“กัดเล็บหน้าบึ้งเป็นยักษ์”
ปราชญ์แซวเพื่อนที่นั่งทำหน้ามุ่ย ฟันคมๆแทะเล็บตัวเองเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ จะว่าเครียดเรื่องเรียนก็คงไม่ใช่ประเด็นหลักเพราะเพิ่งได้รายงานกลับคืนมาจากอาจารย์หมอพร้อมคอมเมนต์ที่ว่าบันทึกได้ค่อนข้างละเอียดและเข้าใจง่าย อีกอย่างต่ายไม่ใช่คนที่มีปัญหาหนักเรื่องการเรียนเท่าไรตั้งแต่รู้จักกันมา เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ใช้ชีวิตมีระเบียบอย่างกับพ่อแม่เป็นครูโหดๆตามโรงเรียนรัฐบาล แบบนี้ก็เหลืออยู่เรื่องเดียวแล้ว
“น้องมันไม่มาส่งหรือไงถึงทำหน้าแบบนี้”
ต่ายตวัดตามองเพื่อนปากดีที่ลอยหน้าลอยตาเดินเข้ามาในห้องพักแพทย์ วันนี้กลุ่มเขาทั้งสามคนโชคดีที่ได้ขึ้นวอร์ดเวลาเดียวกันซึ่งโอกาสนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยนักเพราะถึงแม้จะสนิทกันแต่ทั้งสามคนก็เลือกวิชาเลือกพิเศษต่างกันหมด
“ปากหรือตูดวะ พูดออกมาแต่ละคำ” ต่ายกระชากเสียง “พูดให้มันดีๆหน่อย”
ใบหน้าเนียนบึ้ง เบะปากไม่พอใจเพื่อนที่แซวไม่รู้เรื่อง ปราชญ์แค่นหัวเราะในลำคอ “เรื่องพี่หมอต่ายของน้องบาสไปสะดุดที่ลานเกียร์เป็นประเด็นกันให้เมาท์ไปเป็นอาทิตย์แน่ๆ ดังมายันตึกแพทย์ ดีแค่ไหนที่คณะเรากระจายข่าวกันช้าเพราะแต่ละคนไม่เคยว่างมานั่งฟังเรื่องของคนอื่นนอกจากคนไข้ที่ตัวเองรับผิดชอบ”
คนเพิ่งมาใหม่วางกระเป๋าสะพายข้างที่เต็มไปด้วยหนังสืออ้างอิงและเอกสารแน่นเอี๊ยดแทบจะไม่มีที่ว่าง ไหล่แทบจะทรุด รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากบ่า ผีชัตเตอร์ที่มันขี่คออยู่ก็คงหายไปด้วย บิดคอซ้ายขวาคลายความเมื่อยขบแล้วนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ปราชญ์นั่งหันหน้าเข้ากับพนักพิงเหล็กของตัวเก้าอี้ ท้าวคางมองเพื่อนที่นั่งกอดอกหน้ามุ่ย
“กูไม่รู้เรื่องตำนานวิศวะอะไรนั่นลึกซึ้งแต่มันก็ดูเหมือนจะดังอยู่นะต่าย ลานเกียร์ของคณะวิศวะม.เรามีความเชื่อว่าถ้าใครสะดุดจะได้แฟนเป็นเด็กวิศวะ แล้วมึงก็ไปซุ่มซ่ามที่ไหนไม่ไปนะ”
“ถ้ามึงทำนายสถานที่ๆตัวเองจะสะดุดได้มึงก็เทพลงมาจุติแล้วปราชญ์ ก้าวขาผิดคิดจนตัวตายจริงๆ”
“จริงๆเรื่องสะดุดหรือไม่สะดุดมันไม่เป็นประเด็นขนาดนี้หรอก มันแค่เหตุการณ์ที่ส่งเสริมกัน เรื่องของเรื่องที่เป็นประเด็นที่แท้จริงคือที่น้องมันมาตามจีบ ตามรับ ตามส่งมึงมากกว่าว่ะ ตอนแรกๆพวกกูก็เฉยๆ ยอมรับว่ามีเคืองมึงบ้างแต่หลังๆนี่กูว่ามันไม่ใช่ โน้ตไลน์มาโวยวายกับกูว่าวันนั้นมันเห็นน้องมันขับรถมาส่งมึงและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน มึงขึ้นรถน้องมันไม่ใช่รถมึงเอง อะไรทำให้มึงถลำตัวไปมากเท่านี้วะต่าย”
“มันมาของมันเอง” ต่ายถอนใจ เปิดขวดน้ำเปล่ายกขึ้นดื่มช้าๆ
“ถึงมันมามึงก็เลือกที่จะไม่ไปกับมันได้ มึงเป็นคนที่เด็ดขาดมากกว่านี้นะเท่าที่กูจำได้” ปราชญ์ส่ายหน้าขำๆ รู้สึกยิ่งไล่เบี้ยเพื่อนคนนี้เท่าไรมันยิ่งวกกลับที่เดิม มันไม่มีคำตอบให้เขา จริงๆก็อาจจะไม่มีคำตอบให้ใคร กระทั่งไอ้เด็กวิศวะคนนั้นด้วย
การจะเค้นหาคำตอบจากคนที่ไม่มีคำตอบให้เรานี่มันยากชิบหายเลยเว้ย
“ชอบน้องมันหรือยัง”
“รำคาญมากกว่า”
“แต่พอน้องมันไม่มามึงจะหงุดหงิดทำไมถ้ามึงบอกว่ารำคาญ” ปราชญ์ลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวข้างๆเพื่อน บีบไหล่เบาๆ ใบหน้าเรียวมีสีหน้าว้าวุ่น ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องคิดมากเรื่องนี้ “เปิดใจสักหน่อยก็ดี กูแนะนำในฐานะเพื่อนคนนึง”
ต่ายถอนใจรอบที่ร้อยของวัน ยักไหล่ให้เพื่อนสนิท ตั้งแต่รู้จักปราชญ์มาเพื่อนคนนี้เป็นคนที่มีเหตุผลและดูเป็นผู้ใหญ่อยู่แสมอ บางทีอาจจะเพราะมันเป็นลูกคนโตสุดของบ้านที่มีพี่น้องห้าคน แถมพ่อยังเสียตั้งแต่มันอยู่ม.ต้น พี่ใหญ่ที่ต้องแบกรับหน้าที่ดูแลน้องตัวเล็กๆและดวงใจเพียงหนึ่งเดียวของบ้านอย่างมันมีความคิดกว่าเขาเยอะ ถึงแม้มันจะปากจัดและเอาจริงเอาจังกับชีวิตจนน่ารำคาญไปบ้างก็เถอะ ต่ายพิงพนักเก้าอี้ราวคนหมดแรง ศีรศะซบกระแทกเบาๆกับช่วงบ่ากว้างของเพื่อนราวกับต้องการที่พักพิง
“ขอบใจ” เขาบ่นพึมพำเบาๆ ปราชญ์ยกมือขึ้นมาขยี้เส้นผมนุ่มนิ่มแรงๆ
“เอาน่า มึงจะเดินทางไหนก็ไม่ผิดหรอกตราบใดเท่าที่มึงไม่ไปฆ่าคนตาย ไม่ติดยา เรียนจบได้เกียรตินิยมและที่สำคัญไม่ทำคะแนนแซงหน้าพวกกู”
“เชี่ย” ต่ายหัวเราะขำกับข้อหลัง
ประตูห้องพักถูกเปิดโพล่งเข้ามาพร้อมกับร่างของหนุ่มตี๋ตัวเล็กที่สวมแว่นตาที่ใหญาตามแฟชั่นจนปิดบังใบหน้าไปเกินครึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เจ้าตัวแบกเอกสารเข้ามาสองสามแฟ้ม วุ่นวายอยู่กับการก้มหน้าก้มตากับแทบเล็ตจอใหญ่ของตัวเอง คนมาใหม่เงยหน้ามองช้าๆ ดวงตาเล็กเบิกกว้างอย่างตกใจ
“ที่มึงจริงจังกับเรื่องไอ้น้องบาสเพราะมึงเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อใช่มั้ยไอ้ปราชญ์”
ปากกาลูกลื่นที่เสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ถูกขว้างเต็มแรงไปหา โน้ตหัวเราะเอิ้กอ้าก ก็ท่าทางของทั้งสองคนที่นั่งซบกันมันน่าแซวเสียนี่ จริงๆแล้วถ้าเขามีไลน์หรือช่องทางการติดต่อไอ้น้องบาสนั่นน่าจะแอบถ่ายหยอดไปส่งมันรูปสองรูป รับรองวิ่งแจ้นจากตึกวิศวะมาที่โรงพยาบาลนี่ภายในสิบนาที
เออไว้ครั้งหน้าแอบขอไว้ดีกว่า นี่จะหาว่ากูขายเพื่อนไหมวะ ...
“แล้วนี่ออกเวรพร้อมกันหรือเปล่า” โน้ตถามขึ้น วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ รับขวดน้ำเปล่าใหม่เอี่ยมที่ต่ายส่งมาให้
“ถ้าไม่มีอะไรฉุกเฉินก็สักสองทุ่ม” ต่ายตอบพร้อมหยิบมือถือที่กำลังสั่นระรัว เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามายิ่งแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรเข้ามา เล่นกันแต่ไลน์เนี่ยแหละ
ปราชญ์ที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาชัดแจ๋ว เจ้าตัวยิ้มมุมปากพร้อมลุกขึ้น ตบบ่าบางเบาๆ “โน้ตไปห้องน้ำกับดูหน่อยดิ”
“อะไร กูเพิ่งเข้ามา ขอนั่งพักหน่อยนี่แว้บมานั่งระหว่างทาง” โน้ตพูดทั้งๆที่ยังหลับตา เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้
“เถอะน่า กูกลัวผี” ปราชญ์เร่ง ดึงแขนเพื่อนที่ยกขึ้นมาโบกไล่ให้ลุกขึ้นเต็มแรง จนมันอุทานออกมาอย่างตกใจ
“เชี่ย มึงกลัวผีห่าอะไรนี่กลางวันแสกๆแถมตอนเรียนกับอาจารย์ใหญ่มึงคงเป็นคนเดียวในเซคที่ไม่เจอดี แถมไม่เห็นเหี้ยอะไรทั้งนั้นอีก ผีต่างหากที่กลัวมึง เว้ย อย่าลากกู”
เสียงโวยวายของเพื่อนสนิททั้งสองคน (ที่จริงควรจะบอกว่าแค่โน้ตคนเดียวมากกว่า) แผ่วไปแล้ว เพราะเมื่อออกจากห้องพักก็ต้องสลัดคราบแสบๆกลับไปเป็นนักศึกษาแพทย์ตามปกติและเขตโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง ต่ายรอมันสั่นอีกสองสามครั้งถึงกดรับ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องด่วนอะไรให้คนที่แทบไม่เคยจะคุยกันผ่านโทรศัพท์เลยโทรเข้ามาหาวันนี้ แถมกะเวลาถูกอีกต่างหากว่าเขาพักช่วงนี้พอดี
“มีอะไร” กรอกเสียงถาม
(พี่ต่ายยยยย ออกเวรกี่โมงครับ) เสียงทุ้มถามอย่างร่าเริงจนคนฟังแอบลอบยิ้มมุมปาก แล้วก็ต้องหุบอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัว
“สักสองทุ่มได้” เขาตอบเสียงนิ่ง มือลูบผมสั้นบริเวณท้ายทอยเล่น เสียงผ่านโทรศัพท์ฟังดูต่างจากเสียงจริงนิดหน่อย ไม่ชินเลย แต่ก็ ... ดี เฮ้ย ไม่ใช่ “นี่เลิกเรียนแล้ว?”
(เลิกแล้วครับ นี่สี่โมงกว่าล่ะ พี่ต่ายอยากกินไรไหม เดี๋ยวผมซื้อเข้าไปให้ตอนเลิก)
“ยังไม่รู้ เดี๋ยวเลิกแล้วค่อยไปกินก็ได้”
(แหะๆ คือวันนี้อาจจะไม่อยู่กินข้าวด้วยน่ะพี่ต่าย เดี๋ยวผมไปส่งพี่ต่ายที่บ้านแล้วจะไปก๊งกับเพื่อนนิดหน่อยอะ)
“หึ เลยโทรมาใช่มั้ย?”
(... พี่ต่ายโกรธเปล่า? กลัวไลน์ไปแล้วคุยไม่รู้เรื่องอะ แล้วอีกอย่างคือแบบ ... ก็ไม่เคยโทรหาเลย อยากได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์บ้างนี่)
ต่ายจิกมือขยำกับขากางเกงสแลคสีดำแน่น ไม่กลัวเป็นรอยยับ รู้สึกไอร้อนที่แล่นขึ้นมาบนใบหน้าจนเห่อแดง คิดในใจว่า ไอ้เด็กบ้านี่ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาบรรยายแล้วนะเว้ย
ทำไมต้องมาคิดเหมือนกันด้วย !
“ประสาท จะโกรธทำไม ไม่ต้องซื้ออะเดี๋ยวกลับไปกินฝีมือป้านวล”
(จริงนะพี่) ตอบเสียงเริงร่าจนต่ายชักจะหมั่นไส้ตะหงิดๆ
“เออ ไม่ต้องมารับก็ได้เดี๋ยวกลับแทกซี่ จะได้ไม่ต้องไปๆมาๆ วุ่นวาย”
(ไม่วุ่นวายเลยพี่ แค่ได้เจอพี่ต่ายสำหรับผมไม่มีทางวุ่นวายอะ นี่เต็มใจ วันนี้แอคซิเดนท์จริงๆ พวกพี่โก้มันลากไปด้วยเห็นว่าไปฉลองที่โปรเจคมันรอบเดียวผ่าน เลยโทรมาบอกพี่ก่อนว่าคงไม่ได้แวะไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับพี่เลยวันนี้)
“แสงเทียนบ้าไร เห็นแต่แสงไฟริมถนนข้างทาง กับซาวน์แบคกราวน์เสียงรถบีบแตร”
บาสหัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงดัง (ได้บรรยากาศดีออกนะพี่ ของอร่อยไม่เห็นต้องอยู่บนห้าง)
“ก็ไม่ได้ว่าไม่ชอบ...”
ต่ายหมุนขวดน้ำเปล่าที่หมดแล้วเล่นเพลินๆ ขบริมฝีปากล่างเบาๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของคนที่เดินผ่านหน้าห้องไปก็ต้องสะดุ้ง มองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เพื่อนของเขาที่เข้าเวรก่อนหน้าทยอยมาพักแล้วถือว่าเป็นเวลาสลับเวรที่เขาจะต้องออกไปทำหน้าที่บ้าง ร่างโปร่งลุกขึ้นบิดคอไล่ความเมื่อยงบสองสามครั้ง ปัดเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่เช็คความเรียบร้อยเล็กน้อย
“หมดเวลาพักแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยแล้วกัน” ต่ายตัดบทสั้นๆ ได้ยินอีกสายตอบรับในลำคอเบาๆ
(ครับ สู้นะพี่ เดี๋ยวผมไปนั่งรอที่ร้านเดิมนะ)
“อือ” ต่ายกำลังจะกดปุ่มตัดสาย
(เดี๋ยวพี่!)
เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้เขาขมวดคิ้ว ยกขึ้นแนบหูอีกครั้ง “มีอะไรอีก”
(คือ ... หลังจากนี้ผมจะโทรหาพี่ได้ไหม สำหรับผมยิ่งไลน์ยิ่งไกล ไม่เห็นจะใกล้เหมือนโฆษณา)
น้ำเสียงกึ่งลังเลกึ่งออดอ้อนที่พูดผ่านสายโทรศัพท์ทำเอาต่ายอ้ำอึ้ง ก้มต่ำมองปลายเท้าตัวเอง จะว่าไปโดนเจ้าเด็กนี่หยอดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มีภูมิต้านทานทุกครั้งไป ทำไมช่วงนี้รู้สึกตัวเองแอนติบอดี้ลดต่ำลงนัก เม็ดเลือดขาวหยุดสร้างกะทันหันหรือไงกันใบหน้าถึงแผ่ซ่านไปด้วยเลือดฝาดจนร้อนแบบนี้
“...”
(พี่ต่าย...)
“... ถ้าว่างจะรับแล้วกัน” ต่ายแทบกัดลิ้นตัวเอง แต่ประโยคที่หลุดออกไปแม้จะแผ่วเบาแต่เขาแน่ใจว่าปลายสายนั้นได้ยินชัดเจน
(ครับผม! พี่ต่ายไปเข้าเวรเถอะเดี๋ยวผมไปรับนะ เจอกันครับ)
ปลายสายตัดไปเรียบร้อยแล้ว ว่าที่คุณหมอเหม่อมองหน้าจอไอโฟนระบุเวลาที่ใช้ในการคุยจากนั้นค่อยๆดับไปอัตโนมัติ เสียงฝีเท้าหนักๆเรียกสติที่ล่องลอยไปไหนไม่รู้ของเขากลับมาอีกครั้ง ลูกบิดประตูขยับพร้อมๆกับบานประตูที่เปิดออกโดยเพื่อนของเขาทั้งสองคน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าสายตาสองคู่นั้นมองมาพร้อมอมยิ้มแปลกๆ ปราชญ์เบะปากอย่างเบื่อหน่ายจนเขาแทบอยากจะโยนแฟ้มเอกสารใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ส่องกระจกหน่อยไหมมึง” เพื่อนตัวโตถามขึ้น
“ทำไม...”
โน้ตเดินมาซ้อนหลังดันไหล่เขาไปยังกระจกบานเล็กที่ถูกติดอยู่กับผนังกำแพงสีขาวในห้องพักเอาไว้เช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนออกจากห้อง บางทีบรรดานักศึกษาแพทย์ที่มาใช้ห้องต่างที่นอนก็ตื่นมาหัวยุ่งเหยิงจนผมเผ้าดูไม่ได้ต้องจัดการตัวเองก่อนออกจากห้อง เรียกได้ว่าเป็นหมอต้องจำเป็นที่จะเนี้ยบทุกระเบียดนิ้ว
ต่ายถูกดันมาส่องกระจก ใบหน้าเนียนมองเงาของตัวเองซ้ายขวาแล้วก็งงว่าเพื่อนเขามันจะให้เขามาส่องทำไม ผมเผ้าก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร แถมใบหน้าเขาก็ไม่มีร่องรอยอะไรที่ดูไม่ดีเสียหน่อย
“ต่ายเห็นอะไรไหม” โน้ตถามขึ้นจากด้านหลัง มองเพื่อนผ่านกระจก
ต่ายส่ายหน้าตอบเบาๆด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจ “ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“แหม เลือดลมเดินดีจนแก้มแดงแป๊ดเหมือนคนไปวิ่งร้อยเมตรแถมหน้าบานเป็นจานแบบนี้ยังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีก โบกแป้งหน่อยไหมหน้าจะได้กลับไปขาววอกเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ”
ต่ายรู้สึกเหมือนเส้นทั้งร่างจะกระตุกโดยเฉพาะตรงส่วนขาขวา เขาหันกลับไปไล่ถีบเพื่อนที่ตัวเล็กกว่า โน้ตเหมือนจะรู้ตัวว่าร่างกายกำลังจะโดนประทุษร้ายเลยรีบโดดเหยงๆไปหลบหลังปราชญ์ ต่ายยกยิ้ม
“มึงคิดว่าหลับหลังคนตัวใหญ่กว่าจะรอดเหรอ ไม่ต้องนิ่งไอ้ปราชญ์ มึงก็ด้วย”
เขาไล่เตะขาเพื่อนไปคนละทีแล้วเหมือนได้ระบายอารมณ์ส่วนหนึ่งออก เห็นพวกมันสองคนปัดฝุ่นออกจากขากางเกงแล้วค่อยรู้สึกสะใจเหมือนอย่างน้อยก็ได้เอาคืนบ้าง เขาเดินไปกดแอลกอฮอล์ล้างมือ ถูเบาๆกับฝ่ามือทั้งสองข้างจนมันระเหยออกไปหมด เหลือบมองหน้าตัวเองในกระจก
สงสัยช่วงนี้ภูมิต้านทานไวรัสเด็กวิศวะต่ำจริงๆ immune system (ระบบภูมิคุ้มกัน) เค้าพังไปหมดแล้วหรือไงนะ ที่ตลกก็คือเขาไม่รู้เหมือนกันว่าวัคซีนตัวไหนมันจะช่วยกู้ให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิมเนี่ยแหละ
.
.