“พี่ไบค์เร็วๆดิเว้ยพี่ต่ายออกจากหอประชุมมาแล้วเนี่ย!”
ชายหนุ่มในชุดครุยวิ่งแทรกบรรดาฝูงชนจำนวนมากที่แห่แหนกันมางานพระราชทานปริญญาบัตร ร่างสูงใบหน้าคมผิวเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่มากนักแต่ถึงกระนั้นก็คล้ำขึ้นจนสังเกตได้จากการฝึกงานภาคสนามเมื่อปีที่ผ่านมา เขาหลบซ้ายเอียงขวาก่อนวิ่งเข้าไปยังทางออกจากหอประชุมที่เต็มไปด้วยบรรดาผู้ปกครองที่มายืนรอลูกหลาน นักศึกษารุ่นน้องที่รายล้อมเพื่อเตรียมส่งรุ่นพี่ที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา บาสรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย อากาศร้อนอบอ้าวถึงขนาดที่ว่าหากยืนอยู่กลางแดดนานๆอาจจะเป็นลมได้ ถึงกระนั้นเขาก็ใช้ความสูงในระดับร้อยแปดสิบของตัวเองชะเง้อคอมองบรรดาบัณฑิตในชุดครุยที่ทยอยเดินออกมา ในอ้อมแขนของเขาถือช่อดอกไม้สีขาวสะอาดที่ใช้พี่ชายไปรับมาให้เมื่อเช้า
“มึงโทรหาเขาหรือยัง มาชะเง้อคอรอคอยแบบนี้หากันเจอยากนะเว้ย” ชายหนุ่มหน้าละม้ายคล้ายกันในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ที่คอมีกล้อง DSLR ห้อยเอาไว้ตัวหนึ่ง กระเป๋าอีกใบที่บรรจุบรรดาเลนส์ต่างๆสะพายอยู่ที่บ่า ไบค์รู้สึกอิรุงตุงนังไปหมดแต่ก็ต้องซอยขาวิ่งตามบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์มาติดๆ
“พี่ต่ายไม่ได้พกโทรศัพท์เข้าไปด้วย”
“แล้วโทรศัพท์เขาอยู่กับใคร”
“พ่อแม่เขาดิ”
เห...? ตอบแล้วก็ทำท่านึกได้ บาสหันไปมองหน้าพี่ชายที่ทำสีหน้าเอือมระอาใส่ เขาเกาหัวเก้อแล้วรับโทรศัพท์ที่พี่ชายส่งมาให้ นิ้วมือยาวเลื่อนปลดล็อกอย่างรวดเร็วและกดหาเบอร์ที่โทรออกล่าสุด เขารอไม่นานปลายสายก็รับด้วยเสียงที่บาสคุ้นเคย ตกลงนัดสถานที่กันสองสามคำแล้วเขาถึงวิ่งลากพี่ชายเขาไปยังสนามอีกฟาก
“กูยอมมึงวันเดียวนะไอ้บัณฑิต” ไบค์บ่นพึมพำ
ใช้เวลาประมาณสิบนาทีเขาก็วิ่งมาถึงจุดที่ปลายสายโทรศัพท์บอก บาสเห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ในร่มไม้เลี่ยงไอร้อนจากแสงแดด ชายหนุ่มยกมือไหว้ทันทีที่เดินเข้าไปถึง ส่งยิ้มให้อย่างเช่นทุกครั้ง
“สวัสดีครับคุณน้า”
“อ้าวบาส มาแล้วหรือลูก ยินดีด้วยนะจ้ะพ่อนายช่าง ร้อนไหมมายืนทางนี้สิ ร่มๆหน่อย”
บาสขยับตาม มือกระพือคอเสื้อที่ติดจนชิดลำคอให้มีลมเข้าไปบ้างแล้วยิงคำถามอย่างร้อนรน “พี่ต่ายล่ะครับ”
“โน่นเลยจ้ะ อยู่กับพวกโน้ตพวกปราชญ์ตรงกลางสนามนั่นแหละจ้ะ เราเดินไปหาเขาสิ”
บาสมองไปตามทิศที่หล่อนชี้ แม้จะเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาลสักเท่าไร แต่ใบหน้าเรียวสวยของอีกฝ่ายยังเด่นชัดเสมอ... ฝ่ายนั้นกำลังยืนคุยอยู่กับบรรดาเพื่อนและรุ่นน้องที่เดินเข้ามาแสดงความยินดี “ไม่เป็นไรหรอกครับผมรอตรงนี้ก็ได้”
เขายิ้ม... ยิ้มตามทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั้นประดับบนใบหน้า บาสเลือกที่จะยืนรออยู่ตรงนี้มากกว่าการเข้าไปแทรกเพราะเขารู้ว่าพี่ต่ายควรจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่า ตัวเขานั้นรับในช่วงเช้าไปเรียบร้อยแล้ว บรรดาเพื่อนฝูงของเขาจึงทยอยออกจากตัวมหาวิทยาลัยแยกย้ายกันกลับเรียบร้อยแล้ว ตอนเย็นถึงจะนัดกันไปสังสรรค์อีกครั้งหนึ่ง
บาสรู้สึกหนักไหล่ข้างหนึ่ง เขาหันไปเห็นพี่ชายของตัวเองยืนดูดชาเขียวอยู่ข้างๆ เอาศอกข้างหนึ่งท้าวไหล่เขาแก้เมื่อย เขานึกขึ้นได้ว่าพี่ไบค์กับพ่อแม่ของพี่ต่ายยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง เขาจึงสะกิดพี่ชายให้หันไปมองชายหญิงสองคนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ไบค์เห็นแล้วก็เลิกคิ้ว มือบิดฝาปิดขวดชาเขียวลวกๆแล้วยัดใส่กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง
“คุณน้าครับ นี่พี่ชายผมชื่อไบค์” บาสแนะนำ เบี่ยงตัวเองออกไปด้านหลังเล็กน้อยให้พี่ชายเขาได้โผล่หัวมาไหว้ทักทายผู้ใหญ่
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มไหว้และกล่าวทักทายเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มกว้างเสียจนผู้ใหญ่เคลิ้ม บาสเบะปาก แม้เมื่อครู่พี่ชายเขาจะทำสีหน้าอาลัยตายอยากเพราะแดดวันนี้ร้อนมากจริงๆแต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นคนที่สร้างความประทับใจแรกพบให้กับคนส่วนใหญ่ได้เสมอ เขาเห็นแววตาของแม่พี่ต่ายดูประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“บอกว่าเป็นฝาแฝดกันแม่ก็เชื่อนะ หน้าเหมือนกันเลย” หล่อนทักเสียงร่าเริง บาสเห็นคนพ่อมองมาอย่างสนใจไม่น้อย
“จริงๆ แค่เจ้าบาสดำกว่าหน่อยนึง”
พี่ไบค์หัวเราะเสียงดัง ตบบ่าเขาดังอั้ก “ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะผมหล่อกว่ามันเยอะเลย”
คำตอบจากคนเป็นพี่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้มากทีเดียว ชายหนุ่มหัวเราะตามแม้จะแอบถลึงตาใส่พี่ชายอยู่หลายครั้ง
“เออจริง พ่อก็ว่าแบบนั้นแหละ” เสียงหยอกล้อจากผู้ใหญ่ทำเอาบาสหน้าบู้ พ่อพี่ต่ายตบไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ “แล้วเย็นนี้บาสจะมางานเลี้ยงที่ร้านหรือเปล่า พาเพื่อนมาฉลองพร้อมกันก็ได้นะหรือเรามีที่อื่นในใจกันแล้ว”
“ผมว่าจะตามไปช่วงหัวค่ำน่ะครับ”
“ดีๆ เจ้าพวกนั้นก็คงอยู่กันถึงค่ำถึงมืดเหมือนกัน แล้วเราเป็นอย่างไร จะเรียนต่อหรือทำงานเลย”
“ทำงานเลยครับ ตอนนี้ได้บรรจุแล้ว”
“ดูต่ายสิ จบไม่ทันไรเดี๋ยวก็หนีไปใช้ทุนที่อื่นแล้ว อยู่ให้แม่ชื่นใจได้ไม่ถึงเดือนจริงๆลูกคนนี้”
“แต่คุณก็ภูมิใจไม่ใช่หรือ เกียรตินิยมอันดับสองด้วยนะ” คนเป็นพ่อเอ่ยแย้ง บาสเห็นใบหน้าของแม่พี่ต่ายที่ขมวดคิ้วมุ่นแต่แรกค่อยๆคลายออก หล่อนคลี่ยิ้มเต็มหน้า มองไปยังทิศที่ลูกชายตัวเองอยู่ด้วยความภูมิใจ
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!”
บาสอมยิ้มตาม เขาหันไปเห็นพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างๆส่งยิ้มตามไปด้วย แน่นอน... วันนี้เป็นวันดีที่ทุกคนควรจะยิ้มให้กับมัน บาสมองตามสายตาของพ่อแม่พี่ต่ายที่มองลูกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าตัวหันมามองเห็นพวกเขาสี่คนพอดี ริมฝีปากสีสดนั่นแย้มยิ้มกว้าง เดินแทรกบรรดาเพื่อนฝูงและคนที่เข้ามาแสดงความยินดีตรงมาหาพวกเขา
ร่างโปร่งตรงรี่เข้ามากอดบุพการีทั้งสองแน่น ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือเปล่าแต่บาสเห็นดวงตาภายใต้แว่นกรอบสีเข้มนั้นรื้นน้ำตานิดๆ มือขาวยกมือขึ้นห้ามแม่ตัวเองไม่ให้หอมแก้มเพราะใบหน้าตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ก็แน่ล่ะยืนอยู่กลางแดดนานขนาดนั้น... พี่ต่ายคุยกับพ่อและแม่สองสามคำก่อนหันมาหาเขา ชายหนุ่มยื่นช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับบัณฑิตที่ทำหน้ายู่
“ยินดีด้วยนะครับ”
“ดอกไม้อีกแล้ว ไม่มีที่เก็บแล้ว” ต่ายบ่นพึมพำแต่ก็รับมาถือเต็มอ้อมแขน
“ผลัดกันไงครับ เมื่อเช้าพี่ก็เอาดอกไม้มาให้ผมเหมือนกันนะ”
บาสยิ้มกริ่ม เมื่อเช้าหลังออกมาจากห้องประชุมเขาก็โดนโห่ล้อไปพักใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเดินถือดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มเข้ามาแสดงความยินดีก่อนขอตัวไปเตรียมตัวของตัวเองบ้าง เขาเห็นหยาดเหงื่อที่ไหลลู่ลงมาข้างแก้มขาวแล้วก็รู้สึกว่าพี่ต่ายคงจะรำคาญไม่น้อย มือล้วงกระดาษทิชชู่ซองเล็กที่พกไว้ในกระเป๋ากางเกงตั้งแต่เช้าขึ้นมาดึงแล้วส่งให้อีกฝ่าย บาสแปลกใจที่มือขาวนั่นไม่ยื่นออกมารับ พี่ต่ายยังคงกอดช่อดอกไม้แน่นทั้งๆที่จะเปลี่ยนมาถือมือเดียวก็ได้แท้ๆ ชายหนุ่มเห็นแล้วยิ้มอ่อนใจ เขาเหลือบมองผู้ใหญ่สองคนที่มัวแต่ชี้ชวนกันให้ดูนั่นดูนี่แล้วก็ใช้จังหวะนั้นซับกระดาษทิชชู่เนื้อนุ่มลงกับใบหน้าเนียนนั่นเบาๆ
“บัณฑิตทั้งสองคนครับ ถ่ายรูปหน่อยได้ไหมครับ” เสียงทุ้มที่แทรกขัดจังหวะดังมากจากพี่ชายจอมกวนของเขาที่ยกกล้องตัวใหญ่บังใบหน้าเรียบร้อยแล้ว บาสขยับตัวไปยืนข้างๆทันที
ไบค์กดชัตเตอร์ระรัว จัดท่าทางของทั้งสองคนหลายมุมจนพอใจเขาจึงเชิญผู้ปกครองอีกสองคนที่ยืนมองอยู่ให้เข้ามาในเฟรมด้วย พอดีกับที่ปราชญ์และโน้ตวิ่งแถ่ดๆโดดเข้ามาถ่ายร่วมด้วยอีกสองคน บาสถามถึงสองสาวอีกสองคนในกลุ่มก็ได้ความว่าขอแยกตัวกลับบ้านไปก่อนหน้านี้สักพักแล้วเพราะอากาศร้อนและมีงานฉลองกับญาติๆในช่วงเย็น ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวก่อน เขาพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาสนใจกล้องตรงหน้าแทน พ่อแม่พี่ต่ายขอตัวกลับไปยืนใต้ร่มไม้เหมือนเดิม ทิ้งให้บัณฑิตทั้งหลายถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
แม้วันนี้อากาศจะร้อน แม้แดดจะแรง แม้ผู้คนมากมายจะเดินขวักไขว่ชนกันไปมา แต่ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะวันนี้เป็นวันที่ความเหนื่อยยากของพ่อแม่และนักศึกษาทุกคนที่ศึกษาเล่าเรียนสัมฤทธิ์ผล เป็นรางวัลแห่งความสำเร็จของนักศึกษาทุกคน... เสียงพี่ไบค์ตะโกนเตือนพร้อมๆกับที่ทุกคนจับมือกันเตรียมพร้อม บาสรู้สึกเหนื่อยเพราะไม่รู้ว่าวันนี้ทำท่านี้มากี่รอบแล้วตั้งแต่เช้า แต่รุ่นพี่คณะแพทยศาสตร์อีกสามคนที่ยืนอยู่ตรงนี้แลดูตื่นเต้นเขาก็ต้องยอมทำตามอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนนับถอยหลังจากตากล้องจำเป็นของวันนี้
สาม...
สอง...
หนึ่ง...
เฮ้!
ครับ... พวกผมทุกคนเรียนจบแล้ว…
.
.
เสร็จสิ้นงานพิธีต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน บ้างก็ไปสังสรรค์กันต่อเลยทันทีแต่ต่ายตกลงกับเพื่อนทุกคนแล้วว่าจะเจอกันรอบเย็นเลยทีเดียว พ่อกับแม่ของเขาถึงขนาดปิดสวนอาหารไปโซนหนึ่งเพื่อเลี้ยงให้เขากับเพื่อนทุกคนในกลุ่มโดยเฉพาะ เขาเดินนำร่างสูงของเด็กวิศวะที่กำลังจะได้รับฉายานายช่างใหญ่ในอนาคตมาที่ลานจอดรถ พ่อกับแม่กำลังช่วยกันลำเลียงบรรดาช่อดอกไม้และของขวัญที่เขาได้รับวันนี้ จริงๆนี่ก็น้อยลงไปเยอะเพราะส่วนใหญ่คนอื่นๆจะนำมาให้วันซ้อมก่อนหน้าวันรับจริงแล้ว
ข้าวของถูกจัดจนเรียบร้อย ชายหนุ่มร่างสูงก็ลาพ่อกับแม่เขาไปจัดการตัวเองบ้างและยังย้ำว่าจะตามไปช่วงสองสามทุ่ม ต่ายพยักหน้ารับรู้แล้วโบกมือลา รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปตามท้องถนน รถติดเสียยิ่งกว่าทุกวันซึ่งเป็นปกติของช่วงที่มีการรับปริญญาอยู่แล้ว ต่ายรู้สึกสมองเบลอ สองสามวันมานี้เขาเหนื่อยมากจริงๆทั้งเรื่องการยื่นเอกสารต่างๆนานาเพื่อบรรจุเป็นแพทย์ใช้ทุน แม้พ่อกับแม่จะบ่นอยู่หลายครั้งว่าให้เขาจ่ายเงินคืนทุนแล้วเรียนต่อเฉพาะทางหรือบรรจุเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนเลยก็ได้ถ้าลำบาก ต่ายกลับรู้สึกว่าการเลือกทำงานใช้ทุนคืนอีกสามปีเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ปากของทั้งสองคนจะอ้างนั่นอ้างนี่ แต่พอเขาตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางนี้พ่อกับแม่ของเขาก็ยิ้มแก้มแทบปริแล้วกล่าวอวยพรให้เขาโชคดีหลายครั้ง ต่ายรู้ว่าพ่อแม่ของเป็นห่วงแต่เขาก็มั่นคงพอที่จะตัดสินใจและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันถูกต้อง นอกจากตัวเขาเองแล้ว ทุกคนในกลุ่มของเขาก็เลือกเส้นทางนี้เช่นกัน ปราชญ์ถึงกับต้องทะเลาะกับพ่อเสียยกใหญ่เลยทีเดียว แม้จะแยกกันไปคนละทิศแต่ต่ายเชื่อว่าเพื่อนกันถึงอย่างไรก็ไม่มีวันตัดกันขาด ยิ่งมีโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ติดต่อกันได้ตลอดเวลาแบบนี้แล้วด้วย อีกอย่างคือโรงพยาบาลที่ปราชญ์กับโน้ตเลือกก็ไม่ได้ห่างกับที่ๆเขาจะไปเท่าไรนัก ขับรถสองสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว
กว่ารถจะขยับอีกครั้งก็กินเวลานานพอสมควร ต่างรู้สึกสติของเขาค่อยๆลางเลือนเพราะความเหนื่อยที่สะสมมาหลายวัน หูของเขาได้ยินเสียงแว่วของแม่บอกว่าให้นอนไปเลยก็ได้เมื่อถึงแล้วจะปลุกเองเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นสติของเขาก็ค่อยๆเลือนเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
.
.
ใบหน้าคมที่สะท้อนกลับมาจากกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่กับประตูตู้เสื้อผ้าบ่งบอกถึงอารมณ์หลากหลายของเจ้าตัวนัก บาสมองใบหน้าของตัวที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะเครียดก็ไม่เชิง เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ติดบนผนังปูนสีขาวสะอาดที่บอกเวลาเกือบห้าโมงแล้ว พวกเพื่อนๆกลุ่มของเขาและสายรหัสทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องพอทราบข่าวว่าเขาจะออกจากงานไปหาพี่ต่ายต่อที่ร้านก็ตกลงกันว่าถ้าอย่างนั้นก็แห่ไปเลี้ยงที่สวนอาหารนทีทิพย์กันเลยรอบเดียว เจ้ามืออย่างพี่โก้ที่ถึงขั้นลางานนั่งเครื่องบินมาจากเชียงใหม่เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วทั้งเรื่องโทรไปจองโต๊ะและสั่งอาหารล่วงหน้าเสร็จสรรพ บาสได้แต่มองไลน์กลุ่มที่เด้งข้อความอย่างรวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน
บาสกระชับดึงปกเสื้อโปโล Lacoste สีน้ำตาลอ่อนให้เข้าที่ มองตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วคว้าเจ้าอุปกรณ์สื่อสารที่ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่แล้วเพราะตอนไปฝึกงานเมื่อช่วงต้นปีเขาทำมันหล่นจากกระเป๋าจนหน้าจอแตกละเอียด กระเป๋าสตางค์ใบเล็กถูกสอดเข้ากระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ขาเดปฟอกสีอ่อน ชายหนุ่มเสยผมเล็กน้อยแล้วเดินลงมายังชั้นล่างของบ้าน บาสเห็นข้าวของทั้งบรรดาดอกไม้และตุ๊กตาที่คนรู้จักรวมถึงเพื่อนๆทั้งหลายเอามาแสดงความยินดีวางระเกะระกะเต็มบ้านแล้วก็ถอนหายใจ คิดในใจว่าวันพรุ่งนี้สงสัยต้องจัดการกันยาวเลยทีเดียว
ห้องนั่งเล่นของบ้านที่มักจะมีแค่เขา พี่ชายและสุนัขตัวโตสองตัวที่นอนผึ่งแอร์ไม่ขยับไปไหนเป็นกิจวัตร บัดนี้มีบุพการีอีกสองคนที่นั่งรายการโทรทัศน์ยามบ่ายอยู่ด้วย บาสขยับไปนั่งข้างๆแม่ของเขา บนตักของนางมีหัวของเจ้าหมาตัวโตที่วางพาดหลับสบายอยู่ ส่วนลำตัวกินพื้นที่โซฟาตัวยาวไปครึ่งหนึ่ง บาสเห็นแล้วหมั่นเขี้ยว ขยำหัวมันแรงๆจนมันส่งเสียงขู่ในลำคอเบาๆ
“ไปแกล้งมันทำไมล่ะ” คนเป็นแม่บ่นอ่อนใจ ตีแขนลูกชายคนเล็กของตัวเองไม่แรงนักแต่ก็ทำให้ขึ้นรอยแดงได้ บาสหัวเราะในลำคอ มองใบหน้าของคนเป็นแม่ด้วยความรัก เขาสังเกตเห็นนัยน์ตาของหล่อนยังคงแดงก่ำเล็กน้อย เพราะเมื่อช่วงเช้าหล่อนก็เอาแต่มองเขาแล้วน้ำตารื้นตลอดเวลา “โตแล้วนะเล่นอะไรเป็นเด็ก”
“อยู่กับแม่บาสเป็นเด็กได้ ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มยกยิ้ม ซบหน้าผากลงกับไหล่ที่แม้ดูบอบบางแต่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“จะออกไปกี่โมงเนี่ย อย่ากลับดึกนักนะ พรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องบินไฟลท์เช้าด้วย” เสียงทุ้มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อาร์มแชร์ตัวโตเอ่ยถาม พ่อของเขานอนเอนหลับตาจนนึกว่าหลับไปจริงๆเสียแล้ว
“เดี๋ยวออกเลยครับ รอพี่ไบค์กลับมาก่อนเห็นว่าไปทำธุระเรื่องงาน”
“อือ แล้วก่อนทำงานก็อย่าลืมหาวันว่างไปฉลองที่โน่นบ้างล่ะ ญาติๆเราน่ะรออยู่”
“เดี๋ยวผมจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะรีบไปนะ พ่ออย่าลืมบอกย่าให้ๆรางวัลผมหนักๆหน่อยล่ะ หึๆ”
“เดี๋ยวกูโบก ไอ้ Lexus RX450h หน้าบ้านเนี่ยมันก็เยอะไปแล้ว!”
“อ้าว นั่นพ่อให้ ไม่เกี่ยวกัน”
“กูยืมเงินแม่กูมาไง เพราะงั้นถือว่าให้แล้ว”
“โธ่...”
ชายหนุ่มโอดครวญ เขี่ยเจ้าสุนัขไซบีเรียนตัวโตที่นอนตักแม่ของเขาไปให้พ้นทางแล้วสวมรอยแทน ถึงแม้จะบ่นหงุงหงิงแต่บาสก็แอบอมยิ้มเล็กน้อย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดมากหรอก ก็แค่พูดเล่นๆเท่านั้น ที่ได้มานี่ก็มากเกินพอแล้ว
“มาอ้อนเป็นหมาไปได้เนอะไอ้ลูกคนนี้” หล่อนบ่นไม่จริงจังนัก มือนุ่มลูบเส้นผมสั้นดำขลับ
“เดี๋ยวแม่ก็กลับแล้ว อ้อนตอนนี้แหละเผื่อได้รางวัลเพิ่ม” บาสหัวเราะตัวสั่นกึกกัก เงยหน้ามองแม่ที่ก้มแล้วส่งยิ้มมาให้
“ทำอะไรหวังผลตลอด” เสียงพ่อของเขาพูดแบบเอือมระอา
“ไม่จริงสักหน่อยเนอะแม่เนอะ” ชายหนุ่มพยักเพยิดหน้ากับแม่ที่ส่งสีหน้าไม่ต่างจากพ่อเท่าไรตอบกลับมาแทน
บาสหลับตาพริ้ม ช่วงเวลาที่เหนื่อยยากที่สุดของวัยเรียนได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทำงานอย่างจริงจังในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้า โชคดีที่บริษัทที่เขาฝึกงานยินดีรับเขาบรรจุเข้าเป็นวิศวกรประจำ แถมยังยินดีรับข้อเสนอที่เห็นแก่ตัวของเขาในบางข้อเสียด้วย ความสำเร็จใจวันนี้ของเขานั้นจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากขาดสองบุคคลสำคัญในชีวิตของเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ บาสยิ้ม มองหน้าของแม่จากมุมต่ำ แม้หล่อนจะยังไม่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ามากนักเพราะเป็นคนดูแลตัวเองดี แต่เขาก็รู้ว่าแม่ดูแก่ขึ้นเยอะเลยทีเดียว กว่าเขาจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้ พ่อกับแม่ต้องเหนื่อยสักแค่ไหนกัน...
ลูกชายที่ทั้งดื้อทั้งเอาแต่ใจทั้งสองคนอย่างเขาและพี่ไบค์ ทำให้พ่อกับแม่เสียใจสักแค่ไหนเชียว...
บาสยกแขนขึ้นก่ายหน้า ปิดบริเวณดวงตาที่ร้อนผ่าวเอาไว้ เขาได้ยินเสียงสปริงเก้าอี้อาร์มแชร์ขยับเบาๆ พร้อมกับเสียงลงฝีเท้าไม่หนักมาก พ่อของเขาคงกำลังลุกขึ้นเดินไปในครัวขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังบ้าน
“พ่อ... แม่...”
“หือ”
เสียงฝีเท้าหยุดลงใกล้ๆ รู้สึกได้แค่ไม่อยากยกแขนขึ้นแล้วลืมตามองเท่านั้น เขารู้สึกว่าหัวตาร้อนผ่าว เสียงที่เปล่งเรียกนั้นแผ่วและสั่นเล็กน้อย
“ขอโทษแล้วก็... ขอบคุณนะครับ”
เสียงหัวเราะในลำคอดังหึหึ เขารู้ว่าเป็นเสียงของพ่อพร้อมกับมือใหญ่ที่ขยี้หัวเขาแรงๆจนมึนไปหมด ชายหนุ่มใช้ท่อนแขนกดปาดน้ำตาที่รื้นคลอหน่วยออกแรงๆ แล้วปัดมือใหญ่ที่หยอกล้อออกไป เหลือบมองพ่อที่ยืนมองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ใบหน้าหล่อที่เขาถอดแบบออกมาอมยิ้มเล็กน้อย
เขารู้... รู้ว่าสิ่งผิดพลาดที่เขาได้ทำลงไป เขาได้รับการให้อภัยทั้งหมด
“พอแล้ว พ่ออะ”
“เออ”
.
.
