(ต่อ)
ผมหลับยาว ตื่นอีกทีเกือบบ่าย 3 หิวซ่กอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พอเดินลงมาข้างล่างก็ต้องอุทานแปลกใจเพราะเห็นใครบางกำลังนอนเอกขเนกดูทีวีอยู่บนโซฟาบ้านคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?” ผมโพล่งถาม
“Why not?” หมอนั่นดูท่าทางสบายอกสบายใจจนเข้าขั้นกวนประสาทเลยล่ะ
เล่นเอาหัวที่ยังหนักๆ อยู่ของผมเริ่มปวดขึ้นมาอีก ฮืมม..
ไหนได้ยินจากแม่ว่าไปต่างประเทศไง เพราะงี้ถึงไม่ได้มาร่วมงานแต่งของพี่หงส์ทั้งที่เจ้าของงานเขาก็เชิญ ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเห็นหน้าเขาในงาน แต่ใครจะไปนึกว่ามันจะมาหลอกหลอนกันวันนี้แทนล่ะ
“เข้ามาได้ยังไง?” ผมมองอย่างหวาดระแวง หมอนี่งัดบ้านคนอื่นเข้ามาหรือไงนะ?
“ก็ Your sister เปิดให้เข้ามา” คำตอบยิ่งทำให้ผมแปลกใจ
หมายถึงพี่หงส์เหรอ? แล้วทำไมพี่หงส์... ผมลองนึกย้อนดู จริงสิ ก่อนที่ยายจะกลับ พี่หงส์กับพี่แดนเขาแวะมาลายายที่นี่นี่นา.. ถ้ายังงั้นก็คงจะออกจากบ้านไปทีหลังแม่ แล้วหมอนี่ก็คงจะมาถึงช่วงเวลาระหว่างนั้น...?
อ่า.. ทำไมพี่สาวผมถึงได้ไว้ใจคนง่ายแบบนี้ล่ะ ปล่อยให้คนอื่นอยู่ในบ้านตามสบายขณะที่น้องนอนป่วยอยู่ในห้องเนี่ยนะ?(ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ!) ส่วนไอ้ผมก็หลับเป็นตายด้วยสิ ใครไปใครมาไม่ได้รู้ตัวเลย
“ไอเพิ่งกลับมาเมื่อคืน วันนี้ก็เลยตั้งใจเอา Wedding gift มาให้พี่ยู” หมอนั่นยอมเฉลยที่ไปที่มาของตัวเอง
“มีของฝากยูด้วยนะ” หมอนั่นหยิบถุงช็อปปิ้งติดแบรนด์ ‘Marc Jacobs’ ที่วางอยู่บนพื้นโยนมาให้ผม “Here!”
ผมเกือบรับไว้ไม่ทัน แล้วพอชะเง้อมองดู ‘ของฝาก’ ที่อยู่ในถุงเท่า ก็ทำเอาความดันพุ่งขึ้นอีกหลายมิลลิฯปรอท
“Black suits you.” หมอนั่นบอกแล้วยิ้มขำ
“เก็บไว้ใส่เองเหอะ!” ผมขว้างถุงนั่นคืนเจ้าของ มันหล่นใส่อกของหมอนั่น และปากถุงที่คว่ำลงก็ทำให้เฮดแบนด์ ‘หูกระต่ายสีดำ’ ลื่นไถลออกมา
ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด พอหงุดหงิดก็ยิ่งปวดหัว ผมเลยเลี่ยงไปหาอะไรกินในครัว จะได้กินยาแก้ปวดหัวสักที เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดลังเลใจ เอ.. หรือผมจะไล่หมอนั่นออกจากบ้านก่อนดี?
“Not cute at all.” หมอนั่นหัวเราะลงคอพลางเก็บหูกระต่ายขึ้นมาบิดเปลี่ยนรูปร่างเล่น
“.........” ..ช่างมันก่อนแล้วกัน
ผมเจอหม้อข้าวต้มทรงเครื่องตั้งอยู่บนเตาแก๊ส เลยเปิดไฟอุ่น ร้อนได้ที่ ก็ปิดแก๊ส เปิดฝาหม้อ จะหวะเดียวกับไอ้คนกวนประสาทชะเง้อข้ามไหล่ผมมองไปในหม้อ
“ไอไม่อยากกินข้าวต้ม”
“ใครถาม?” ผมใช้ศอกดันคนที่มายืนซ้อนหลังออกให้พ้นทางก่อนเอื้อมมือหยิบชามในตู้
“ยูทำสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสให้ไอสักจานสิ” หมอนั่นไม่ได้สนใจที่ผมพูดเอาซะเลย “ไอมานั่งๆ นอนๆ ที่นี่ตั้งแต่ก่อนเที่ยง ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
ผมหันไปชักสีหน้าใส่ อยากจะตอกกลับไปเหมือนกันว่าใครใช้ให้เสนอหน้ามา? หมอนั่นเลิกคิ้วนิดหน่อย แล้วก็เหมือนจะสำนึกอะไรได้เลยยอมลดสเปคลงมา
“งั้นพิงค์ซอสก็ได้”
“.........” ไม่สิ มันไม่ได้สำนึกอะไรเลย.. ผมยิ่งหงุดหงิด
“โอเค ซอสมะเขือเทศธรรมดา..”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามที่จะไม่ใส่ใจและไม่อารมณ์เสียไปมากกว่านี้ แล้วตักข้าวต้มใส่ชาม
“Hey!”
จนคิดว่าเพียงพอแล้วผมจึงปิดฝาหม้อ ยกชามข้าวต้ม จังหวะเดียวกับที่หมอนั่นกระตุกข้อศอกผมพอดี
“You hear m..”
เพล้ง!!!ชามข้าวต้มร่วงกระทบพื้น แตกกระจายทั้งชามทั้งข้าวต้มจนเลอะไปทั่วพื้นครัว ผมก้มมองภาพตรงหน้าแล้วก็เหมือนว่าความอดทนทั้งหมดของผมได้สิ้นสุดลงตอนนั้น
“แกรี่!!!” ผมจ้องหน้าเจ้าของชื่ออย่างโมโห
“My bad.” หมอนั่นยกมือทั้งสองข้างขึ้น แล้วถอยหลังออกไป แต่สีหน้าไม่ได้มีความรู้สึกผิดอะไรเลย แถมยังยิ้มนิดๆ เหมือนขบขันผมอีก
ผมโกรธจนนึกไม่ออกว่าเคยโกรธขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือเคยโกรธใครแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า? ถ้าเป็นสภาพปกติผมอาจจะมีความอดทนอดกลั้นมากกว่านี้ มีวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมทั้งอ่อนเพลียจากอาการอาหารเป็นพิษ ทั้งปวดหัวจากอาการหวัด EQ ของผมก็เลยลดต่ำสัมพันกับปริมาณแอนติบอดี้ในร่างกายไปด้วย
จะอะไรก็ช่างแม่งแล้ว ผมเดินกระแทกไหล่หมอนั่นออกมาจากครัว แต่ก็ยังไม่วายถูกมันตามมาตอแยอีก
“Hey!” มันคว้าแขนผม ผมสะบัดออก เดินต่อ มันก็ตามมาคว้าไว้อีก “You!”
“ปล่อย!!” ผมหันไปตวาด สะบัดแขนอีก
ตาสีอ่อนของหมอนั่นเบิกขึ้นเล็กน้อย แต่นอกจะไม่ปล่อยแขนผมแล้วยังเข้ามาจับอีกข้างไว้ด้วย
“Please..” ผมขอร้อง น้ำเสียงขาดห้วงเพราะบางอย่างที่จุกอยู่ตรงคอ
แล้ววันนี้แกรี่ก็ประสบความสำเร็จในการทำให้ผมน้ำตาร่วงอีกครั้ง..
คือผมก็ไม่ได้อยากร้องนะ แต่เข้าใจอารมณ์ไหม เวลาคนมันปวดหัวมากๆ แล้วยังถูกป่วนให้อารมณ์พุ่งอีก มันเหมือนขมับถูกอัดด้วยความเครียด แล้วยิ่งเครียดก็ยิ่งปวดหัวกันไปใหญ่ ปวดจนรู้สึกเหมือนหัวใกล้จะระเบิด พอถึงจุดๆ หนึ่งน้ำตามันก็เลยไหลออกมาอย่างที่เห็น มันไม่ใช่อารมณ์เศร้าเสียใจอะไร มัน.. นะ ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ ผมปวดหัว
ผมถอยหนีเมื่ออีกคนขยับเข้ามาใกล้ แต่หมอนั่นก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมได้ทำตามใจนัก ยังคงขยับตามมาแล้วใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้
“You look cute when you cry.” หมอนั่นแนบฝ่ามือกับแก้มผม มุมปากแต้มรอยยิ้มพออกพอใจกับผลงานของตัวเองตามประสาคนโรคจิต
ผมปัดมือนั่นออก บ่ายหน้าจะเดินหนีไปให้พ้น แต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งไว้ แล้วกึ่งลากกึ่งจูงมานั่งที่โต๊ะกินข้าว จากนั้นหมอนั่นก็ไปสาละวนเก็บกวาดเศษซากข้าวต้มบนพื้นจนสะอาดเรียบร้อย ปิดท้ายด้วยการตักข้าวต้นชามใหม่มาเสิร์ฟให้ผม ผมงุนงงกับภาพที่เห็นจนอารมณ์เย็นลงมากเลยล่ะ
“กินสิ” หมอนั่นเร่งเมื่อเห็นผมยังนั่งเฉย
ผมถอนหายใจ แล้วเริ่มตักข้าวต้มเข้าปากโดยมีสายตาของอีกคนคอยจับจ้องอยู่ตลอด
“ยูมี...มาม่าไหม?” สักพักหมอนั่นก็ถามผมแบบนั้นพร้อมทั้งเกาคิ้วแก้เก้อ
คงจะหิวล่ะสิ ไม่ได้กินข้าวกลางวันนี่นะ ผมนึกแล้วขำ ไอ้ตัววายร้ายก็มีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกันสินะ อารมณ์ผมเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ เลยพยักพเยิดไปทางตู้เก็บอาหารแห้ง
“ไม่มีงานมีการทำหรือไง?” ผมถามหลังจากจัดการมื้อเที่ยงที่ล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยเสร็จก็แล้ว กินน้ำก็แล้ว กินยาก็แล้ว ล้างชามก็แล้ว ไอ้แขกไม่ได้รับเชิญนั่นก็ยังนั่งแช่อยู่ในบ้านผมแบบไม่มีทีท่าว่าจะยอมย้ายก้นไปที่อื่น
“เวลางานของไอมันเริ่มหลังพระอาทิตย์ตกดิน” หมอนั่นไหวไหล่
ผมก็ลืมไปว่าบ้านหมอนี่มันทำพวกธุรกิจสถานบันเทิง พอนึกได้ผมก็ขี้เกียจจะพูดอะไรต่อ ผมหลบไปโทรหาแม่ว่าเริ่มเดินทางกลับกันหรือยัง คุยกันสักพักก็เดินกลับไปหาหมอนั่นอีก
“เราจะขึ้นไปนอนข้างบน” ผมบอก ตั้งใจจะไล่กลายๆ นั่นแหล่ะ
“Suit yourself.” หมอนั่นก็ดันตีมึนอีก
ผมเลยขี้เกียจสนใจ อยากทำอะไรก็ทำ Suit yourself! แล้วเดินกลับขึ้นมาบนห้องนอนตัวเองเลย
พอเข้ามาในห้องก็ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งของโมบายหอยที่เคลื่อนไหวเพราะลมจากหน้าต่างซึ่งผมเปิดทิ้งไว้ ผมเดินมายังเตียง สิ่งที่สะดุดตาอันดับต่อมาวางอยู่บนหัวเตียง..
‘ถุงกำมะหยี่สีดำ’
หนึ่งในสิ่งที่รบกวนจิตใจผมมาพักใหญ่.. ผมเอื้อมมือไปหยิบมันก่อนจะทิ้งตัวลงนอน แล้วยกมันขึ้นส่องกับแสงแม้จะรู้ดีว่าทำแบบนั้นไปก็ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นของข้างในสักหน่อย ทำไมผมยังเก็บไว้? ทำไมผมถึงไม่เอามันไปคืนไอ?
“.........”
อา.. นั่นคงเป็นสิ่งท้ายๆ ที่ผมคิดจะทำ
“ตอนไอมาครั้งก่อนยังไม่มีไอ้นั่นเลยนี่นา” ผู้บุกรุกที่ถือวิสาสะเข้ามาให้ห้องคนอื่นพยักพเยิดมาทางโมบาย
ผมเงียบ ทำไม่สนใจ หมอนั่นก็ได้หาเดือดร้อนไม่ เดินไปจับนู่นดูนี่เรื่อยเปื่อยแบบไม่มีมารยาท ผมเลยนอนเหม่อมองโมบาย ปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสธารความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัว จนเกือบลืมไปแล้วว่ามีอีกคนอยู่ในห้องด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนั่นส่งเสียงเรียกร้องความสนใจก่อน
“Too cute!”
ผมหันไปมองด้วยสงสัยว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“You were dressed like a doll! You like it!?” คนพูดหันอัลบัมรูปที่มีรูปผมถูกแม่จับใส่ชุดของพี่หงษ์ตอนเด็กๆ มาให้ดูด้วยท่าทางขบขันเต็มที่
“Shut up!” ผมบอก
“Come on, I know you like it. You look so happy.”
ผมเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง ทั้งที่มันเป็นรูปน่าอายไม่ค่อยอยากให้ใครเห็น แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะไปสู้รบปรบมือกับใครอีก ส่วนหมอนั่นก็ยืนเปิดดูรูปคนอื่นเขาต่อไป
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพักก็เกิดความสงสัยกับบางสิ่งบางอย่าง
“แกรี่”
“What’s up?”
“ถ้านายมีรักที่เป็นไปไม่ได้ นายจะทำยังไง?” ตาผมมองถุงสีดำในมือ แต่หัวผมกลับนึกถึงคำพูดของเฮียภาค
ผมยังไม่อยากจะปักธงในใจว่าคนที่เฮียภาคพูดถึงคืนนั้นคือ ‘ผม’ ถึงเขาจะบอกว่าคนที่เขามีใจให้เป็น ‘คนของน้อง’ และน้องคนนั้นไม่ใช่เฮียภูมิ.. มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่าคนที่เขากำลังพูดถึงความจริงแล้วคือ ‘คนของรักชาติ’
แต่ ณ เวลานี้...ผมไม่ใช่คนคนนั้น
ผมไม่ได้เป็นคนสำคัญของรักอีกต่อไป ไม่ใช่คนของเขา ไม่ใช่คนที่เขารัก..
แล้วตกลงที่พูดแบบนั้นเพราะเฮียภาคยังไม่รู้ว่ารักเลิกกับผมมาพักหนึ่งแล้ว หรือว่าเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงผมตั้งแต่แรกอยู่แล้วกันแน่ล่ะ? ...ถึงสายตาที่รับมือยากคู่นั้นจะมองตรงมาที่ผมก็เถอะ
ถ้าอย่างนั้นเขาจะหมายถึงใคร?
“.........” ผมกำถุงสีดำเอาไว้แน่น แต่ก็แทบไม่สัมผัสถึงอะไรที่อยู่ในนั้นเลย
“What..?”
“นายจะตัดใจไหม?” ผมถามอีก
“รักที่เป็นไปไม่ได้...ยังไง?” หมอนั่นดูยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“ก็เช่น รักคนที่มีเจ้าของ.. รักคนที่ไม่สมควรรัก..” ผมกลายมือที่กำถุงกำมะหยี่ออก “หรือรักคนที่เขาเกลียดเรา”
คราวนี้แกรี่เงียบไปจนผมนึกแปลกใจ เลยหันไปมอง ก็เห็นหมอนั่นกำลังมองผมอยู่ก่อนแล้ว เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเลิกคิ้วเชิงตั้งคำถามใส่ หมอนั่นจึงยอมเปิดปากตอบ
“I don’t know.” ช่างเป็นคำตอบที่ไม่มีประโยชน์เอาซะเลย
ไม่สิ.. ถึงจะยังไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ได้แปลว่าจะตัดใจสินะ บางทีถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ คนอย่างหมอนี่อาจจะสู้ไม่ถอยเลยก็ได้ ใครจะรู้
จะว่าไปก็แปลก คำตอบ ‘ไม่รู้’ นี่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากหมอนี่เลยนะ ปกติออกจะดูบ้าระห่ำแท้ๆ ไอ้ผมก็คิดไปว่ามันคงจะพูดประมาณ “Die for me, darling.” อะไรแบบนั้นกับความรักที่อาจไม่สมหวังของมันซะอีก
“แกรี่”
“อะไรอีก?” คนถูกเรียกเงยหน้าจากอัลบัมรูป
“ตอนนี้นายมีคนรักไหม?” จู่ๆ ผมก็นึกอยากรู้ขึ้นมา หมอนี่มีแฟนไหม? สเปคเป็นยังไง? แบบปารีสหรือเปล่า?
“Why?” หมอนั่นขมวดคิ้วสงสัย
“ก็แค่ถาม” ผมใช้น้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก ให้คนฟังเข้าใจว่าไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษอะไรในคำถามของผม
“I’m in love with myself.” เขาพูดหน้าตาเฉย
และคงเพราะเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าผม จึงถามกลับ “Isn’t that enough?”
“ไม่รู้สิ” ผมแกว่งถุงในมือเล่น “..ไม่รู้สึกว่าอยากได้ความรักจากคนอื่นบ้างเลยเหรอ?”
ผมได้ยินเสียงวางช้อน จึงเงยหน้ามองคนที่นั่งตรงข้าม เห็นทางนั้นจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ..หรือไม่ก็ออกไปทางมีคำถาม
“It bothers me.”
ผมหันไปมองหน้าคนพูด
“ความรักจากคนอื่นมีแต่เงื่อนไขทั้งนั้น”“...?...”
“Don’t you think so?”
บทสนทนาของเราจบลงครึ่งๆ กลางๆ แค่นั้น เพราะแกรี่มีโทรศัพท์เรียกเข้า หมอนั่นกรอกเสียงไปตามสายไม่กี่คำก็หันมาบอกผมว่าจะกลับล่ะ ตอนแรกผมจะตามลงไปล็อคประตู แต่หมอนั่นบอกว่าจะล็อคให้เอง ผมก็เลยสบายไป
ตอนแรกตั้งใจว่าจะงีบสักหน่อยระหว่างรอแม่กับน้องกลับมา อาการปวดหัวก็หายไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา แต่เพราะยังมีบางอย่างติดค้างในใจทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมกันนะ?” ผมรำพึงกับตัวเอง ยกมือก่ายหน้าผาก
สักพักก็ทนไม่ไหว ควานมือหาถุงกำมะหยี่เจ้าปัญหามาดูอีกรอบ
ผมจ้องมองมันอย่างลังเลใจ และสุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบของข้างในออกมา
“.........”
สีเงินแวววาวของมันสะท้อนแสงเล็กๆ แต่พอตัวเมื่อผมยกขึ้นส่องกับแดด เห็นลายสลักเล็กๆ ด้านในเป็นรูปหูกระต่ายที่เจ้าของร้านซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่ดีไซเนอร์ฝึกหัดตั้งใจสลักให้ด้วยมือ และเพราะมันเป็นของทำมือ มันจึงมีอยู่แค่ชิ้นเดียวในโลก
ไม่สิ.. ต้องพูดว่ามีอยู่ ‘คู่’ เดียวในโลกถึงจะถูก
“.........”
ผมตัดสินใจลุกจากเตียง ไปยืนอยู่หน้ากระจก มองเงานสะท้อนที่ดูอิดโรยของตัวเองอย่างไร้ความรู้สึก ก่อนจะเริ่มใส่ ‘ต่างหู’ ข้างที่ไม่คิดว่าจะได้กลับคืนมาอีก ยิ่งวิธีการได้คืนแบบนี้ยิ่งไม่เคยมีอยู่ในความคิด
แต่อะไรจะเปลี่ยนความจริงได้ล่ะ ในเมื่อหลักฐานมันก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“.........”
ผมมองตัวเองในกระจกอีกรอบ สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ก็มีแค่ต่างหูเงินที่อยู่บนติ่งหูข้างขวา..
“พูดไปแล้วสินะ ว่ายังไงก็จะไม่มีวันเกลียด..”----------------- See You Next Season -----------------
เจอกัน SS2 แจ้!!!!!
บรั๊ยยส์
ปล. ss2 นอกจากจะคงคอนเซ็ป ‘ยากนัก...รักนี้’ ไว้เหมือนเดิมอย่างเหนียวแน่นแว่นแก้วแล้ว ยังจะดำเนินเรื่องภายใต้ธีม ‘รักที่เป็นไปไม่ได้’ ด้วยนะ ชะละล่า! (หน่วงตับ x2 กันเลยทีเดียว)
จะมารักน้อง(?) รักคนที่น้องรัก(??) รักศัตรู(อุ๊บส์!) มันเป็นไปไม๊ด๊ายยยยยยยยยย .........มั้ยนะ? อิอิ
อ่อ แต่อย่าเพิ่งคาดหวังว่าใครจะได้ลงเอยกับใครล่วงหน้าเลยนะ ของงี้ต้องลุ้นกันยาวๆ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะแจ้
(อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน่อ นึกว่าสงสารคนเขียนตัวดำๆ เต๊อะ..
)