ซ่า~ ซ่า~
สายลมโบกพัดลู่ใบหน้าหอบเอากลิ่นอายของน้ำทะเลโชยเข้าจมูกพร้อมกับพัดพาเอาเกลียวคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งจนเกิดฟองสีขาวล้อกับหาดทรายเนื้อนวลละเอียดตา บรรยากาศที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ยิ่งช่วงนี้มรสุมเข้านักท่องเที่ยวจึงบางตาลง เลยได้ความเงียบสงบอย่างใจต้องการ...
แม้จะเป็นคนไล่ให้เขาไป แม้จะบอกว่าเราไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้ แม้จะเป็นคนที่ทรยศหักหลังกันอย่างเลือดเย็น แต่สุดท้ายก็อดจะวูบโหวงในใจไม่ได้
หลังเลิกงานก็เหมือนเช่นเกือบทุกวันที่จะมานั่งปล่อยใจลงทะเล ต่างกันที่ทุกทีผมจะหนีความวุ่นวายไปหาดนางรำ หาดทรายสีขาวเนียนละเอียดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามสดใส รอบเกาะมีโขดหินสีน้ำตาลเข้มจัดวางตามเป็นแนวอย่างที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้กลมกลืนกับประติมากรรมรูปปั้นพระอภัยมณีกับนางผีเสื้อสมุทรอันเป็นเอกลักษณ์ของหาด
แต่วันนี้ผมมายังหาดพลาที่ถึงแม้น้ำทะเลจะสีสวยสู้หาดนางรำไม่ได้ เนื้อทรายไม่ขาวละเอียดเท่า ซ้ำยังมีแนวปูนสูงเกือบสองเมตรกั้นชายหาดเอาไว้ แต่อย่างน้อยหาดก็ไม่ได้ปิดตอนหกโมงเย็น สามารถให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเมื่อไหร่ก็ได้อย่างใจต้องการ
ผมก็เชื่อว่า...หาดทุกหาดมีมนต์ขลังของมันอยู่..
อย่างเช่นเวลานี้ผมนั่งมองพระอาทิตย์สีส้มกำลังจะจมหายลงในทะเล แต่ยามจะลาลับก็ยังทอแสงสีทองลงบนผืนน้ำสีดำให้เกิดประกายวิบวับดั่งดวงดาวนับล้านจากฟากฟ้าเต้นระบำปล่อยแสงระยิบระยับแข่งกัน
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆผมหลุดจากความคิดเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น
“ครับแม่”
“อยู่ไหนน่ะเล็ก มืดแล้วนะลูกยังไม่กลับบ้านอีก”
“ผมอยู่หาดพลาน่ะครับ”
“ถึงว่าตาไมล์ไปหาที่หาดนางรำไม่เจอ ทำไมวันนี้ไปไกลจังลูก ทุกคนรอทานข้าวอยู่นะ”
“ทานกันได้เลยไม่ต้องรอครับ เล็กว่าวันนี้จะนอนค้างที่หาดคงไม่กลับบ้าน” เสียงแม่เงียบไปสักพักหนึ่งก่อนเอ่ยเอื้อนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอาทร
“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าลูก”
“ผมแค่อยากนอนฟังเสียงคลื่นน่ะครับแม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ รักแม่นะ พรุ่งนี้เจอกันครับ”
วางสายจากแม่ไปแล้วผมก็นั่งทอดสายตาไปยังผืนน้ำทะเลสีดำกับฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจากเย็นย่ำเป็นหัวค่ำมืดสลัวและ ณ ตอนนี้ มืดมิดเงียบสงัด...ทุกสิ่งอย่างถูกความมืดปกคลุม มีเพียงแสงจันทร์เรืองรองสะท้อนให้เห็นรูปทรงเรือนราง โชคดีที่ท้องฟ้าเปิดโล่งไร้เมฆบดบังจึงได้เห็นกลุ่มดวงดาวพราวระยับแข่งกับผิวน้ำดั่งภาพสะท้อนของกันและกัน
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ”
ขวับ
ผมหันไปตามเสียงของคนที่คิดว่าบินกลับไปฮ่องกงแล้ว แต่ ณ ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าผมในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอย่างที่สมัยก่อนเขาชอบใส่...สวมทับด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงตัวคุ้นตา...ตัวที่ผมซื้อให้
ฟึ่บ!
ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีทันที แต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่เข้ามาคว้าต้นแขนเอาไว้
“ไหนว่ากลับไปแล้วไง!!” ผมสะบัดมือหันหน้ามาตวาดสุดเสียง
“จะให้ผมไปไหนก็หัวใจผมอยู่นี่!!”
“ไปตายซะไป!”
ไม่ได้คิดเช่นนั้นแต่ปากมันไปเอง เหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติเพื่อปกป้องหัวใจตัวเองจากประโยคกลลวงที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น
...เมื่อก่อนเคยบอกรักที่ไหนกัน...
“ผมรู้ว่าผมเลว แต่ช่วยฟังกันหน่อยได้ไหม”
“ไม่ฟัง!!! ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น! ไม่ฟังๆ” สองมือยกขึ้นปิดหูแน่นพลางนั่งคู้ทิ้งตัวลงบนปลายเท้า ศีรษะส่ายไปมาอย่างไม่อยากรับรู้อะไรอีก
“เล็ก...คุณเล็ก!!”
เพี้ยะ ปั่ก ตุบ
ผมยกมือขึ้นปัดป่ายกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้
“...!!” สุดท้ายเขาก็ยอมล่าถอยออกไป ร่างกายสูงใหญ่ยืนนิ่งใช้สองตาจ้องผมอย่างผิดหวังเสียใจ แต่เชื่อเถอะไม่เท่ากับที่ผมเคยรู้สึกหรอก ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงคือ...ค่อยๆเดินถอยหลังห่างออกไป...โดยทิศทางนั้นเป็นทะเลแสนมืดมิดและน่ากลัว
ช่วงขายาวค่อยๆก้าวถอยหลัง...ทีละก้าว...ทีละก้าว โดยตลอดเวลานัยน์ตาคู่คมยังจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา ระยะห่างของเราสองไกลห่างกันเรื่อยๆ จนกระทั่งเท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสกับระลอกคลื่นร่างกายผมก็ผวาเฮือกจะกระโจนไปหา...
....แต่ก็หยุดตัวเองลง...มันเป็นแค่แผน...เป็นแค่เล่ห์กลให้ผมหลงไปติดกับ...เขาไม่คิดจะตายจริงๆหรอก...ก็แค่อยากให้ผมใจอ่อนก็เท่านั้น...
ซ่า!~ ซ่า!~
เสียงคลื่นไม่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว ตรงข้าม...มันกลับเหมือนปีศาจร้ายที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้หายไปในความมืดมิดอันน่ากลัว...ความรู้สึกร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเกิดขึ้นกับตัวผมจนไม่สามารถที่จะทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป สองเท้าวิ่งลงไปยังริมหาดพร้อมกับตะโกนเสียงกึกก้องแข่งกับเสียงคลื่นให้คนที่อยู่กลางทะเลหยุดกระทำบ้าๆสักที
“ขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!! จะบ้าหรือไง อยากตายจริงๆใช่ไหม ฉันบอกให้ขึ้นมา!!”
ซ่า~ ซ่า~
เขายังคงเดินถอยหลังต่อไปเรื่อยๆขณะที่สายตายังจ้องมองกัน แม้จะในความมืดอันห่างไกลผมก็ยังเห็นแววตาแน่วแน่ของเขา สายตาที่ว่าเขาจะไม่ยอมหยุด...จนกว่า...
ครืน!~ ครืน!~
ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดที่บัดนี้ไร้ประกายดาวด้วยเมฆหมอกก้อนดำทะมึนเคลื่อนตัวมาปกคลุมทั่วพื้นที่ เสียงฟ้าร้องครืนพร้อมกับลมกระพือพัดโหมเป็นสัญญาณว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าลมฝนต้องกระหน่ำลงมาแน่นอน
นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรน หันไปมองอีกฝ่ายที่เวลานี้ถูกท้องทะเลดำมืดกลืนหายไปจนถึงช่วงอกแล้ว มิหนำซ้ำสายฝนยังเริ่มโปรยปรายลงมา ลมพัดโหมให้ใบไม้ต้นหญ้าปลิวลู่โน้มเอียงตามแรงลม เม็ดทรายกระจายขึ้นฟุ้งทั่วหาด ผืนน้ำที่นิ่งสนิทเริ่มตื่นตัวโยกคลอนก่อเกิดเกลียวคลื่นตีกระทบจนเกิดเสียงเซ็งแซ่ช่างน่ากลัวจับใจ
แปะ แปะ แปะ
“พอ!! เลิกเดินลงไปได้แล้ว! ฉันบอกให้นายหยุดแล้วขึ้นมา!”
ครืน!~ ซ่า!~
เปรี้ยง!!
ผมวิ่งสวนกระแสคลื่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นสูง ตีแหวกแรงต้านลงไปกลางทะเล แต่ก็ไม่สามารถถึงตัวเขาได้เนื่องจากเขาอยู่ลึกเกินกว่าที่ความสูงของผมจะเอื้ออำนวย ผมลูบละอองน้ำที่กระเซ็นเปรอะใบหน้าบดบังการมองเห็นในขณะที่ตะโกนก้องอยู่ตลอดเวลา
“ขึ้นมา! อยากตายจริงๆหรือไง!!”
“ผมรักคุณนะคุณเล็ก ขึ้นฝั่งเถอะครับมันอันตราย” คราวนี้คนที่เงียบมาตลอดเปิดปากตะโกนกลับมาเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเดินลุยน้ำลึกลงไปอีกครั้ง
“มาบอกรักบ้าอะไรตอนนี้ ขึ้นมา แค่กๆ ขึ้นมานะ! บอกว่าหยุดเดินได้แล้วไง!”
ครืนนนนนน! ซ่า!~
“คุณเล็กกลับไปมันอันตราย! ผมผิดจนไม่น่าให้อภัย ทำตัวน่ารังเกียจ สมควรแล้วที่คุณไล่ให้ไปตาย แต่ผมรักคุณนะ รักคุณจริงๆ” ผมพยายามเดินเข้าไปหาเขาจนตอนนี้น้ำปริ่มริมฝีปากแล้ว
“ฮึก ฉันไม่ได้อยากให้นายตายจริงๆสักหน่อย...ฮึก แค่กๆ”
ตูม!!
ในจังหวะที่ผมเดินแหวกน้ำพลางตะโกนโต้กับเขาอยู่นั้นคลื่นยักษ์ที่มาจากไหนไม่รู้โถมแรงเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างของผมดิ่งลงสู่ความมืดมิด ลำตัวถูกเกลียวคลื่นพลิกกลับกลายเป็นสองเท้าลอยคว้างสัมผัสความว่างเปล่าแต่เป็นสองมือที่ตะกุยตะกายสัมผัสพื้นทรายของก้นทะเลลึก
ผมพยายามตะกายเพื่อให้ตัวเองโผล่พ้นผืนน้ำ แต่มันช่างยากเหลือเกินกับการต่อสู้กับเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง ยามที่น้ำเค็มไหลบ่าเข้าจมูกเข้าปากแทรกซึมแย่งอากาศ ดวงตาแสบพร่าระคายเคือง
หมับ
แรงกระชากที่แขนดึงผมจากก้นทะเลลึกสู่ด้านบน เมื่อโผล่พ้นผืนน้ำสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยออกซิเจนให้ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตะกรุมตะกรามพร้อมทั้งไอสำลักไปพร้อมๆกัน
“คุณ...เป็นไงบ้าง” เจ้าของมือหนาที่ช่วยดึงผมขึ้นมาและยังช่วยลูบใบหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นกังวล ใบหน้าหวาดกลัวของร่างที่ผมกำลังเกาะยึดทำให้ผมร้องไห้โฮออกมา พลางใช้มือข้างหนึ่งทุบตีเขาไม่หยุด
“ไอ้บ้า ฮือออ ไอ้หมาบ้า นายเป็นต้นเหตุทำให้ฉันเกือบตายอีกแล้วนะ ฮึก ฮือออ” ผมสะอื้นไห้ไม่หยุดซ้ำยังไม่คิดจะออมแรงมือ ปากก็พร่ำด่าอย่างเจ็บแสบ...
แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าใจผม...ว่าสาเหตุที่หลั่งน้ำตามันมาจากความเจ็บใจตัวเอง...ที่ลึกๆแล้วก็ไม่สามารถโกรธแค้นคนตรงหน้าได้เลย ซ้ำยังยอมอภัยให้ง่ายๆเพียงแค่เห็นเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตา
ในระหว่างที่จมลงใต้ทะเลผมตกใจ ผมหวาดหวั่น แต่ไม่มีความกลัวเลย เพราะผมมีเขาอยู่...มั่นใจว่าเขาต้องช่วยผมได้
“ผมขอโทษ...ผมเสียใจ...รักคุณนะ”
“ฮือออออ”
ณ วินาทีนี้ผมยอมแล้ว ยอมลดทิฐิทุกอย่างลงเพื่อฟังเขาอีกสักครั้ง
.........................................................................................
ด้านตี๋ใหญ่
เช้าที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่างพร้อมแสงแดดสีทอง ผมนอนตะแคงมองร่างในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวของคนที่นอนหลับสนิทอย่างอ่อนเพลีย เสี้ยวหน้ากว่าครึ่งจมหายไปในหมอนใบนุ่มฉายแววกังวลไว้แม้ยามหลับไหลสังเกตจากคิ้วเรียวที่ยังขมวดมุ่นจนต้องส่งปลายนิ้วโป้งไปนวดวนให้คลายออก
และเมื่อได้สัมผัสผิวนุ่มลื่นแล้วก็ยากที่จะละออก ปลายนิ้วจึงค่อยๆสัมผัสแผ่วไปตามโครงหน้าที่แสนคิดถึง ผิวแก้ม ปลายจมูก และหยุดบดคลึงนิ้วกับริมฝีปากนุ่มหยุ่นก่อนประทับแทนด้วยริมฝีปากของผมอย่างยากจะห้ามใจ
จุ๊บ
ผมหวงแหนคนตรงหน้านี้เหลือเกิน และก็เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่สามารถปกป้องคนรักของตัวเองไว้ได้ ซ้ำร้ายยังทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดกับการทรยศจากตัวผมอีก
ไม่ได้อยากจะแก้ตัว...แต่ไม่ว่าร่างกายผมจะผ่านใครต่อใคร แต่หัวใจผมมีแค่คุณคนเดียวจริงๆ...
“อืมม” คุณเล็กเริ่มรู้สึกตัวขณะที่ใบหน้าผมยังแนบชิด และเมื่ออีกฝ่ายตื่นเต็มตาก็ผละถอยหลังหนีอย่างตกใจจนผมต้องคว้าเอวเอาไว้อย่างกลัวว่าจะพลาดท่าตกเตียงไปเสียก่อน
เมื่อคืนนี้หลังจากที่ฝ่าพายุคลื่นขึ้นมาบนฝั่งกันได้ คุณเล็กก็หมดแรงล้มพับลงให้ผมต้องอุ้มกลับบ้านพัก(เป็นบ้านของครอบครัวคุณเล็กที่สร้างทิ้งไว้ คล้ายๆบ้านพักต่างอากาศ) จัดการจับร่างเพรียวถอดเสื้อผ้าอาบน้ำอย่างกลัวจะเป็นไข้ คุณเล็กขัดขืนไม่ยอมอยู่สักพัก แต่ผมก็ไม่มีทางยอมให้ร่างอ่อนแรงเข้าไปอาบน้ำให้เสี่ยงต่อการล้มหัวฟาดพื้นแน่ๆ
ต่อจากนี้ผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด...ไม่ใช่เพื่อชดเชยความผิดเพราะมันไม่สามารถทดแทนกันได้ แต่เพื่อชดเชยเวลาหนึ่งปีที่ห่างกัน...
ผมยังรู้สึกใจชื้นอยู่บ้างที่เห็นใบหน้าแดงๆเมื่อเราทั้งสองเปลือยร่างอาบน้ำด้วยกัน แม้จะยังดื้อดึงแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ
แล้วหลังจากที่คุณเล็กสัมผัสพื้นเตียงนอนนุ่มก็ผล็อยหลับไปอย่างอ่อนเพลีย ผิดกับผมที่ไม่กล้าแม้จะข่มตาปิดสักวินาที..กลัวว่าถ้าลืมตาตื่นขึ้นมาอีกฝ่ายจะหายไป
“ปล่อยสิ มากอดทำไมเนี่ย” ตื่นขึ้นมาก็เริ่มพยศอีกครั้ง ผมจึงเพิ่มแรงกอดรัดมากขึ้นแล้วถามด้วยเสียงอ้อนวอน
“คุณเล็กจะฟังผมแล้วใช่ไหม...” ริมฝีปากบางเม้มแน่นพลางจ้องผมด้วยสายตาหวั่นไหวชั่วอึดใจก่อนบอก
“ฟังก็ฟังสิ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้นายมาจับตัวตามใจชอบสักหน่อย!!” ท่าทางไม่ยอมจนผมต้องถอดใจยอมคลายแรงกอดรัดออก คุณเล็กกระโดดผลุงลงจากเตียงแล้วมองผมตาขวาง
“ฉันจะไปอาบน้ำ เสร็จแล้วค่อยคุยกัน” แล้วก็หมุนตัวหนีหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมระบายยิ้มอ่อนออกมาเพราะถึงแม้จะดื้อดึงแต่อย่างน้อยคุณเล็กก็ไม่ได้เย็นชาอย่างคราแรกที่เจอกัน
คุณเล็กเดินเช็ดผมออกมาพร้อมกับที่อาหารเช้าเสร็จพอดี ผมเลื่อนเก้าอี้ให้ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมนั่งลงง่ายๆ และเมื่ออีกฝ่ายนั่งเรียบร้อยแล้วผมก็พาตัวเองไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ทานอาหารเช้าก่อนครับ” ผมเลื่อนชามข้าวต้มหอยนางรมไปให้ คุณเล็กก้มลงมองแต่ก็ไม่หยิบช้อนขึ้นมาทาน
“เอาเรื่องของนายก่อนเถอะ ฉันพร้อมจะฟังแล้ว”
“รองท้องก่อนเถอะครับ”
“ไม่ สรุปจะพูดไหมถ้าไม่ฉันจะได้กลับบ้าน” ผมคว้าข้อมือที่วางอยู่บนโต๊ะทันทีอย่างกลัวว่าโอกาสของตัวเองจะหมดลง
“ผมไม่ขอให้คุณเล็กให้อภัยเพราะผมรู้ว่าผมทำผิดต่อคุณมากมายเหลือเกิน ขอแค่อย่าไล่ผมไปจากคุณก็พอ”
“พูดมาก” ถึงปากจะว่าแต่ใบหน้างอง้ำน่ารักก็เพียงพอแล้วสำหรับแสงนำทางแห่งโอกาสของผม
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว...คืนแห่งหายนะ
“คุณเฟิ่งจะให้ผมไปเกาลูนเหรอครับ”
“ใช่ พอดีมีคนมาก่อกวนย่านที่เราปกครองอยู่ อยากให้นายไปจัดการที”
“แต่เจิ้งกังดูแลอยู่ ผมว่าเขาน่าจะจัดการได้” และทันทีที่ผมพูดจบ สายตาที่ใครต่อใครก็ว่าอ่อนโยนก็ตวัดคมกริบขึ้นมอง
“ฉันอยากให้เสี่ยวสือไป ได้ไหม???” ประโยคร้องขอขัดกับน้ำเสียงเด็ดขาดทำให้ผมจำยอมก้มหัวับคำสั่งอย่างขัดไม่ได้ เรื่องไปเกาลูนน่ะไม่เป็นปัญหาสำหรับผมหรอก จะห่วงก็แต่คนที่รออยู่ในห้อง
“ไม่ต้องห่วงมากหรอก ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็จะได้ไปอยู่ด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ”และนั่นเหมือนประโยคหลอกให้ผมตายใจจนไม่ได้เคลือบแคลงเลยว่าจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับคนรักของตัวเอง
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ผมได้เข้าไปคุยกับคุณเฟิ่งเรื่องจะขอถอนตัวจากการเป็นบอดี้การ์ด ยอมทิ้งสกุลจิ่นเพื่อกลับเมืองไทยไปใช้ชีวิตธรรมดากับคนรัก
เมื่อกลับมาสวมหัวโขนเป็นจิ่นสือแล้วผมจะรับคุณเล็กมาอยู่ด้วยกัน ไปสู่ขอจากครอบครัวให้เป็นเรื่องราวและรับรู้ว่าผมจริงใจกับลูกชายของพวกเขา ชีวิตบอดี้การ์ดที่มีภยันตรายรอบด้านถ้ามีคนรักอยู่เคียงข้างคงจะมีความสุขไม่น้อย...ผมเคยคิดอย่างนั้น
แต่มันไม่ใช่เลย...การดึงคุณเล็กเข้ามาในโลกของผมไม่ได้ทำให้โลกอันดำมืดสว่างไสว ตรงข้ามความบริสุทธิ์สดใสของคุณเล็กกลับค่อยๆหมองหม่นลง...ทีละนิด...ทีละนิด
สิ่งที่หล่อหลอมให้ผมเป็นคนมีหัวใจ มีความรู้สึกได้ก็คือจิตใจที่งดงาม เอื้ออาทรต่อคนอื่น และการมองโลกในแง่ดีของคุณเล็ก ซึ่งผมไม่อยากให้มันกลืนหายไปในโลกที่แสนดำมืด
และยิ่งจิ่นตั้งมาเตือนว่าให้พาคุณเล็กออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดผมยิ่งกังวล รอบตัวผมอันตรายเกินไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะกลับไปอยู่ในโลกของคุณเล็กแทน...โลกที่ผมและเขาต่างมีความสุขด้วยกัน
ผมยังจำได้ดีว่าวันที่ผมก้าวเข้าไปบอกคุณเฟิ่งเขาอาละวาดหนักแค่ไหน คุณเฟิ่งที่หน้าตางดงาม น้ำเสียงแว่วหวาน กิริยาอ่อนโยน แต่จะมีสักกี่คนรู้ว่าภายในใจที่ผ่านความบอบช้ำมาอย่างหนักและยาวนานบัดนี้มันบิดเบี้ยวผิดรูปไปมากเพียงใด
และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รับรู้และเห็นใจ ถึงได้ยอมถวายชีวิตเพื่ออยู่รับใช้...แต่นั่น...มันก็ก่อนที่ผมจะเจอเจ้าของหัวใจ
แล้วสองวันต่อมาคนที่อาละวาดจนแทบเสียสติก็ยอมรับคำขอของผม แต่ยื่นข้อเสนอเพียงว่าก่อนทิ้งเขาไปอยู่กับคนรักที่เมืองไทย ช่วงเวลาที่เหลือมอบให้เขาจะได้ไหม...ซึ่งผมก็ตกลงคงเพราะในใจก็รู้สึกผิดกับคุณเฟิ่งอยู่มากมาย
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่คุณเล็กสอนให้ผมได้รู้จักมัน...เพราะถ้าเป็นจิ่นสือคนเก่าก็คงเป็นเพียงผู้จงรักภักดีที่หัวใจด้านชา แม้แต่ฆ่าคนให้ตายแทบเท้าก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่กว่าจะล่วงรู้ว่ามันคืออุบายที่จะทำลายหัวใจของผมให้เจ็บปวดทรมานเจียนตาย...มันก็สายไปเสียแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอ ที่เกาลูนเรียบร้อยใช่ไหม”
“ครับ” ผมกลับมาถึงบ้านเฟยก็ปาเข้าไปตีหนึ่งแล้ว คุณเฟิ่งดูจะอารมณ์ดีผิดปกติ แต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากเพราะความสนใจผมไปอยู่ที่คนในห้องที่ป่านนี้คงรอผมจนหลับไปแล้ว
“เสี่ยวสือ...คืนนี้นอนกับฉันนะ” ร่างเพรียวบางขยับเข้าแนบชิดพลางใช้ฝ่ามือลูบยั่วยวนที่หน้าอก แค่นี้ผมก็รู้ความหมายของคำว่า ‘นอน’ ที่ว่า
“ผมคงไม่สะดวก” ว่าแล้วก็ถอยหลังหนีหนึ่งก้าว
เมื่อก่อนผมยอมรับว่าผมทำหน้าที่บนเตียงตอบสนองความใคร่ให้คุณเฟิ่ง เนื่องจากความจำเป็นบางอย่างที่ผมต้องทำ และอีกเหตุผลคือร่างกายในส่วนลับอันขาดหายไปของคุณเฟิ่ง แต่ตั้งแต่ที่ผมมีคุณเล็กผมก็ไม่คิดจะปรนนิบัติเรื่องอย่างว่าอีกเลย จะมีก็เพียงช่วยขัดหลังให้ยามอาบน้ำเท่านั้น
“คืนนี้คืนสุดท้ายที่ฉันจะมีนายแล้วนะ ขอร้อง”
“ให้ผมดูแลอย่างอื่นแทนนะครับ แต่เรื่องนี้...”
“ฉันมีแค่สองทาง...” เรียวแขนขาวตรงเข้ามากระชากปกเสื้อผมเข้าไปหาพลางใช้แขนอีกข้างโอบรอบคอผมเอาไว้ ใบหน้าเคลื่อนชิดใกล้พร้อมกับกดจูบที่มุมปาก เสียงหวานกรีดกรายดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษ “เสี่ยวสือจะนอนกับฉันในคืนนี้แล้วได้กลับไปอยู่กับคนรักสมใจหรือ...ไม่มีใครได้ไปไหนเลย!”
สุดท้ายผมก็ต้องกล้ำกลืนทรยศหัวใจตัวเองอีกครั้งยอมเดินตามคุณเฟิ่งกลับไปยังห้องพัก ในใจพร่ำขอโทษเจ้าของหัวใจอย่างรู้สึกผิด...อีกแค่ครั้งเดียว...ครั้งสุดท้าย...ผมขอโทษ...
แต่ความผิดของผมสวรรค์คงไม่เห็นใจ เมื่อแสงสว่างของเช้าวันใหม่มาถึงหัวใจผมก็โบยบินหนีไปไกลแสนไกล ผมตามหาคุณเล็กอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ไม่พบ...จนแม่บ้านเจิ้งหญิงชราประจำบ้านเฟยมาส่งข่าวผมถึงรู้เรื่องทั้งหมด...ว่าคนรักของผมได้กลับเมืองไทยไปแล้วพร้อมกับร่างกายและหัวใจอันแสนบอบช้ำ
ทำไมผมถึงไม่เฉลียวใจเลย คนอย่างคุณเฟิ่งน่ะหรือจะยอมปล่อยผมไปง่ายๆ...ไม่มีทาง...
ยังดีที่สุดท้ายจิ่นตั้งมาช่วยชีวิตคุณเล็กไว้ได้ด้วยการปล่อยควันยาสลบเข้ามาในห้องนอนซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมคืนนั้นผมถึงไม่รู้สึกตัวเลย แล้วช่วยพาคุณเล็กออกไปจากห้องลับใต้ดิน....
เพียงแค่คำบอกเล่าก็ทำให้ผมเหมือนถูกฉีกหัวใจเป็นชิ้นๆ ไม่ต้องคิดเลยว่าภาพย่ำแย่ของคุณเล็กที่จิ่นตั้งส่งมาจะทำให้ผมยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“หึ รู้เรื่องแล้วเหรอ ก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรู้นะว่าควรทำตัวอย่างไร!!” คุณเฟิ่งไม่มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อทราบว่าผมรู้สิ่งเลวร้ายที่เขาได้กระทำต่อคนรักของผมแล้ว ซ้ำยังขมขู่ให้ผมได้เกรงกลัว
ซึ่งผมก็กลัวจริงๆ...ทำไมผมจะไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ผมนอนด้วยทุกคนก่อนหน้าถึงหายตัวไปอย่างลึกลับ บางคนก็กลายเป็นศพปริศนา เพียงแต่ผมไม่คิดจะสนใจเสียมากกว่า แต่กับคุณเล็กไม่ใช่...เขาไม่ใช่เพียงแค่หัวใจแต่รวมถึงชีวิตและจิตวิญญาณของผมด้วย
ผมจึงไม่สามารถไปหาคุณเล็กอย่างใจคิด ทำได้แค่เพียงตามสืบข่าวอยู่ห่างๆว่าเขายังอยู่สบายดีความสุข
ส่วนคุณเฟิ่งผมก็ตามอารักขาอย่างบอดี้การ์ดทั่วไป ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นอีกเพราะผมถือว่าสิ่งที่ติดค้างกันเอาไว้ผมได้ชดใช้ไปหมดแล้ว
จนถึงวันที่ทุกอย่างระเบิดขึ้น
เคร้ง!
“เสี่ยวสือ!! อยากให้ฉันฆ่ามันจริงๆใช่ไหมถึงได้ทำเย็นชากับฉันแบบนี้” แจกันใบโตถูกขว้างเฉียดแก้มผมไปนิดเดียวด้วยฝีมือเจ้าของใบหน้าโมโหจัด สองมือสั่นระริกกำแน่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
“ผมทำหน้าที่ที่สมควรทำอย่างดีที่สุดแล้ว” ผมว่าเสียงเรียบนิ่งอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม เสียงเล็กแหลมเหมือนผู้หญิงตวาดลั่น
“อย่าคิดว่าพี่ใหญ่คุ้มกะลาหัวมันไว้แล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้ คอยดูฉันจะฆ่ามัน! ฆ่าให้ตาย!”
“อย่าทำอะไรคุณเล็ก ผมก็อยู่กับคุณตามคำสั่งแล้วนี่ไง!” ผมว่าเสียงเข้ม พยายามข่มความพลุ่งพล่านภายใน แค่คิดว่าคุณเล็กจะต้องเป็นอะไรใจผมก็เจ็บไปหมด
“คำสั่งเหรอ! ไม่! นายต้องอยู่กับฉันด้วยใจสิ! นายต้องรักฉัน!”
“ผมรักคุณเล็ก!!”
“ไม่จริง!! นายรักฉัน! นายเคยบอกว่ารัก รักฉันคนเดียว!!” คนร่างเพรียวเริ่มทำลายข้าวของรอบตัว
“ผมไม่ใช่จิ่นโซว!!”
กึก
แล้วร่างนั้นก็หยุดชะงักไปทันที ใบหน้าค่อยๆแหงนมองผมอย่างช็อกตกใจสุดขีด ชื่อ ‘จิ่นโซว’ พี่ชายฝาแฝดของผมเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ผมก็ตัดสินใจพูดออกไป ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่คุณเฟิ่งต้องรับความจริงให้ได้เสียที
จิ่นโซวในวัยสิบแปดปีที่ปกป้องบุคคลอันเป็นทั้งเจ้านายและเจ้าของหัวใจจากการลอบทำร้ายด้วยชีวิตตัวเอง
“คนที่คุณรักและรักคุณคือจิ่นโซว คนที่เป็นคนให้ดอกไม้คุณ คอยดูแล คอยปลอบใจคือจิ่นโซวไม่ใช่ผม ถึงเขาจะตายไปก็ใช่ว่าความรักจะตายตาม จิ่นโซวจะเสียใจแค่ไหนที่ต้องมาเห็นคนที่เขารักมากกว่าชีวิตเป็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าวิญญาณจิ่นโซวยังคอยติดตามอยู่ข้างๆคุณ แล้วดูสิ่งที่คุณตอบแทนจิ่นโซวสิ!!” ตอนนี้ร่างของคุณเฟิ่งทรุดลงไปนั่งแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย น้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้างไหลอาบแก้ม
“เสี่ยวโซว ฮึก เสี่ยวโซว”
“คุณเฟิ่งครับ ผมเหมือนกับจิ่นโซวก็แค่หน้า ที่ผ่านมาเราผิดที่ผิดทางกันมามากพอแล้ว หยุดเถอะนะครับ”
“เสี่ยวโซว ฮึก คิดถึง ฮือออ คิดถึงเสี่ยวโซว...ถ้าเสี่ยวโซวยังอยู่...ฉะฉันก็คงไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ ฮือออ”
สุดท้ายพันธนาการบิดเบี้ยวที่ล่ามเราทั้งสองคนไว้ก็ถูกปลดปล่อยเสียที...
แล้ว ณ ตอนนี้ผมก็นั่งมองเจ้าของหัวใจตัวจริงน้ำตาไหลอาบแก้ม หลังมือปัดป่ายแก้มเหมือนเด็กน้อยพลางลำตัวก็สะอื้นฮักอย่างน่ารัก
“ร้องไห้ทำไมครับ หืมม” ผมจับมือนุ่มออกอย่างเบามือแล้วค่อยๆปาดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
“เล็กสงสารคุณเฟิ่ง ฮึก” นี่แหละคุณเล็กของผม จิตใจดีและขี้สงสาร แม้คนนั้นจะเคยทำร้ายให้เจ็บสาหัสแค่ไหนก็ตาม
“แล้วไม่สงสารผมบ้างเหรอ” ผมหยอด ซึ่งคนนิ่งๆเย็นชาอย่างผมจะมาทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่อง่ายนัก แต่ตอนนี้ทางไหนที่พอทำให้ผมลดหย่อนโทษได้ผมก็พร้อมจะลอง
“ฮึก ไม่ คนนิสัยไม่ดี” แต่เหมือนลูกหยอดของผมจะไม่ได้ผลเพราะมือเล็กปัดมือผมทิ้งและเริ่มต้นร้องไห้อีกครั้งให้ผมใจหายวูบ
ผมจึงลุกจากเก้าอี้ลงมานั่งคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าคุณเล็กที่ทำตาโตกใจกับการกระทำของผม
ผมกอบกุมสองมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนค่อยๆจรดริมฝีปากลงไปอย่างแสนรัก
“คุณเล็ก...ผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟังไปแล้ว ผมรู้ว่ามันคงไม่ทำให้คุณหายโกรธหายเกลียดผมได้...ผมขอแค่ให้คุณเข้าใจและอย่าไล่ผมไปไหนอีกเลย ผมรักคุณจริงๆนะ จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ”
นี่คงเป็นประโยคยาวหวานเลี่ยนประโยคแรกในชีวิตของคนเถื่อนๆอย่างผม ที่ผ่านมาผมคิดว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูดเสมอ แต่แท้ที่จริงแล้วคำพูดและการกระทำต้องไปพร้อมๆกันต่างหากมันถึงเป็นความรักที่สมบูรณ์
“ฮึก ทีอย่างนี้ล่ะบอกรักถี่นัก ทีเมื่อก่อนไม่ยักกะพูด”
“ผมขอโทษ ต่อไปผมจะพูดให้คุณฟังทุกวันเลยดีไหม”
“แล้วใครบอกจะให้นายอยู่ด้วย”
“คุณเล็ก...” คราวนี้คุณเล็กทำหน้าจริงจังให้ผมรู้สึกหวั่นไหวในอก ความหวังที่เริ่มส่องสว่างกลางใจเริ่มอ่อนแสงลิบหรี่ลง
“ฉันให้อภัยและเข้าใจนายทุกอย่าง แต่นายก็ต้องเข้าใจฉันเช่นกัน สิ่งที่เจอมามันเลวร้ายเกินกว่าปุบปับจะยอมรับได้ แค่นายมาพูดไม่กี่คำแล้วจะให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมมันเป็นไปไม่ได้ ฉันเจ็บปวดมามากเกิน...”
“ผมเข้าใจ” ผมก้มหน้านิ่ง ขอบตาร้อนผ่าวอย่างชีวิตนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะทำใจมาบ้าง แต่พอโดนปฏิเสธเข้าจริงๆมันก็เจ็บแทบล้มทั้งยืน
“แต่ถ้านายพร้อมจะเริ่มใหม่...” ผมเงยหน้าขวับขึ้นมองใบหน้าที่ประดับยิ้มอ่อนโยน หัวใจผมเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างมีหวังอีกครั้ง “...ฉันก็พร้อมจะเปิดโอกาสให้”
“ผมพร้อม ผมพร้อม จะต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี หรือทั้งชีวิตผมก็พร้อมจะทำให้คุณรักผมอีกครั้ง” ผมรีบตอบรับรัวเร็วอย่างกลัวคนที่ผมดึงเข้ามากอดจะเปลี่ยนใจ ฝ่ามืออบอุ่นที่ยกขึ้นกอดตอบพร้อมลูบแผ่นหลังผมแผ่วๆเสมือนสายน้ำชโลมหัวใจผมให้ชุ่มชื้นขึ้นทันตา
“พยายามเข้านะนายตี๋ใหญ่”
“ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ” ผมกดจูบลงบนต้นคออีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมาอย่างโหยหา ช่างหอมหวนเหลือเกิน ความอบอุ่น อ่อนหวาน เป็นสุขที่ห่างหายไปได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง...
ต่อจากนี้ไม่ว่าจะต้องเจออีกกี่อุปสรรค ร้อยพันปัญหา ผมก็จะไม่ปล่อยมือคู่นี้อีก จะโอบกอดเอาไว้แนบอกไม่ให้เขาต้องเจ็บปวดทรมาน ผิดหวัง ชีวิตต่อจากนี้จะทำให้เขามีความสุขยิ้มได้ในทุกๆวัน ไม่ให้จิตใจที่แสนดีบริสุทธิ์ต้องมัวหมองช้ำใจ
ช่วงเวลาต่อไปผมจะทำให้คุณเล็กกลับมาเชื่อมั่นในตัวผมอีกครั้ง และให้เขารับรู้ว่าผมรักเขาที่สุดไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม
... ขอบคุณการเริ่มต้นใหม่ที่ทำให้ผมไม่สูญเสียหัวใจไป...
END