แต่เจ้าของสั่งว่าห้ามกินเด็ดขาดสิ นั่นล่ะความรู้สึกของผมตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าระหว่างตัดใจได้ กับตัดศักดิ์ศรีตัวเองโยนทิ้งไปแล้วคุกเข่าอ้อนวอนแทบเท้าเขาให้เรากลับมาคบกันอีกครั้ง ผมจะทำอันไหนก่อนกัน


แต่หากเลือกได้ ผมก็ไม่อยากกลายเป็นคนน่าสมเพชในสายตารักหรอก


แถมยังมีอีกเรื่องที่รบกวนจิตใจผมไม่แพ้กัน ของที่ผมเก็บได้ที่โรงพยาบาลวันนั้น...


“แต่ก็เป็นคนที่เด็ดขาดดีนะ ตัดคือตัด จบคือจบ แมนดี ไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนคนแถวนี้”  ลูกปลาปรายตามาทางผมพลางยิ้มขำ


“ไหงงั้น”  ผมบ่นขณะมีกุ้มต้มอยู่เต็มปาก อีกคนเลยหัวเราะชอบใจ


“แต่ความจริงแล้วคนเราจะตัดใจให้ขาดง่ายขนาดนั้นเลยเร้ออ”  คนพูดทำหน้าครุ่นคิด ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ แล้วหมุนแก้วเล่นต่อ  “ทั้งที่ตอนคบกันก็ดูรักดูหวงชายต่ายซะขนาดนั้น อย่างน้อยเลิกกันก็น่าจะมีช่วงเฮิร์ทช่วงทำใจบ้างสิ นี่ดันเฉยสนิทเลย”


“คิดว่าไงล่ะ?”  ผมลองดูเมนูหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ที่ตัวโตจนน่าประทับใจบ้าง


“คิดได้ 2 อย่าง.. ถ้าไม่เก็บอาการได้ดีมาก ก็คงไม่ได้รักเลยตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาคงแค่เด็กหวงของเล่นเฉยๆ”


“งั้นเหรอ..”  ผมหวังว่ามันจะเป็นอย่างแรก


แต่ถ้าเชื่อว่าเป็นอย่างหลัง มันจะทำให้ผมตัดใจง่ายขึ้นอีกนิดหรือเปล่านะ..?


“มันก็แค่ความเห็นส่วนตัวล่ะนะ ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก” 


“อืม”  ผมพยักหน้า แต่มันเก็บมาแล้ว นอยด์ไปแล้ว ไม่ทันแล้วล่ะ


“ที่กินนั่นหอยแมลงภู่ไม่ใช่เหรอ?”  ลูกปลาชี้ฝาหอยในมือผม


ผมเลิกคิ้วแบบว่าเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากินอะไรอยู่ เลยรีบคว้าทิชชู่มาแล้วคายออก เพราะความจริงแล้วท้องไส้ผมไม่ค่อยถูกโรคกับอาหารทะเลจำพวกหอยเท่าไหร่(แต่กับน้ำมันหอยไม่มีอาการนะ) นึกแล้วงงตัวเอง ก็ว่าจะดูเลยๆ ไม่รู้มันมาอยู่ในปากได้ไง


“อาการหนักนะเนี่ย”  ลูกปลาว่า


“ยังไม่มีอาการเลย”  ผมแย้ง


เผลอกลืนไปแค่หน่อยเดียว คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ..หวังว่านะ


“หมายถึงอาการเหม่อของคุณชายนั่นแหล่ะค่ะ!”


“อ้าว เหรอ”  ผมทำหน้างง จังหวะเดียวกับที่หันไปเห็นน้องสาวกวักมือเรียกพอดี


วันนี้น้องสาวผมใส่เดรสสั้น สีแชมเปญ แขนกุด ช่วงไหล่เป็นลูกไม้โปร่ง เป็นยูนิฟอร์มของเพื่อนเจ้าสาวในค่ำคืนนี้ ลูกปลาเองก็ใส่แบบเดียวกัน สวยงามน่ารักกินกันไม่ลง แต่สวยที่สุดในงานนี้คงต้องยกให้เจ้าสาวอย่างพี่หงส์แน่นอนอยู่แล้วล่ะ ชุดเจ้าสาวสีขาว แขนยาว ผ้าลูกไม้ซีทรูสไตล์วินเทจ เว้าหลัง กระโปรงทรงหางปลาลากยาว กับผ้าคลุมผมที่ยาวไม่แพ้ชายกระโปรงดูเหมาะกับพี่หงส์มากจริงๆ ทั้งงามสง่าและเซ็กซี่ในตัว เห็นว่าเจ้าบ่าวเป็นคนรีเควสชุดนี้เองด้วย ดูเป็นคนไม่ค่อยขี้อวดเท่าไหร่เลย ว่าไหม? ฮ่ะๆๆ 


ผมพยักหน้าตอบน้อง มองหาที่ทิ้งกระดาษทิชชู่ หยิบม็อกเทล(ไร้แอลกอฮอล์)จากบริกรที่เดินเสิร์ฟมาดื่มล้างปากจนหมดแก้ว จากนั้นจึงหันไปชวนสาวข้างตัว


“ไปด้วยกันไหม?”  ผมยกแขนเป็นเชิงให้เธอควง 


“ไปสิ”  ลูกปลาวางแก้วเครื่องเดิมแล้วเดินควงแขนผมไปหาน้องกวางด้วยกัน


ตรงที่น้องผมอยู่ มีแม่และเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนอยู่ด้วย พอไปถึง แม่ก็ดึงตัวผมไปแนะนำกับผู้ชายสูงวัยคนหนึ่ง


“โอ้ นี่อากระต่ายน้อยเหรอ?”  ชายคนนั้นกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“พี่ต่าย ไหว้เจ้าสัวสันต์สิลูก”  แม่บอก


“สวัสดีครับ”  ผมยกมือไหว้เจ้าสัวนายเก่าของแม่ รวมไปถึงนายคนปัจจุบัน คุณศรันย์กับภรรยาที่มาด้วยกัน


“เจอครั้งล่าสุดยังไปไหนมาไหนกับตุ๊กตาอยู่เลยแท้ๆ ฮ่าๆๆ เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วสินะ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน”  เจ้าสัวเหมือนกำลังมองเห็นอดีตมากกว่าภาพปัจจุบัน


“แต่ท่านยังเหมือนเดิมเลยนะครับ ดูไม่แก่ลงเลย”  ผมพูดยิ้มๆ


“ฮ่าๆๆ ก็ช่างพูดเอาใจคนแก่นะ”  เจ้าสัวชอบใจ ก่อนจะหันไปสนใจลูกปลาที่ยืนอยู่ข้างผมบ้าง  “แล้วนั่นแฟนเราเหรอ? หน้าตาสะสวยสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก” 


“ลูกปลาเป็นแค่คนข้างบ้านค่ะท่าน”  เจ้าตัวพูดเองเลย


“คู่นี้เขาเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กค่ะ รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว”  แม่พูดแล้วยิ้มขำ


“ฮ่าๆๆ งั้นเรอะ นึกว่าจัดงานคนพี่เสร็จแล้วจะมีงานของคนน้องต่อเลยซะอีก ..งั้นยังโสดไหมหนู? อั๊วะมีหลานชายหลายคน แนะนำให้ได้นะ ฮ่าๆๆ”


“เป็นความกรุณามากเลยค่ะ”  ลูกปลายกมือไหว้พร้อมยิ้มหวาน ทุกคนเลยพากันหัวเราะชอบใจ


“ฮ่าๆๆ อั๊วะถูกใจแม่หนูนี่แฮะ แต่หลานชายคนเล็กอั๊วะจองไว้ให้หนูกวางแล้วนะ”  เจ้าสัวหันไปมองน้องสาวผมที่ยืนยิ้มเขินอยู่  “โตขึ้นมาเป็นหลานสะใภ้ของอั๊วะเถอะนะ?”


“ปล่อยให้เด็กๆ เขาเลือกกันเองเถอะครับ อาป๊า”  คุณศรัยน์ปรามเมื่อเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนใจของน้องสาวผม


“ลื้อนี่ชอบขัดอั๊วะจริง”  เจ้าสัวบ่นลูกชายแบบไม่จริงจังนัก


“ไอสบายดีไหมครับ?”  ผมถือโอกาสนั้นถามถึงหลานชายคนเล็กที่ว่าซะเลย


เพราะตั้งแต่งานโอเพ่นเฮาส์ ผมก็แทบจะไม่ได้เจอไอเลย ก็รู้แหล่ะว่าเขาคงยังไม่อยากเห็นหน้าผมเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากจะไปต่อแย เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องก็คงต้องอาศัยเวลา ไว้เขาพร้อมจะเปิดใจรับผมเมื่อไหร่ เราค่อยเริ่มต้นกันใหม่ในฐานะเพื่อนก็ยังไม่สาย ..ซึ่งผมก็หวังว่าจะมีวันนั้นล่ะนะ


แต่ผมเจอเมโล่บ่อย และยังเผลอตัวเสียตังค์เลี้ยงขนมมันแบบไม่ตั้งใจอยู่เรื่อยๆ ผมเลยรับรู้ความเคลื่อนไหวของไอผ่านเมโล่นี่ล่ะ เห็นล่าสุดบอกว่าไอจะย้ายกลับไปอยู่บ้านช่วงปิดเทอม แล้วเปิดเทอมค่อยกลับมาอยู่หอเหมือนเดิม


“จริงสิ ลื้อเป็นเพื่อนกับอาตี๋น้อยสินะ เห็นอากุ๊กไก่บอกว่าพวกลื้อเรียนอยู่ที่เดียวกันด้วย.. เฮ้อ พูดถึงเด็กนั่นแล้วหน่ายใจ วันๆ เห็นเอาแต่ออกไปทำงานงกๆ ข้างนอก งานที่บริษัทมีให้ทำตั้งเยอะก็ไม่ทำ ไม่รู้มันหัวแข็งเหมือนใคร”  พอพูดถึงหลานคนโปรดก็เหมือนเจ้าสัวจะหงุดหงิดขึ้นมา


“ก็คงเหมือนคนแถวนี้ล่ะมั้งครับ”  คุณศรันย์พึมพำ แม้ไม่ดัง แต่คนถูกพาดพิงก็ยังได้ยิน


“ลื้อหมายถึงอั๊วะเรอะ?”  เจ้าสัวหันไปเขม่นลูกชายที่ทำหน้ายิ้มๆ


จากนั้นครอบครัวนี้ก็หันไปพูดคุยกับบ่าวสาว อวยพรอวยชัยกันไป ก่อนที่แม่จะพาไปนั่งยังโซฟารับรองแขก VIP ส่วนน้องสาวผมเกิดหิวขึ้นมา เลยลากลูกปลากลับไปที่ไลน์อาหารอีกรอบ ส่วนผมถูกพี่หงส์รั้งไว้ให้ยืนช่วยรับแขกหน้างานต่อ ครู่หนึ่งก็เห็นเสธ.ดี้กับเฮีย..เอ่อ ยิ้มแบบนี้น่าจะเป็น ‘เฮียภูมิ’ เดินถือกล่องของขวัญเข้ามา หลังทักทายอวยพรคู่บ่าวสาวพอเป็นพิธีแล้ว คราวนี้พี่หงส์เลยยกหน้าที่ดูแลแขกคู่นี้ให้ผม เพราะเจ้าตัวติดรับแขกคนอื่น


“วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง”  ระหว่างทางเฮียภูมิโน้มหน้าเข้ามาพูดให้ได้ยินแค่สองคน


ผมก้มมองตัวเอง วันนี้ใส่เสื้อสูทกระดุมเดียว สีน้ำตาลครีม เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน หูกระต่ายลายทะแยงสีดำสลับขาว กางเกงสกินนี่สีดำ และรองเท้าหนังสีเดียวกับสูท ทั้งหมดนี่ได้มาจากห้องเสื้อของเพื่อนแม่ที่สุดจะภูมิใจนำเสนอ(ผมไม่ได้เลือกเอง) ตอนผมไปเอาชุดก็ถูกขอให้ใส่ถ่ายรูปอยู่นานสองนานแน่ะ


พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นรอยยิ้มกับสายตากรุ้มกริ่มตามสไตล์เฮียภูมิเขาล่ะ


วันนี้เฮียแกใส่สูทขาวสองกระดุม(แต่ไม่ติด) เสื้อเชิ้ตขาว ทั้งเสื้อตัวนอกตัวในมีลูกเล่นอยู่ตรงรังดุมแต่งสีดำเข้าชุดกัน กางเกง เข็มขัด รองเท้าเป็นสีดำล้วน ก็ดูหล่อขี้เล่นเหมาะกับลุคของเขาดี นึกแล้วก็อดคิดถึงน้องชายของเขาไม่ได้ ถ้ารักใส่สูทแบบนี้บ้างจะเป็นไงนะ คงดูดีมากทีเดียว...


“พี่ดูหล่อขนาดนั้นเลยเหรอ?”  อีกฝ่ายแซวขำๆ เมื่อหันมาจับสังเกตได้ว่าผมกำลังจ้องเขาอยู่


ผมยังไม่ทันได้แก้เก้ออะไร แม่ผมก็มารับช่วงดูแลแขกผู้มีเกียรติคู่นี้ต่อ ผมเลยเดินกลับมาหาพี่หงส์ แต่เห็นว่าพ่อแม่เจ้าบ่าวออกมาช่วยรับแขกแล้ว ผมเลยถอยออกมาดีกว่า


ถึงตอนนี้ผมชักรู้สึกเวียนหัวขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ว่าเพราะเดินไปช่วยตรงนั้นตรงนี้ตั้งแต่เริ่มงาน หรือเพราะเจ้าหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์นั่นกันแน่ ผมเลยหลบฉากออกมาว่าจะไปล้างหน้าล้างตาให้หายมึนที่ห้องน้ำสักหน่อย แต่คิดไปคิดมาเหมือนจะจำได้ว่าชั้นนี้ของโรงแรมมีสวนลอยฟ้าไว้ให้แขกมาชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนี่นา(แต่ถ้าอยากชมวิวแบบ 360 องศาต้องขึ้นไปชั้นดาดฟ้าที่มีร้านอาหารกึ่งผับเปิดให้บริการอยู่) ผมเลยเปลี่ยนใจเดินไปยังทิศที่มีสวนหวังไปรับลมชมวิวแม่น้ำให้หัวโปร่งสักหน่อยท่าจะดี ยังไงกว่าจะถึงช่วงพิธีการคงอีกสักพักใหญ่แหล่ะ



ผมเดินหลงอยู่สักพักจนไปเจอพนักงานสาวสวยที่กระตือรือร้นช่วยพามาส่งถึงหน้าสวน แต่เพียงแค่เปิดประตูออกไปทั้งผมทั้งพนักงานสาวก็ต้องอึ้งกับฉากชีวิตที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เจอ


เพี้ยะ!!!


เป็นเสียงอันเกิดจากฝ่ามือเรียวงามของหญิงสาวแสนสวยนางหนึ่งตกกระทบแก้มหนุ่มหล่อมาดนิ่งที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนกับว่าเพิ่งจะเจอกันไปเมื่อครู่...



เฮีย..ภาค !?



เหมือนทางนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนมอง เขาเบนสายตามาทางผมที่ยังยืนแข็งทื่อเพราะไม่ได้เตรียมใจมาเจอฉากอะไรแบบนี้ เขาแสดงความแปลกใจออกมาทางสายตาเล็กน้อย(เล็กน้อยจริงๆ)เมื่อเห็นว่าเป็นผม ส่วนผมรู้ตัวอีกทีก็ถูกฝ่ายหญิงเดินชนไหล่สวนกลับเข้าไปในตัวโรงแรมแล้ว


“เอ่อ...มีอะไรให้ช่วยไหมคะคุณ?”  พนักงานสาวที่มากลับผมเอ่ยถามฝ่ายชายที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างเกรงใจ พอถูกทางนั้นส่ายหน้าปฏิเสธ เธอก็รีบขอตัวกลับไปทำงานด้วยท่าทางรีบร้อน ทิ้งผมเอาไว้กับเขาคนนั้นเพียงลำพัง


กว่าจะรู้ตัวผมก็มายืนเกาะรั้วชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ข้างเขาแล้ว (..ได้ไง?)



“เอ่อ..”  ผมกระแอมเล็กน้อย นึกอยากจะหยิบยกประเด็นอะไรสักอย่างขึ้นมาพูดคุย เพราะเริ่มจะทนไม่ไหวกับความเงียบที่น่าอึดอัดของอีกฝ่ายแล้ว แต่ปัญหาคือผมควรจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรดีนี่สิ? ..นึกไม่ออก


สวนลอยฟ้าขนาดย่อมแห่งนี้ถูกประดับด้วยไฟสีส้มที่ให้ความสว่างน้อย สุดจะโรแมนติก แต่บรรยากาศที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับคำคำนั้นเลยสักนิด เมื่อนึกอะไรไม่ออกผมเลยลอบสังเกตอีกฝ่ายแทน วันนี้เขาใส่ชุดสูทพอดีตัวสีเทาเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบๆ ปลดกระดุมคอ รองเท้าหนัง แค่นั้นเอง แต่ ‘Less is more’ นะ คือแต่งน้อย แต่หล่อมากกก ..แต่เขาอาจจะดูหล่อกว่านี้ได้อีกหากผมไม่เข้ามาเห็นฉากที่เขาถูกผู้หญิงตบเข้าพอดีล่ะนะ


(แต่พูดตามตรง ถ้าเทียบกันเฉพาะเครื่องหน้า ผมว่ารักหน้าตาดีกว่าพี่ชายทั้งสองของเขาอยู่สักหน่อย แต่ด้วยบุคลิก ด้วยมาดที่เป็นผู้ใหญ่กว่า มองรวมๆ เลยทำให้พวกพี่ชายดูดึงดูดสายตาคนทั่วไปมากกว่าล่ะมั้ง)


คิดแล้วก็อดเหลือบมองตรงที่ถูกตบไม่ได้ มันเป็นรอยแดงที่ค่อนข้างเห็นชัดเลยทีเดียว ..ท่าจะมือหนักเอาเรื่องแฮะสาวสวยคนนั้น ว่าแต่พวกเขาเป็นอะไรกันนะ? แฟนเหรอ? ..เอ แต่เหมือนจะเคยได้ยินมาว่าเขาเพิ่งอกหักจากผู้หญิงที่คบกันมาเป็น 10 ปีไม่ใช่เหรอ? หรือเปล่า?


ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ? ไม่ได้มางานแต่งพี่หงส์นี่นา ..หรือมา? แต่ไม่น่าใช่ อาจจะบังเอิญมาดินเนอร์กันที่ร้านอาหารข้างบน หรือไม่ก็ห้องอาหารของโรงแรมที่อยู่ชั้นเดียวกันนี้ จากนั้นก็มาหามุมสงบบรรยากาศดีๆ นั่งคุยกันที่นี่ แล้วก็มีปัญหากัน...หรือเปล่า? (แหม ผมก็มโนได้เป็นฉาก ฮ่ะๆๆ)



“เราเพิ่งเลิกกัน”  จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาจนผมแทบตั้งตัวไม่ติด


แอบวิตกจริตเล็กน้อยว่าเมื่อกี๊ผมเผลอคิดออกไปดังๆ หรือเปล่า? ...ไม่ล่ะมั้ง


“คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”  เขาพูดต่อโดยทองสายตามองไปยังแม่น้ำด้านล่าง


“ครั้งสุดท้าย...”  ผมเม้มปากเมื่อรู้ตัวว่าหลุดแสดงความอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นออกไป


“ก่อนหน้านี้เธอมักจะชอบท้าให้เลิกกันบ่อยๆ เวลาที่เราโต้เถียงกัน หรือเวลาที่เธอเริ่มรู้สึกว่าการมีฉันมันถ่วงความก้าวหน้าในชีวิตเธอ.. ทั้งตอนที่ตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอก.. ทั้งตอนที่ฉันขอเธอแต่งงานครั้งแรก ขณะที่หน้าที่การงานของเธอกำลังไปได้ดี.. แต่ทุกครั้งเธอก็จะกลับมา เพราะเธอรู้ว่าไม่ว่ายังไงฉันก็ยังรอเธออยู่ ..ตัวฉันเองก็เชื่ออยู่เสมอว่าเธอต้องกลับมา ...เป็นอย่างนี้มาตลอด”


จากตอนแรกที่อึดอัดเพราะเขาไม่พูด แต่พอเขาพูดผมก็ชักกระอักกระอ่วนใจด้วยไม่แน่ใจว่าให้ผมมาฟังเรื่องส่วนตัวของเขาแบบนี้มันจะดีแน่เหรอ? ถึงความจริงแล้วเขาอาจจะแค่อยากระบายความอัดอั้นตันใจให้ลมให้ฟ้าฟังก็เถอะ


“วันที่เจอนายบนทางด่วนวันนั้น.. ฉันขอเธอแต่งงานเป็นครั้งที่สอง”


เหมือนผมจะเดาผลลัพธ์ออกนะ ช่อดอกไม้ที่เขาให้ผมวันนั้นความจริงแล้วตั้งใจจะเอาไปให้เธอล่ะสิ


“คำตอบก็คือเธอยังไม่พร้อมเหมือนเดิม เธอมีแพลนจะย้ายงานไปดูแลสาขาต่างประเทศกลางปีนี้ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะไปกี่ปี อาจแค่ 1 ปี.. 5 ปี.... หรือ 10 ปี หากงานมันไปได้ดี หรือมีช่องทางให้เธอเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง.. เธอยังบอกว่ารักฉัน แต่ก็ปิดท้ายว่าจะเลิกกันก็ได้หากฉันไม่อยากรอ.. ก็เหมือนกับทุกทีนั่นแหล่ะ”  คนพูดเงียบลงเหมือนกำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับสายลม


ผมฟังไปฟังมาก็ชักอิน ตอนนี้เลยกลายเป็นจดจ่อรอฟังเรื่องของเขาเลยทีเดียว


“ฉัน...ไม่แน่ใจว่าฉันจะรอต่อไปได้อีกหรือเปล่า..”  เสียงของเขากลับมาดังอีกครั้งหลังผ่านไปหลายอึดใจ  “ฉันคิดว่าฉันรอมานานเกินไปแล้ว ฉันรู้ตัวว่าใจของฉันไม่เหมือนเดิม.. มันไม่ได้อยู่ที่เธอเหมือนเมื่อก่อน” 


เขาหยุดถอนหายใจ  “..วันนี้ฉันเลยนัดเธอออกมาดินเนอร์ แล้วบอกเธอไปตามตรงว่าหัวใจฉันมันมีคนอื่นแล้ว ...ส่วนผลมันก็อย่างที่นายเห็นเมื่อกี๊นั่นแหล่ะ”


เขาเล่าถึงตอนจบแล้วหันมามองหน้าผม สายตาของเขายังยากที่จะสบตาเช่นเดิม(ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่เขาก็แค่มองมาตรงๆ ทั้งที่สายตากรุ้มกริ่มไม่น่าไว้ใจของเฮียภูมิผมยังไม่เคยมีปัญหาเลยแท้ๆ) ผมเลยเนียนเมินไปมองวิวข้างล่างแทน


“ขอโทษครับ”  ผมพึมพำทั้งที่ไม่คิดว่าตัวเองผิด(จะไปรู้ได้ไงว่าจะมีคนมาตบกันแถวนี้) แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี..


จะว่าไป ผมนี่มักจะเจอกับเขาในสถานการณ์แปลกๆ ทุกทีเลยสินะ


“ก็ไม่ใช่ความผิดนายนี่”  เขาตอบกลับมา



เรายืนมองวิวด้วยกันเงียบๆ สักพักจนผมเริ่มรู้สึกหนาว เพราะลมกลางคืนที่พัดค่อนข้างแรง และนี่ก็ยังไม่พ้นจากหน้าหนาวดี สูทที่ผมใส่อยู่ก็ไม่ได้หนาอะไรมากมายด้วย เลยยกมือถูแขนตัวเองให้เกิดการเสียดสีจนมีความร้อน ก่อนจะรับรู้ได้ถึงเสื้อสูทอีกตัวที่คนข้างๆ ถอดมาคลุมไหล่ให้


“ไม่เป็น..”  ผมหันไปจะปฏิเสธ แต่เพราะเขากดมือหนักๆ ลงบนไหล่ทั้งสองข้างของผม ผมเลยหุบปากลงตามเดิม


“นายดูขี้หนาวนะ”  เขาว่า ก่อนหน้านี้เขาก็เคยถอดผ้าพันคอของตัวเองให้ผมครั้งหนึ่งตอนอยู่วังน้ำเขียว


“เฮียไม่หนาวเหรอครับ?”  ผมมีทั้งเชิ้ตทั้งสูทยังหนาว(ก่อนที่เขาจะยกสูทตัวเองให้) แต่เขามีแค่เชิ้ตแขนยาวตัวเดียว จะไม่หนาวเลยเชียวเหรอ?


“ไม่เท่าไหร่”


ฟอร์มเปล่าเฮีย..? ผมแอบถามในใจเล่นๆ เหมือนจะรู้สึกหมั่นไส้ยังไงบอกไม่ถูก ..แต่จะว่าไป พอได้มาฟังเขาเล่าเรื่องของตัวเองแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนจะสนิทใจกับเขาขึ้นมาอีกหน่อยเลยแฮะ


“นี่”  เขาส่งเสียงหลังเงียบไปอีกพักหนึ่ง


“ครับ?”


“ถ้านายมีรักที่เป็นไปไม่ได้ นายจะทำยังไง? ..จะตัดใจไหม?”


“ถามผม?”  ผมชี้หน้าตัวเองงงๆ


“ก็มีกันอยู่สองคน”


“อ่า..”  เออแฮะ  “รักที่เป็นไปไม่ได้เหรอ.. ก็คงจะตัดใจมั้งครับ”  ผมไม่เห็นประโยชน์ว่าจะดันทุรังไปทำไม ..ว่าแต่เป็นไปไม่ได้แบบไหนล่ะ? เพราะอีกฝ่ายเป็นคนมีเจ้าของแล้วงั้นเหรอ?


หมายถึงคนที่อยู่ในใจเฮียภาคตอนนี้ใช่ไหม??


“มีแต่ต้องตัดใจสินะ”  เขาพูดคล้ายรำพึงกับตัวแล้วทอดสายตามองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย


“แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่มีครอบครัวเป็นเรื่องเป็นราว ก็อาจจะยังพอมีหวังอยู่ก็ได้นะครับ”  ผมไม่รู้ว่ามันจะถูกไหม แต่พอเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาแล้วก็อดที่จะให้กำลังใจไม่ได้



“แล้วถ้าอีกฝ่ายเป็นคนของน้องล่ะ?”  เขาหันมาสบตา โดยไม่มีโอกาสให้ผมได้หลบเลี่ยง



“ของเฮียภูมิ...”  ผมถามด้วยใจระทึก  “..เหรอครับ?”


ไม่รู้ว่าอินกับเรื่องของคนอื่นมากไปหรือยังไง หัวใจของผมถึงได้เต้นแรงขึ้นทุกทีๆ แบบนี้ ทั้งที่ความจริงแล้ว หากเฮียภาคจะไปตกหลุมรักแฟนของเฮียภูมิจริงๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมนี่หว่า มันเป็นปัญหาของพวกเขา แล้วทำไม..


หรือเพราะสายตาที่กำลังมองมาคู่นั้นเหรอ?



“.........”  แต่คำตอบของเฮียภาคคือการส่ายหน้า




และ...


ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ในหัว







“ไหวหรือเปล่า พี่ต่าย?”


ช่วงสายของวันถัดมา ผมยังนอนซมอยู่บนเตียงของตัวเอง โดยมีแม่มาแตะแขนแตะหน้าผากดูอาการด้วยความเป็นห่วง


ก็เมื่อคืน หลังแยกกับเฮียภาค ผมกลับเข้ามาในงานก็พบว่าช่วงพิธีการบนเวทีเริ่มไปสักพักแล้ว อาการมึนหัวที่ทำให้ผมเดินออกจากงานไปรับลมข้างนอกไม่ได้หายไปไหน แถมยังบวกเพิ่มอาการคลื่นไส้เข้ามาอีก แต่ผมก็พยายามฝืนทนจนกระทั่งเสร็จพิธีการ จนเจ้าสาวโยนดอกไม้เสร็จ(แม่ผมเป็นคนรับได้ล่ะ พวกเพื่อนเจ้าสาวโสดๆ ที่หวังจะได้รับดอกไม้ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน ลูกปลาเป็นหนึ่งในนั้น ฮ่ะๆๆ) ผมก็ฝืนต่อไม่ไหว ไปอาเจียนที่ห้องน้ำอยู่ 2 รอบ แม่เลยให้น้องกวางพาขึ้นแท็กซี่กลับมาที่บ้านก่อน


สรุปแล้วผมก็เป็นทั้งหวัด(เพราะไปยืนตากลมหนาวซะนาน) ทั้งอาหารเป็นพิษ(เพราะหอยแมลงภู่) เพิ่งไปหาหมอเมื่อเช้าแล้วก็กลับมานอนหมดสภาพอย่างที่เห็น


“ยายกลับแล้วนะกระต่าย”  ยายเดินเข้ามาในห้องผมพร้อมน้องสาว


ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีแม่คอยช่วย แล้วโผกอดเอวยายที่มายืนข้างเตียง


“ไม่อยู่ต่ออีกสักอาทิตย์อ่ะครับ ต่ายอยากให้ยายอยู่กับต่ายนานๆ อ่า”  ผมอ้อน


“ยายทิ้งบ้านมาหลายวันแล้วลูก ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงมั่ง ไหนจะหมาแมวอีก”  ยายลูบหัวผม


ยายมาที่นี่เพราะงานแต่งพี่หงส์ แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมพวกเราด้วยเลยมาอยู่ก่อนวันงานเป็นอาทิตย์แล้ว


“ยายเขาต้องกลับไปเฝ้าสมบัติ”  แม่แซว เลยถูกยายค้อนเข้าให้วงโต


สัมบัติของยายก็หมายถึงกล้วยไม้ที่ยายเพาะเองแล้วเลี้ยงไว้รอบๆ เรือนนั่นแหล่ะ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองอะไรหรอก แต่มันมีคุณค่าทางจิตใจต่อยายมาก ถึงที่นั่นจะมีหลานยาย(ลูกพี่ลูกน้องผม)คอยช่วยดูแลให้ตอนยายไม่อยู่ แต่ถ้าไม่ได้ดูแลด้วยตัวเองยังไงยายก็คงไม่วางใจอยู่ดี ยิ่งต้องทิ้งมาเป็นอาทิตย์แบบนี้ก็คงอยากกลับไปดูเต็มแก่แล้วล่ะ


“ไว้ใกล้เปิดเทอมกระต่ายก็ไปอยู่กับยายเหมือนทุกทีสิลูก”


“ฮื่อ”  ผมย่นจมูกอ้อนยายเหมือนตอนเด็กๆ ยายหัวเราะชอบใจ แล้วทุบกำปั้นลงบนหน้าผากผมเบาๆ 


“โตแล้วนะเรา อย่าไปทำแบบนี้ให้สาวๆ ที่ไหนเห็นล่ะ อายเขาตาย”


“มีแค่สาวคนนี้คนเดียวเท่านั้นแหล่ะ รักที่สุด”  ผมอ้อนต่อ


“พี่ต่ายน่ะอ้อนแต่ยาย ไม่เห็นค่อยอ้อนแม่แบบนี้บ้างเลย เฮ้ออ”  แม่กอดอก แนบฝ่ามือกับแก้มข้างหนึ่ง มองผมกับยายแล้วก็บ่นเหมือนน้อยใจ


มันก็จริงที่ผมชอบอ้อนยายมากกว่า ไม่ใช่ว่าเพราะรักใครมากกว่าใคร แต่เพราะตั้งแต่เด็กผมเห็นแม่ทั้งต้องทำงาน ทั้งต้องดูแลพวกเราพี่น้องมาด้วยตัวคนเดียว แค่นั้นแม่ก็เหนื่อยมากแล้ว ผมเลยพยายามไม่ทำตัวมีปัญหา ไม่อยากอ้อนเอาแต่ใจให้แม่ต้องปวดหัวเพิ่มอีก แต่เวลาไปอยู่กับยายช่วงปิดเทอมผมจะอ้อนจะเอาแต่ใจยังไงก็ได้เต็มที่ ยายก็มีตามใจบ้างตีบ้างตามประสา พอโตแล้วก็เลยยังติดอ้อนยายแบบนี้อยู่เหมือนเดิม


“โอ๋ๆๆ ให้หนูเป็นคนอ้อนแม่เองก็ได้เนาะ”  น้องเข้ามากอดเอวแม่อย่างประจบประแจง


“เราน่ะมันอ้อนเช้าอ้อนเย็นจนแม่เบื่อแล้ว”  แม่แกล้งทุบหัวน้องเข้าให้


“อะไรอ่ะ โคตรลำเอียง บ้านนี้โคตรลำเอียงเลย!”  น้องยู่หน้าโวยวาย ขณะที่พวกเราหัวเราะชอบใจ


“จะให้น้องกวางอยู่เป็นเพื่อนไหม?”  หยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอแม่ก็หันมาถามผม


แม่จะขับรถไปส่งยายที่บ้านต่างจังหวัด แล้วกลับมาภายในวันนี้เลยเพราะพรุ่งนี้ต้องทำงานต่อ ตอนแรกก็ตั้งใจให้น้องกวางไปด้วย ขากลับจะได้มีเพื่อนร่วมทาง แต่พอเห็นผมมาป่วยแบบนี้ แม่เลยลังเล


“ไม่เป็นไรครับ ให้น้องไปกับแม่นั่นแหล่ะ ต่ายไม่อยากให้แม่ขับรถไกลๆ คนเดียว”


“แน่ใจนะ?”  แม่ยังดูกังวล


“ต่ายดีขึ้นเยอะแล้ว ท้องก็ไม่เสียแล้วด้วย”  ผมพูดให้อีกฝ่ายคลายกังวล


“เอางั้นก็ได้ แล้วอย่าลืมกินข้าวกินยานะ”  แม่ส่ง


“ยายทำข้าวต้มทรงเครื่องที่กระต่ายชอบไว้ให้ด้วยแน่ะ จะกินก็อุ่นเอานะ”


“ขอบคุณครับ แล้วจะไปกันเดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่า?”


“เดี๋ยวรอพี่หงส์กับพี่แดนก่อน ทั้งคู่จะมาไหว้ยายก่อนยายกลับ นั่น.. เสียงรถมาพอดีเลย”  แม่หันไปทิศหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงเสียงรถมาจอด


“ยายไปก่อนนะ”  ยายลูบหัวผมอีกครั้ง


“เดินทางปลอดภัยนะครับ”  ผมยกมือไหว้แล้วอวยพร


จากนั้นทุกคนก็พากันออกจากห้องผมไป..



(ต่อ)

ออฟไลน์ White Raven

  • I'm beautiful in my way.~
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +779/-3
    • Fanpage
(ต่อ)



ผมหลับยาว ตื่นอีกทีเกือบบ่าย 3 หิวซ่กอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พอเดินลงมาข้างล่างก็ต้องอุทานแปลกใจเพราะเห็นใครบางกำลังนอนเอกขเนกดูทีวีอยู่บนโซฟาบ้านคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย


“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”  ผมโพล่งถาม


“Why not?”  หมอนั่นดูท่าทางสบายอกสบายใจจนเข้าขั้นกวนประสาทเลยล่ะ


เล่นเอาหัวที่ยังหนักๆ อยู่ของผมเริ่มปวดขึ้นมาอีก ฮืมม..


ไหนได้ยินจากแม่ว่าไปต่างประเทศไง เพราะงี้ถึงไม่ได้มาร่วมงานแต่งของพี่หงส์ทั้งที่เจ้าของงานเขาก็เชิญ ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเห็นหน้าเขาในงาน แต่ใครจะไปนึกว่ามันจะมาหลอกหลอนกันวันนี้แทนล่ะ


“เข้ามาได้ยังไง?”  ผมมองอย่างหวาดระแวง หมอนี่งัดบ้านคนอื่นเข้ามาหรือไงนะ?


“ก็ Your sister เปิดให้เข้ามา”  คำตอบยิ่งทำให้ผมแปลกใจ


หมายถึงพี่หงส์เหรอ? แล้วทำไมพี่หงส์... ผมลองนึกย้อนดู จริงสิ ก่อนที่ยายจะกลับ พี่หงส์กับพี่แดนเขาแวะมาลายายที่นี่นี่นา.. ถ้ายังงั้นก็คงจะออกจากบ้านไปทีหลังแม่ แล้วหมอนี่ก็คงจะมาถึงช่วงเวลาระหว่างนั้น...?


อ่า.. ทำไมพี่สาวผมถึงได้ไว้ใจคนง่ายแบบนี้ล่ะ ปล่อยให้คนอื่นอยู่ในบ้านตามสบายขณะที่น้องนอนป่วยอยู่ในห้องเนี่ยนะ?(ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ!) ส่วนไอ้ผมก็หลับเป็นตายด้วยสิ ใครไปใครมาไม่ได้รู้ตัวเลย


“ไอเพิ่งกลับมาเมื่อคืน วันนี้ก็เลยตั้งใจเอา Wedding gift มาให้พี่ยู”  หมอนั่นยอมเฉลยที่ไปที่มาของตัวเอง


“มีของฝากยูด้วยนะ”  หมอนั่นหยิบถุงช็อปปิ้งติดแบรนด์ ‘Marc Jacobs’ ที่วางอยู่บนพื้นโยนมาให้ผม  “Here!”


ผมเกือบรับไว้ไม่ทัน แล้วพอชะเง้อมองดู ‘ของฝาก’ ที่อยู่ในถุงเท่า ก็ทำเอาความดันพุ่งขึ้นอีกหลายมิลลิฯปรอท


“Black suits you.”  หมอนั่นบอกแล้วยิ้มขำ


“เก็บไว้ใส่เองเหอะ!”  ผมขว้างถุงนั่นคืนเจ้าของ มันหล่นใส่อกของหมอนั่น และปากถุงที่คว่ำลงก็ทำให้เฮดแบนด์ ‘หูกระต่ายสีดำ’ ลื่นไถลออกมา


ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด พอหงุดหงิดก็ยิ่งปวดหัว ผมเลยเลี่ยงไปหาอะไรกินในครัว จะได้กินยาแก้ปวดหัวสักที เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดลังเลใจ เอ.. หรือผมจะไล่หมอนั่นออกจากบ้านก่อนดี?


“Not cute at all.”  หมอนั่นหัวเราะลงคอพลางเก็บหูกระต่ายขึ้นมาบิดเปลี่ยนรูปร่างเล่น


“.........”  ..ช่างมันก่อนแล้วกัน




ผมเจอหม้อข้าวต้มทรงเครื่องตั้งอยู่บนเตาแก๊ส เลยเปิดไฟอุ่น ร้อนได้ที่ ก็ปิดแก๊ส เปิดฝาหม้อ จะหวะเดียวกับไอ้คนกวนประสาทชะเง้อข้ามไหล่ผมมองไปในหม้อ


“ไอไม่อยากกินข้าวต้ม”


“ใครถาม?”  ผมใช้ศอกดันคนที่มายืนซ้อนหลังออกให้พ้นทางก่อนเอื้อมมือหยิบชามในตู้


“ยูทำสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสให้ไอสักจานสิ”  หมอนั่นไม่ได้สนใจที่ผมพูดเอาซะเลย  “ไอมานั่งๆ นอนๆ ที่นี่ตั้งแต่ก่อนเที่ยง ยังไม่ได้กินอะไรเลย”


ผมหันไปชักสีหน้าใส่ อยากจะตอกกลับไปเหมือนกันว่าใครใช้ให้เสนอหน้ามา? หมอนั่นเลิกคิ้วนิดหน่อย แล้วก็เหมือนจะสำนึกอะไรได้เลยยอมลดสเปคลงมา


“งั้นพิงค์ซอสก็ได้”


“.........”  ไม่สิ มันไม่ได้สำนึกอะไรเลย.. ผมยิ่งหงุดหงิด


“โอเค ซอสมะเขือเทศธรรมดา..”


ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามที่จะไม่ใส่ใจและไม่อารมณ์เสียไปมากกว่านี้ แล้วตักข้าวต้มใส่ชาม


“Hey!”


จนคิดว่าเพียงพอแล้วผมจึงปิดฝาหม้อ ยกชามข้าวต้ม จังหวะเดียวกับที่หมอนั่นกระตุกข้อศอกผมพอดี


“You hear m..”


เพล้ง!!!


ชามข้าวต้มร่วงกระทบพื้น แตกกระจายทั้งชามทั้งข้าวต้มจนเลอะไปทั่วพื้นครัว ผมก้มมองภาพตรงหน้าแล้วก็เหมือนว่าความอดทนทั้งหมดของผมได้สิ้นสุดลงตอนนั้น


“แกรี่!!!”  ผมจ้องหน้าเจ้าของชื่ออย่างโมโห


“My bad.”  หมอนั่นยกมือทั้งสองข้างขึ้น แล้วถอยหลังออกไป แต่สีหน้าไม่ได้มีความรู้สึกผิดอะไรเลย แถมยังยิ้มนิดๆ เหมือนขบขันผมอีก


ผมโกรธจนนึกไม่ออกว่าเคยโกรธขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือเคยโกรธใครแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า? ถ้าเป็นสภาพปกติผมอาจจะมีความอดทนอดกลั้นมากกว่านี้ มีวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมทั้งอ่อนเพลียจากอาการอาหารเป็นพิษ ทั้งปวดหัวจากอาการหวัด EQ ของผมก็เลยลดต่ำสัมพันกับปริมาณแอนติบอดี้ในร่างกายไปด้วย


จะอะไรก็ช่างแม่งแล้ว ผมเดินกระแทกไหล่หมอนั่นออกมาจากครัว แต่ก็ยังไม่วายถูกมันตามมาตอแยอีก


“Hey!”  มันคว้าแขนผม ผมสะบัดออก เดินต่อ มันก็ตามมาคว้าไว้อีก  “You!”


“ปล่อย!!”  ผมหันไปตวาด สะบัดแขนอีก


ตาสีอ่อนของหมอนั่นเบิกขึ้นเล็กน้อย แต่นอกจะไม่ปล่อยแขนผมแล้วยังเข้ามาจับอีกข้างไว้ด้วย 


“Please..” ผมขอร้อง น้ำเสียงขาดห้วงเพราะบางอย่างที่จุกอยู่ตรงคอ


แล้ววันนี้แกรี่ก็ประสบความสำเร็จในการทำให้ผมน้ำตาร่วงอีกครั้ง..


คือผมก็ไม่ได้อยากร้องนะ แต่เข้าใจอารมณ์ไหม เวลาคนมันปวดหัวมากๆ แล้วยังถูกป่วนให้อารมณ์พุ่งอีก มันเหมือนขมับถูกอัดด้วยความเครียด แล้วยิ่งเครียดก็ยิ่งปวดหัวกันไปใหญ่ ปวดจนรู้สึกเหมือนหัวใกล้จะระเบิด พอถึงจุดๆ หนึ่งน้ำตามันก็เลยไหลออกมาอย่างที่เห็น มันไม่ใช่อารมณ์เศร้าเสียใจอะไร มัน.. นะ ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ ผมปวดหัว


ผมถอยหนีเมื่ออีกคนขยับเข้ามาใกล้ แต่หมอนั่นก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมได้ทำตามใจนัก ยังคงขยับตามมาแล้วใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้


“You look cute when you cry.”  หมอนั่นแนบฝ่ามือกับแก้มผม มุมปากแต้มรอยยิ้มพออกพอใจกับผลงานของตัวเองตามประสาคนโรคจิต


ผมปัดมือนั่นออก บ่ายหน้าจะเดินหนีไปให้พ้น แต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งไว้ แล้วกึ่งลากกึ่งจูงมานั่งที่โต๊ะกินข้าว จากนั้นหมอนั่นก็ไปสาละวนเก็บกวาดเศษซากข้าวต้มบนพื้นจนสะอาดเรียบร้อย ปิดท้ายด้วยการตักข้าวต้นชามใหม่มาเสิร์ฟให้ผม ผมงุนงงกับภาพที่เห็นจนอารมณ์เย็นลงมากเลยล่ะ



“กินสิ”  หมอนั่นเร่งเมื่อเห็นผมยังนั่งเฉย


ผมถอนหายใจ แล้วเริ่มตักข้าวต้มเข้าปากโดยมีสายตาของอีกคนคอยจับจ้องอยู่ตลอด


“ยูมี...มาม่าไหม?”  สักพักหมอนั่นก็ถามผมแบบนั้นพร้อมทั้งเกาคิ้วแก้เก้อ


คงจะหิวล่ะสิ ไม่ได้กินข้าวกลางวันนี่นะ ผมนึกแล้วขำ ไอ้ตัววายร้ายก็มีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกันสินะ อารมณ์ผมเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ เลยพยักพเยิดไปทางตู้เก็บอาหารแห้ง





“ไม่มีงานมีการทำหรือไง?”  ผมถามหลังจากจัดการมื้อเที่ยงที่ล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยเสร็จก็แล้ว กินน้ำก็แล้ว กินยาก็แล้ว ล้างชามก็แล้ว ไอ้แขกไม่ได้รับเชิญนั่นก็ยังนั่งแช่อยู่ในบ้านผมแบบไม่มีทีท่าว่าจะยอมย้ายก้นไปที่อื่น


“เวลางานของไอมันเริ่มหลังพระอาทิตย์ตกดิน”  หมอนั่นไหวไหล่


ผมก็ลืมไปว่าบ้านหมอนี่มันทำพวกธุรกิจสถานบันเทิง พอนึกได้ผมก็ขี้เกียจจะพูดอะไรต่อ ผมหลบไปโทรหาแม่ว่าเริ่มเดินทางกลับกันหรือยัง คุยกันสักพักก็เดินกลับไปหาหมอนั่นอีก


“เราจะขึ้นไปนอนข้างบน”  ผมบอก ตั้งใจจะไล่กลายๆ นั่นแหล่ะ


“Suit yourself.”  หมอนั่นก็ดันตีมึนอีก


ผมเลยขี้เกียจสนใจ อยากทำอะไรก็ทำ Suit yourself! แล้วเดินกลับขึ้นมาบนห้องนอนตัวเองเลย


พอเข้ามาในห้องก็ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งของโมบายหอยที่เคลื่อนไหวเพราะลมจากหน้าต่างซึ่งผมเปิดทิ้งไว้ ผมเดินมายังเตียง สิ่งที่สะดุดตาอันดับต่อมาวางอยู่บนหัวเตียง..


‘ถุงกำมะหยี่สีดำ’


หนึ่งในสิ่งที่รบกวนจิตใจผมมาพักใหญ่.. ผมเอื้อมมือไปหยิบมันก่อนจะทิ้งตัวลงนอน แล้วยกมันขึ้นส่องกับแสงแม้จะรู้ดีว่าทำแบบนั้นไปก็ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นของข้างในสักหน่อย ทำไมผมยังเก็บไว้? ทำไมผมถึงไม่เอามันไปคืนไอ?


“.........” 


อา.. นั่นคงเป็นสิ่งท้ายๆ ที่ผมคิดจะทำ



“ตอนไอมาครั้งก่อนยังไม่มีไอ้นั่นเลยนี่นา”  ผู้บุกรุกที่ถือวิสาสะเข้ามาให้ห้องคนอื่นพยักพเยิดมาทางโมบาย


ผมเงียบ ทำไม่สนใจ หมอนั่นก็ได้หาเดือดร้อนไม่ เดินไปจับนู่นดูนี่เรื่อยเปื่อยแบบไม่มีมารยาท ผมเลยนอนเหม่อมองโมบาย ปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสธารความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัว จนเกือบลืมไปแล้วว่ามีอีกคนอยู่ในห้องด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนั่นส่งเสียงเรียกร้องความสนใจก่อน


“Too cute!”


ผมหันไปมองด้วยสงสัยว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่


“You were dressed like a doll! You like it!?”  คนพูดหันอัลบัมรูปที่มีรูปผมถูกแม่จับใส่ชุดของพี่หงษ์ตอนเด็กๆ มาให้ดูด้วยท่าทางขบขันเต็มที่ 


“Shut up!”  ผมบอก


“Come on, I know you like it. You look so happy.”


ผมเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง ทั้งที่มันเป็นรูปน่าอายไม่ค่อยอยากให้ใครเห็น แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะไปสู้รบปรบมือกับใครอีก ส่วนหมอนั่นก็ยืนเปิดดูรูปคนอื่นเขาต่อไป 


ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพักก็เกิดความสงสัยกับบางสิ่งบางอย่าง 


“แกรี่” 


“What’s up?”


“ถ้านายมีรักที่เป็นไปไม่ได้ นายจะทำยังไง?”  ตาผมมองถุงสีดำในมือ แต่หัวผมกลับนึกถึงคำพูดของเฮียภาค


ผมยังไม่อยากจะปักธงในใจว่าคนที่เฮียภาคพูดถึงคืนนั้นคือ ‘ผม’ ถึงเขาจะบอกว่าคนที่เขามีใจให้เป็น ‘คนของน้อง’ และน้องคนนั้นไม่ใช่เฮียภูมิ.. มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่าคนที่เขากำลังพูดถึงความจริงแล้วคือ ‘คนของรักชาติ’


แต่ ณ เวลานี้...ผมไม่ใช่คนคนนั้น


ผมไม่ได้เป็นคนสำคัญของรักอีกต่อไป ไม่ใช่คนของเขา ไม่ใช่คนที่เขารัก..


แล้วตกลงที่พูดแบบนั้นเพราะเฮียภาคยังไม่รู้ว่ารักเลิกกับผมมาพักหนึ่งแล้ว หรือว่าเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงผมตั้งแต่แรกอยู่แล้วกันแน่ล่ะ? ...ถึงสายตาที่รับมือยากคู่นั้นจะมองตรงมาที่ผมก็เถอะ


ถ้าอย่างนั้นเขาจะหมายถึงใคร?


“.........”  ผมกำถุงสีดำเอาไว้แน่น แต่ก็แทบไม่สัมผัสถึงอะไรที่อยู่ในนั้นเลย


“What..?”


“นายจะตัดใจไหม?”  ผมถามอีก


“รักที่เป็นไปไม่ได้...ยังไง?”  หมอนั่นดูยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่


“ก็เช่น รักคนที่มีเจ้าของ.. รักคนที่ไม่สมควรรัก..”  ผมกลายมือที่กำถุงกำมะหยี่ออก  “หรือรักคนที่เขาเกลียดเรา”


คราวนี้แกรี่เงียบไปจนผมนึกแปลกใจ เลยหันไปมอง ก็เห็นหมอนั่นกำลังมองผมอยู่ก่อนแล้ว เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเลิกคิ้วเชิงตั้งคำถามใส่ หมอนั่นจึงยอมเปิดปากตอบ


“I don’t know.”  ช่างเป็นคำตอบที่ไม่มีประโยชน์เอาซะเลย


ไม่สิ.. ถึงจะยังไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ได้แปลว่าจะตัดใจสินะ บางทีถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ คนอย่างหมอนี่อาจจะสู้ไม่ถอยเลยก็ได้ ใครจะรู้


จะว่าไปก็แปลก คำตอบ ‘ไม่รู้’ นี่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากหมอนี่เลยนะ ปกติออกจะดูบ้าระห่ำแท้ๆ ไอ้ผมก็คิดไปว่ามันคงจะพูดประมาณ “Die for me, darling.” อะไรแบบนั้นกับความรักที่อาจไม่สมหวังของมันซะอีก


“แกรี่”


“อะไรอีก?”  คนถูกเรียกเงยหน้าจากอัลบัมรูป


“ตอนนี้นายมีคนรักไหม?”  จู่ๆ ผมก็นึกอยากรู้ขึ้นมา หมอนี่มีแฟนไหม? สเปคเป็นยังไง? แบบปารีสหรือเปล่า?


“Why?”  หมอนั่นขมวดคิ้วสงสัย


“ก็แค่ถาม”  ผมใช้น้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก ให้คนฟังเข้าใจว่าไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษอะไรในคำถามของผม


“I’m in love with myself.”  เขาพูดหน้าตาเฉย


และคงเพราะเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าผม จึงถามกลับ  “Isn’t that enough?” 


“ไม่รู้สิ”  ผมแกว่งถุงในมือเล่น  “..ไม่รู้สึกว่าอยากได้ความรักจากคนอื่นบ้างเลยเหรอ?”


ผมได้ยินเสียงวางช้อน จึงเงยหน้ามองคนที่นั่งตรงข้าม เห็นทางนั้นจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ..หรือไม่ก็ออกไปทางมีคำถาม


“It bothers me.”


ผมหันไปมองหน้าคนพูด


“ความรักจากคนอื่นมีแต่เงื่อนไขทั้งนั้น”


“...?...”


“Don’t you think so?”



บทสนทนาของเราจบลงครึ่งๆ กลางๆ แค่นั้น เพราะแกรี่มีโทรศัพท์เรียกเข้า หมอนั่นกรอกเสียงไปตามสายไม่กี่คำก็หันมาบอกผมว่าจะกลับล่ะ ตอนแรกผมจะตามลงไปล็อคประตู แต่หมอนั่นบอกว่าจะล็อคให้เอง ผมก็เลยสบายไป


ตอนแรกตั้งใจว่าจะงีบสักหน่อยระหว่างรอแม่กับน้องกลับมา อาการปวดหัวก็หายไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา แต่เพราะยังมีบางอย่างติดค้างในใจทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง


“ทำไมกันนะ?”  ผมรำพึงกับตัวเอง ยกมือก่ายหน้าผาก


สักพักก็ทนไม่ไหว ควานมือหาถุงกำมะหยี่เจ้าปัญหามาดูอีกรอบ


ผมจ้องมองมันอย่างลังเลใจ และสุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบของข้างในออกมา


“.........”


สีเงินแวววาวของมันสะท้อนแสงเล็กๆ แต่พอตัวเมื่อผมยกขึ้นส่องกับแดด เห็นลายสลักเล็กๆ ด้านในเป็นรูปหูกระต่ายที่เจ้าของร้านซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่ดีไซเนอร์ฝึกหัดตั้งใจสลักให้ด้วยมือ และเพราะมันเป็นของทำมือ มันจึงมีอยู่แค่ชิ้นเดียวในโลก
ไม่สิ.. ต้องพูดว่ามีอยู่ ‘คู่’ เดียวในโลกถึงจะถูก


“.........”


ผมตัดสินใจลุกจากเตียง ไปยืนอยู่หน้ากระจก มองเงานสะท้อนที่ดูอิดโรยของตัวเองอย่างไร้ความรู้สึก ก่อนจะเริ่มใส่ ‘ต่างหู’ ข้างที่ไม่คิดว่าจะได้กลับคืนมาอีก ยิ่งวิธีการได้คืนแบบนี้ยิ่งไม่เคยมีอยู่ในความคิด


แต่อะไรจะเปลี่ยนความจริงได้ล่ะ ในเมื่อหลักฐานมันก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว


“.........”



ผมมองตัวเองในกระจกอีกรอบ สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ก็มีแค่ต่างหูเงินที่อยู่บนติ่งหูข้างขวา..





“พูดไปแล้วสินะ ว่ายังไงก็จะไม่มีวันเกลียด..”











----------------- See You Next Season -----------------





เจอกัน SS2 แจ้!!!!!

บรั๊ยยส์


ปล. ss2 นอกจากจะคงคอนเซ็ป ‘ยากนัก...รักนี้’ ไว้เหมือนเดิมอย่างเหนียวแน่นแว่นแก้วแล้ว ยังจะดำเนินเรื่องภายใต้ธีม ‘รักที่เป็นไปไม่ได้’ ด้วยนะ ชะละล่า! (หน่วงตับ x2 กันเลยทีเดียว)

จะมารักน้อง(?) รักคนที่น้องรัก(??) รักศัตรู(อุ๊บส์!)  มันเป็นไปไม๊ด๊ายยยยยยยยยย .........มั้ยนะ?   อิอิ

อ่อ แต่อย่าเพิ่งคาดหวังว่าใครจะได้ลงเอยกับใครล่วงหน้าเลยนะ ของงี้ต้องลุ้นกันยาวๆ


ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะแจ้
(อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน่อ นึกว่าสงสารคนเขียนตัวดำๆ เต๊อะ..  :mew6: )

ออฟไลน์ mukkai

  • a Day dreamer
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ฮื่ออ ใส่ต่างหูข้างนั้นกลับคืนเเล้ว
จะรอนะคะ ไมทิ้งไปไหนเเน่นอน

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
รออออออออออ  SS2 :call:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เจอกันตอนใหม่ค่ะ

มนัสชา

  • บุคคลทั่วไป
เฮ่นโหล่วววว หน่วงตับหน่วงไต หน่วงใส้หน่วงพุงอีกแล้วเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
หน่วงงงสุดๆ
เป็นเรื่องแรกในเล้าที่ทำให้ตอนที่เราอ่าน แทบจะไม่อยากอ่านต่อ
คือหน่วงมาก และเราเป็นประชากรส่วนน้อยค่ะที่เชียร์ไอ
แต่ยังไงก็จะรอซีซั่น2นะคะ
เป็นเรื่องที่มีสเน่ห์มากจริงๆ เพราะมันไม่ชัดเจนอะไรเลย555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไอเอามาคืน แสดงว่าอะไร?
ชอบทั้งไอ และ รัก

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
บอกตามตรงตอนแรกจะเลิกอ่านตั้งแต่อิชายต่ายมันดีกะเค้าไปทั่วล่  แต่อ่านเพราะชอบรัก ต่ายคบกะรัก
เราเปนคนโลกแคบ และอคติคะ ถ้าไม่ได้คู่กะรักก้หวังว่าไม่ต้องคบใครไปเลย ไม่ว่าจะเปนใครก้แล้วแต่ที่หลายคนเชียร์ โดยเฉพาะเฮียภาคเฮียภูมินี่รับไม่ได้

ชอบนิยายคนเขียนทุกเรื่องคะ ตามอ่านทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ในภาคสองคงต้องเว้นไว้ จบแล้วค่อยมาอ่าน
ขอโทดนะคะที่เม้นของเราอาจทำให้หลายๆคนไม่พอใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2014 15:20:17 โดย valenna yy »

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
ถึงกับอุทานว่าเชรี่ยยยยยยยยยยยย
ตัวประกอบนอกจากสามใบเถาออกหมเแท้ๆ
แล้วน้องปูเป้เขาล่ะะ
เอาน้องม๊าาาาาาาาาาาาาาา!

โอเคเข้าประเด็น
คือเรื่องนี้มีกี่ซีซั่นคะ
เจ็ดเลยมั้ย แบบเป็นแฟนครบทุกคน555555
เค้าแอบอยากให้ต่ายคู่แกรี่แหงะ
ถ้าต่ายจะเคะก็แกรี่เถอะ กราบบบบบบ
เมโล่ให้ไอไปเถอะนะๆ
ส่วนรัก... เอามาคู่กะเค้าละกัน
เค้าไม่อยากให้ใครเลยยยย 5555

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
สมกับชื่อเรื่องจริงๆ  :เฮ้อ: เดาทางไม่ถูกอย่างคนเขียนบอกเลยว่า อย่าเพิ่งจับคู่ใคร คู่ใคร ต้องดูกันไปยาว ๆ ว่าชีวิตรักช่ายต่ายจะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้คู่กับรักแล้วล่ะ เพราะดูรักก็เหมือนจะตัดใจ คิดว่ายังไม่ทันทีแต่คงพยายามอยู่ ขอให้รักชาติเข้มแข็ง อย่ากลับไปคบกับต่ายอีกเลย ไม่งั้นจะเจ็บอีก   :hao5: แต่ก็ดีคิดไปคิดมา ปล่อยรักไปเถอะ ในเมื่อต่ายไม่คิดจะทำอะไรเพื่อจะให้ได้รักกลับคืน ดูต่ายไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำว่ารัก รัก ไหม อาจจะเป็นรักที่รักต่ายฝ่ายเดียว ส่วนต่ายแค่รู้สึกดีแต่ไม่ถึงขั้นที่จะรัก คงต้องให้ชายต่ายอยู่กับตัวเองไปคนเดียวก่อนจะดีกว่า ก่อนหน้าที่อ่านเหมือนต่ายจะรุกรักใช่ไหม ถ้าอ่านและจำไม่ผิด ตอนที่รักบอกว่า อ้าขาให้เหมือนที่รักทำ ต่ายก็ยอมแต่สุดท้ายรักก็ไม่ทำ และบอกเลิกไป เอาเป็นว่า ให้ต่ายอ้าขาให้คนอื่นทำดีกว่า เพราะรู้สึกมุ้งมิ้งเหลือเกิน ดูๆไป เหมาะกับแกรี่ดีนะ เพราะแกรี่ก็ดูเหมือนคนไม่คิดอะไรลึกเหมือนต่าย  :katai2-1:

kjkjji

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ: อึดอัดเนอะ
ซีซั่นหน้าคงยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ยิ่วกว่านี้อีก เราไม่กล้าอ่านต่ออ่ะพูดตรงๆ
แบบเราเกลียดเรื่องพี่แย่งแฟนน้องอะไรนี่มากเลยอ่า ถึงรักกับต่ายจะเลิกกันแล้วก็เถอะ ไม่รู้สิ แบบ... เฮ้อ
ยิ่งเฮียภาคแกออกตัวแรงด้วยนะ เราว่ามันไม่ใช่อ่าา แบบบบบบบพอเห้อ ไปกันใหญ่แล้วมั๊ย
ถ้าได้กับต่ายนี่ รักก็ยังเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดอยู่ดีอ่ะ(ต่อให้รักตัดใจได้แล้วก็เถอะ)
ถ้าไหนๆรักจะไม่ได้คู่ชายต่ายอยู่แล้ว ก็ช่วยตัดคนที่อยู่วงโคจรเดียวกับรักออกจากชีวิตชายต่ายด้วยเถอะ
ส่วนแกรี่ เราเดาว่าคงไม่ลงเอยกับชายต่ายหรอก (มั้ง) แกดูรักตัวเองเกิน แต่เราชอบคนแบบนี้นะ แค่หวังว่าจะไม่ได้ลงเอยกับชายต่าย 5555
ไม่ลุ้นให้รักกลับมาคู่ชายต่ายอีกแล้วอ่ะ ถ้าตัดใจได้ ก็ดีแล้ว ปล่อยรักไปเถอะ เราสงสารรักมามากเกินพอแล้วเรื่องนี้
โนคอมเม้นต์กับเรื่องไอนะ -_- ตัวละครประหลาด ตรรกะป่วยๆกับตัวเอกที่..... :เฮ้อ:

ปล.เราคงได้เจอกันอีกทีตอนซีซั่นสองจบอ่ะค่ะ กลัวอ่านแล้วนอยด์แดกอ่ะพูดเลย มันเล่นหลายประเด็นเกิน แค่อ่านสปอยคนแต่งเรายังรู้สึกอึดอัดเลยอ่าา
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ :L2:

ออฟไลน์ posh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ชายต่างเจอแกรี่ทีไร กลายเป็นสาวต่ายทุกทีสิ
Ps.แอบเชียร์เฮียภาคนะ  :hao7:

ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ถ้าจะดีกับคนทุกคนแล้วเป็นแบบนี้ก็อย่าดีกับใครเลย สงสารคนเป็นแฟน  :เฮ้อ:
งงเฮียภที่เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วมาบอกชายต่ายเรื่องรักที่ไม่สมควรเป็นไปไม่ได้อะไรนั่นอ่ะ ไปรักเค้าตอนไหน นี่ตกลงเพิ่งโดนผู้หญิงทิ้งจริงป่ะ เปลี่ยนอารมณ์ไวจัง ถ้ามันรักไม่ได้ก็ไม่ต้องบอกต่ายก็ได้นะจริงๆ ไม่รู้เหรอว่ามันทำให้คนฟังคิดมาก -_-

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
SS2 ด่วน ลุ้นกับชายต่ายว่าเรื่องนี้จะหน่วงอีกนานแค่ไหน
ปล. เชียร์แกรี่ o13  :katai4:

ออฟไลน์ Moonwish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เฮียแกรี่นี่น่าสนใจแหะ เฮียแกติสดี
ภาคหน้าตามเฮียแกแทนชายต่ายดีกว่า วุ่นวายเกิน

ออฟไลน์ MooMiew

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 326
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ภาคใหม่ไม่พ้นรักสามเศร้าอีกละ :mew2: :mew2:

แต่ก็ยังติดจามต่อปายยยยย :katai2-1: :katai2-1:

ไอ ยังไม่ไปไหนใช่มั้ยคะะะ  :ling1: :ling1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด