รักสองเมือง บทที่ 2
พระทรงมองต้องจิตพิสวาท ทรวดทรงดั่งช่างวาดให้สวยสม
เนื้อกายขาวผ่องต้องนิยม พิศชมด้วยดวงเนตรตะลึงลาน
ชิวหาลิ้มรสอย่างร้อนรุ่ม ดุจผึ้งหนุ่มติดใจในความหวาน
ซุกไซ้ใหลหลงดอกไม้บาน กายสะท้านแนบชิดสนิทองค์“อืออออ”
เสียงครางแผ่วชวนหวามไหวจากร่างเล็กเมื่อทรงแนบโอษฐ์ลงไปที่กลีบปากนุ่ม เรียวปากบางเฉียบเผยอรับ
อย่างไม่รู้ตัวนั่นยิ่งเป็นการเรียกร้องให้จักรธรสอดลิ้นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นเล็กในโพรงปาก
หัตถ์ร้อนวางทาบไปบนเนื้อเเนียนนุ่มมือที่สะท้านกายตอบรับไปทุกจุดที่แตะต้อง จนพระโลหิตในวรกาย
พลุ่งพล่านด้วยฤทธิ์เสน่หา
เม็ดบัวสีชมพูแข็งขันชูช่ออยู่บนยอดอกท้าทายให้ปลายนิ้วบดขยี้ก่อนที่จะคีบดึงขึ้นมาให้เจ้าของมันผวารับ
อดไม่ได้ที่จักรธรจะลากไล้ชิวหามาตามลำคอระหงลงมาครอบครองรัวปลายลิ้นเรียกเสียงครางสั่นพร่าจาก
ร่างที่ถูกกอดก่ายจนแทบไม่เหลือช่องว่าง
อา…..
เนื้อตัวช่างหวานหอมอะไรเช่นนี้
จักรธรพึมพำอย่างถูกพระทัยในขณะที่เลื่อนวรกายต่ำลงเรื่อยๆ จนพบเจอกับจุดอ่อนไหวที่ชูกายอวดตัวล่อ
ตา ขนาดที่กำลังพอเหมาะอยู่ในอุ้งหัตถ์เมื่อทรงคว้าเข้ามาเกาะกุมก่อนที่จะทรงสำรวจด้วยปลายนิ้วแล้ว
ค่อยๆ เม้มโอษฐ์รูดลงตั้งแต่ปลายจนสุดโคน
“อ๊า….”
ในความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นราวกับกำลังสุบินอยู่บนแท่นบรรทมนุ่ม เจ้าชายศศลักษณ์กำลังปวดร้าวไปทั่ว
พระองค์
“เสด็จพี่”
กายเย็นชืดจากน้ำในบึงกว้างบัดนี้กลับร้อนระอุไปกับสัมผัสและการปลุกเร้าอย่างชำนาญ ทั้งที่เนตรงามยัง
หลับใหลแต่ร่างกายกับตอบรับอย่างไม่รู้ตัว แขนเล็กผวาเกี่ยวคล้องคออีกฝ่ายด้วยสัญชาตญาณอัน
ไร้เดียงสาเมื่อท่อนขาถูกแยกให้ห่างด้วยสะโพกแกร่ง
“อื้อ เจ็บ!”
ผวาเกร็งรับเมื่อแก่นกายถูกครอบครองรูดรั้งเร่งจังหวะเร็วรี่ในขณะที่ช่องทางเบื้องล่างถูกจู่โจมไปพร้อมกัน
ปากถ้ำปิดสนิทกำลังถูกทักทายด้วยปลายนิ้วที่ส่งเข้าไปเปิดทางให้กว้างออกทีละนิด ร่างบอบบางบิดกาย
เกร็งรับหน้าบิดเบี้ยว เผลอไผลตั้งเข่าชันขาปลายเท้าจิกเกร็งอย่างเสียวซ่าน
“อา…เสด็จพี่ ข้าจะทานทนไม่ไหวแล้ว”
ลมหายใจกระชั้นเมื่อกล้ามเนื้อตอดรัด เจ้าชายศศลักษณ์กลั้นพระอัสสาสะปล่อยเสียงดังลั่นเมื่อ
ทำนบแตกออกมา และยังไม่ทันได้พักช่องทางเบื้องล่างก็ถูกดันเข้ามาด้วยบางอย่างที่ใหญ่โตเกิดคาดคิด
“อ๊า….”
ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด สมองว่างเปล่าขาวโพลนมองเห็นแต่แสงดาวอยู่ในความรู้สึก มันเจ็บจนต้อง
ทรงตื่นจากนิทรารมย์
“ชวู่ อย่าเกร็งสิเจ้า”
ใคร…
ดวงเนตรงามเบิกกว้าง นอกจากจะเจ็บปวดที่สุดในชีวิตแล้วเจ้าชายศศลักษณ์ยังต้องตื่นมาเพื่อพบกับ
ความเป็นจริงว่าวรกายงามกำลังถูกครอบครองจากคนแปลกหน้าที่กำลังกดแก่นกายเข้ามาในร่างทีละน้อย
“อ๊า ออกไป เจ็บนะ”
อัสสุชลรินรดต้องปรางเนียนพลางยกหัตถ์เล็กทุบถองไปบนแผ่นหลังที่แข็งแกร่งราวกับกำแพงเมือง แต่แม้
พยายามผลักไสก็ห้ามปรามไม่ได้จนข้อหัตถ์เล็กทั้งสองถูกรวบไว้ด้วยมือแค่ข้างเดียวของคนหยาบช้า
ในขณะที่อีกมือของมันช้อนอยู่เบื้องปฤษฎางค์และโอบกระชับให้แนบชิดอยู่กับอกกว้างของมัน
“มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ข้าออกจากร่างของเจ้าก็กระไรเลย”
เจ้าโจรป่าฉวยโอกาสในยามราตรีกระซิบเสียงแหบพร่าอยู่ข้างพระกรรณ
“ใจเย็นนะเจ้า”
โจรป่าหลอกล่อก่อนที่จะประกบปากลงมาแล้วดูดเม้มเรียวโอษฐ์อย่างเร่าร้อน ในขณะที่เบื้องล่างก็ยิ่งแทรก
ดันเข้าไปทีละน้อยจนสุดตัว
“เก่งมาก ที่รับข้าได้หมดตั้งแต่คราวแรก”
ทรงกันแสงอย่างเจ็บช้ำกับคำพูดระคายใจ และเจ็บช้ำกับองค์เองที่กลับรู้สึกเคลิ้มจนแอ่นร่างรับการ
สอดแทรกเมื่อความเจ็บเริ่มจางหาย คลื่นแห่งความรัญจวนใจถาโถมจนท่อนขาเรียวเปิดรับเกี่ยวพันไปรอบ
เอวเจ้าโจรป่า ยิ่งทำให้ชิ้นส่วนที่กำแหงหาญยิ่งแทงทะลุจนเกือบหายใจไม่ออก
“อืมม ร่างของเจ้ากำลังบีบคั้นข้า”
เสียงทุ้มแตกพร่า ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดหนายืดตัวขึ้นสอดมือเข้าใต้สะโพกของเจ้าชาย
ศศลักษณ์แล้วยกจนลอยจากพื้น
เจ้าชายศศลักษณ์อดหวาดกลัวไม่ได้
ทรงคิดว่าเจ้าชายสหัสรังสีผู้เป็นพระเชษฐาทรงมีวรกายที่แข็งแกร่งแล้ว แต่เจ้าโจรใจหยาบที่กำลังล่วงเกิน
พระองค์อยู่นี้กลับมีกล้ามเนื้อที่หนาแน่น จนผู้ชายที่มีร่างกายบอบบางอย่างพระองค์ต้านทานไม่อยู่
“อ๊า…”
ทรงบิดกายสะท้านไปมาเมื่อสะโพกที่ถูกยกลอยกำลังถูกอีกฝ่ายขยับตัวดึงออกแล้วพุ่งดันเข้ามาใหม่
เจ้าโจรใจร้ายทรงตัวอยู่บนเข่าของตนเมื่อทำอย่างนั้นซ้ำๆ พลางส่งเสียงคำรามลั่นจากลำคออย่างพอใจ
“อืมมม เจ้าช่างทรมานข้าเหลือเกิน”
เสียงแหบสั่นพร่าดังประสานกันลั่นสะท้อนก้องป่าเมื่อกล้ามเนื้อปะทะกันสนั่นไหว เจ้าชายศศลักษณ์เด้ง
กายตอบรับเข้าไปอยู่ในอ้อมอกเมื่อถูกเจ้าโจรป่ากระชากขึ้นสวรรค์
“อื้มมมม”
กลั้นโอษฐ์เมื่อตรงส่วนผสานร่างบีบคั้นเกินจะกล่าว ก่อนที่จะตอดรัดจนยาวนาน เจ้าโจรร้องลั่นเร่งสะโพก
เร็วรี่ ก่อนที่จะทรงรู้สึกถึงแรงอัดของของเหลวอยู่ในวรกาย
ทรงกันแสงออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะสิ้นสติลงทั้งที่วรกายยังถูกล่วงเกินค้างคาในท่าเดิม
กองไฟมอดไหม้จนเหลือแต่ซากถ่านแดง ไฟสวาทที่ลุกโหมก็ค่อยๆดับลงเมื่อได้ระบายออก
จักรธรนอนตะแคงมองร่างอ้อนแอ้นที่หลับใหลอยู่ข้างตัวเมื่อเพลาเกือบย่ำรุ่ง
ไม่นึกว่าจะได้เจอเพชรงามเมื่ออยู่กลางป่า
ร่างกายขาวนวลสะท้อนแสงจันทร์เกือบเต็มดวงที่ลอยอยู่ค่อนฟ้ากับรสสวาทเมื่อราตรีกาลที่ผ่านมาทำให้
ทรงเผลอใจวางหัตถ์ไปลูบไล้เนื้อกายมิรู้เบื่อ
ทรงได้ครอบครองโดยไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยซ้ำ ครอบครองไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทรงสำรวจไปทั่วเรือนร่างจนไม่มี
ส่วนไหนที่ไม่ต้องหัตถ์ต้องชิวหาของพระองค์
นี่จักรธรกำลังคิดว่าทรงหลงเสน่ห์อันไร้เดียงสาไปแล้วด้วยซ้ำ
ก้มพักตร์ไปกดนาสิกโด่งที่หน้าผากมนอย่างติดใจ
“พักผ่อนก่อนนะเจ้า หมดแรงไปกับข้าทั้งคืนคงบอบช้ำอยู่ไม่น้อย”
ร่างแกร่งลุกขึ้นยืนอย่างเมื่อยขบ เบาองค์ไปไม่น้อยเมื่อปลดปล่อยออกไปแทบหมดกาย ทรงคว้าเสื้อผ้าชุด
ชาวบ้านที่ผึ่งลมไว้จนแห้งมาสวมใส่ก่อนที่จะทรงก้าวหายเข้าไปในป่ากว้าง
จุดประสงค์เพื่อไปเสาะหาของกินมาให้ร่างที่นอนสลบไสลด้วยนึกเอ็นดูที่ต้องหมดแรงเพราะพระองค์ไป
หลายครา เมื่อตื่นจากนิทราก็คงจะหิวโหยขนาดหนัก
เมื่อกินให้ท้องอิ่มแล้วจะได้ซักถามว่าเป็นใครมาจากไหน ปะเหมาะจะได้พากลับไปมิถิลาเมื่อเสร็จสิ้น
ภารกิจ
ไม่นานนักก็ทรงหอบหิ้วกล้วยป่ายกเครือกลับสู่ริมบึงกว้างเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มชิงดวงอยู่ที่ตีนฟ้า
ก่อนที่ดวงหทัยจะหล่นหาย เมื่อกลับมาแล้วไม่พบร่างนวลนอนอยู่ที่เดิม
ทรงโยนเครือกล้วยทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อผวาตามหารอบบริเวณ แต่ก็ไม่พบเมื่ออีกฝ่ายหายไปพร้อมกับอาชา
คู่ใจ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ผ้าปูยับๆอยู่บนพื้นดิน
ศศลักษณ์ทิ้งองค์ไปกับแท่นพระบรรทมในตำหนักของพระองค์อย่างเจ็บพระทัย
วรกายที่บอบช้ำโดยเฉพาะพระโสณียิ่งเมื่อกระแทกกระทั้นซ้ำเข้าไปอีกเมื่อทรงม้าหนีกลับมาจากป่ากว้าง
ยิ่งทำให้ทรงรวดร้าว
ร่องรอยตามกายเต็มไปหมดจากฝีมือเจ้าโจรป่าหยาบช้าที่ล่วงเกินชำแรกร่างสอดลึกเข้ามาไม่รู้กี่ครั้งพราก
ความบริสุทธ์ผุดผ่องไปจากพระองค์ ทรงเจ็บใจตนเองที่รนหาที่เข้าไปถึงกลางป่าให้ถูกเหยียดย่ำหยามพระ
เกียรติจนย่อยยับ
แต่ก็ต้องยอมรับความรัญจวนแปลกใหม่ที่ได้ลิ้มลอง เมื่อมันพาให้ขึ้นสวรรค์เสียหลายหน
หลับตาลงครั้งใดเรือนกายหนั่นแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามก็ตามมาหลอกหลอนอยู่เรื่อยไป
ไม่ได้…
จะทรงคิดถึงรสสวาทของมันไม่ได้
ต้องลืมให้หมด
ทรงเตือนพระทัยตนเองก่อนหลับเนตรลงอย่างอ่อนระโหย
พระขนงเข้มขมวดจนเป็นปมด้วยความไม่พอพระทัยในสิ่งที่พระบิดาทรงรับสั่งย้ำมาอีกคราว่าต้องเข้าพิธี
วิวาห์ เจ้าชายสหัสรังสีหงุดหงิดเต็มกำลัง
ทรงรักชีวิตเยี่ยงนี้ ชีวิตที่สนุกสดชื่นเริงร่าไปกับสุราและนารี สหัสรังสียังไม่ปรารถนาที่จะต้องมีใครมาใช้
ชีวิตคู่ร่วมด้วย
ก้าวพระบาทอย่างงุ่นง่านไปที่ลานฝึกปรือการต่อสู้ ทอดพระเนตรเหล่าทหารกำลังฝึกอาวุธ ด้วยความ
หงุดหงิดจึงอยากจะระบายออกด้วยแรงกาย ทรงเหลียวมองไปรอบๆ ก่อนที่จะไปสะดุดเนตรกับร่างสูงใหญ่
ในชุดทหารวังเข้าคนหนึ่ง“เจ้า...”
ทรงกวักพระหัตถ์เรียก
“มาตรงนี้”
เหล่าทหารพากันหลบไปอยู่รอบลานกว้างเมื่อพระราชโอรสสหัสรังสีทรงคว้าหอกคมยาวออกมาจากที่เก็บ
โยนให้ทหารวังรับไว้อันหนึ่ง และทรงถือไว้ในมืออีกอันหนึ่ง
“สู้กับข้า ไม่ต้องออมมือ”
สุรเสียงหนักรับสั่งก่อนที่จะทรงตั้งท่าอย่างคนชำนาญการต่อสู้ และโผเข้าจ้วงแทงเร็วรี่ ทหารวังตั้งหอกรับ
อยู่สามสี่กระบวนท่าแล้วชิงโอกาสบุกกลับอย่างรวดเร็ว
ไม่เลวเลย ฝีมือเจ้าทหารหน้าตาดุคนนี้
เจ้าชายสหัสรังสีใช่ว่าจะสนุกแต่กับสิ่งบันเทิงใจเพียงอย่างเดียว ทางด้านฝีมือการต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อย เพราะ
ทรงฝึกปรือมาแต่ทรงพระเยาว์
แต่ด้วยเป็นเพราะทรงเป็นราชนิกุลสูงส่งจึงไม่ค่อยจะมีผู้ใดมาร่วมต่อสู้อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะเกรง
บารมี สหัสรังสีจึงต้องพระทัยนักเมื่อคู่ต่อสู้ในบัดนี้ไม่ได้ออมแรงให้แม้แต่น้อย
ฟาดด้ามหอกใส่ร่างหนาไม่ยั้งแต่อีกฝ่ายกลับปัดป้องได้หมด มิหนำซ้ำยังใช้ด้ามหอกตัวเองยกขวางและดัน
จนสหัสรังสีเซถอยหลัง
เมื่อตั้งหลักได้จึงทรงตั้งด้ามหอกไว้กับพื้นยกมือเท้าเอวสรวลร่า
“ดีมาก...ดีจริงๆ ไม่ได้เหงื่อออกอย่างนี้มานานแล้ว”
ทหารวังทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นพลางยกมือถวายบังคม
“ขอพระราชทานอภัยโทษที่เกล้ากระหม่อมล่วงเกิน”
ทรงยกหัตถ์โบกวุ่นวายเมื่อได้ยิน
“ไม่ต้องขอโทษขอโพย ข้าชอบที่เจ้ากล้าต่อสู้โดยไม่ออมมือ ฝีมือเจ้าดีมาก เจ้า...ชื่ออะไร”
ทรงรับสั่งถามอย่างถูกพระทัย ในขณะที่อีกฝ่ายยกยิ้มที่มุมปาก
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันชื่อ จักร พะย่ะค่ะ”
สหัสรังสียกหัตถ์ลูบนาสิกอย่างชอบใจ
“จักร ต่อไปนี้ เจ้ามาเป็นทหารรับใช้ขึ้นตรงกับข้า”
ดวงตาคมปลาบมีวี่แววพึงใจเมื่อยกมือถวายบังคมรับกระแสรับสั่ง ก่อนที่สหัสรังสีจะเปลี่ยนความสนใจไป
ที่ขบวนเสลี่ยงเล็กที่กำลังผ่านมาด้านข้างลานประลอง
“ศศลักษณ์”
ทรงส่งสุรเสียงดังลั่นจนร่างบางที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงหันมามอง แล้วออกคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางคนหามให้ตรง
เข้ามาหาต้นเสียง
คนหามวางเสลี่ยงลงพื้น ร่างอ้อนแอ้นราวอิสตรีจึงก้าวลงมาและสืบพระบาทมาหยุดอยู่หน้าพักตร์ของ
สหัสรังสี โอษฐ์งามคลี่ยิ้มหวานปนเศร้าเมื่อรับสั่งทักทายพระเชษฐาต่างพระมารดา
“เสด็จพี่สหัสรังสี”
ทันทีที่ได้ยินกระแสเสียง ร่างหนาที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ไกลถึงกับลมหายใจสะดุด ใบหน้าเข้มค่อยๆ เงยขึ้น
เพื่อลอบมองเจ้าของเสียงหวานคุ้นหู
ดวงตาดุเบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของเจ้าชายผู้น้องชัดตาแม้จะเป็นเสี้ยวด้านข้าง แต่ทหารวังที่นั่งคุกเข่า
อยู่กลับจำได้ติดตา
....ใครเล่าจะลืมรสสวาทในคืนกลางป่าได้ลง...
------------------------------------------------ TBC ------------------------------------------
อยากด้ายยย
คอมเม้นท์.........
พรีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส