รักสองเมือง
บทที่ 6
“ฮัก ฮัก.....”
จักรธรหอบลึกเมื่อพนาใช้มือหนึ่งดันไหล่ของเขาให้แนบอยู่ที่พื้นแล้วเลื่อนตัวลงไปเบื้องล่างพลางครอบ
ปากลงไปที่ลำกายแข็งแกร่ง ปลายลิ้นอุ่นชื้นแตะวนอยู่ตรงส่วนหัวเรียกความกำหนัดจนแทบทนไม่ไหว
ไม่....
ตะโกนก้องอยู่ในใจด้วยความรู้สึกผิด ทรงทำผิดมหันต์ไปแล้วกับการที่ปล่อยให้อำนาจแห่งไฟปรารถนา
เข้ามาช่วงชิงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนเลยเถิดไปกับเจ้าชายสหัสรังสี และครั้งนี้จะประพฤติเยี่ยงนั้นมิได้
“ปล่อยข้าเถิดพนา ขะ...ข้าจะไม่กระทำผิดอีกแล้ว”
เสียงแหบพร่าพยายามเอ่ยห้ามแม้จะทรมานเมื่อร่างกายตอบรับไปกับการยั่วเย้าอารมณ์ให้กระเจิง แต่พนา
ยังดูเหมือนไม่ยอมแพ้ ปากหนารูดรั้งดูดอมแท่งร้อนกระแทกกระทั้นจนถึงลำคอ
“อวู หยุดเถอะพนา อ๊ะ!”
หน้าท้องกระตุกเกร็งเมื่อปลายแท่งเนื้อกระแทกเข้ากับผนังลำคอก่อนที่น้ำเมือกจะพุ่งอัดอยู่ในช่องปาก
ของน้องชายโจรป่า พนาคายแก่นกายออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ลำตัวหนายกขึ้นมองจักรธรด้วยแววตาเย้ยหยัน
มือหนาเช็ดคราบชื้นที่มุมปากอย่างคนที่ได้รับชัยชนะเมื่อทำให้จักรธรปลดปล่อยออกมาได้ในที่สุด
“เจ้ายังต้องการอยู่ มาสิ จะช้าอยู่ใย ร่างกายของเราพร้อมที่จะพลีให้เจ้าอยู่ตรงนี้”
พนาคว้ามือหนาของจักรธรมาวางไว้ที่สะโพกของตน จักรธรนึกละอายแก่ใจจนต้องถอนลมหายใจคราใหญ่
ก่อนที่จะรวบรวมกำลังที่เหลือผลักให้ร่างหนาของพนาพ้นจากการคร่อมทับอยู่บนตัวเขา
“โอ๊ย...”
แผลที่แผ่นหลังเสียดสีอยู่กับพื้นแม้จะมีผ้าสักหลาดปูรองรับแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการเจ็บแผลเบาบางลงได้
จนเจ้าชายหนุ่มต้องนิ่วหน้า
พนาที่กระเด็นออกมานอนอยู่ด้านข้างผุดลุกขึ้นยืน สองมือกำหมัดด้วยความโมโห
“ทำไม... ทำไมเจ้าถึงไม่ทำอะไรเรา มันเป็นเพราะเรารูปชั่วตัวดำหน้าตาอัปลักษณ์เจ้าถึงไม่แยแสใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะ พนา เจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดว่าข้าเป็นคนที่มองคนแต่เปลือกนอก ข้าไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ในตัว
เจ้าแม้แต่น้อย เพียงแต่เป็นเพราะว่าหัวใจของข้ามีเจ้าของเสียแล้ว และข้าไม่อาจกระทำผิดต่อคนที่ข้ารักได้
อีก”
สีหน้าฮึดฮัดของพนายังไม่คลายลง น้องชายโจรป่าแห่งไพรดำกระทืบเท้าออกไปจากกระโจมอย่างเจ็บใจ
ร่างหนาเดินเข้าไปในป่ากว้างโดยไม่กลัวภยันตรายแม้แสงอาทิตย์จะพ้นลับขอบฟ้าไปแล้ว ก่อนที่จะไปหยุด
นิ่งอยู่ที่ริมธารเล็กที่ไหลเอื่อยเซาะลงมาจากภูเขาสูงแล้วทรุดนั่งลงกับโขดหินริมลำธาร
ใบหน้าบึ้งตึงคลายลงทีละน้อย มุมปากเริ่มคลี่ยิ้ม ดวงตาเกรี้ยวกราดส่องประกายยินดีจนกระทั่งหัวเราะคิก
ออกมาได้ในที่สุด
พนาชะโงกหน้าไปเหนือธารน้ำ แสงจันทร์ที่ล่องลอยอยู่ริมฟ้าสะท้อนใบหน้าของเขาให้เป็นเงาอยู่ในลำธาร
ใบหน้าที่ไม่ใช่ใบหน้าของเขา!
“หย็องกรอด”
สายลมพัดเฉื่อยหมุนวนอยู่ข้างกายจนก่อรูปเป็นโครงกระดูกหน้าเป็น
“พะย่ะค่ะ เจ้าชายน้อย”
พนาหันมาคลี่ยิ้มให้กับโครงกระดูก
“นี่เจ้านายของเจ้าเขาจะรู้ไหม ว่าเจ้าแปรพักตร์มาอยู่กับเรา”
“คิกคิก”
โครงกระดูกยกมือขึ้นมาปิดปากทำท่าเอียงอาย
“หม่อมฉันว่าคงไม่รู้หรอกพะย่ะค่ะ แต่ถึงรู้ก็คงไม่กล้าทำอะไรหม่อมฉันหรอก”
“นั่นสินะ เจ้านายเจ้าน่ะหาความฉลาดไม่ได้เลย”
จ้องมองเงาในน้ำอีกครั้ง เงาในน้ำที่ฉายชัดถึงใบหน้าหวานราวอิสตรีสูงศักดิ์แต่ก็เป็นชาย ใบหน้าที่มอง
อย่างไรก็ไม่ใช่ใบหน้าของพนา น้องชายของโจรป่า
“แต่อย่างน้อย เราก็ดีใจนะที่เจ้านายของเจ้าน่ะ ไม่ยอมทำอะไรเรา เอ๊ะ!..ไม่สิ ไม่ยอมทำอะไรพนา”
นิ้วมือหนาลูบไล้มืออีกข้างของตนเอง นิ้วนางที่มีแหวนทองเหลืองวงเกลี้ยงสวมอยู่
ใช่...เขาไม่ใช่พนา
จริงๆแล้วพนาก็ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ หรอก
คนที่แฝงอยู่ในร่างกายนี้คือศศลักษณ์ต่างหาก
เจ้าชายศศลักษณ์สรวลกับเงาในน้ำ
นึกถึงวันที่เศร้าเสียใจ กันแสงจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดเผลอไผลต่อว่าชะตาตนเองจนเกิดอาเพศลมพายุ
หอบวรกายบอบบางจนลอยละล่องไม่รู้ทิศทางมาหยุดอยู่ที่กลางป่า
กันแสงไม่หยุดแม้จะฟุบอยู่กับพื้นดิน จนได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ อยู่เหนือร่าง
“อ๊ะ!”
ร่างน้อยผงะเมื่อเห็นร่างอวตารเรืองแสงสีเขียวผ่องเรืองรองทั่วกายายิ้มให้อย่างปรานี ความหวาดกลัว
บรรเทาลงเมื่อทรงตั้งสติได้
“ต่อว่าอะไรข้าเสียมากมาย หือ..เจ้าชายศศลักษณ์”
หรือว่า....
ทรงเป็นองค์อินทร์ที่ดูแลโลกมนุษย์
ศศลักษณ์ก้มลงกราบแทบบาท เมื่อเงยพักตร์ขึ้นมาจึงได้กันแสงและโผเข้ากอดขาผู้มากบารมีราวกับ
เด็กน้อยไร้ที่พึ่งพิง
“ไอ้เจ้าจักรธรนี่ก็จริงๆ เลย ปล่อยให้อารมณ์นำพาจนเกิดเรื่อง ดีล่ะ ต้องสั่งสอนเสียหน่อยจะได้เป็นการ
ลองใจมันด้วยว่ารักเจ้าจริงหรือเปล่า”
ร่างที่เปี่ยมไปด้วยบุญญาธิการยื่นแหวนทองเหลืองวงเกลี้ยงมาให้ ศศลักษณ์รับมาอย่างงงงัน
“แหวนอะไรหรือพะย่ะค่ะ”
“สวมมันที่นิ้วนางเสียเถิด”
เจ้าชายศศลักษณ์สวมแหวนทองเหลืองที่นิ้วนาง พลันสิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิด
ร่างบอบบางงดงามค่อยๆ แปรเปลี่ยนสภาพจนกลายเป็นพนา ที่ร่างสูง หนา ผิวสองสี
“สวมใส่มันไว้ที่นิ้วนางแล้วเจ้าก็จะไม่ใช่เจ้าอีกต่อไป หากเมื่อใดที่จักรธรหาเจ้าจนพบและพิสูจน์จนเจ้า
เชื่อใจได้ว่าเขาภักดีต่อเจ้าแล้ว มนต์ของข้าก็จะเสื่อมลง เขาก็จะจำเจ้าได้”
“แล้วถ้า เอ่อ...เขาไม่ซื่อตรงต่อข้าล่ะพะย่ะค่ะ องค์อินทร์”
“เจ้าก็ต้องอยู่ในร่างแปลงไปตลอดจนกว่าจะตัดใจจากคนโลเลได้ และเมื่อนั้นแหวนจึงจะหลุดจากนิ้ว”
เจ้าชายศศลักษณ์ในคราบของชายร่างสูงลองขยับแหวนจึงได้รู้ว่า ขยับอย่างไรแหวนก็ไม่หลุดจากนิ้ว
“แต่ว่า....ถ้าแค่ลองใจมันก็ยังไม่สาแก่ใจข้านัก”
ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยเมตตาเริ่มเป็นเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะเอียงไปกระซิบบางอย่างที่พระกรรณของเจ้าชาย
ศศลักษณ์ จนใบหน้ากร้าวแกร่งแดงเรื่อขึ้นมาอย่างขวยเขิน
“เอ่อ...จะให้หม่อมฉันทำแบบนั้นจริงๆ หรือพะย่ะค่ะ”
“จริง ถ้าเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่ง เจ้าก็ถอดแหวนเพื่อคืนร่างเดิมไม่ได้”
องค์อินทร์ยืนยัน พลางชี้นิ้วไปทางทิศบูรพา
“มุ่งหน้าไปทางนี้แล้วจะมีคนช่วยเหลือเจ้า”
ร่างเรืองแสงสีเขียวค่อยๆ เลือนหายจนเหลือแต่ความว่างเปล่า เจ้าชายศศลักษณ์ในคราบของพนาจึงได้
เดินทางมาตามคำชี้แนะจนมาพบกับโจรป่าภูผาที่นึกถูกชะตาจนรับเขามาเป็นน้องชายร่วมสาบาน
เงาในน้ำมองขึ้นมาด้วยพระเนตรฉ่ำหวาน นึกดีพระทัยที่จักรธรปฏิเสธการยั่วยวนจากพนาเมื่อครู่ที่ผ่านมา
แต่ทรงยังไม่ไว้วางพระทัย คงต้องขอพิสูจน์อีกสักสองหรือสามครั้ง จนถ้ามั่นพระทัยแล้ว เจ้าชายศศลักษณ์
จะได้กระทำในเงื่อนไขสุดท้ายขององค์อินทร์
ยิ้มขวยเขินที่ดูจะไม่เข้ากับใบหน้าของพนาเกิดขึ้นอีกครั้ง
เสียงย่ำเท้าของเกือกม้าดังสะท้อนทั่วไพร คนที่นั่งควบคุมอยู่บนหลังอาชาบังคับให้มันเยื้องย่างช้าๆเมื่อ
ความมืดเข้าปกคลุม
เจ้าชายสหัสรังสีแม้จะทรงอ่อนระโหยจากการเดินทางติดต่อกันเป็นเวลานับสัปดาห์ แต่ด้วยความเป็นห่วง
พระอนุชาจึงไม่ได้มีรับสั่งให้นายทหารที่ติดตามมาด้วยอีกสี่คนหยุดการเดินทาง
แม้จะเชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่เมื่ออยู่ในป่ากว้างที่ไม่คุ้นเคย พระองค์จึงไม่ทันระวังตัวเมื่ออยู่ ๆ เงาดำจาก
อะไรบางอย่างจะกระโจนมาจากบนคบไม้ลงมายืนจังก้าอยู่ด้านหน้า
“พวกเจ้าเป็นใคร”
ตระหนกเมื่อทรงเห็นร่างสูงซ่อนตัวอยู่ในชุดสีดำกลมกลืนกับความมืดปกปิดหน้าตาด้วยผ้าคลุม ยืนดักหน้า
อยู่เกือบสิบคน แต่ละคนรูปร่างสูงใหญ่เหมือนคนพื้นเมืองแถบเวสาลียืนถือดาบคมปลาบอย่างน่ากลัว
ไม่มีคำตอบกลับมา โอษฐ์เรียวบนพักตร์หล่อเหลาสั่นไหวเมื่อสบตากับร่างสูงที่ยืนสง่าอยู่ตรงกลาง
แม้จะเห็นเพียงแค่ดวงตาที่โผล่พ้นใบหน้าที่ปกปิด แต่เจ้าชายสหัสรังสีก็พอเดาได้ว่าคนๆ นี้คงต้องเป็น
หัวหน้ากลุ่ม เมื่อดวงตาคู่นั้นกร้าวแกร่งไปด้วยอำนาจ
ร่างสูงใหญ่กำยำยกปลายดาบชี้หน้า ดวงตาพราวแสงเหมือนพบสิ่งถูกใจก่อนที่น้ำเสียงเข้มจะตะโกนก้อง
“บุกกก”
ชายฉกรรจ์ชุดดำกรูเข้าใส่นายทหารติดตาม เจ้าชายสหัสรังสีที่ต้องรีบตั้งสติคว้าดาบข้างกายมาต่อสู้
เคียงข้างทหาร ทรงเห็นร่างสูงของหัวหน้าโจรยืนนิ่งไม่ไหวติงก็ยิ่งนึกกรุ่นไปด้วยโทสะจนกระแทกพระบาท
เข้ากับสีข้างของม้าบังคับบังเหียนให้พุ่งใส่พร้อมฟาดดาบลงไปอย่างรวดเร็ว
ขยับกายเพียงเล็กน้อยก็พ้นรัศมีดาบ หัวหน้าโจรกระโดดทีเดียวร่างแกร่งก็ขึ้นมานั่งซ้อนหลังเจ้าชาย
สหัสรังสีอยู่บนหลังม้าแล้วใช้ด้านคมของดาบตนเองจ่อเข้าที่พระศออย่างรวดเร็ว
“รนหาที่จริงๆ”
เสียงเข้มดังอยู่หลังพระกรรณ เจ้าชายสหัสรังสีจำต้องนิ่งอย่างเจ็บพระทัยเมื่อชีวิตถูกบังคับไว้ด้วยปลาย
ดาบ มือแกร่งแย่งสายบังเหียนมาถือไว้ในมือก่อนที่จะหันกลับไปสั่งลูกน้อง
“ไม่ต้องตามไป เอาของมีค่ากลับไปให้หมด ส่วนคน ถ้าไม่สู้ก็จับเป็นเชลย แต่ถ้ามากเรื่องก็เชือดทิ้งเสีย”
สหัสรังสีเบิกเนตรโพลงเมื่อถูกบังคับให้นั่งอยู่บนหลังม้าที่คนด้านหลังกระแทกเท้าเข้ากับลำตัวจนอาชา
กู่ร้องก้องป่าก่อนวิ่งเตลิดลึกเข้าไปในไพรกว้างยิ่งขึ้น
“อย่าขยับ ถ้าไม่อยากถูกเชือดคอ”
...อะไรวะ คำก็เชือด สองคำก็เชือด...
สหัสรังสีจำเป็นต้องนั่งนิ่ง รู้สึกได้ถึงวงแขนแกร่งที่สอดมารอบเอวแล้วเหนี่ยวร่างให้เข้าไปชิดแผ่นอกของคน
เบื้องหลัง จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดอยู่ตรงหลังคอ
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าบังคับลมหายใจตัวเองไม่ได้เมื่อมันติดขัดไปหมด
และที่สำคัญ เจ้าชายสหัสรังสีจำเส้นทางไม่ได้ เพราะความที่เป็นป่าดิบชื้นและมืดมิด ไอ้โจรป่าบังคับให้
อาชาของพระองค์โลดแล่นจนพระจันทร์ตรงหัว ก่อนที่จะหยุดลงให้ที่สุด
“โอ๊ย!”
สหัสรังสีถูกโยนลงมาจากหลังม้าจนกระแทกกับพื้นแข็ง ร่างในชุดดำกระโดดลงมายืนแล้วกระชากร่างของ
สหัสรังสีให้ลุกขึ้นยืนและยังคงจ่อดาบไว้ที่พระศอ
...ให้ตายเถอะ...
เจ้าชายสหัสรังสีคิดว่าองค์เองก็สูงแล้ว แต่ไอ้โจรป่านี่ยิ่งสูงกว่า แถมร่างกายที่ซ่อนไว้ในชุดดำก็ดูเต็มไปด้วย
มัดกล้ามจนพระองค์อดนึกขยาดไม่ได้
“เดิน”
คำสั่งง่ายๆพร้อมคมดาบที่ขยับแนบคอทำให้ต้องทรงก้าวพระบาทไปเบื้องหน้าตามหลังด้วยร่างสูง
สหัสรังสีจึงได้รู้ว่าโจรป่ากำลังบังคับให้เขาก้าวเข้าไปในถ้ำเล็กที่ยิ่งมืดมิดเมื่อไร้แสงจันทร์นำทาง
ภายในถ้ำกลิ่นอับชื้นจนทรงเดินไปถึงกลางถ้ำที่เป็นลานกว้าง อากาศจึงค่อยโปร่งขึ้นเพราะด้านบนมีช่อง
เล็กที่พอจะระบายอากาศได้บ้าง เสียงน้ำหยดอยู่ด้านข้างพอให้มองเห็นว่ามีหยดน้ำหยดลงมาจน
กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก ในขณะที่พื้นถ้ำเป็นพื้นทรายละเอียดนุ่มเท้าอยู่ไม่น้อย
“ปล่อยกูไป แล้วมึงอยากได้สมบัติอะไรกูจะหามาให้ กูสัญญา”
พยายามต่อรองแต่เจ้าชายสหัสรังสีได้ยินเพียงเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของอีกฝ่ายที่ยืนชิดอยู่ด้านหลัง
ก่อนที่จะทรงหนาวไปทั้งวรกายเมื่อได้ยินเสียงโจรป่ากระซิบตอบกลับมา
“สมบัติ มีเยอะแล้ว ไม่เอา”
สหัสรังสีถูกกระชากให้หันมาเผชิญหน้ากับดวงตาคมที่พราวระยับคู่นั้น
“ขาดแต่เมีย”
“มึงจะบ้าเรอะ...เฮ้ย...”
ร้องลั่นเมื่อท่อนขาถูกเตะเจาะยางจนเสียหลักหงายหลังไปกับพื้นทราย ร่างสูงใหญ่กระโจนเข้ามาทาบทับ
พลางบดจูบหนักหน่วงผ่านผ้าสีดำที่ยังคงปิดอยู่บนใบหน้า เจ้าชายทรงยกมือปัดป้องแต่กลับถูกรวบไว้อยู่
เหนือเศียร ไอ้โจรป่ากดริมฝีปากแน่นจนผ้าเริ่มหลุดลุ่ย มันสะบัดหน้าไปมาให้ผ้าหลุดออกจากคอและถือ
โอกาสนั้นสอดปลายลิ้นเข้าไปในโอษฐ์ของสหัสรังสี
มีต่ออีกนิดนะ ............................