ตอนที่8: คนที่รออยู่
มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงก็ไม่รู้...
ตอนนี้ผมยืนอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ หลังจากสติแตกไปสองชั่วโมง กระโดดขึ้นรถเมล์สายอะไรก็ไม่รู้ที่มันวิ่งผ่านหน้ามหา’ลัย รู้ตัวอีกทีตอนเป๊กโทรมาว่าเจอโมเดลผมวางทิ้งไว้อยู่ตรงบันได มันตกใจมาก จะตามหาผมเสียให้ได้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเหมือนกัน เงยหน้าอีกทีเห็นตัวเองกำลังนั่งรถเมล์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเสียแล้ว
ไม่มีโฟล์ครออยู่หน้าตึกแบบที่มันควรจะเป็น โฟล์คไม่รับโทรศัพท์ด้วยซ้ำ ผมไม่โทษมันหรอก แม้ในใจอยากจะพาลแล้วตะโกนด่ามันเต็มทีก็ตาม น้ำเสียงมันตอนที่ขอร้องไม่อยากให้ผมไปเจอกฤตฎ์ผมยังจำได้ดี มันแย่สุดๆในหลายๆทางจนผมไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนก่อน ผมอยากเจอโฟล์ค แต่ก็ยังไม่พร้อมอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายผมก็มาถึงรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ หลังจากลงรถเมล์ที่หน้าเดอะมอลล์บางแค แล้วเรียกแท็กซี่ต่อมา ผมโทรหาโฟล์คอีกครั้ง คราวนี้โทรติด แต่มันไม่ได้รับสาย เป็นไอที่รับสาย แล้วบอกผมว่า โฟล์คไปบ้านแยม ลืมของทิ้งเอาไว้ และตอนไปก็ลืมมือถือไว้ที่บ้านเต ตอนนี้พวกเขายกกองมาที่บ้านเตกันหมดแล้ว แต่จะให้ภัทรออกมารับผม
ผมอ่อนแรงเกินกว่าจะเถียง ผมอือๆออๆไป ไอเหมือนจะจับน้ำเสียงได้ จึงถามผมกลับว่าผมโอเคไหม ผมไม่โอเคอยู่แล้วครับ แต่มันก็ไม่ใช่ภาระของไอที่จะต้องมาห่วงใยผมกับความรู้สึกสุดจะยุ่งเหยิงนี่ ผมควรจะจัดการมันด้วยตัวเอง แต่ผมทำไม่ได้เลยสักครั้ง...
ผมยืนรออยู่บนบันไดรถไฟฟ้าเกือบสิบห้านาที ก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้น เบอร์ไม่คุ้นโทรเข้ามา ผมกดรับ คงจะเป็นภัทร...ผมพยายามชะเง้อคอหารถด้วยเช่นกัน
(ฮัลโหล ชาป่ะ?) ปลายสายถาม (กูนินนะ ถึงแล้ว รถจอดอยู่ตรงเซเว่นอ่ะ)
“ฮัลโหล นินเหรอ”
(เออ เห็นป่ะ) ผมกวาดตามองก่อนเห็นนินลงจากที่นั่งข้างคนขับมาโบกมือให้แทบจะรอบทิศ คนอย่างนินแม่งโคตรเซลฟ์และมีสีสันชิบหาย
“เห็นแล้ว อยู่ข้างบน มองมา” ผมโบกมือหย็อยๆตอบมัน “เดี๋ยวลงไป”
(โอเค) มันรับคำก่อนตัดสายไป ผมสาวเท้าลงไปตามขั้นบันได ยังรู้สึกโล่งชื้นในโพรงจมูกหลังจากที่ร้องไห้มานาน คงไม่มีใครจับได้แล้วแหละว่าผมร้องไห้มาหนักแค่ไหน
รถบีเอ็มสีดำจอดอยู่ตรงเชิงบันได นินสวมเสื้อยืดย้วยๆกับกางเกงกีฬาขาสั้นแทบจะโชว์ขาอ่อน นินขาเล็กมากครับ เป็นมนุษย์ที่ใส่ขาสั้นหรือขายาวก็ดูดีไปหมด ผู้หญิงแทบจะกรีดร้องขอขาของมันมาเป็นของตัวเอง นินไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้จัดว่าเตี้ย วันนี้มันคาดผมมาด้วย ท่าทางเหมือนเพิ่งขุดตัวเองมาจากเตียง
บนรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ นินเปิดประตูให้ผมนั่งข้างหลัง ก่อนที่มันจะแทรกตัวเข้ามานั่งด้วย ยังไม่ทันปิดประตูดี เสียงของคนขับรถก็ดังขึ้นอย่างเรียบๆแต่โหดเอาการ
“นิน มานั่งข้างหน้า”
นินชะงัก อ้าปากจะโต้ตอบ
“อย่าประชด ทะเลาะกันก็คุยให้รู้เรื่อง” ภัทรพูดต่อ นินที่สะบัดสะบึ้งเมื่อครู่นิ่งไปนิด ก่อนที่จะยอมกลับไปนั่งข้างหน้าพร้อมปิดประตูดังโครม ภัทรแค่ชายตามองเท่านั้นแล้วกระชากรถออกไป ทิ้งให้ผมได้แต่งงกับความสัมพันธ์ของคู่ตรงหน้า
แอร์รถแม่งทำงานดีจนผมแทบหนาวช็อคเลยครับ ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองมาจากอากาศร้อนๆ หรือเพราะไอ้คู่ข้างหน้าปล่อยพลังเย็นชาใส่กันกันแน่ แต่ผมว่าไม่ปกติ พวกคุณก็น่าจะรู้ ใครๆก็ดูออก สองคนนี้ไม่ปกติแน่ๆ
“มึงกัดกู ไอ้สัด!” นินเปิดประเด็นทันที ผมนั่งนิ่ง ทำเป็นเงียบเนียนๆ แต่หูนี่ผึ่ง
กูว่ากูมาคุแล้ว แต่พวกมึงนี่คงมาคุกว่า
“มึงก็ตบกูคืนแล้วไง” ภัทรตอบนิ่งๆ ผมเหลือบตามองเสี้ยวหน้าภัทร มันมีรอยมือฟาดครบห้านิ้วพอดี
“กูไม่ได้-” นินตั้งท่าจะเถียง แต่แล้วก็ได้แต่ปิดปากฉับ ฮึดฮัดใส่ยกใหญ่ “ฮึ่ย”
ภัทรนิ่งไปเหมือนกัน แต่ก็มิวายเหลือบมองหน้าผมผ่านกระจกมองหลัง มันถอนหายใจเบาๆก่อนปล่อยมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่ง แล้วดึงมือนินมากุมเอาไว้
“อย่าเพิ่งบอกใครนะชา” ภัทรว่า นั่นทำให้ผมคันปากยิบ
“เอ่อ-คือ” ผมชั่งใจอยู่ว่าจะถามไม่ถามดี “เอ้อ พวกมึง-คบกันอยู่เหรอวะ”
“เปล่า/เปล่า”
ถุ้ย ทีอย่างงี้ประสานเสียงกันพร้อมเพรียงเชียวนะ ทำตัวอย่างกะผัวเมียกำลังจะไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ
“เอ่อ กูไม่บอกใครหรอก” ผมยกมือยอมแพ้ก่อนเอนตัวพิงเบาะไปเงียบๆ ไม่กี่อึดใจถัดมา โทรศัพท์ก็ร้องดังลั่น ผมหยิบมันออกมา เป็นเบอร์โฟล์คนั่นเอง
ผมกดรับ
“ฮัลโหล”
ปลายสายมาพร้อมกับเสียงจอแจ เสียงตะโกนสั่งงานให้วุ่นกันไปหมด ท่าทางมันจะเตรียมเซ็ทโลเกชั่นอะไรกันอยู่
(ฮัลโหล ชา) โฟล์คว่ามาตามสาย เสียงจอแจเริ่มหายไป มันคงเดินออกมาไกลๆ (ขอโทษไม่ได้รับโทรศัพท์ แบตหมดเมื่อเช้า ไอเอาไปเล่นไอ้คุกกี้วิ่งห่าเหวอะไรก็ไม่รู้จนแบตหมด แม่งเล่นจนได้เป็นล้าน) น้ำเสียงมันอ่อยแบบรู้สึกผิดมากจนผมแทบสงสารมันทันที
“ไม่เป็นไร” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของมัน
(เมื่อกี้ก็ลืมโทรศัพท์)
“รู้แล้ว ไอบอก”
(ไปไหนมาอ่ะ ทำไมนานจัง) มันถาม ผมมองนาฬิกา บ่ายสองนิดๆแล้ว
“ไปกับเป๊กมาน่ะ” ผมโกหก
(กินข้าวยัง?) มันถามมาตามสาย
“ยังเลย” ผมตอบ “แล้วมึงอ่ะ”
(ยังเหมือนกัน กูซื้อมาให้หลายอย่างเลย ไม่รู้มึงอยากกินไร เดี๋ยวกูรอกินพร้อมกัน) มันว่า
“เฮ้ย ไม่ต้อง กินไปเลย” ผมรีบห้าม “เดี๋ยวต้องถ่ายต่อไม่ใช่เหรอ”
(ให้มึงกินข้าวให้กูก่อนแล้วค่อยถ่าย) มันว่าพลางหัวเราะ (เมียไม่แดกข้าวกลางวันแล้วไม่มีกะใจจะถ่ายหนัง)
“ไอ้สัด” ผมด่ามันเบาๆ ยิ้มอีก!
(ล้อเล่น ยังไงก็ต้องรอภัทรมาอยู่ดี) มันบอก ก่อนเงียบไปสักพัก (แต่ที่บอกว่าอยากกินข้าวด้วยกันน่ะ พูดจริง)
ผมไม่รู้จะตอบอะไรมันดีเลย บ้าเอ๊ย ผมได้แต่อมยิ้มกับโทรศัพท์ อยากจะด่าก็ด่าไม่ออก เกรงใจสองคนข้างหน้า เดี๋ยวเขาจะมองผมแปลกๆ แต่มันก็อิ่มใจอย่างประหลาดเหมือนกัน...
“เออเดี๋ยวไปกิน”
ผมรับคำมันไป ไอ้คู่ข้างหน้าเหมือนจะเปิดศึกกันอีกรอบ ผมเลยขอวางสายจากโฟล์คก่อน โชคดีที่ภัทรมีความอดทนพอที่จะไม่โต้ตอบนิน แต่โชคร้ายที่นินดูเหมือนจะขึ้นมากขึ้นไปอีกเมื่อไม่ได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายเท่าที่ควร ผมอยากจะมีส่วนร่วมในการห้ามศึกหรอกนะ แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่กล้าสอดปากเข้าไปในสถานการณ์เดือดแบบนี้หรอก
โชคดีสุดๆที่เรามาถึงบ้านเตภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น บ้านเตอยู่บนถนนราชพฤกษ์ เส้นที่วิ่งต่อจากสาธรมาได้เลย เป็นหมู่บ้านใหญ่ราคาแพงเอาเรื่อง โฟล์คบอกว่าเห็นเตบ้าๆบอๆแบบนั้น พ่อเตเป็นทนายความดัง ว่าความทีเป็นแสนๆ แต่ถ้าจะให้รวยแบบนับเงินไม่ถูกไปเลยก็คงต้องเป็นภัทร ซึ่งพ่อมันเป็นซีอีโอบริษัทอาหารและยาใหญ่ยักษ์ที่เป็นที่รู้จักกันดี
แต่ฟังมาอีกทางหนึ่ง ไอก็บอกว่า ไอ้ที่รวยสุดๆน่ะ คุณเมืองไทยต่างหาก โฟล์คนั่นแหละ ที่บ้านเป็นเจ้าของรีสอร์ทห้าดาวคืนละเป็นหมื่นๆหลายสาขา หลายชื่อ เรียกได้ว่าเป็นตระกูลเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ทางภาคใต้ก็ไม่ผิด
จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยแปลกใจหรอกนะครับ ถ้ามันจะรวยกันแบบนี้ แค่ค่ากล้องค่าอุปกรณ์ก็กี่แสนแล้ว แถมนี่มีเช่ากล้องถ่ายหนังจริงมาใช้ในกองอีก ริจะทำหนัง เรียนนิเทศ ไม่รวยคงทำไม่ได้ ผมเคยถามโฟล์คว่าไอ้กองที่ทำอยู่เนี่ย ค่าใช้จ่ายตกวันละเท่าไหร่ มันอ้อมๆแอ้มๆ สุดท้ายก็ยอมคาย บอกว่าวันละเกือบหมื่น บางทีก็เกินหมื่น กองนี้มันไม่ได้ขอสปอนเซอร์หรือทุนจากองค์กรไหน เรียกว่าทำสนองตัญหาและส่งประกวดด้วยทุนตัวเอง ดังนั้นควักจ่ายหมด ทั้งค่ากิน ค่าเดินทาง แม้ว่าคนที่จะมาช่วยจะมาช่วยฟรีก็เหอะ แต่มันก็ต้องเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเป็นการตอบแทน แล้วนี่ระดับเสี่ยโฟล์ค เลี้ยงดีระดับภัตตาคารเหลายังอายอ่ะคิดดู แม่งแทบจะยกตู้แช่ไอติมมาวางในกองแล้วด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าค่าใช้จ่ายในการออกกองแม่งมโหฬารบานตะไทมากครับ ไม่ใช่อยากจะออกกองแล้วก็จับกล้องตั้งถ่ายกันได้เลย แม่งจ่ายไปเยอะ เจ็บไปเยอะ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่มันจะต้องรวยและรวยเท่านั้น เพื่อที่จะได้หนังที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ประตูเหล็กอะลูมิเนียมบานยักษ์ตั้งอยู่ตรงหน้า ภัทรบีบแตรครั้งเดียว รอแปปเดียวมันก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก บ้านเตเป็นบ้านสมัยใหม่ รูปทรงเหลี่ยมๆทันสมัยแบบโมเดิร์นโทนสีเหลืองมัสตาร์ด เบจ และน้ำตาลช็อกโกแลต โรงรถเป็นโรงรถกึ่งจะใต้ดิน ก่อด้วยปูนเปลือยเข้ากับสไตล์ของบ้าน สนามหญ้าก็ใหญ่มากจนแทบวิ่งเตะบอลกันได้ ไม่แปลกเลยที่มันจะเลือกที่นี่มาเป็นโลเกชันในการถ่ายหนัง
เหมือนกองจะตั้งกันอยู่บริเวณสนามหญ้า เพราะฝ่ายสวัสดิการอาหาร เมคอัพ ทำผม ก็ทำกันอยู่บนห้องกระจกติดระเบียงหน้าบ้าน ภัทรเลี้ยวรถเข้าไปจอด ผมเห็นหลังไอ้โฟล์คยืนอยู่ไกลๆ คุยกับเตกับแยม
ภัทรจอดรถไว้หน้าโรงรถ เพราะดูท่าที่จอดรถจะเต็ม ก่อนที่ผมจะลงจากรถไปพร้อมๆกับภัทรและนิน สองคนนั้นเดินนำผมไปยังระเบียงหน้าบ้าน มีโต๊ะอาหารวางพร้อมด้วยเสบียงทุกรูปแบบ ทั้งซูชิ ส้มตำ ข้าวกล่อง ไอติม ผลไม้ และขนมกรุบกรอบ ผมเดินผ่านกระจกไป เผลอสบตาเข้ากับนางเอกของเรื่อง เธอไม่เคยจะมองผมอย่างเป็นมิตรเลยให้ตาย ผมได้แต่ยิ้มให้แบบเจื่อนๆ ก่อนเดินเข้าไปหาโฟล์ค
“น้ามมมชาาาาา” ยังไม่ทันจะถึงตัวโฟล์ค ไอก็พุ่งตัวมาจากไหนไม่รู้ มากอดผมไว้แน่น ผมทั้งตกใจทั้งสะดุ้งจนจุก แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้
“ไอ ฮ่าๆๆๆ”
“เมื่อเช้าเราเอามือถือโฟล์คไปเล่นคุกกี้รันจนแบตหมดเองแหละ อย่าว่าโฟล์คนะ” โอ้ย เหตุผลปัญญาอ่อนขนาดนี้ โมโหลงก็ประสาทแล้วครับ
“บ้า ไม่โกรธหรอก ยังไม่ทันได้ทะเลาะกันเลย” ผมหัวเราะไปตามเรื่อง
“คิดถึงน้ำชาจังเลยอ่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งวันนึง” ไอกอดผมแน่น รู้สึกเหมือนมีพุดเดิ้ลสายไหมมาพันแข้งพันขายังไงก็ไม่รู้
“พอเลยไอ แฟนเรา” ไอ้โฟล์คเดินมาจากไหนก็ไม่รู้ กระชากตัวผมแทบหลุด
“โฟล์คแม่งงกว่ะ คอยดูนะ”
“ไปๆ ไปกินข้าวเลยไอ้เตี้ย” ไอ้นี่ก็ปากร้าย
“โฟล์คโคตรเหี้ยเลยว่ะ” แยมที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กำลังหยิบมะม่วงเข้าปาก ส่งเสียงมาด่าเพื่อนทันที
“เออ เราไปอยู่กับแยมแล้ว โฟล์คแม่ง” แล้วไอก็วิ่งดุ้กๆไปพันแข้งพันขาแยมต่อ
เตหันมายกมือทักทายผมนิดหน่อย ก่อนที่จะเดินแยกไปหาภัทร เหลือผมกับโฟล์คที่ยืนจ้องหน้ากันเงียบๆท่ามกลางความวุ่นวาย มันมองหน้าผม ผมมองหน้ามัน เงียบ...แล้วก็รู้สึกเขินๆ จนต้องหลุดยิ้มออกมาจนได้...
“อาราย” มันถามผมเสียงยานคาง ก่อนเอื้อมมือมาเกี่ยวมือผมเอาไว้ “มองหน้า เดี๋ยวแม่งจับจูบกลางบ้าน”
“ไอ้สัด” ผมด่า แต่มุมปากแม่งก็ประสานกันยกแทบยิ้มไม่หุบ
“ด่านะ ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายชั่วโมง ไม่คิดถึงหรือไง” มันถาม ผมจ้องหน้ามันแล้วส่ายหัว
“โห มึงเหี้ยหรือมึงเหี้ยเนี่ย” ผมหลอกด่ามัน มันเอาแต่หัวเราะไม่หยุด
“ก็เหี้ยแหละ กูแม่งโคตรไม่สบายใจเลยตอนที่มึงไม่อยู่กับกู” มันว่า แกว่งมือผมไปเรื่อยเปื่อย ถามว่าทำไมผมยอมให้มันจับมือท่ามกลางผู้คนแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ อาจจะหน้าด้านขึ้นก็ได้ หรือบางทีผมก็กลัวมันจะคิดมากถ้าดึงมือมันออก
ผมชะงักเมื่อได้ยินประโยคของมัน เรื่องของกฤตฎ์วนลูปกลับมาในหัว ผมเม้มปากแน่น ก่อนบีบมือมันแน่น
“กูก็นึกว่ามึงจะเซอร์ไพรส์มารอดักกูหน้าห้องซะอีก” ผมเย้ามันไป แต่ในใจแม่งเสือกคิดจริง แถมยังคิดน้อยใจอีกด้วย ให้ตายเถอะ โฟล์คมองหน้าผมนิดหน่อย มันเงียบ ดูมันก็คิดมากอะไรมากมายเหมือนกัน
“ถ้าทำได้กูทำไปแล้ว” มันว่าเบาๆในที่สุด “อยากทำจะตายห่า”
มันพึมพำ ผมได้แต่นิ่งเงียบ แล้วหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหาร
“กูล้อเล่นน่า นี่กูก็มาถูกเห็นไหม ไม่มีอะไรสักหน่อย นำเสนองานเสร็จก็จบ” ผมบ่ายเบี่ยงตอบ ก่อนจะหยิบข้าวกล่องขึ้นมาจากโต๊ะ “กินข้าวเหอะ หิวจะแย่แล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง หยิบข้าวกล่องให้มันด้วย มันมองผมนิดหน่อยแต่ไม่เซ้าซี้อะไรอีก เรามองหน้ากันเล็กน้อยแล้วก็ค่อยๆแงะกล่องข้าวดูด้านใน
“มีหมูกระเทียม มาม่าผัด กระเพราะไก่ แล้วก็โน่นมีหม้อกระเพาะปลาด้วย” มันว่า ไล่ไปทีละเมนู สุดท้ายหลังจากเปิดจนกล่องแทบพัง เราก็ย้ายไปตัดกระเพาะปลามากินคนละถ้วยแทนเสียงั้น
โฟล์คพาผมไปนั่งบนขอบระเบียงบ้านเต มันอยู่ใต้ชายคา วันนี้อากาศเย็นๆเหมือนทุกๆวันในช่วงนี้ แดดก็พอมีแต่ก็ไม่ได้ไหม้ผิวจนต้องโอดครวญ เรานั่งหย่อนขา มีคนเดินสวนกันในสนามเพื่อจัดฉากที่ใช้ถ่ายทำ เตถือกล้องถ่ายรูปให้แยมกับไออยู่ที่มุมสนามเพราะไอร้องจะเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ ฮ่าๆๆๆๆ ผมนั่งกินกระเพาะปลาไปเรื่อยๆ หิวอยู่หรอก แต่ก็กระเดือกไม่ค่อยลงเท่าไหร่
“เป็นไร” โฟล์คแม่งเหมือนมีญาณทิพย์ว่ะ
“เปล่า” ผมส่ายหัวดิก
“ง่วงอ่ะเด้” มันยกมือโยกหัวผมไปมา “เมื่อคืนไม่ได้นอนใช่มะ?” มันหรี่ตา ผมหาววอดก่อนพยักหน้า
“นอนไปนิดเดียวเอง”
“เดี๋ยวพาไปนอน ห้องเย็นๆ รกหน่อยนะ” มันว่ายิ้มๆ “ห้องไอ้เต”
“เฮ้ย เดี๋ยวค่อยนอนคืนนี้ทีเดียวก็ได้ พรุ่งนี้กูไม่มีเรียนแล้ว จะนอนแม่งให้ตายไปเลย”
“โห โหดจังวะ” มันหัวเราะ
“สัด” ผมยิ้ม
“กลับคอนโดใครดี” มันถามอ้อนๆ เอาหัวเอนพิงไหล่ผม จั๊กจี้ดีแฮะ ให้ตายเหอะ
“กลับคอนโดกูนี่แหละ กูจะได้อ่านหนังสือ ปลายอาทิตย์เริ่มสอบตัวแรกแล้ว”
“ใจร้ายว่ะ อ่านคอนโดกูก็ได้ เดี๋ยวติวให้”
“พ่อมึงเหรอ” ผมด่า มันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “มิดเทอมกูมีสองตัวเองว่ะ ทำงานส่งไปเกือบหมดแล้ว สอบอาทิตย์หน้าหมดเลย”
“กูก็เหลือสามตัว” ผมนับนิ้ว จริงๆแล้วอาทิตย์นี้เริ่มไฟนอลกันไปทีละตัวสองตัวแล้วครับ แต่พวกผมมันคณะเน้นผลงาน ทำงานส่งแลกเกรดทั้งนั้น
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปเอาหนังสือที่คอนโด มานอนห้องกูนะ” โฟล์คตื๊อ เอาไหล่มาชนไหล่ผมจนกระเพาะปลาแทบกระฉอก “สัญญา” มันชูนิ้วก้อย
“อะไร” ผมเหล่มองมันอย่างหน่ายใจ
“จะไม่ทำอะไร ไม่ปล้ำมึงหรอก”
“อะ-ไอ้...”
“มึงเห็นกูเป็นคนยังไง” แม่ง กระเง้ากระงอด...กระเง้ากระงอด น่าถีบเหลือเกินครับโฟล์ค
“มึงอ่ะนะ เหี๊ยเหี้ยเลยแหละ พอเลย ถ้ายังไม่เลิกเซ้าซี้กูจะกลับคอนโด”
“นอนห้องกูนะ”
“เออ” ผมตอบ “แต่อีกปลายอาทิตย์ต้องให้กูกลับบ้านนะ ไม่ได้เจอแม่มาจะอาทิตย์แล้ว”
“เว่อร์” มันว่า ก่อนตักกระเพาะปลาคำสุดท้ายเข้าปาก “เดี๋ยวกูต้องถ่ายแล้ว เย็นนี้กินหมูกะทะกัน มึงขึ้นไปนอนก่อนไป เดี๋ยวไปปลุก”
“นอนจริงอ่ะ”
“ไม่นอนแล้วจะทำอะไร” มันถาม ผมนิ่วหน้า แต่ก็คิดไม่ออก
“เออว่ะ ทำไรดีวะ”
“ทะเลาะกับพิ้งค์อีกสักยกไหม?” มันเย้า ผมเลยซัดหน้ามันไปทีจนร้องโอดโอย
“เพื่อนเล่นเหรอ...เพื่อนเล่นเหรอ” มันกุมแก้มแบบโคตรเว่อร์ แทบจะร้องเรียกความสนใจจากทุกคนแถวนั้น
“เมียครับๆ ไม่ใช่เพื่อน” ผมยกมือเตรียมจะซัดหน้ามันอีกที มันรีบยกมือห้าม ก่อนกระโดดแผล็วเอาจานไปเก็บ
เอาจริงๆพออิ่มท้อง ตาก็เริ่มจะปิดจริงๆแล้วครับ โฟล์คดึงดันจะให้ผมไปนอน ซึ่งผมก็หมดแรงเสียแล้ว ยอมนอนอย่างไร้ข้อกังขาใดๆอีกต่อไป โฟล์คพาผมขึ้นไปยังชั้นสามของตัวบ้าน ห้องเตอยู่บนนั้น ผมถามมันว่าขออนุญาตเตแล้วเหรอ มันกลับบอกว่า กลุ่มมันไปบ้านใครนี่ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรเลย ทุกคนที่มีรถ มีสติ๊กเกอร์หมู่บ้านเตกันทั้งนั้น เข้า-ออกได้เหมือนสมาชิกในบ้าน ร่อนไปไหนก็ได้ พ่อแม่เตรักราวกับลูกในไส้
ห้องเตเหมือนห้องผู้ชายทั่วไปครับ แต่เรียบร้อยหน่อย สงสัยมีแม่บ้าน โต๊ะรกไปด้วยชีทและหนังสือ ปลายเตียงมีทีวีต่อเพลย์ จอยสติ๊กวางอย่างระเกะระกะ ดีที่เตียงเรียบตึง เสื้อผ้าไม่กองตามพื้น มีกลิ่นโคโลญจน์ของเจ้าของห้องจางๆ
โฟล์คบอกให้ผมนอน มันจะได้ไปทำงาน แต่มันปิดไฟห้องทำท่าจะเดินออกไป มันกลับเข้ากระโจนเข้ามาฟัดผมบนเตียงจนผมหัวเราะลั่นด้วยความจั๊กจี้ เราเล่นกันบนเตียงอยู่นานก่อนที่มันจะยอมกอดผมนิ่งๆแล้วจูบเร็วๆหนึ่งที
“กูไปทำงานก่อน เดี๋ยวไอ้นินด่า” มันว่า ไม่ทันแล้วเพราะโทรศัพท์มันดังทันที “นั่นไง!”
“เออไปเหอะ เดี๋ยวนอนรอ”
“ให้ท่าด้วยนะ”
“ถุย” มันหัวเราะ ผมดึงผ้าห่มคลุมร่าง “ไปได้แล้ว”
“เดี๋ยวเจอกันนะ”