เร่ร่อน19เหมือนกระทำความผิดทางกฎหมายและถูกจับตัวมาห้องขัง...
ติดอยู่ที่คุกที่ว่าไม่ใช่พื้นที่สี่เหลี่ยมที่ถูกตรึงด้วยซี่เหล็กถี่แต่เป็นห้องพักชั้นล่างสุดของเพ้นเฮ้าส์
ส่วนเจ้าของห้องตั้งแต่พาผมมาทิ้งไว้ห้องนี้ก็ออกไปด้านนอกและยังไม่กลับเข้ามาเลย
‘ผมต้องไปทำงานก่อน คุณอยู่ในนี้ห้ามออกไปไหนนะ’ สั่งไว้แค่นั้นแล้วก็หุนหันออกไป จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่ได้บอกกล่าว
พรุ่งนี้เล็กจะกลับเมืองไทยแล้วนะ ไม่คิดจะใช้เวลาด้วยกันเลยหรือไง
มองไปยังนาฬิกาหัวเตียงบ่งบอกเวลาสองทุ่มสิบห้านาทีแล้ว ผมอยู่ในห้องนี้มามากกว่าสองชั่วโมง...หนึ่งร้อยยี่สิบนาทีอันน่าอึดอัดและเศร้าใจ
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างสีขาวสะอาดตาอีกครั้ง หลังจากลุกๆนั่งๆมานับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มไม่สามารถกลบกลิ่นกายอันคุ้นเคยของคนในหัวใจได้ กลิ่นที่บ่งบอกว่าตลอดเวลาที่ห่างกันเขาได้พักพิงอยู่ ณ ที่นี่ ในห้องนี้ มันช่างร้องเรียกให้ผมกดแนบใบหน้าลงบนหมอนใบนุ่ม สูดกลิ่นอันหอมหวานพานให้หัวใจคับพองเต็มอก ก่อนจะลีบแฟบปวดแปลบเมื่อนึกได้ว่านับจากพรุ่งนี้ไปไม่รู้อีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลิ่นกายนี้อีกครั้ง
หรืออาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ดีดลำตัวลงจากเตียงนอนและเดินไปเปิดประตูด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอย่างยินดี
“กลับมา...” เสียงกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อเปิดประตูออกมาพบว่าคนอีกฝั่งผนังไม่ใช่คนเดียวกับที่คิดไว้
ไม่ใช่ใหญ่...แต่เป็นอีกหนึ่งบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนตัวใหญ่หน้าเข้ม ก่อนจะเอ่ยปากบอกเมื่อเห็นผมปรากฏตัว “คุณเฟิ่งให้เข้าพบครับ”
หือ??
ผมมุ่นหัวคิ้วอย่างสงสัย ต้องการพบผมไปทำไมกัน หรือมีเรื่องจะพูดคุยด้วยอย่างที่เกริ่นไว้เมื่อตอนเย็น แต่ในเมื่อเขาต้องการคุยกับผมก็ควรลงมาพบผมด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ ห้องนี้ก็ใช่ว่าจะคับแคบซะเมื่อไหร่กัน...
แต่เอาเถอะ ในเมื่อเขาคือเจ้านายของใหญ่ ผมก็ควรจะให้เกียรติเขาเช่นเดียวกับเจ้านายของผม
“สักครู่นะครับ” ผมเข้ามาในห้อง หยิบกระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเองขึ้นมาสะพาย หยิบปากกาเขียนข้อความลงในกระดาษแล้วใช้ปากกาวางทับไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เดี๋ยวใหญ่มาจะได้ไม่ตกใจที่ผมหายไป
จากนั้นผมก็เดินตามบอดี้การ์ดหน้าเข้มผ่านทางเดินทอดยาวสองข้างประกบด้วยผนังสีขาวนำไปสู่ห้องโถงกว้าง ขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสองและหยุดอยู่หน้าประตูไม้สักอย่างดีบานหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก
คนนำเคาะประตูสองครั้งก่อนแจ้งว่าได้พาผมมาถึงแล้ว นาทีต่อมาประตูก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นห้องสีขาวสะอาดตา ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวหมด
และตรงนั้น...บนโซฟากว้างสีขาวกลางห้องมีร่างเพรียวของคุณเฟยเฟิ่งนั่งไขว่ข้างอยู่ด้วยชุดสีขาวกลมกลืนกับบรรยากาศของห้อง ผมสีทองดั่งแพรไหมส่งให้ใบหน้าสวยหวานโดดเด่นรับกับรอยยิ้มเป็นมิตรที่ส่งมา
ช่างเป็นผู้ชายที่สวยหยาดเยิ้มจริงๆ
“นั่งก่อนสิครับ”
เครื่องดื่มสมุนไพรถูกยกมาเสิร์ฟ ผมนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตามคำเชิญก่อนส่งยิ้มบางให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้สิ เหมือนผมจะรู้สึกผิดกับคุณเฟยเฟิ่งเรื่องที่อิจฉาเขา แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ทุกครั้งที่ผมเจอเขาความอิจฉาจะพุ่งวาบเข้ามาในหัวใจอย่างห้ามไม่ได้เมื่อสมองพลันคิดไปว่าใหญ่ได้ทุ่มเทเวลาให้เขามากขนาดไหน...มันช่างเป็นความรู้สึกนึกคิดที่แย่มากจริงๆ
“บ้านเฟยของเราเล็กไปหน่อย คุณอยู่ได้นะครับ”
“สบายมากครับ” ผมว่าพลางยกแก้วขึ้นจิบน้ำแก้เก้อ กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำสมุนไพรที่โชยเข้าจมูกทำให้ผมผ่อนคลายลง
ที่ว่าเล็กคงหมายถึงเล็กกว่าอาณาจักรจิ่นแน่ๆ เพราะถ้าเทียบกับบ้านทั่วๆไปก็ถือว่าหรูหราอยู่มากโข
“น่าเสียดายนะครับที่คุณจะกลับเมืองไทยแล้ว ตั้งแต่มาฮ่องกงเรายังไม่ได้นั่งคุยเล่นกันเลย” ขาเรียวที่ไขว่ห้างอยู่คลายออกก่อนแผ่นหลังจะพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆให้บรรยากาศในการสนทนาดูเบาสบายลง
ผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มฝืนเต็มทีเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่จะอยู่เคียงข้างนายหมาตูบมันช่างเหลือน้อยนิดอย่างที่ว่าจริงๆ
“ครับ” แล้วผมจะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้กันล่ะ
“คุณคงจะรู้สึกแย่ที่ต้องแยกจากเสี่ยวสือ” ดวงตาสวยคู่มองผมอย่างเห็นใจ แต่ทำไมนะหัวใจผมยังเจ็บปวด
ผมนิ่งไม่ได้พูดอะไรเพราะดูแล้วคุณเฟยเฟิ่งคงไม่ต้องการคำตอบจากผมสักเท่าไหร่ และเรื่องแบบนี้เขาก็รู้อยู่แก่ใจจะให้ผมตอบให้ทิ่มแทงใจเพิ่มไปทำไมกัน
และเหมือนเป็นคำเกริ่นเพื่อเข้าสู่ประเด็นถัดไปมากกว่าที่จะสงสารผมจริงๆ
“คงเหมือนกับผม...” นั่นไง ผมคิดผิดซะที่ไหนกัน “ช่วงเวลาที่คิดว่าเสี่ยวสือได้จากผมไปตลอดกาลมันช่างทรมานเหมือนตายทั้งเป็น”
น้ำเสียงสะท้อนความเจ็บปวดบวกกับสายตาเหม่อลอยเมื่อย้อนคิดไปในช่วงเวลาเมื่อหลายเดือนก่อน เรียกให้ร่างกายผมชาวูบ หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่กระนั้นผมก็ยังนิ่งและทำเหมือนรับฟังเรื่องเล่าวันเศร้าใจจากคลับฟรายเดย์ รายการวิทยุโปรดคืนวันศุกร์ของผม
หลายคนบอกเสมอว่าผมเป็นคนใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีรักโลภโกรธหลง คงไม่สามารถใจดีกับคนที่คิดไม่ซื่อกับคนรักของผมได้
...ณ เวลานี้ผมมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ได้คิดกับใหญ่เพียงแค่เจ้านายลูกน้อง
แล้วใหญ่ล่ะ....
ไม่...ผมจะเชื่อใจเขา
และคงมีแค่ความเห็นใจให้คุณเฟยเฟิ่งเพียงเท่านั้น
ขอเพียงอย่างเดียว...อย่าให้ความเชื่อใจและเห็นใจที่ผมมีให้ ย้อนมาทำร้ายตัวเองเลย...
คุณเฟยเฟิ่งชวนผมมาเดินเล่นในสวนบนชั้นดาดฟ้า หลอดไฟนีออนถูกสับสวิตซ์เปิดให้แสงสว่าง กลิ่นฉุนของดอกไม้โชยปะทะจมูกจนต้องเบ้หน้าหนีทันทีที่เปิดประตูเข้ามา
แต่เมื่อชินกับกลิ่น...ความละลานตาของพืชพรรณรูปทรงแปลกตา ชูช่อดอกสีสันแตกต่างสลับกับใบสีเขียวสดไม่ว่าจะขาวแดงชมพูเหลืองและอีกสารพัดที่ผมไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือสีอะไร
ดั่งงานพืชสวนโลกขนาดย่อม ผมตะลึงงันกับความสวยงามเบื้องหน้า ภายใต้หลังคากระจกฝ้าค้ำจุนด้วยโครงเหล็กสีขาวพร้อมผนังทั้งสี่ด้านที่ทำจากกระจกใส อุณหภูมิเย็นเยือกให้ต้องยกสองแขนกอดลำตัว สองขาค่อยๆก้าวไปตามทางเดินหญ้าญี่ปุ่นสีเขียวสดที่ถูกตัดสั้นเสมอกันอย่างสวยงาม
สองข้างทางเดินมีดอกไม้หลากหลายชนิดปลูกเรียงกันไล่สีสันสวยงามจนอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส แต่ก็เกรงว่ากลีบดอกแสนบอบบางจะบอบช้ำจึงได้แต่ทอดสายตามอง มีดอกไม้อยู่ไม่กี่ชนิดที่ผมรู้จักเช่นดอกกุหลาบ ลิลลี่ และยกพื้นทางด้านขวาจะเป็นดอกไม้ไทยที่พอคุ้นเคยจำพวกคุณนายตื่นสาย ดาวเรือง เฟื่องฟ้า เทียนทอง ฯลฯ ส่วนอีกร้อยกว่าชนิด (จากที่คาดเดาจากสายตา) ผมไม่รู้จักเลยแต่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันสวยมาก
“ชอบไหมครับ”
“ครับ สวยมากจริงๆ”
“อย่าจับ!” ผมดึงมือกลับอย่างตกใจเมื่อกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกผกามาศสีแดงสดที่ชูดอกสวยยั่วยวนอยู่เบื้องหน้า เสียงร้องเตือนจากคนข้างๆก็ดังขึ้น “มันเป็นชนิดมีพิษน่ะครับ สัมผัสโดนผิวหนังจะไหม้ปวดแสบปวดร้อนได้”
ผมหน้าเหยเกก้าวถอยหลังอย่างแหยงๆดอกไม้สวยแต่รูปจูบไม่หอมเกือบจะทำพิษผมเข้าแล้ว คุณเฟยเฟิ่งจุดยิ้มมุมปากก่อนพาผมเดินลึกเข้าไปในสุดซึ่งบรรยากาศด้านในโดยรอบอบอวลไปด้วยละอองน้ำจากสปริงเกอร์
“เอ่อ อันนี้มีพิษไหมครับ” ผมถามอย่างไม่กล้าจับดอกไม้อะไรอีก
“มีครับ”
นั่นไง ว่าแล้วไหมล่ะ อันตรายต่อชีวิตไปหมด
“แถวนี้จับได้ไม่เป็นอะไรครับ จะเป็นก็ต่อเมื่อทานเข้าไป”
“แน่นะครับ”
“ครับ” เฮ้อ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนยิ้มกว้างกับความสวยงามเบื้องหน้า เอื้อมมือไปสัมผัสกลีบมันเบาๆพลางก้มลงสูดดมรับกลิ่นที่คราแรกชวนให้ผมเวียนศีรษะแต่ตอนนี้กลับดึงดูดจนอดใจไม่ไหวกับกลิ่นหอมของมัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสวนดอกไม้บนดาดฟ้าทำให้อารมณ์ย่ำแย่ของผมดีขึ้นมากเลยทีเดียว
คุณเฟยเฟิ่งก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม ร่างเพรียวสวยนั่งยองลงก่อนใช้ปลายจมูกแตะลงบนกลีบดอก ใช้ปลายนิ้วไล้มันเบาๆอย่างอ่อนโยน แววตาทอประกายอ่อนแสงลงอย่างแสนรัก
“ผมชอบดอกไม้มากมาตั้งแต่เด็กๆ และนี่คือดอกไม้ที่ผมชอบมันมากที่สุด” เขาว่าพลางพรมจูบบนกลีบดอกอย่างทะนุถนอม
ผมมองดอกไม้ชนิดที่ว่าอย่างสนใจ ตัวดอกสีชมพูแต้มจุดรูปกรวยสั้นๆออกดอกบนกิ่งเรียวยาวชะลูดขึ้นไปจากโคนต้นจรดปลาย ดอกบานเต็มวัยบานกว้างไล่เรียงไปถึงยอดที่ประดับด้วยดอกตูมเขียวอ่อนเหมือนกับกรวยไอติมที่แต่งแต้มด้วยสีน่ามอง
“ดอกอะไรหรือครับ”
คุณเฟยเฟิ่งลุกขึ้นยืนแล้วโน้มหน้าลงไปสูดดมอีกครั้งก่อนตอบ “ดอกฟอกซ์โกลฟน่ะครับ ถ้าเมืองไทยบ้านคุณจะเรียกมันว่าถุงมือจิ้งจอก”
“ถุงมือจิ้งจอก...” ผมพึมพำทวนคำ ฟังดูเจ้าเล่ห์น่ากลัวพิกล ผมว่ามันสวยออก สวยมากๆ
“คงเพราะภายนอกดูสวยงามแต่แฝงไปด้วยพิษร้ายกระมังครับ มันถึงได้ชื่อว่าถุงมือจิ้งจอก บางพันธุ์มีพิษร้ายแรงทั้งต้นทั้งดอกจะถูกเรียกว่าต้นกระดิ่งคนตาย”
อืม ฟังดูน่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้อย่างมาก แล้วที่ผมสูดมันเข้าไปเต็มปอดเมื่อกี้จะไม่เป็นไรใช่ไหม มันจะไม่แทงข้างหลังผมใช่หรือเปล่า แต่คุณเฟยเฟิ่งยังคลอเคลียเป็นลูกแมวแบบนั้นได้ แสดงว่าชีวิตผมยังปลอดภัยดี
“ฮ่าๆ ทำไมทำหน้าแหยแบบนั้นล่ะครับ”
“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงโปรดปรานมันนัก มันดูเอ่อ...น่ากลัวพิลึก” ว่าแล้วผมก็ขอใส่เกียร์ก้าวถอยหลังออกมาสักสองสามก้าว
“มีคนให้ดอกฟอกซ์โกลฟกับผมในวันที่ผมสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไป” ดวงตาทอประกายแสนรักละจากใบหน้าผมลงไปมองดอกไม้แห่งความหลังพลางเอ่ยต่อ “นับจากวันนั้นเขาก็กลายมาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตผมแทน”
นัยน์ตาสวยคู่นั้นทอประกายรักมากกว่ายามพูดถึงดอกไม้เสียอีก
ในขณะเดียวกันปลายนิ้วผมเริ่มเย็นเฉียบก่อนลามไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
“ผมยังจำได้ดีตอนอายุสิบห้า เพราะกฎของตระกูลทำให้ผมสูญเสียของรักและศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายไป มันช่างสุดแสนทรมานเหมือนตายทั้งเป็น ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่อยากเจอหน้าใคร คิดว่าตายไปเสียยังดีกว่า...” แววตาทอประกายรักในคราแรกเปลี่ยนเป็นรวดร้าวยามที่ริมฝีปากเอ่ยเล่าเรื่องราวในอดีต ความรู้สึกสงสารตีตื้นเข้ามาในอก “แต่เทวดาคงเห็นใจ...บนความเลวร้ายที่เผชิญฟ้าก็ส่งเด็กชายตัวน้อยมาให้ผม...”
แววตาหม่นแสงกลับมาสดใสอีกครั้ง
“เด็กนั่นเป็นบอดี้การ์ดที่ถูกส่งมารับใช้พี่เฟยหลงตั้งแต่สมัยยังเป็นคุณชายใหญ่ เด็กผู้ชายตัวโตเกินมาตรฐาน หน้านิ่งๆตาดุๆแต่กลับเป็นเด็กที่...เดินถือถาดอาหารเช้าเข้ามาให้ผมแทนแม่บ้านผิง เด็กที่มาพร้อมกับแจกันใส่ดอกไม้ที่ผมมารู้ทีหลังว่ามันชื่อ ‘ดอกฟอกซ์โกลฟ’ ” ดวงตาเรียวสวยหันมาสบตาพลางจุดยิ้มมุมปาก “น่าขำนะครับ จะปลอบใจทั้งทีเอาดอกถุงมือจิ้งจอกมาให้ แต่คำพูดของเด็กสิบขวบก็ทำเอาผมอึ้งและซาบซึ้งทั้งน้ำตาเลยล่ะครับ เขาบอกว่า...
เห็นแม่บ้านผิงบอกว่าคุณชายน้อยกำลังเสียใจ ผมเลยเอาดอกไม้มาให้ คุณหมอจางบอกว่ามันช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจได้...โถ เด็กน้อยเอ๋ย ให้ทำตัวขึงขังเป็นผู้ใหญ่ยังไง สุดท้ายเด็กก็คือเด็กอยู่ดี...ใสสะอาด...ชะล้างหัวใจที่มืดมนได้...”
มาถึงตรงนี้ผมสัมผัสได้ถึงสายใยความรักและความผูกพันของทั้งคู่ได้ ริมฝีปากที่เริ่มสั่นน้อยๆเอ่ยถามออกไปแม้ในใจจะกลัวแสนกลัวคำตอบก็ตาม
“ดะเด็กผู้ชายคนนั้น...ใหญ่เหรอครับ...”
นัยน์ตาแววหวานสบตาผมนิ่ง เผยยิ้มบางก่อนตอบ “ไม่ใช่หรอกครับ...”
ลมหายใจที่กั้นไว้ถูกปล่อยพรูออกมา...
“เสี่ยวสือต่างหาก”
...แล้วสะดุดลง เหมือนถูกตัดขั้วหัวใจทิ้ง
“เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น ผมจึงไปขอเด็กคนนั้นจากพี่ใหญ่เพื่อให้มาอยู่เคียงข้างผมแทน และตั้งแต่นั้นมาเขาก็คือเสี่ยวสือของผม...ของของผม”
หัวใจผมเต้นระรัวในอัตราสูงสุดเกินกว่าที่เคยเป็น!!!
ปึง!!
โครม!!
เฮือก!!
ผมถูกเหวี่ยงจนร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่ก่อนหน้าไถลตามแรงจนอัดเข้ากับผนังปูน ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่ใช่จากแรงกระทำภายนอก...แต่มาจากภายในร่างกายที่ปวดร้อนดั่งไฟเผา ร่างกายอ่อนแรง ช่วงท้องปวดมวนเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นบีบลำไส้จนบิดเบี้ยว ริมฝีปากลามลงไปยังลำคอปวดแสบปวดร้อนแม้แต่จะเปล่งเสียงพูดหรือหายใจยังลำบาก หัวใจเต้นถี่รัวตึกตักคับอกอย่างกับวิ่งโดยไม่หยุดพักมาสักร้อยกิโล
ไม่...ไม่ใช่เพราะผมตื่นเต้นหรือกลัว...แต่เหมือนกับโดนบางสิ่งเข้าไปกระตุ้นมัน...รวมทั้งอาการแปลกๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วย
“คะคุณเฟย ฟะเฟิ่ง...”
“บางอย่างรับในปริมาณที่เหมาะสมมันก็จะสามารถช่วยชีวิตได้ แต่ถ้ารับมากไปมันก็ปลิดชีพได้เช่นกัน” เสียงเนิบหวานเหนือศีรษะเรียกให้ผมค่อยๆเงยหน้า มองใบหน้าหวานฉ่ำที่บัดนี้เรียบเฉย ดวงตาใสแข็งกร้าวมองผมอย่างเคียดแค้น
หลังจากประโยคแสดงความเป็นเจ้าของในสวนดอกไม้บนดาดฟ้าจบลง หัวใจผมก็เต้นระรัว วินาทีแรกผมกลับคิดไปว่าเพราะคำพูดนั้นมันช่างกรีดหัวใจผมยิ่งนัก แต่เวลาถัดมามันไม่ใช่...ร่างกายผมผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆทั้งอ่อนแรง เริ่มปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย และสุดท้าย...ไม่สามารถป้องกันการคุกคามจากโดยรอบได้เลย
มารู้ตัวอีกทีผมก็ถูกพาเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมมืดๆ ซ้ำยังมีกลิ่นคาวฉุนจนอยากอาเจียน
“ทะทำไม...”
“บุญคุณที่ช่วยเสี่ยวสือไว้ทำให้คุณมีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้มันหมดลงแล้ว ทดแทนกันพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุญคุณหรือความเป็นเจ้าของเสี่ยวสือ...ที่เพ้อพบไปเอง!!!” เสียงตวาดก้องให้ผมกระถดตัวหนีชิดมุมผนังชื้นอย่างหวาดกลัว
ณ เวลานี้เขาไม่ใช่คุณเฟยเฟิ่งที่สวยสง่าอ่อนโยนคนเดิม ไม่ใช่สิ...คนที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาตบตาผม เขาก็แค่...
“โอ๊ย...” ผมร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อร่างกายทวีความทรมานขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งผมแสดงออกมากเท่าไรอีกฝ่ายก็ดูจะพึงใจมากเท่านั้น “คะคุณจะฆ่าผมเหรอ...อึก”
สะแสบคอจัง เสียงแห้งแทบพูดไม่ออกเลย
“ยังไม่ถึงเวลา...แต่เชื่อเถอะ...” ร่างนั้นนั่งลงตรงหน้าผม ใช้ฝ่ามือบีบคางแล้วจิกเล็บลงบนผิวแก้มยามบังคับให้หันมาสบตากัน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “คุณจะทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น หึ”
ฟึ่บ!!
ฝ่ามือที่บีบหน้าผมอยู่ออกแรงผลักสะบัดไปด้านข้างให้ผมล้มนอนอย่างไม่อาจต้านทาน รู้สึกเจ็บตรงข้อศอกที่กระแทกพื้นปูนพร้อมกับอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืน สองมือของผมกอดร่างที่คุดคู้เข้าหากันของตัวเองแน่น แต่กระนั้น...ผมก็ยังอดส่งสายตาเวทนาให้อีกฝ่ายไม่ได้ ถึงสภาพผมจะน่าสมเพชเยี่ยงสุนัข เจ็บปวดทรมานเยี่ยงสุกรถูกเชือด แต่ผมก็ยังรู้สึกสงสารอีกฝ่าย...ที่จิตใจเขายังอยู่ใต้ตม จมอยู่กับความคับแค้นและอิจฉาริษยาจนสามารถทำร้ายเพื่อนมนุษย์กันได้ถึงเพียงนี้...
“อย่ามามองผมด้วยสายตาแบบนี้!! เจียมตัวเองซะบ้าง!!” ตวาดอีกครั้งพร้อมสะบัดตัวหันหลังเพื่อย่ำเท้าก้าวออกไป ผมปรือตามองเขาก่อนเปล่งเสียงแหบแห้งอย่างกระท่อนกระแท่น
“ละแล้วผมจะ...จะแผ่เมตตาหะ...ให้คุณ...”
“ไม่จำเป็น เก็บบุญไว้สวดศพให้ตัวเองคืนนี้เถอะ อย่าปวดใจจนตายก่อนซะล่ะ!” เขากัดฟันพูดโดยที่ไม่ได้หันกลับมา แล้วเดินออกจากห้องไป
ผะผมเจ็บจังเลย...ปะปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งตัว...เพราะดอกไม้เป็นพิษอย่างนั้นเหรอ...
ไม่สิ...ในเมื่อคุณเฟยเฟิ่งก็สัมผัสมันเหมือนกัน...
ผมพยายามเค้นสมองคิดทั้งที่ปวดศีรษะจนสมองแทบระเบิด กอดตัวเองให้แน่นขึ้น...
เพราะอะไร....เพราะอะไร...ทำไม...
สุดท้ายผมก็ถกเถียงปัญหานี้กับตัวเองได้สำเร็จ...เพราะดอกไม้นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ที่สวน ไม่ใช่เพราะสัมผัสโดน ไม่ใช่เพราะดม
....น้ำสมุนไพรแก้วนั้น ผมจำกลิ่นมันได้แล้ว นึกว่าน้ำอะไรที่แท้ก็...
...ถุงมือจิ้งจอก ไม่สิ กระดิ่งคนตาย...
ใหญ่...ใหญ่จะรู้ไหมว่าเล็กหายไป จะตามหาหรือเปล่า เล็กยังเชื่อในตัวใหญ่อยู่นะ...ยังเชื่อว่าจะมาช่วยและยังรอฟังคำอธิบาย...
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูเรียกให้ผมปรือตาขึ้น มองฝ่าความมืดไปก็ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นเลย แต่เสียงมันใกล้มากจริงๆ
กุกกัก กุกกัก
“คุณเฟิ่งจะอาบน้ำก่อนไหมครับ” สะเสียงนี้...ผมจำได้
“ใหญ่...ใหญ่...” ผมพยายามดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พื้นชื้นเหมือนเลอะไปด้วยเมือกเหนียวทำให้การทรงตัวขึ้นเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ผมก็พยายามจนลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ
ผมกระเถิบตัวพิงผนังไว้อย่างอ่อนแรง อาการเจ็บปวดมวลท้องเริ่มทุเลาลงเช่นเดียวกับความปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย ไม่รู้เป็นเพราะพิษหมดแล้วหรือว่าเจ็บจนชาชินกันแน่ แต่เมื่อจับตามเนื้อตัวโดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากจะรู้สึกแสบเป็นพิเศษและเหมือนผิวหนังจะไหม้ด้วย
“อืม...ดีเหมือนกัน อาบด้วยกันไหม” เสียงคุณเฟยเฟิ่ง
ผมพยายามกวาดสายตามองหาที่มาของเสียงก่อนจะพบว่ามันดังอยู่เหนือศีรษะผมนี่เอง...บนชั้นถัดไป แต่ผมกลับได้ยินเสียงทั้งคู่ชัดเจนเฉกเช่นนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน
ถ้าผมตะโกนเรียกออกไปใหญ่จะได้ยินไหมนะ...แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อผมลองตะเบ็งแล้วกลับไม่มีเสียงอันใดลอดผ่านลำคอผมมาได้เลย...
“เดี๋ยวผมไปอาบที่ห้องก็ได้ครับ”
“ทำไมล่ะ อาบด้วยกันนี่แหละ ก็อาบด้วยกันอยู่ทุกวัน”
“คือผม...”
“เป็นห่วงคุณเล็กหรือไง”
จบคำถามเสียงก็เงียบไปเสี้ยวนาที แต่ช่างยาวนาสำหรับคนรอคอยคำตอบอย่างผมเหลือเกิน
“เปล่าครับ”
“ดี งั้นไปอาบน้ำด้วยกัน ถูหลังให้หน่อย...นะ”
“ครับ”
“ตามเข้ามา ไม่ต้องปิดประตูนะ”
และแล้วน้ำตาที่แม้แต่โดนทรมานหนักหนาแค่ไหนในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมายังไม่เคยไหลลงมาสักหยด บัดนี้มันกลับไหลหลากอย่างไม่สามารถกักกลั้นไว้ได้เพียงถ้อยคำเดียวของคนที่ผมรักหมดใจ
ถ้อยคำที่เหมือนไม่ใส่ใจกัน
ขณะที่เล็กรอใหญ่อยู่ที่อาณาจักรผีดิบนั่น...เข้าใจในตัวตนและงานของใหญ่...แท้จริงแล้วใหญ่เพียงมาปรนเปรอให้เขาใช่ไหม... นี่น่ะเหรองานบอดี้การ์ดอันยิ่งใหญ่ที่เล็กต้องอดทนรอด้วยความคิดถึงตลอดมา...
ผมได้ยินเสียงซ่าในห้องน้ำเดาว่าทั้งคู่คงได้อาบน้ำใต้ฝักบัวเดียวกันสมใจอยากแล้ว แต่ผมคงคิดน้อยไป...นั่นเป็นแค่การล้างตัว การอาบน้ำให้โรแมนติกและแนบแน่นจริงๆมันต้องลงอ่างต่างหาก
“ถอดผ้าเสร็จแล้วก็ตามลงมาสิ” คำสั่งเสียงหวานที่ทำให้ผมต้องหลับตาลงอย่างไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก แต่ไม่มีประโยชน์อันใดเลยในเมื่อหูผมยังทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่บกพร่อง ทำไมนะหูมันถึงไม่หนวกตามปากที่พูดไม่ได้ไปซะเลย
จ๋อม
เสียงน้ำกระเพื่อมไหวล้นออกขอบอ่างให้รู้ว่าได้มีวัตถุมวลใหญ่เพิ่มลงไปแล้ว จะเป็นอะไรไปได้นอกจาก...เสี่ยวสือ
ถึงเสียงจากภายในห้องน้ำจะได้ยินเบากว่าด้านนอก แต่ผมก็ยังได้ยินและทุกคำมันช่างวนเวียนอยู่ในสมองผมอย่างชัดเจน
“มา...ฉันช่วยสระผมให้”
“ไม่เป็นไรครับ หันหลังเถอะ ผมจะถูหลังให้”
เงียบผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก
“พอแล้ว” เสียงน้ำกระฉอกออกจากขอบอ่างอีกครั้ง “เสี่ยวสือ...จูบฉันหน่อย”
“...” ร่างกายผมชาวาบถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมาเลยก็ตาม
แล้วจะต้องเอ่ยอะไรอีก เมื่อนาทีต่อมาเสียงครางเครือก็เพียงพอแล้วที่ผมจะเข้าใจในทุกสิ่ง
“อ๊ะ อืมม ปะไปที่เตียงเถอะ”
ฟึ่บ
ตึก
โครม
แล้วเสียงเล่นรักก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คงจะเร่าร้อนกันมาตลอดทางเดินจนถึงเตียงนอน หลังจากนั้นก็มีแต่เสียงครางระงมอย่างสุขสมของคนทั้งคู่ประสานกับเสียงเนื้อหนังสัมผัสกระทบกันอย่างน่าสมเพช
“อ๊ะ ตะตรงนั้น...บี้แรงๆ อ่ะอื้มมม”
“อ่ะ อา”
ฟึ่บๆๆๆ
...เป็นผมเองที่น่าสมเพช...
เขาทั้งคู่จะรู้ไหมว่าในขณะที่ร่วมรักกัน ผม...ผมที่อยู่ตรงนี้ร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน ร่างทั้งร่างค่อยๆไหลไปตามผนังลงไปนอนกองกับพื้นปูนอีกครั้ง มือสองข้างยกปิดหูพร้อมทั้งคุดคู้หนีความหนาวยะเยือกที่แผ่กระจายไปทั่วกาย ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด...
ผมเข้าใจคำความหมายว่า ‘ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น’ ของคุณเฟยเฟิ่งแล้ว
ผมอยากจะค้าน...เพราะตอนนี้ผมรู้สึกมากกว่านั้นเสียอีก
ความไว้ใจ เชื่อใจ และความรักที่ผมมีให้เขาถูกย่ำยีและเหยียบซ้ำๆจนมันแหลกสลายเป็นผงธุลี
ไม่ใช่เพียงแค่หัวใจที่ถูกกรีดลึก...แต่ทุกตารางนิ้วของร่างกายก็ถูกเขาทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี
ที่ใหญ่ไม่เคยบอกรักเล็กเลยเป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ
ต่อด้านล้างค่ะ