----------| S i n c e r e |(ต่อ)----------
“...ฉัน...เป็นพี่ชายของนาย....”
“....”
“....เราเป็นพี่น้องกัน...”
ผมกลั้นใจบอกไปแบบนั้น แต่กลับยังนั่งนิ่งอยู่ในอ้อมกอดวิน เอนศีรษะซบลงบนไหล่เขา ก่อนวินจะผลักผมออก ท่าทางตื่นตะลึง ราวกับกลัวที่จะมีผมอยู่ใกล้ ๆ
“อา..ใช่...” เขาผงกศีรษะเลื่อนลอย แล้วเพียงชั่วอึดใจบรรยากาศรอบตัวเขาก็กลับมาเป็นปกติ ทั้งเสียงพูด แววตา สีหน้า ทุกอย่างนิ่งงันเหมือนว่าที่เราทำไปเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน “ที่บอกว่าฉันรักนายก่อนหน้านี้...ก็หมายถึงแบบพี่น้องนั่นละ”
"...."
ถูกแล้ว...ทั้งที่มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ผมกลับเจ็บเหลือเกินกับสิ่งที่ได้ยิน
“..ฉันแค่คิดว่า...” วินพูดต่อเสียงเรียบ เสมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากเห็นหน้าผม “...ถ้าเกิดทำแบบนี้กับคนที่ตัวเองชอบ จะเป็นยังไงนะ”
หากถูกเข็มสักพันเล่มทิ่มลงที่หัวใจพร้อมกัน...มันจะเจ็บแบบนี้ไหมนะ
“...นายก็เลยลองดูอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
“ที่บอกว่ารักฉัน...ก็เป็นแบบพี่ชายน้องชายใช่ไหม?”
เขาก้มหน้า กระซิบตอบมาเบา ๆ แต่นั่นก็มากพอแล้วจะพังความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของผมลงต่อหน้าต่อตา
“...ใช่”
“...วิน...”
ผมเรียกชื่อเขาแล้วค้างไว้แค่นั้น พูดอะไรไม่ออกอีก เขาเพิ่งบอกเองแท้ ๆ ว่าไปแอบชอบคนอื่นอยู่ แล้วนี่ผมมัวหวังอะไรอีกหรือ ดีแล้วที่เขาไม่ได้มาหลงอยู่ในวังวนเช่นเดียวกันนี้ บนเส้นใยซับซ้อนที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งแน่น ยิ่งหนีกลับถูกดึงให้ถลำลึกจนเกินถอนตัว จะมีสักกี่คนที่รู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าเป็นผา แต่ก็ยังบ้ากระโดดลงไป
“ขอโทษ”
สั้น ๆ เพียงคำเดียวจากปากเขา ก่อนวินจะผละออก ลุกขึ้นวิ่งหายไปจากห้อง ทิ้งท้ายเพียงแค่ว่าเขาจะออกไปหาซื้ออะไรกิน อาจแวะไปหาเพื่อนด้วย ไม่ทันอยู่ฟังผมที่กระซิบกับเสียงฝนหลังจากนั้น
“...แต่ฉันรักนายจริง ๆ”
“.....รัก.....”
ผมนั่งห่อไหล่ วินออกจากห้องไปแล้ว สิ้นเสียงปิดประตูตามหลังทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความสงบ เหลือแค่ตัวผม เสียงฝน กลิ่นคาวเจือจางในอากาศ และความต้องการที่ยังไม่เลือนหายไปจากเบื้องล่างที่ค้างอยู่เมื่อครู่
มือผมเลื่อนไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวของตัวเอง หลับตาแล้วค่อยขยับมือช้า ๆ หลังเปลือกตาที่มีเพียงความดำมืดก็ยังเห็นแต่ใบหน้าเขา เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วเรายังอยู่ใกล้แค่ลมหายใจสัมผัสกันอยู่เลย
“...วิน....อะ....อือ......”นี่มันน่าอาย..ถ้าวินรู้เข้าจะรังเกียจผมไหม?
อ้อมกอด ริมฝีปาก ความร้อนจากมือเขา กลิ่นกายจาง ๆ ที่ปลายจมูก ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็ว แล้วก็เลือนหายไป จะมีก็เพียงความรู้สึกชิงชังตัวเองที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง หลอกหลอนผมทุกครั้งที่ส่งเสียงครางแผ่ว หากวินมาเห็นตอนผมเรียกชื่อเขาขณะช่วยตัวเองจนสุดทางอย่างนี้คงนึกขยะแขยง อาจดีแล้วที่เขาไม่อยู่ทำจนเสร็จ
ผมบังคับลมหายใจเข้าออกช้า ๆ เอนหลังพิงผนังใกล้ ๆ มองของเหลวสีขาวขุ่นในมือแล้วก็ทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ให้กับเรื่องราวที่เกิด
ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
สัมผัสทางกายทั้งหลายตลอดเวลาที่ผ่านเป็นเรื่องปกติ เราสองคนใกล้ชิดกันเช่นนี้เสมอ วินอาจไม่คิดอะไร แต่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าผมคิด
ตั้งแต่วินาทีแรก ที่สัมผัสอ่อนโยนทาบลงบนเปลือกตาผม ก่อนริมฝีปากเราจะแนบสนิทกัน ผมก็เผลอนึกไปไกลแล้วว่าเขาอาจรักผมในความหมายเช่นเดียวกับที่ผมรู้สึกบ้าง
พละกำลังเราพอกัน ขนาดร่างกายเราก็พอกัน ผมมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ หากตั้งใจจะปฏิเสธย่อมทำได้ไม่ยาก แต่ผมกลับไม่ทำ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ กลิ่นหอมหวานยั่วเย้าจนไม่อาจขัดขืนหรือละสายตาจากเขา
‘ฉันรักนาย..’ถ้อยคำเหล่านั้นของเขาหมายความว่าอย่างไร? คำถามที่ว่าล่องลอยในหัวผมนับตั้งแต่มันออกจากปากเขา แม้เลือนราง แต่ไม่ได้หายไป ยังคงวนเวียนอยู่อย่างนั้นขณะริมฝีปากเราเชื่อมกันไม่รู้หน่าย กลางเสียงฝนพรำในคืนที่ฟ้าครางต่ำ
...ผมบอกไปแล้วว่าผมก็รักเขา...แต่วินกลับบอกว่ามันไม่ใช่ความรักแบบเดียวกัน...
เราแลกจูบกันดูดดื่ม มือเขาสัมผัสร่างกายผม ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยแรงปรารถนา แต่สุดท้ายคำถามของผมก็ได้รับคำตอบ เมื่อวินย้ำว่าเขาหมายถึงความรักแบบพี่น้อง ทั้งหมดที่ทำ แค่เพราะอยากรู้ว่าถ้าไปทำอย่างนั้นกับคนที่เขาชอบแล้วจะเป็นอย่างไร
ทั้งที่วินเพิ่งบอกว่าแอบชอบคนอื่น ใครสักคนซึ่งผมไม่รู้จัก
ก็น่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ ๆ กลับยังปล่อยตัวให้เลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ทำไมจึงไม่รีบห้ามเขา ผมนึกกลัวตัวเองที่เกือบจะดึงวินให้ร่วงดิ่งลงมาในความมืดมนนี้ด้วยกัน ก็ไหนที่เคยตั้งใจจะเก็บเอาไว้เป็นความลับคนเดียว ไหนทำพูดจาเลิศหรูว่าแค่ได้อยู่กับเขาก็พอแล้ว แต่พอถูกกอดเข้าหน่อยความตั้งใจก็สั่นคลอน
ผมนึกเกลียดความโง่เง่าของตัวเองเหลือเกินคืนนั้นทั้งคืน วินไม่ได้กลับมาที่ห้องอีกเลย
วินทิ้งมือถือเอาไว้ แม้แต่กระเป๋าสตางค์เขาก็ไม่ได้หยิบไป ที่บอกอาจแวะไปหาเพื่อนเหมือนช่วยให้ตามตัวได้ง่าย ทว่าผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขาหมายถึงเพื่อนคนไหน
ผมรอเขาจนตีห้ากว่า ผุดลุกผุดนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง อยากตัดใจแล้วกลับไปนอน แต่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ลุกขึ้นทำความสะอาดห้องที่ใช้ทำงานจนเกลี้ยง มองงานที่เขาบ่นว่ายังไม่เสร็จ มันค้างอยู่เท่าเดิม ทั้งที่บอกว่าต้องรีบทำส่งอาจารย์ แต่กลับไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าของงานจะกลับมาทำต่อ
แสงแรกของเช้าวันอาทิตย์สาดเข้ามาจากระเบียงหลังห้อง ผมหยีตา มองไม่ค่อยชัด ไม่อยากคิดถึงสภาพตัวเองในกระจกว่าจะตาบวมขนาดไหน มือผมแหวกผ้าม่าน มองออกไปในละอองน้ำที่ยังหลงเหลือจากฝนเมื่อคืน หยดน้ำเล็ก ๆ เหล่านั้นสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่อากาศเย็นชื้นยิ่งชวนให้หดหู่จนแค่ยืนหายใจเฉย ๆ ก็ยังเหนื่อย
วินจะกลับมาไหมนะ?
แล้วถ้าเขากลับมา ผมควรจะเข้าหน้ากับเขาอย่างไรดี
ผมถอนหายใจ สองมือยกขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ หลังจากปล่อยตัวปล่อยใจจนเกือบเลยเถิด ผมนั่งทบทวนกับตัวเองและได้ข้อสรุปว่าควรทำให้มันถูก วินกลับมาเมื่อไรผมจะถามเขาเรื่องผู้หญิงคนนั้น ทำความรู้จักกับเธอในฐานะพี่ชาย ถ้าเขารักใครผมก็จะรักด้วย แล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไปเสีย คนเราย่อมผิดพลาดกันได้ วัยอย่างพวกเราก็เป็นช่วงก้ำกึ่งระหว่างวัยรุ่นตอนปลายกับผู้ใหญ่ตอนต้น จะอยากลองสิ่งที่ไม่เคยรู้อาจไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ต้องทำคือกลับไปดำเนินความสัมพันธ์แบบพี่น้องเหมือนปกติให้เร็วที่สุดต่างหาก
ใช่แล้ว...มันควรเป็นแบบนั้น
ผมเม้มปาก มองดวงอาทิตย์เร้นกายหลังเมฆสีเทาอยู่ครึ่งดวง แต่แสงจากอีกครึ่งก็ยังเจิดจ้าจนแสบตา
ครึ่งเดียวก็พอแล้ว...
ชั่วขณะนั้นผมนึกถึงวิน น้องชายที่เป็นเหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตผม
...แค่ครึ่งเดียวก็สว่างได้...
ผมยิ้ม แม้ส่วนลึกในใจยังหดหู่บอกไม่ถูก ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหน้าประตูระเบียง เอนศีรษะพิงกรอบประตูแล้วหลับตา
ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแดดอ่อนที่มองอยู่ก็เปลี่ยนเป็นแสงอาทิตย์ร้อนผ่าวส่องหน้าเสียแล้ว ผมลุกขึ้น ยกมือขยี้ตา เดินกลับเข้าห้องโถง มองหาเจ้าของห้องร่วมอีกคนว่ากลับมาหรือยังระหว่างที่ผมหลับ ทว่าทั้งห้องก็มีแต่ความเงียบงัน เงียบจนในอกผมโหวงเหวงไปหมด
ผมมองกระเป๋าสตางค์เขาที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ออกไปตัวเปล่าอย่างนั้น เขาไปที่ไหน แล้วจะได้กินอะไรหรือยัง บ่นหิวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่
ใจหนึ่งผมอยากออกจากห้องไปตามหา แต่กลัวออกไปแล้วหากเขากลับมาพอดีก็อาจคลาดกันอีก จะรื้อดูโทรศัพท์ของเขาว่ามีประวัติการโทรเข้าออกหาใครบ้าง เผื่อหนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนเขาที่เจ้าตัวบอกจะแวะไป ก็เอาแต่จด ๆ จ้อง ๆ ไล่รายชื่อที่มีทั้งหญิงและชายแต่ไม่กล้ากดโทรออก
กระทั่งเวลาบ่ายคล้อย ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผม แต่เอาเข้าจริงถึงตอนนี้ก็รู้สึกกินอะไรไม่ลง ต่อให้ท้องจะส่งเสียงประท้วง ทว่าแค่มองของในตู้เย็นแล้วนึกถึงว่าจะดีแค่ไหนนะถ้าวินกลับมากินด้วยกัน ความคิดนั้นก็ทำเอาผมไม่สามารถกลืนอะไรลงคอได้...
...นี่มันบ้า... ผมก่นด่าตัวเอง
วินโตแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่ร้องไห้หน้าเหยเกเข้ามากอดผมตอนฟ้าร้องอีกต่อไป แค่เรื่องปากท้องเขาดูแลตัวเองได้ ต่อให้ไม่มีผมวินก็มีเพื่อนเยอะแยะ ถ้าไปหาเพื่อนย่อมต้องมีอะไรตกถึงท้องบ้างแหงอยู่แล้วสิ
ผมยกขาขึ้นชันเข่าบนโซฟา เอาเข้าจริงแล้ว ความสัมพันธ์ของเราก็ถูกเชื่อมโยงเอาไว้ด้วยคำว่าพี่น้องเท่านั้นเอง หากเราไม่ได้มีความผูกพันทางสายเลือด ผมกับเขาจะไม่ได้เป็นอะไรกันเลย คิดอย่างนี้แล้วควรดีใจไม่ใช่หรือที่อย่างน้อยเราก็เป็นฝาแฝดกัน ด้วยฐานะแบบนี้ ผมจะเป็นคนที่ได้ใกล้ชิดเขากว่าใคร จนกว่าวินจะมีคนอื่นที่อยากอยู่ด้วยมากกว่า
สี่โมงครึ่ง ฝนเริ่มตั้งเค้าอีกครั้ง จากที่ยังสว่างโร่อยู่เมื่อบ่าย ลมหอบเอากลิ่นฝนและเศษใบไม้จากที่ไหนสักแห่งปลิวเข้ามาในห้อง ผมเดินไปชะเง้อด้านนอก หวังว่าอาจเห็นร่างคุ้นตาเดินกลับมา แต่แล้วก็มีเพียงกลุ่มหญิงสาวสองสามคนวิ่งฝ่าลมแรงข้ามถนนหน้าอพาร์ตเมนต์ไปยังอีกฝั่ง
“....วิน....” ผมพึมพำ ถอนหายใจเฮือก ปิดหน้าต่างแล้วเดินกลับเข้ามาทรุดตัวลงนั่งที่เดิม เพ้อเจ้อกับเศษใบไม้ที่เพิ่งปลิวเข้ามาในห้อง “..นายอยู่ไหนน่ะ...กลับมาซะทีสิ”
ฝนเริ่มลงเม็ด จากนั้นโปรยปรายลงหนักขึ้น พอหกโมงเย็นฟ้าก็เริ่มร้องครืนคราง บรรยากาศราวกับเวลาสักหนึ่งหรือสองทุ่มได้ และวินยังไม่กลับ ไม่แม้แต่จะติดต่อมาหา ผมเริ่มเป็นห่วงเขามากจริง ๆ แล้ว
มือถือทั้งของผมและเขายังแบตเตอร์รี่เต็มอยู่ ผมเพิ่งเอาไปชาร์จไว้ ด้วยกลัวว่าหากเขาโทรกลับเข้ามาเมื่อไรแล้วเกิดแบตฯ หมดไปก่อนคงไม่ดี แต่จนแล้วจนรอด โทรศัพท์ก็ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
สุดท้ายแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่ม ผมก็ตัดสินใจถือวิสาสะ หยิบโทรศัพท์เขามากดโทรออกตามประวัติการใช้งานทีละเบอร์
หลายคนที่ร้ับสายเข้าใจว่าผมคือวิน เพราะว่าเสียงเราเหมือนกัน แล้วยังใช้เบอร์เขาโทรไปอีก นั่นยิ่งทำให้อธิบายเรื่องราวลำบาก เพราะบางคนพอได้ยินเสียงก็คุยเฮฮาใส่เลยโดยไม่ทันได้ฟังก่อนว่าคู่สนทนาคือพี่ชายเขา กว่าจะรู้เรื่องก็กินเวลาเอาการ และทั้งหมดนั้นจบลงที่ข้อสรุปว่าวินไม่ได้ไปหาพวกเขา
หลังผ่านการพูดคุยกับคนไม่รู้จักไปราวเจ็ดหรือแปดคน ส่วนใหญ่คงเป็นเพื่อนจากทีมฟุตบอลที่เขาเพิ่งไปลงเตะให้เมื่อวานนี้ ความผิดหวังก็จู่โจมผมเมื่อพบว่าไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด วินไม่ได้ไปหาพวกเขา และไม่มีใครรู้ว่าวินอยู่ที่ไหน
ผมมองนาฬิกาบนจอมือถือ จนกระทั่งมันดับแสงลงกับมือแล้วก็ให้ใจแป้ว เป็นไปได้ไหมว่าวินอาจอยู่ที่นั่นกับใครสักคนที่ผมโทรไป แต่ไม่ยอมบอกว่าอยู่กับพวกเขา
...วินจะเกลียดผมแล้วหรือเปล่า...
ความคิดนั้นทำผมกระวนกระวายใจ พร่ำภาวนาว่าจะอย่างไรก็ได้ เราจะอยู่ด้วยกันแบบไหนก็ได้ ขอแค่วินอย่างเกลียดผมก็พอ แค่เขากลับมาอยู่ข้าง ๆ ผม แล้วผมจะไม่พูดหรือทำอะไรที่ทำให้เขาไม่สบายใจอีก ไม่บอกรักเขาโดยไม่คิด ไม่ร้องไห้อย่างไร้สาระตอนเขาพูดถึงคนที่เขารัก
“...นายกลับมาเถอะนะ...”
ผมมองดูรายชื่อในประวัติการใช้โทรศัพท์ซึ่งย้อนหลังไปไกลขึ้นเรื่อย ตัดสินใจว่าอย่างไรจะลองพยายามต่อ แต่ยังไม่ทันได้กดต่อสาย เครื่องมือสื่อสารของวินก็แผดเสียงร้องเตือนสายเรียกเข้าขึ้นมาก่อน
ใจผมเต้นโครมคราม มองชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอว่า ‘บาส’ นั่นคงเป็นเพื่อนเขาสักคน
ผมสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ยังกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็รีบกดรับก่อนอีกฝ่ายจะวาง
“สวัสดีครับ?”
“วีหรือ?”
ผมชะงัก ทั้งที่เบอร์นี้เป็นของวิน แต่อีกฝ่ายกลับรู้ว่าเป็นผม
“...ใช่ครับ”
“พี่มันใช่ไหม? มาเอามันกลับไปที”
“เอ๋?”
“ไอ้วินน่ะ!...เฮ่ย...ไอ้เชี่ย!” ผมสะดุ้งกับเสียงสบถนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงโอ้กอ้ากดังห่าง ๆ “อย่าอ้วกใส่กูนะมึง!”
“นายอยู่กับวินหรือ”
“เออ”
ผมกลั้นหายใจ
“ที่ไหน”
“ร้านเหล้าใกล้ ๆ อพาร์ตเม้นต์มันเนี่ย” เสียงอีกฝ่ายฟังดูหงุดหงิดเหลือจะกล่าว แต่ผมกลับโล่งจนแทบถอนหายใจให้อากาศหมดปอด “นั่งแช่อยู่แต่บ่ายละ ไล่กลับก็ไม่ไป มอมตัวเองแล้วนั่งฟุบตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม เห็นแล้วทุเรศลูกตา”
“ไปแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปรับ ช่วยรออยู่กับเขาก่อน”
“เร็วเข้าล่ะ” อีกฝ่ายกำชับห้วน ๆ แล้วตัดสาย
ผมรีบลุกขึ้นจากโซฟา อาจรีบไปหน่อยและยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยโงนเงนไปวูบใหญ่ แต่หลังกะพริบตาถี่ ๆ ครู่หนึ่งก็เป็นปกติ มองออกไปข้างนอกให้รู้สึกว่าช่างโชคดีที่ฝนหยุดตกแล้ว รีบคว้ากระเป๋าสตางค์ มือถือทั้งของตัวเองและของวินแล้วถลาออกจากห้อง
ร้านนั่งดื่มแถวนี้มีที่เป็นที่รู้จักอยู่ร้านเดียว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นร้านนั้นต่อให้เพื่อนเขาที่ชื่อบาสไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากมาย หากเดินเรื่อยเปื่อยอาจกินเวลาสักสิบห้าถึงยี่สิบนาที แต่วิ่งไปอย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึง
หญิงชายวัยรุ่นและวัยทำงานนั่งกระจุกอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บางคนเหลือบมองมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผินหน้าไปทางอื่นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ
ผมระบายลมหายใจผ่านริมฝีปาก สอดส่ายสายตาหาคนที่ใบหน้าเหมือนกับผม กระทั่งไปหยุดอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งด้านหน้าของร้าน คนที่ฟุบอยู่ตรงนั้น มีผู้ชายร่างใหญ่อีกคนลูบหลังแรง ๆ เหมือนจะตบให้กระอัก แม้เห็นแค่ด้านหลังของศีรษะที่ฟุบอยู่ แต่ผมไม่มีทางดูผิดแน่นอน
“...วิน!”
ผมร้องเรียก เดินตรงเข้าไปหา เจ้าของชื่อสะอึกขึ้นเบา ๆ แล้วก็แน่นิ่งอยู่ที่เดิม เดือดร้อนผู้ชายอีกคนซึ่งผมเดาว่าคงเป็นบาส ต้องยื่นมือไปตบหลังเขาเสียงดังจนผมสะดุ้งแทน
“วิน! พี่มึงมารับแล้วแน่ะ”
ผมย่อตัวลง ประคองใบหน้าแดงก่ำของเขาขึ้นมา “...วิน? เมาหรือ?”
“ไม่ต้องถามแล้วมั้ง” อีกฝ่ายร้องแทรก “เละเทะเป็นหมาขนาดนี้”
“..อา...” ผมตอบรับ พยุงเขาให้ลุกขึ้นยืน พากันเซจนเหมือนจะล้มหน้าทิ่มทั้งคู่
“เฮ่ย ระวังหน่อยสิ” บาสร้องอีกครั้ง ดึงแขนทั้งผมทั้งวินให้ยืนทรงตัวใหม่ “เดี๋ยวก็หน้าแหกกันหมดหรอก”
“ขอบคุณ”
“เนี่ยหรือพี่ชายที่มันติดนักหนาเป็นลูกแหง่”
“หือ?”
“ทะเลาะมากันเรอะ”
ผมขมวดคิ้ว ก้มลงมองวิน จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองบาสอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตว่าสายตาอีกฝ่ายจ้องเขม็งมาที่ต้นคอผมจนนึกสงสัยว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น
“...เปล่า...”
“หรือถ้างั้น...” เขาว่า พยักพเยิดด้วยท่าทางประหลาด สายตายังจับจ้องอยู่ที่เดิม ชัดเจนแล้วว่าต้องมีอะไรสักอย่างบนลำคอผมแน่ ๆ “...เพิ่งมีอะไรกัน?”
ผมสะดุ้ง แทบพาวินล้มไปด้วยกันอีกรอบ
“เปล่า!”
“ช่างเหอะ พอเข้าใจไอ้วินแล้ว” อีกฝ่ายยักไหล่ ยื่นมือมาดึงคอเสื้อผมที่มือยังไม่ว่าง ติดกระดุมให้จนถึงเม็ดบนสุด “เปิดไว้งั้นเดี๋ยวก็กลับไม่ถึงห้องกันพอดี”
ผมพยักหน้าอย่างขอไปที แม้ยังงุนงงกับสิ่งที่เขาพูด แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาสงสัยเรื่องอื่น
“แล้วค่าเหล้าล่ะ?”
“ช่างเหอะ” บาสเอ่ยซ้ำคำเดิม
“ที่เรียกมา...ไม่ได้ให้มาจ่ายหรือ?”
อีกฝ่ายหรี่ตา จ้องมองผมที มองวินที่ยืนโซเซที จากนั้นก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “ตอนแรกก็กะว่างั้น แต่คิดอีกทีรีบเอามันกลับไปเหอะ เปลี่ยนใจอยากนั่งต่ออีกหน่อย เดี๋ยวเคลียร์ที่เหลือเอง”
ผมพยักหน้า พยายามทำเป็นเข้าใจ แม้ความจริงไม่เห็นเข้าใจอะไรสักนิด
“ขอบคุณนะ”
บาสโบกมืออีกครั้ง คราวนี้เป็นเชิงไล่
กว่าจะพากันกลับมาถึงห้องได้ก็ใช้เวลาพอดู ระยะทางซึ่งผมสามารถวิ่งถึงได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาที กลายเป็นเรื่องยากกว่าคาดเมื่อต้องพยุงร่างอีกคนที่ยังโซซัดโซเซมาด้วย นึกอยากให้วินกลับไปเป็นน้องชายตัวน้อยก็วันนี้เอง
ผมเอาเท้าเตะประตูให้เปิดออก กึ่งพยุงกึ่งลากวินเข้ามาในห้อง หิ้วปีกเขามาเอนกายไว้บนโซฟา ก่อนจะย้อนกลับไปปิดประตูให้เข้าที่ จากนั้นจึงมาทิ้งตัวลงนั่งหมดแรงข้าง ๆ เขา จมูกเริ่มชินกับกลิ่นเหล้าที่ลอยฟุ้ง นั่งหมดแรงอยู่เกือบนาที ใจสั่นและตาลายไปหมด นึกได้ว่านอกจากพวกเครื่องดื่มในตู้เย็นแล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน
“วิน..” ผมก้มลงไปเรียกเขาแต่เจ้าตัวเมาไม่รู้เรื่อง อยู่กับบาสในสภาพเละเทะขนาดนี้ ถ้าได้เจอบาสอีกครั้งคงต้องขอบคุณให้จริงจังกว่าเดิมสักหน่อย
“อือ...”
“นี่...วิน นายไหวหรือเปล่า”
วินไถลลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา พอได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ นัยน์ตาสีดำขลับฉ่ำเยิ้มแล้วยังแดงก่ำ หากไม่เมาผมคงคิดว่าเขาเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“เป็นไงบ้าง ทำไมดื่มจนเมาอย่างนี้ล่ะ”
“...วี?”
“ฉันเอง...นายอาบน้ำไหวไหม ถ้าไม่ไหวจะเช็ดตัวให้”
ผมถามเรียบ ๆ เดาคำตอบจากสภาพเขาตอนนี้ว่าคงต้องเป็นอย่างหลัง เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเขาขึ้นจากเอวช้า ๆ ตั้งใจจะถอดมันออกทางศีรษะให้ แต่จู่ ๆ ความคิดเรื่องเมื่อคืนก็แวบขึ้นมาในสมองจนหน้าร้อนผ่าว
ผมโคลงศีรษะแรง ๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องสกปรกพรรค์นั้นสักหน่อย
“...วี....” เขาร้องเรียก เสียงแหบแห้งไปหมด
“หือ?”
“...กอดฉันหน่อย”
“....”
“...นะ?”
“ฟ้าไม่ได้ร้องอยู่นี่นา”
“...ไม่ได้หรือ?”
“แต่ว่า..”
“วี...” เขากระซิบ “...พี่วี...”
ผมหลับตา แค่นหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ชัดเจนออกไม่ใช่หรือว่าเขาเห็นผมเป็นพี่ชายแม้กระทั่งตอนเมาออกอย่างนี้ แล้วจะคิดไม่ซื่ออะไรกับแค่น้องขอให้กอด
“ไหนกางแขน”
ผมยิ้มบาง มองวินที่กางแขนออกทั้งสองข้างอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอนเข้าไปกอดเขาไว้เต็มตัว วินนั่งนิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็ส่งเสียงถามทั้งที่ใบหน้ายังซุกกับต้นคอผม
“ฉันจูบนายได้ไหม?”
“....”
“...วี...?”
ผมเม้มปาก ก้มลงมองใบหน้าแดงระเรื่อของเขา นี่ก็เป็นเรื่องซ้อมไว้ใช้กับคนรักอะไรเทือกนั้นอีกแล้วใช่หรือเปล่า
“วี...” เขาพึมพำ น้ำเสียงอ่อนระโหยเหมือนจะขาดใจ “...ฉันรักนาย..”
ผมยิ้ม และทำผิดกับที่สัญญาตัวเองไว้อีกสองอย่าง
ข้อแรก ผมน้ำตาคลอกับคำพูดนั้น หลายความรู้สึกพุ่งเข้ากระหน่ำโดยไม่ทันเตรียมใจ เขาบอกว่ารักผมอีกแล้ว แต่ความรักของเขาบริสุทธิ์เกินกว่าผมจะกล้าทำลาย
และข้อสอง...ผมพูด...สิ่งที่เพิ่งบอกตัวเองว่าจะไม่พูดมันอีก ได้แต่หวังว่าพอเขาสร่างเมาแล้วจะลืมมันไปเสีย
“..ฉันก็รักนาย”วินยิ้มละมุน ยกมือเกลี่ยปอยผมที่แปะข้างแก้มผมไปเหน็บไว้ข้างใบหู ดึงผมไปนั่งคร่อมต้นขาเขาไว้ ใบหน้าเราเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า ปราศจากคำอนุญาต แต่ก็ไร้ซึ่งถ้อยคำปฏิเสธ
ผมกำลังจะทำผิดอย่างที่สาม ผิดซ้ำซากจนน่าละอาย มีแต่ความขัดแย้งเต็มหัว แต่สุดท้ายแล้วริมฝีปากเราก็ถูกดึงดูดเข้าหากันเหมือนอย่างคืนก่อน กระดุมเสื้อผมที่บาสเพิ่งติดให้ถูกเขาปลดออกง่ายดาย เชิ้ตแขนสั้นร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น ท่อนบนเราเปลือยเปล่า บดเบียดแนบชิด แลกเปลี่ยนอุณหภูมิร้อนรุ่มบนผิวเนื้อ
สมองผมขาวโพลน เหตุผลและความเหมาะสมถูกโยนทิ้งไปพร้อมกับกางเกงขายาวที่เลื่อนหลุดจากท่อนขา แม้รู้ดีว่าหลังจากนี้ต้องเสียใจแน่ ๆ แต่ความเป็นจริงตรงหน้าของผมตอนนี้มีแค่วินคนเดียว
ผมอยากให้เขาได้ยินชัด ๆ แต่ก็อยากให้เขาลืมมันไปในวันพรุ่งนี้ เป็นความขัดแย้งที่น่าหัวเราะ แต่ผมหัวเราะไม่ออกสักนิด
“....ได้ยินไหมวิน....ฉันก็รักนาย....”
อยากกอด...อยากถูกกอด
อยากรัก...อยากถูกรัก
บาปร้ายล่อหลอกคนเขลาด้วยกลิ่นหอมหวน
เฉกเช่นแมลงลุ่มหลงกลิ่นเกสรดอกไม้พิษ
ปีกล้า ราแรง ร่วงหล่น...ทุรนทุรายในรสพิษหวานล้ำ
คงเพราะอย่างนี้กระมัง...
สัมผัสอ่อนหวานของนายบนร่างกายฉัน
...จึงได้นำความปวดปร่ามาสู่หัวใจราวกับถูกไฟเผา
----------| S i n c e r e |----------
ฮึยยยย *กัดเล็บ*
เข้าใจผิดกันซะให้พอ เจ้าเด็กพวกนี้ TTwTT
ขอบคุณงาม ๆ ที่มาร่วมผิดศีลธรรมด้วยกันนะคะ (ฮา)
เพิ่มเติมให้นิดนึง อันที่จริงแล้ว ทางศาสนาพุทธ ความรักระหว่างเครือญาติไม่ถือว่าเป็นบาปแหละค่ะ แต่ที่บาปก็รู้สึกว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม (ส่วนศาสนาอื่นไม่แน่ใจ)
ส่วนเรื่องกฎหมายไทย ไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือ ร่วมบิดา หรือ ร่วมมารดา (ลูกพี่ลูกน้องนี่ได้) แต่วีวินเค้าก็ไม่แต่งกันอยู่แล้วนี่เนอะ 55
และอีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ควร incest ระหว่างชายหญิง เพราะจะเพิ่มโอกาสในการมีลูกที่มีปัญหาโรคพันธุกรรมด้วยละค่ะ การแต่งงานในหมู่เครือญาติแล้วมีลูกด้วยกัน จะทำให้ยีนด้อยในเครือญาติเดียวกันมีโอกาสมาเจอกันมาขึ้น ถ้ายีนด้อยกับด้อยมาเจอกันก็จะแสดงลักษณะด้อยออกมา เพราะไม่มีอะไรไปกด คร่าว ๆ ประมาณนี้ค่ะ
แถมรูปจากเมื่อตอนที่แล้วนะคะ นิดนึง ////
(รูปใหญ่จิ้มที่นี่ค่ะ
http://fc07.deviantart.net/fs70/f/2014/049/0/2/twin07_resize_by_maew3ta-d76zumb.jpg )

ส่วนอันนี้วาดเล่นในมือถือ แอบเบี้ยว(ไม่)หน่อย ค่ะ งื้ออออ

พบกันตอนหน้าค่า ^o^