รักสองเมือง
บทที่ 7
เจ้าชายสหัสรังสีนับไม่ถูกว่าเวลาได้ผ่านไปกี่วันกี่คืนแล้วเพราะไม่เห็นตะวันเห็นเดือนมาหลายเพลา แต่ถ้า
หากจะให้ทรงคาดเดาก็น่าจะเป็นห้าวันห้าคืนแล้วที่พระองค์ถูกจับขังไว้ในถ้ำมืด
ภายในถ้ำแม้แต่ตอนกลางวันก็ยังมืดเห็นเพียงสลัวเลือนรางไม่ต้องพูดถึงยามราตรีที่แม้แต่ยกนิ้วองค์เองมา
ใกล้พักตร์ก็ยังแทบมองไม่เห็น
ยามกลางวันไอ้โจรป่าที่บอกเพียงชื่อให้เจ้าชายสหัสรังสีรับรู้ว่าภูผาจะออกไปนอกถ้ำ มันจะใช้เถาวัลย์ผูก
มือสองข้างของเจ้าชายไว้ รวมถึงขาข้างหนึ่งที่มัดเกี่ยวกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ความยาวก็เพียงให้
พระองค์กระเถิบไปก้มหน้าดื่มน้ำที่แอ่งน้ำเล็กด้านข้างของถ้ำได้เท่านั้น และเมื่อมันกลับมาพร้อมอาหารจึง
จะยอมคลายปมแก้มัดให้หายเมื่อยขบ
แม้ว่าจะนึกเดียดฉันท์องค์เองที่กลายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ให้แก่ไอ้โจรป่าต่ำช้าแต่ก็ต้องยอมรับว่า
พระองค์เริ่มติดใจในบทรักป่าเถื่อนเร่าร้อนจนเป็นฝ่ายกระหายมันในยามค่ำคืนเสียด้วยซ้ำ พยายามเก็บงำ
มันไว้ด้วยขัตติยะศักดิ์ศรี แต่เมื่อใดที่ไอ้โจรเลวเข้าครอบครองวรกาย พระองค์ก็สิ้นซึ่งการควบคุมตัวเองไป
เสียทุกที
อย่างในราตรีนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ภูผานำอาหารอันแสนโอชะมาป้อนให้ถึงปาก เพิ่มพละกำลังจนเต็มพิกัด
ภูผาก็โลมเล้าจนเจ้าชายติดกับอีกครั้ง
“ลึกอีกสิวะ กระแทกแรงๆ ภูผา ตรงนั้น โอ๊ยเสียวโว้ย”
เสียงร้องของพระองค์ดังลั่นถ้ำสอดประสานกับการเคลื่อนสะโพกย้ำๆ เน้นๆ ของภูผาที่กระแทกจมลึกอยู่ใน
ช่องทางรักที่ตอดรัดจนต้องครางเสียงต่ำลอดออกมาอย่างถูกใจ
แต่อยู่ๆ เจ้าตัวก็หยุดรุกรานเสียง่ายๆ จนสหัสรังสีถึงกับผวาที่ทางเดินสู่สวรรค์พลันชะงักลง
“อา..ยะ หยุดทำไม ภูผา”
ผวาเฮือกเข้ากอดร่างแกร่งเบื้องบน ลมหายใจกระเส่าบอกให้รู้ว่าต้องการอีกฝ่ายเพียงไหน จนมือหยาบต้อง
ยกมาลูบพักตร์แล้วกดจูบหนักหน่วงอยู่พักใหญ่
“ข้าอยากให้รังสีเมียข้าขึ้นมาอยู่บนตัวข้าบ้าง”
“ฮะ อะไรนะ”
เจ้าชายสหัสรังสีเบิกเนตรกว้าง แต่ยังไม่ทันได้โต้ตอบมากไปกว่านั้นภูผาก็ใช้มือจับสะโพกหนั่นแน่นแล้ว
พลิกร่างสหัสรังสีขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวหนาของภูผาอย่างรวดเร็ว
“อื้มม..”
ครางออกมาเมื่ออยู่ในท่านี้แท่งเนื้อร้อนรุ่มยิ่งสอดลึกเข้าไปในช่องทาง ภูผาหัวเราะแผ่วเบาพลางยกมือบิด
ไปที่ถันของพระองค์ทั้งสองข้างจนแข็งเป็นไต
“นึกเสียว่าผัวคนนี้เป็นม้าของเจ้า อยากจะควบขี่แค่ไหนก็ตามแต่ใจเมียรักเถิด”
ภูผาใช้มือประสานใต้ท้ายทอยนอนบนพื้นทรายอย่างสบายอารมณ์ เจ้าชายสหัสรังสีถึงกับกัดพระทนต์แน่น
เมื่อภูผาแกล้งวนสะโพกเร่าเร้าจนพระองค์ทนไม่ไหวต้องขยับพระโสณีบ้าง
“โอย เสียวสัส...”
หอบลึกเมื่อขยับโสณีเป็นวงกลมอยู่บนสะโพกของอีกฝ่ายที่เด้งกายตอบรับให้ส่วนที่สอดลึกกระแทกเข้า
จุดสำคัญ เหงื่อกาฬไหลทะลักแม้ในถ้ำจะเย็นชื้น ทรงคว้ามือแกร่งของภูผาขึ้นมาประสานกับหัตถ์ของ
พระองค์แล้วดึงอีกฝ่ายให้เด้งตัวขึ้นมากอดรัดฝังเขี้ยวลงที่รอบยอดอกในขณะที่พระองค์ก็กอดไปรอบหัว
ของมันให้ยิ่งจมลึกไปกับวรกาย
“โอ รังสีเมียข้า ช่างถูกใจข้าเหลือเกิน”
เสียงต่ำหนักคำรามอยู่ในคอเมื่อเมียรักเด้งตัวขึ้นลงแอ่นกายเบียดชิดพร้อมเสียงครางกระเส่า ภูผาไม่รอช้า
เพราะรู้ว่าทางสวรรค์รอคอยอยู่เบื้องหน้า
เด้งเอวสอดลึกรับเมื่อสหัสรังสีกดกายลงมาทั้งเร็วทั้งแรงจนเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่น เสียงหอบปะปน
ประสานเมื่อกล้ามเนื้อแต่ละฝ่ายบีบเกร็งค้างจนตาลอยไปทั้งคู่
ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้นทรายอย่างเหนื่อยอ่อนจากสมรภูมิรักที่ยาวนานเกือบค่อนคืน
ไม่รู้ว่าเผลอหลับด้วยความอ่อนเพลียไปนานแค่ไหน แต่เจ้าชายสหัสรังสีรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อภูผาใช้ผ้าผืนนุ่ม
ชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวและสวมใส่เสื้อผ้าให้อย่างเช่นในทุกเช้าที่ลืมตาตื่น สหัสรังสีทอดถอน
หายใจเมื่อยอมรับว่ารู้สึกดีกับการปรนเปรอของคนเถื่อน
ผ่านไปไม่กี่วันกลับเป็นพระองค์ที่หลงไปเป็นทาสใจของโจรป่าที่ไม่เห็นแม้แต่หน้าตาว่าจะโหดเหี้ยม
สักเพียงไหน แต่ที่จำได้คือร่างกายกำยำที่ต่างก็สัมผัสไปเสียทุกส่วนกับรสรักเร่าร้อนที่ไม่มีวันลืมลง
ทรงทอดเนตรมองเงาในความสลัวพลางเป็นฝ่ายยื่นข้อพระกรให้อีกฝ่ายมัดอย่างเช่นเคย แต่ในวันนี้เจ้า
โจรป่ากลับนิ่งงันไม่หยิบเถาวัลย์มาพันธนาการ ซ้ำยังดึงวรกายสูงของสหัสรังสีให้ลุกขึ้นยืนและกุมมือ
ให้เดินตาม
เจ้าชายสหัสรังสีทรงก้าวพระบาทตามไปเงียบๆ จนกระทั้งถึงปากถ้ำก็ต้องยกหัตถ์ขึ้นบังแสงจ้าจาก
ภายนอก
เมื่อปรับสภาพกับแสงสว่างได้แล้วก็ถึงกับเอ่ยถามออกไป
“หมายความว่าอย่างไร”
ร่างสูงหนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามหันกลับมาสบตา ใบหน้านั้นยังปิดไว้ด้วยผ้าผืนเก่าเหลือเพียงดวงตา
คมกร้าวที่มองมาที่พระองค์อย่างอาลัย
“ถึงเวลาที่พระองค์ต้องทรงกลับไปบ้านเมืองแล้ว เจ้าชายสหัสรังสี”
ตะลึงลานกับคำกล่าวของโจรป่า หัตถ์ที่ถูกเกาะกุมสะบัดหนี
“เจ้ารู้...ว่าข้าเป็นใคร”
ดวงตาคมสลดวูบแถมยังเบนหลบ
“ใยข้าจะไม่รู้เล่าว่าเมียรักของข้าแท้จริงเป็นใคร”
“แต่ในขณะที่เจ้ากลับปิดบังโฉมหน้า แม้กระทั่งวันที่เจ้ากำลังจะเอ่ยลางั้นหรือ ภูผา!”
สุรเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นพร้อมกับโผกายเข้าหาหวังจะกระชากผืนผ้าที่ปิดบังไว้ แต่ก็ช้ากว่าจอมโจรที่
หลบวูบก่อนจะดึงร่างของสหัสรังสีเข้ามาในอ้อมกอดแล้วจูบหนักผ่านเนื้อผ้า
อยู่ๆ อัสสุชลก็ไหลลงมา สหัสรังสีไม่มั่นพระทัยว่าเนื่องด้วยทรงกริ้วหรือน้อยพระทัยกันแน่ แต่เมื่อโจรป่า
ถอนริมฝีปากออก ก็ได้แต่ทอดพระเนตรอย่างตัดพ้อ
สบตากันพักใหญ่ภูผาก็ตัดใจ เขาคว้าแขนให้สหัสรังสีเดินตามไปที่อาชาพ่วงพีที่เขาผูกบังเหียนรอไว้ใต้
ต้นไม้ใหญ่ สหัสรังสีเชิดพักตร์กระโดดขึ้นบนหลังม้าตัวโตโดยที่มีภูผากระโจนขึ้นตามหลัง ก่อนที่ภูผาจะ
บังคับให้ม้าของเขาทะยานออกไป
ไม่มีคำพูดใดที่เอ่ยระหว่างนั้นนอกจากสองแขนแกร่งของภูผาที่อยู่ด้านหลังจะโอบล้อมไปรอบวรกายของ
เจ้าชายสูงศักดิ์ที่ประทับนิ่งอย่างไว้องค์
ปากก็บอกว่ารัก แต่กลับผลักไสจนไกลห่าง
ได้แต่ตัดพ้ออยู่ในพระทัยจนกระทั่งเข้าใกล้เขตเมืองพาราณสี ภูผาก็รั้งบังเหียนให้อาชาลดฝีเท้า
“คนที่เจ้าตามหาปลอดภัยดี ข้าจะพาไปส่งในเร็ววันนี้ ส่วนเจ้า...”
ภูผาเอื้อมมือไปประคองพักตร์หล่อเหลาของสหัสรังสีให้หันมาสบตา เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหูแผ่วเบา
“...ข้ารักเจ้า เมียรักของข้า”
แค่วูบเดียวร่างแกร่งก็กระโจนลงจากหลังม้า สหัสรังสีใจหายวูบ ทรงคว้าบังเหียนไว้ในมือแล้วบังคับให้
อาชาหันวนกลับไปก็เห็นเพียงพงไพรหนาทึบ
แต่ไอ้โจรป่าหยาบช้าหายลับไปแล้ว
“ภูผา.....”
ตะโกนอย่างระทดท้อจนเสียงเลือนหายคนที่กระชากดวงหทัยไปก็ไม่กลับคืนมา
ดวงหทัยถูกกระชากออกจากร่าง น้ำตาพร่างเต็มดวงหน้าพาใจหาย
สุดจะช้ำกล้ำกลืนมิรู้วาย เมื่อความรักกลับกลายมลายพลัน
หลงรักคนที่ไม่เห็นแม้ใบหน้า ทั้งชีวาเศร้าสลดระเหหัน
แล้วจะรักใครได้อีกไม่มีวัน หัวใจพลันแดดิ้นแทบสิ้นลง
บาดแผลที่แผ่นหลังเหลือเพียงร่องรอยสะเก็ด พนามองอย่างพอใจเมื่อจักรธรหายดีแล้ว มือหนาลูบไล้ไป
ตามรอยนั้นแล้วจึงค่อยๆ เลื่อนไปทาบที่ไหล่กว้างจนอีกฝ่ายต้องฝืนไหล่ไว้
จักรธรเพียรปฏิเสธไปหลายรอบแต่พนา น้องชายของโจรป่าภูผาที่บัดนี้หายหน้าหายตาไป ก็ยังตามตื๊อ
ไม่เลิก จักรธรต้องใช้ขันติอย่างสูงที่จะไม่ยอมทำผิดซ้ำสอง
แต่แปลก...ยิ่งเขาปฏิเสธ ดูเหมือนพนาจะยิ่งชอบใจ ดวงตาคู่ที่จักรธรคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน
ก็ยิ่งไหวระริกจนเขาสงสัย
“พนา เจ้าเป็นใครกันแน่”
ตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้าแล้วเอ่ยถามตรงไปตรงมา จนอีกฝ่ายชะงักงัน
“เราคือพนา”
“ไม่ใช่ เจ้าต้องเป็นใครสักคนที่ข้ารู้จัก บอกความจริงมาเถิด”
ปากหนาคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“เราก็ไม่เคยปิดบัง ถามตัวเองดีกว่าว่ามีอะไรมาบังตาบังใจหรือเปล่า”
จักรธรเบิกตาขึ้นช้าๆ เมื่อเขาจ้องหน้าอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ภาพพร่าเลือนของใครบางคนเข้ามาซ้อนทับจน
แทบแยกไม่ออก จนเผลอหลุดปากออกมา
“ศศลักษณ์”
ไม่มีคำตอบจากร่างหนาผิวเข้ม พนาเคลื่อนกายเข้ามาผลักจนจักรธรหงายหลังไปนอนกับพื้นแล้วขึ้นทาบ
ทับบดเรียวปากหยักลงไปขบเม้มจนจักรธรหายใจไม่ทัน มือหยาบวางแนบไปตรงหน้าท้องเปลือยเปล่าก่อน
เลื่อนลงไปกระตุกชายผ้านุ่งจนหลุดลุ่ย
“มั่นใจหรือไง ว่าจำได้จริงๆ หืม...ว่าไงล่ะ”
พนาลากปากลงไปตรงราวนมครอบปากดูดดุนจนเปียกชื้น กอบกุมแท่งร้อนอีกฝ่ายไว้ในมือแล้วโยกรั้ง
เหมือนเช่นทุกครั้งที่เข้าใกล้
“ศศ...พนา ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่ทำแบบนั้นกับเจ้า โอ๊ะ...”
กลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อถูกอีกฝ่ายกระตุ้นหนัก คราวนี้พนาไม่ออมมือเมื่อทั้งรูดทั้งดึงจนอีกฝ่ายเกร็งตัว
ค้างปล่อยน้ำคาวขาวขุ่นเปียกชื้นเต็มมือหนาที่กระหยิ่มยิ้มย่องแปลกๆ
จักรธรยิ่งงงหนักเมื่อใบหน้าของศศลักษณ์ยิ่งชัดขึ้นจนเขาต้องเพ่งตามอง แต่เมื่อหันกลับมาก็กลายเป็น
พนาอีกครั้ง นึกสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา เขาคงไม่ได้คิดถึงศศลักษณ์จนหน้ามืดขนาดนั้น
“ใครบอกว่าเราอยากให้เจ้าทำแบบนั้นกับเรา เราเปลี่ยนใจแล้ว”
ร่างหนาของพนาดึงให้จักรธรนอนคว่ำหน้าจับสองมือของจักรธรไพล่หลังแล้วคว้าผ้านุ่งของจักรธรนั่น
แหละมาผูกรั้งจนแน่นหนา จักรธรตกใจดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใต้ร่างหนาของพนา
“จะทำอะไร พนา เอ่อ ศศลักษณ์”
เขาตัดสินใจเอ่ยออกไป
พนาดึงเสื้อผ้าออกจนหมดเหลือแต่เนื้อตัวเปล่าเปลือยสูงใหญ่พอกับจักรธรลงบดเบียด คางสากวางพาด
อยู่ที่ไหล่ ในขณะที่มือร้อนผ่าวลูบไล้บั้นท้ายจนจักรธรขนลุก
“ก็ไม่อยากเป็นของเจ้าแล้ว แต่...อยากให้เจ้าเป็นของเรามากกว่า”
“เฮ้ย!...จะบ้าหรือไง”
มีต่ออีกนิด.......