คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561  (อ่าน 255585 ครั้ง)

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

อยากเอาอะไรเจาะปากอิป้าแม่ครัวมากอ่ะ

เก็บปากไว้ห่อฟันเหอะ ...ขิอยืมหน่อยฮะ

 :z6:  ต้ป๋

ออฟไลน์ Satanza321

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-3
เต็มเริ่มยิ้มแล้ว :m4:
ดูเต็มมีความสุขขึ้นนะตั้งแต่ได้เจอพี่ปุ่นเนี้ย :m1:

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ค่อยๆเถียงกัน
น่ารักดีค่ะ :katai5:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 8 ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย




จำนวนลูกค้าที่ยังคงหนาตาในช่วงเที่ยงของวันใหม่สร้างความพอใจให้กับหม้ายสาวใหญ่เจ้าของเกสต์เฮาส์อย่างเดือนดาราไม่น้อย แม้ฝีมือการทำอาหารของเธอจะดีจนลูกค้าต่างออกปากชม แต่ด้วยภาระล้นมือที่ไหนจะต้องดูแลเกสต์เฮาส์ ไหนจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวและการช่วยบริหารโรงงานเซรามิคของพี่เขย ทำให้เธอจำเป็นจะต้องมีผู้แบ่งเบาภาระ ดังนั้นการควานหาแม่ครัวคนใหม่แทนคนเดิมที่เพิ่งลาออกไปจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นการด่วน ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่า ๆ เป็นต้นมากระดาษจดรายการอาหารถูกวางเรียงกันไว้ที่โต๊ะ ในขณะที่แม่ครัวคนใหม่เองก็ยังสาละวนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบไว้เป็นชุด ๆ ทั้งกระเทียม พริก เนื้อสัตว์และผัก จนกระทั่งทุกอย่างพร้อมก็เทลงในกะทะที่ตั้งน้ำมันร้อนฉ่า ผัดจนสุกดีก็ตักขึ้นราดข้าวเตรียมเสิร์ฟ



"วันนี้มากันพร้อมหน้าเลยนะจ๊ะ" ชลธรกล่าวอย่างยิ้มแย้มงขณะวางเมนูอาหารลงบนโต๊ะของเหล่าหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ที่เพิ่งมาถึง



"ไม่ได้มาหลายวัน คิดถึงข้าวอร่อย ๆ ของครัวแสงจันทร์น่ะครับ" คนอายุมากที่สุดในกลุ่มยิ้มกริ่มพร้อมส่งสายตาวิบวับเสียจนคนฟังออกอาการเขินจนต้องหลบสายตา



"ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนให้ทุกคนช่วยให้คะแนนฝีมือการทำอาหารของแม่ครัวคนใหม่ด้วยแล้วละ" 



"หาคนใหม่ได้แล้วเหรอครับพี่ชล" ศิธาพัฒน์ที่ไม่ได้ใส่ใจกับเมนูอาหารเหมือนกับสองหนุ่มที่เหลือเอ่ยขึ้น



"ใช่จ้ะ วันนี้เริ่มงานวันแรก ยังไงก็ช่วยคอมเมนท์ด้วยนะจ๊ะ" หญิงสาวกล่าวขณะควานหยิบสมุดฉีกกับปากกาในกระเป๋าหน้าท้องของผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ขึ้นมาเตรียมพร้อม



เมื่อได้ฟังดังนั้นหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ต่างก็รับคำด้วยความยินดี จะมีก็แต่เพียงศิธาพัฒน์เท่านั้นที่เอาแต่นั่งนิ่ง



"ผมเอาผัดผักบุ้งราดข้าวกับไข่เจียวครับ" ประโยคสั้น ๆ ที่เพิ่งจบลงทำเอาคนที่กำลังจดรายการอาหารต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ



"เบื่อข้าวผัดหมูแล้วเหรอจ๊ะ" ชลธรเย้าขณะจดลงกระดาษ



ชายหนุ่มสวมแว่นตากรอบกลมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหาร มองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ตอนนี้ศิธาพัฒน์พบว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทั้งลูกสาวเจ้าของเกสต์เฮาส์หน้าหวานและเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน



"เออ นั่นสิ วันนี้มาแปลก" วิษณุหรี่ตามอง



"แปลกอะไรกันพี่นุ ผมก็เปลี่ยนไปกินอย่างอื่นบ้างสิพี่ เมนูร้านพี่ชลเขามีตั้งเยอะ" คนถูกจ้องทำเฉไฉพลางมองไปทางห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งแยกออกจากตัวบ้าน เพียงแค่อยากเห็นหน้าไอ้เด็กบ้ากวนประสาทอีกสักครั้ง...




แม้ว่าจำนวนลูกค้าจะมีมากแต่ส่วนใหญ่ได้อาหารที่สั่งกันเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่บางโต๊ะก็อยู่ในระหว่างการรอเรียกคิดเงิน รายการอาหารที่เพิ่งสั่งไปได้ไม่นานก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟโดยหญิงสาวแปลกหน้าซึ่งเหล่าหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ต่างก็พากันคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นแม่ครัวคนใหม่ที่ชลธรพูดถึง เธอสวมผ้ากันเปื้อนคลุมทับชุดที่ใส่อยู่ ผมยาวถูกรวบเก็บไว้ภายใต้หมวกตาข่ายสีขาวสำหรับสวมทำอาหาร ที่แขนสวมทับด้วยปลอกแขนกันความร้อน มองโดยรวมก็เหมือนชุดพนักงานกลาย ๆ และหากคะเนไม่พลาดเธอน่าจะอายุราว ๆ สามสิบปลาย ๆ เห็นจะได้


“เจินจิมผ่อเน้อ รสชาติเป๋นจะไดก่ะติชมได้นะเจ้า” รอยยิ้มที่เป็นมิตรและน้ำเสียงนิ่มเนิบทำเอาหนุ่มเมืองกรุงอย่างศิธาพัฒน์อดที่จะตั้งใจฟังและยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นคนลำปางก็ตาม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวตั้งแต่เมื่อต้องย้ายตามพ่อเข้าไปอยู่ที่บ้านสวนเมืองนนท์ทำให้น้อยนักที่จะได้ยินแม่พูดภาษาถิ่นฐานบ้านเกิดที่เนิบนาบนุ่มนวลชวนฟังเช่นนี้



"ปี้ใจ้ก่อครับตี้เป๋นแม่ครัวคนใหม่ของตี้นี่" วิษณุถามขณะที่นภาค่อย ๆ วางจานข้าวลงบนโต๊ะ



"ใจ้เจ้า" 



"คนตี้ไหนครับเนี่ย"




"คนหละปูนเจ้า"




"อ้อ บ่ไกล๋ๆ" คนพูดพยักหน้าพลางดึงจานที่เป็นของตัวเองมาไว้ตรงหน้า 




"แล้วคุณคนตี้ไหนเจ้า"




"ผมคนหละปางครับ" 



“อ้าว ผมคิดว่าพี่นุเป็นคนทุกที่เสียอีก นี่ผมเข้าใจผิดหรอกเหรอ” อยู่ ๆ คนที่เริ่มลงมือตักข้าวเข้าปากนำคนอื่น ๆ ไปก่อนก็แทรกขึ้นทำให้การสนทนาต้องสะดุด นภายิ้มขณะวางจานข้าวจานสุดท้ายลงตรงหน้าศิธาพัฒน์ที่เอาแต่นั่งยิ้ม



“ไอ้เวรบัส กินข้าวไปเงียบ ๆ ก็ไม่มีใครเขาหาว่าเป็นใบ้นะ” วิษณุกล่าวก่อนจะตักข้าวเข้าปาก



“แหม...ผมล้อเล่นนิดเดียวภาษากลางชัดเป๊ะมาเลยนะพี่”




“วอน ๆ เดี๋ยวพ่อโบกลืมบ้านเกิด” คนพูดไม่พูดเปล่า ยังทำท่าประกอบจนอีกคนเตรียมหลบแทบไม่ทัน



ศิธาพัฒน์โคลงศีรษะไปมาละสายตาจากสองคนที่กำลังเถียงกัน พิจารณาสิ่งที่อยู่ในจานตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจเมื่อเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนเองสั่งไปในทีแรก “ข้าวผัดจานนี้ผมไม่ได้สั่งนะครับ น่าจะส่งผิดโต๊ะหรือเปล่า”




"อืม...บ่ได้สั่งกะเจ้า"



“ครับ ผมสั่งข้าวราดผัดผักบุ้งกับไข่เจียว ไม่ใช่ข้าวผัดหมูครับ”



"แปลก ก่อตะกี้คุณเต็มเปิ้นบอกว่าลูกก๊าขอเปลี่ยนเป๋นข้าวผัดหมูจานนึ่ง แล้วเปิ้นก่อเป๋นคนลงมือผัดคนเดียวตวยนาเจ้า"




“คุณเต็ม?” ศิธาพัฒน์ทวนชื่อที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่พร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ



“เจ้า” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงลังเลกับอาหารตรงหน้า แม่ครัวคนใหม่จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น "ถ้าจะอั้นเดียวปี้ไปยะหื้อใหม่ก่อแล้วกั๋นนาเจ้า"



“สงสัยจะหยิบกระดาษผิดใบมั้ง ให้พี่เขาทำให้ใหม่ไหมปุ่น” วิษณุเสริม



“มะ..ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องทำใหม่หรอกครับ ผมกำลังนึกอยากทานข้าวผัดอยู่พอดี” พูดจบมือหนาก็รีบดึงจานข้าวเข้าหาตัว จับช้อนและส้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนกลัวจะโดนใครแย่ง แม้จะงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายนภาก็ยอมทำตามความต้องการของลูกค้าแต่โดยดี



....



“พี่ชลคร้าบบบบบ คิดเงินด้วยครับ” เสียงอ่อนเสียงหวานของลูกค้าขาประจำเรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชลธรอีกครั้ง ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นมาเธอแทบจะไม่ได้พักเลยเพราะไหนจะต้องรับออเดอร์ ไหนจะต้องวิ่งวุ่นคิดเงินให้ลูกค้าและรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ     



“วันนี้อาหารเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”



“อร่อยมากครับพี่ชล” ชายหนุ่มหวีผมเรียบแปล้กล่าวพร้อมกับตบพุงตัวเองเบา ๆ



“นี่ไม่ได้พูดเพื่อรักษาน้ำใจกันใช่ไหม”



“โถ่..อร่อยจริง ๆ ครับพี่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเดี๋ยวจะเข้างานแล้วผมจะสั่งอีกสักจาน”


 
“จะสั่งไหมล่ะจ๊ะ วันนี้มีเจ้าภาพนะ”



“หมายความว่ายังไงครับพี่ชล” บัสถามอย่างแปลกใจ 



“มื้อนี้ฟรีจ้ะเพราะมีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ”



เมื่อได้ฟังดังนั้นสามหนุ่มต่างก็ร้องหาเหตุผลขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย



“ก็...ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วยชิมฝีมือแม่ครัวคนใหม่ให้ไงจ๊ะ”



แม้เพื่อนร่วมงานจะพากันพยักหน้าหงึก ๆ แต่ศิธาพัฒน์รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง สิ่งที่ช่วยยืนยันความคิดของเขาก็คือจานข้าวตรงหน้าที่ตอนนี้ไม่เหลือซากให้ใครเดาถูกว่ามันเคยมีข้าวผัดหมูแสนอร่อยอยู่เต็มจาน



ข้าวผัดหมูที่ไม่ใส่ทั้งหอมชิ้นเล็กหรือหอมชิ้นใหญ่...ตามสัญญา...



พยายามมองหาเจ้าภาพตามที่ชลธรว่าเพื่อจะขอบคุณก็ยังหาไม่เจอ...




ศิธาพัฒน์ละสายตาจากสองหนุ่มที่เพิ่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากหน้าเกสต์เฮาส์ หันกลับมากล่าวขอบคุณกับคนที่เดินออกมาส่งและขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยมื้อนี้



“ไปขอบคุณเจ้าภาพเขาดีกว่าจ้ะ พี่ถามว่าไปติดหนี้อะไรกันมาก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าเดี๋ยวมื้อนี้เต็มจ่ายให้เอง นี่ก็ว่าจะถามปุ่นอยู่ว่าเรื่องอะไร” ชลธรถือโอกาสนี้หาคำตอบให้ตัวเอง



คนฟังได้แต่เพียงอมยิ้ม ในใจยังคงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ทั้งที่เขาพูดเล่นแท้ ๆ แต่ ‘ไอ้เด็กบ้า’ นั่นกลับเอาคิดเป็นเรื่องจริงจังเสียนี่ คิดแล้วก็เผลอส่ายน้อย ๆ ก่อนจะตอบคำถามเมื่อสักครู่ “เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะครับ ว่าแต่นี่เขาไปไหนเสียล่ะครับว่าจะขอบคุณเสียหน่อย”



“สงสัยกำลังเก็บของเตรียมกลับไร่กันอยู่น่ะจ้ะ นี่ก็ขอยืมตัวมาจากพ่อเขาหลายวันแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่วันนายเต็มก็จะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วละ”



คำตอบของชลธรก่อให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นภายในใจ ซึ่งศิธาพัฒน์ก็พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเองว่ามันอาจเป็นเพราะคู่ปรับกำลังจะจากไปโดยยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณสำหรับข้าวผัดในวันนี้ก็ได้...



.....


“พอกันเลยทั้งสองคน ถามใครก็ไม่มีใครยอมบอกว่าติดค้างอะไรกันไว้” สาวสวยกล่าวพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หลังเคาท์เตอร์เครื่องดื่ม



“บ่นอะไรนักพี่ชล เต็มก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” ร่างสูงที่เดินสะพายเป้ออกมาพอดีเอ่ยขึ้น


“ก็มันน่าสงสัยไหมล่ะ ร้อยวันพันปีน้องชายพี่ไม่เห็นจะใจดีกับใคร” ชลธรกล่าวพร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างจับผิด “นี่เต็มฟ้าถึงขนาดลงมือผัดข้าวให้กิน แถมให้กินฟรีอีกต่างหาก มันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”



เต็มฟ้ากดยิ้มที่มุมปากอย่างมีแผนการก่อนจะเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เท้าแขนลงกับเคาท์เตอร์จากนั้นก็ขยับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หันซ้ายหันขวาอย่างลุกลี้ลุกลนราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาได้ยิน “พี่ชลอยากรู้จริง ๆ น่ะเหรอ”



ชลธรพยักหน้ารัว ๆ ลนลานตามน้องชายไปด้วย เธอจ้องมองปากสวยที่กำลังเม้มแน่น เหมือนกำลังกักเก็บความลับอะไรบางอย่างไว้ จนในที่สุดเต็มฟ้าก็ค่อย ๆ คลายริมฝีปากออกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม



“งั้น...” แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ยียวนกวนประสาทที่สุด “เต็ม ไม่ บอก”



“ไอ้น้องบ้า” พูดจบมือเล็ก ๆ ก็ตีเข้าที่แขนของน้องชายดังเผียะ



“ตีทำไม เต็มเจ็บนะพี่ชล” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันพร้อมกับลูบแขนตัวเองป้อย ๆ



“ก็ตีให้เจ็บไง อยากกวนดีนัก” ชลธรกอดอกมองน้องชายอย่างหมั่นไส้แต่แล้วในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมา เพราะอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นน้องชายที่เธอเอ็นดูเสมอมา 



“กลับบ้านดีกว่า” ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะหันไปตะโกนเรียกน้องชาย เพียงไม่นานเด็กชายตามตะวันก็วิ่งออกมาพร้อมกับเป้ใบโตที่หลัง จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินไปที่รถโดยมีพี่สาวคนโตเดินตามไปส่ง



“เต็มไปนะ” เจ้าของรถหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากวางเป้ของทั้งตัวเองและของน้องชายที่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว รู้ดีว่าเวลาที่จะต้องไกลกันใกล้จะมาถึงอีกแล้ว   



“วันกลับอย่าลืมแวะมาล่ะ” ชลธรยังคงสั่งเหมือนทุกครั้ง 


“รู้แล้วน่า” เป็นคำตอบที่เหมือนคนถูกสั่งจะรำคาญแต่เขาก็กลับมาตามที่เธอบอกทุกครั้ง



พี่สาวคนโตมองตามน้องชายทั้งสองที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในนั่งในรถ เพียงไม่นานเสียงเครื่องยนต์ทำงานก็ดังขึ้น เด็กชายตามตะวันซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับลดกระจกลงพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “ตามไปแล้วนะครับพี่ชล”



ชลธรพยักหน้ายิ้มตามน้องชายคนเล็ก รอยยิ้มที่ดูปลอดโปร่งของตามตะวัน เป็นรอยยิ้มที่เธอแทบจะลืมมันไปแล้ว...



ศิธาพัฒน์จอดมอเตอร์ไซค์แอบไว้ที่โรงรถ นึกชื่นชมรายการพยากรณ์อากาศที่เปิดดูเมื่อตอนเช้าก่อนออกไปทำงานที่บอกว่าวันนี้จะมีฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่ำทำให้เขาไม่ลืมที่จะพกเสื้อกันฝนติดไปด้วย ฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยปรายลงมาตั้งแต่ยังไม่เลิกงานจนกระทั่งตอนนี้กลับหนาเม็ดขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ  ฟ้าสีหม่นที่คำรามเสียงดังราวกับกำลังโกรธเกรี้ยวทำเอาเจ้าลูกสุนัขสีดำของคุณลุงข้างบ้านที่วิ่งเข้ามาอาศัยหลบฝนในโรงรถครางหงิง ๆ ด้วยความกลัว พนักงานไปรษณีย์หนุ่มเอื้อมมือลูบหัวเจ้าหมาน้อยเบา ๆ ให้มันคลายความตื่นกลัวก่อนจะอุ้มมันขึ้นบ้านจากวางมันลงที่ม้านั่งริมระเบียงหน้าบ้าน จัดการถอดเสื้อกันฝนพลาสติกพาดตากก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนตัวดำที่กำลังนั่งตัวสั่นไม่รู้เพราะกลัวเสียงฟ้าหรือเพราะอากาศที่หนาวเย็นกันแน่ มือหนาโอบกระชับลำตัวของมันราวกับกอดคอเพื่อนสนิท



“แกไม่ชอบเสียงฟ้าร้องใช่ไหมนังหนูแรมโบ้” ปากอิ่มขยับยิ้มเมื่อเจ้าหมาน้อยเงยหน้าขึ้นมาร้องหงิง ๆ



“ไม่ต้องกลัวน่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็อุ้มมันมาวางบนตักพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ จนกระทั่งเจ้าแรมโบ้ที่ดิ้นขลุกขลักเริ่มสงบลง ในที่สุดมันก็หลับตาพริ้มยอมนอนอยู่บนตักของเขาแต่โดยดี ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองกังหันของเล่นที่เสียบเอาไว้ที่หน้าต่าง ใบกังหันสีฟ้าหมุนเร็วบ้างหมุนช้าบ้างไปตามแรงลม แต่ใจของเขาตอนนี้ไม่รู้ว่าลอยตามแรงของอะไร...
 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2017 15:43:23 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เสียงดังกุกกักที่ชั้นล่างของบ้านปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ค่อย ๆ ปรือตาตื่นขึ้นแต่เช้า ฝนที่ตกทั้งคืนทำให้อากาศวันนี้เย็นสบายจนหลายคนแทบจะไม่อยากลุกจากที่นอน ชายหนุ่มเจ้าของห้องนอนที่ใต้หลังคายันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับใช้มือขยี้ผมตัวเองด้วยความงัวเงียก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ


 
"เจ้าแยกของตามตี้ป้อเลี้ยงบอกแล้วเน้อเจ้า แล้วป้อเลี้ยงจะเอาของหมู่นี้ไปเยียะอะหยังกาเจ้า" หัวหน้าแม่บ้านที่กำลังลากลังกระดาษออกมาจากห้องเก็บของกล่าวกับนายใหญ่ของบ้านที่ยืนสั่งการอยู่ไม่ไกลนัก



“ถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าน่ะ เดี๋ยวเอาไปแจกกันก็แล้วกันนะ” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวก่อนจะเดินเข้ามารื้อ ๆ ค้น ๆ ของกองพะเนินที่ถูกนำออกมาจากห้องเก็บของ “ของเล่นกับเสื้อผ้าของเจ้าเต็มสมัยเด็ก ๆ ก็ให้ลูกคนงานไป แม่เขาเก็บของเขาอย่างดี น่าจะยังใช้การได้ดีอยู่ ส่วนหนังสือ....” พูดพลางจับปลายคางตัวเองพร้อมกับมองหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรที่วางกองเป็นตั้ง ๆ อย่างใช้ความคิด “ให้คนขนเอาไปไว้ที่ห้องสมุดประชาชนของหมู่บ้านก็แล้วกัน คนอื่นจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้”



"ถ้าจะอั้นขวาย ๆ เจ้าจะฮื้อคนงานป้อจายเข้ามาจ่วยขนออกไปฮื้อเน้อเจ้า" เธอกล่าวขณะดึงกล่องกระดาษมีฝาปิดใบหนึ่งออกมาจากกองหนังสือ เมื่อเปิดฝาออกก็พบชุดกระโปรงสีฟ้าน่ารักถูกพับเก็บอยู่ในนั้น



"ชุดนี้หละเจ้า มันยังใหม่ ๆ อยู่เลย ป้อเลี้ยงจะฮื้อเจ้าเยียะจะใด"



พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่จ้องมองชุดกระโปรงในมือของหัวหน้าแม่บ้านตาไม่กะพริบ ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งที่กำลังลงบันไดมาก็ดังขึ้น



“ทำอะไรกันแต่เช้าเลยน่ะพ่อ” ลูกชายคนโตที่เพิ่งเดินลงบันไดมาเอ่ยขึ้นพร้อมกับปิดปากหาว




“พ่อสั่งให้คนรื้อห้องเก็บของน่ะ ปล่อยไว้นานกลัวว่าปลวกมันจะขึ้น” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะหันไปสั่งการหัวหน้าแม่บ้านต่อ “เอาเก็บใส่กล่องไว้ก่อน”



หญิงสาวที่กำลังรอฟังคำสั่งจากนายพยักหน้าก่อนจะพับชุดกระโปรงใส่คืนลงในกล่องเหมือนเดิมจากนั้นจึงวางรวมไว้กับของที่ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันดี




“เต็มคิดว่าพ่อให้คนอื่นไปแล้วเสียอีก” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเดินไปหยิบกล่องใบนั้นมาถือไว้




“พ่อจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน ในเมื่อมันเป็นของแก แกเป็นคนเก็บเงินซื้อมัน” ผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมกับเดินมาโอบไหล่ลูกชาย “ไปกินข้าวเถอะ”



เต็มฟ้าวางกล่องกระดาษในมือลงบนโต๊ะอาหารก่อนที่สองพ่อลูกจะนั่งลงเงียบ ๆ เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง ไม่นานร่างเล็ก ๆ กับรอยยิ้มแจ่มใสของน้องชายก็ปรากฏขึ้นที่ประตู ตามตะวันกึ่งวิ่งกึ่งเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะทักทายพ่อและพี่ชาย




“กล่องอะไรเหรอครับพี่เต็ม” เด็กชายเอ่ยขึ้นระหว่างรับประทานอาหาร แต่แทนที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะตอบคำถามนั้น เขากลับนั่งนิ่งจ้องมองกล่องกระดาษที่วางอยู่ห่างมือไม่มากนัก




“กล่องใส่ความทรงจำของพี่เต็มเขา” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม



คำพูดนั้นนอกจากจะทำให้ลูกชายคนโตที่กำลังนั่งเงียบ ๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเด็กเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อแล้วยังสร้างความสนใจให้ลูกชายคนเล็กได้ไม่น้อย



“ข้างในใส่อะไรไว้เหรอฮะ” หนุ่มน้อยพูดไปทั้ง ๆ ในใจก็ไม่ได้หวังว่าพี่ชายจะเปิดให้ดูว่าข้างในมีอะไร



“ขอพี่เขาดูสิ” ผู้เป็นพ่อกล่าวทั้งที่ยังสบตาลูกชายคนโต



เต็มฟ้าวางมือลงบนกล่องก่อนจะกำแน่น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น “เต็มอิ่มแล้ว เต็มไปท้ายไร่นะพ่อ” พูดจบก็เดินออกจากโต๊ะอาหารไปดื้อ ๆ สร้างความงุนงงให้ตามตะวันไม่น้อย



“ในนั้นคงมีของสำคัญใช่ไหมฮะพ่อ” ลูกชายคนสุดท้องกล่าวกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงมองตามคนที่ผลุนผลันเดินออกไปโดยไม่ได้คัดค้าน พ่อเลี้ยงตรัยค่อย ๆ หันกลับมาก่อนจะยิ้มจาง ๆ และตอบคำถามนั้น



“สำคัญมากเลยละ”









เต็มฟ้าจอดจักรยานที่ริมลำธารที่วันนี้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากฝนตกติดต่อกันหลายวัน ร่างสูงเดินลุยน้ำไปอย่างทุลักทุเลในมือยังคงถือกล่องกระดาษใบนั้นเอาไว้แน่น เมื่อเดินมาถึงต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับวางกล่องกระดาษลงบนตัก ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออกความทรงจำเก่า ๆ ก็พรั่งพรูออกมาราวกับมันเป็นกล่องเก็บความทรงจำอย่างที่พ่อพูดไม่มีผิด มือเรียวก็ค่อย ๆ สัมผัสลงบนชุดกระโปรงสีฟ้าก่อนจะลูบไปมาอย่างทะนุถนอม...






‘เต็มอยากมีน้องสาว เต็มจะซื้อชุดสวย ๆ ให้น้องใส่’





ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคำรามครืน ๆ อยู่ไกล ๆ หน้าคมแหงนขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกลงมาอีกระลอก เสียงเท้าแหวกสายน้ำชวนให้ต้องขยับตัวลุกขึ้นยืน ตาจ้องมองไปยังร่างเล็ก ๆ ที่เดินใกล้เข้ามาพลันคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันทันที




“มาที่นี่ทำไม พ่อรู้หรือเปล่า”         




“พ่อออกไปไร่ฮะ แต่ตามบอกพี่แจ่มเอาไว้ ตามเห็นฝนมันจะตกก็เลยเอาร่มมาให้พี่เต็ม” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับยื่นร่มคันใหญ่ในมือให้พี่ชาย



“แล้วมายังไง” เต็มฟ้าถามขณะรับร่มมาถือเอาไว้




“ตามเดินมาฮะ” คำตอบนั้นยิ่งทำให้คิ้วหนาขมวดมุ่นมากขึ้นไปอีก




“ปล่อยให้เดินกลับเองเสียดีไหม” ชายหนุ่มกล่าวแบบไม่จริงจังนัก แต่ดูเหมือนว่าคนฟังกำลังจริงจังกับสิ่งที่ได้ยิน ตามตะวันยังคงยืนมองพี่ชายที่กำลังเดินผ่านเขาไป ในที่สุดหนุ่มน้อยก็ตัดสินใจเดินตามพี่ชายไปจนถึงริมลำธาร




ชายหนุ่มที่ในมือถือของพะรุงพะรังจุ่มเท้าลงไปในน้ำความสูงระดับหน้าแข้ง พยายามตั้งหลักหาที่ยืนมั่น ๆ ก่อนจะหันกลับมามองน้องชายที่ยังคงยืนลังเลอยู่บนฝั่ง “ไม่กลับบ้านหรือไง” พูดจบก็ยื่นมือให้น้องชายจับ



ตามตะวันมองมือเรียวที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างตัดสินใจ ตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยมีโอกาสจับมือของพี่ชายเลยสักครั้ง หนุ่มน้อยค่อย ๆ วางมือเล็ก ๆ ของตัวเองลงบนมือของคนตรงหน้า



มือพี่เต็ม....นิ่มแล้วก็อุ่น... นั่นคือสิ่งที่ตามตะวันรู้สึกได้ มือนิ่ม ๆ นั่นค่อย ๆ กุมกระชับมือเล็กเอาไว้แน่นก่อนจะพากันเดินข้ามลำธารไปยังอีกฝั่ง



เต็มฟ้ารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือเล็กที่เกาะเกี่ยวมือของเขาแน่นยิ่งขึ้นขณะเดินไปตามก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ คงเป็นเพราะกลัวว่าจะลื่นล้ม พี่ชายจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “เดินข้ามมาได้ยังไงคนเดียว น้ำแรงขนาดนี้” ร่างสูงกล่าวโดยที่ไม่ได้หันมาสบตาคนฟัง ตามตะวันเองก็ไม่ได้โต้เถียงใด ๆ นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเดินข้ามมาได้อย่างไร ขนาดเต็มฟ้าที่ตัวสูงกว่ามากเมื่อยืนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของลำธารระดับน้ำยังเกือบถึงหัวเข่า หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนตัวสูงตรงหน้า



...รู้แต่เพียงว่าจะต้องข้ามมาเพื่อเอาร่มมาให้พี่ชายให้ทันก่อนที่ฝนจะตกก็เท่านั้น




ฝนที่เริ่มตกปรอย ๆ ทำให้ต้องเร่งฝีเท้าขึ้นจนในที่สุดก็ถึงฝั่ง “ตามถือให้ไหม” เด็กชายตามตะวันเอ่ยขึ้นขณะมองดูพี่ชายที่กำลังขึ้นนั่งคร่อมบนอานจักรยานพร้อมกับกางร่มไปด้วยดูเก้ ๆ กัง ๆ ไม่น้อย เต็มฟ้าพยักหน้าก่อนจะส่งกล่องกระดาษในมือให้น้องชาย หนุ่มน้อยตามตะวันรับกล่องใบนั้นมากอดเอาไว้แน่นก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย ต่อจากนั้นภาพที่คนงานในไร่เห็นก็คือภาพพี่น้องที่พากันขี่จักรยานลัดเลาะไปตามทางดินแคบ ๆ ที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา มือหนึ่งของพี่ชายกำคันร่มแน่นโดยพยายามที่จะเอนไปด้านหลังเพื่อไม่ให้น้องเปียกแต่สุดท้ายเมื่อมาถึงบ้านก็เปียกมะล่อกมะแล่กกลายเป็นลูกหมาตกน้ำของพ่อด้วยกันทั้งคู่




.....



“แกแน่ใจเหรอว่าไม่ต้องให้พ่อไปส่ง” พ่อเลี้ยงตรัยถามอีกครั้งขณะเดินออกมาส่งลูกชายที่หน้าบ้าน



“ไม่ต้องหรอกพ่อ เดี๋ยวเต็มติดรถพี่แจ่มไปนี่แหละ ยังไงพี่แจ่มก็ต้องออกไปซื้อของในเมืองอยู่แล้ว” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้แก่หัวหน้าแม่บ้านสาวเชียงใหม่ว่าเขาพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ดังนั้นคนที่นั่งเตรียมพร้อมอยู่ในตำแหน่งคนขับจึงติดเครื่องรอทันที 




“แต่น้องมันอยากไปส่ง...”



เต็มฟ้าสบตาผู้เป็นพ่อก่อนจะหันกลับไปมองเด็กชายที่กำลังยืนเกาะประตูมองมาที่เขา




“ให้ไปส่ง เดี๋ยวก็ไปร้องไห้กลางสถานีรถไฟอีก ไม่ต้องไปนั่นแหละดีแล้ว” ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีสายตาวิงวอนก่อนจะยื่นกล่องกระดาษให้ผู้เป็นพ่อ




“เต็มฝากพ่อเอาให้ลูกคนงานด้วยแล้วกันนะครับ”




“แกแน่ใจเหรอ”




เต็มฟ้าพยักหน้า “เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ พ่ออยากเอาไปให้ใครก็ให้เถอะ”




พ่อเลี้ยงตรัยพนักหน้าพร้อมกับรับกล่องใบนั้นมาถือเอาไว้ ได้แต่มองดูลูกชายที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถด้วยแววตาเศร้าสร้อย




“พี่เต็ม!!!!”


ยังไม่ทันที่คนถูกเรียกจะหันกลับไปมอง ร่างเล็กก็ปะทะเข้าที่ด้านหลัง แขนเล็ก ๆ โอบรัดพี่ชายเอาไว้หวังจะตรึงเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยก็ยังดี เสียงสะอื้นฮั่กทำเอาผู้เป็นพ่อต้องเบือนหน้าหนี


เต็มฟ้ายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อย ๆ แกะมือน้องชายออก เขาหันกลับมาช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งเงยหน้าขึ้นสบตาแดงก่ำของหนุ่มน้อยตรงหน้า “เป็นลูกผู้ชายน่ะเขาไม่ขี้แยหรอกนะรู้ไหม”


“แต่ตาม ตะ..ตาม ไม่อยากให้พี่เต็มกลับ ฮือ...” มือเล็ก ๆ ยกขึ้นขยี้ตาตัวเอง



เต็มฟ้าผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะค่อย ๆ ดึงมือของน้องออก ดวงตาที่เคยสว่างสดใสกลับแดงช้ำอยู่หลังม่านน้ำตา “หยุดร้องได้แล้ว เราเป็นลูกผู้ชายนะ”



น้องชายรีบปาดน้ำตาพร้อมกับพยักหน้ารับคำ พยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นแต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เต็มฟ้ายืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะรีบหันหลังให้ ทั้งที่บอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แต่ตัวเองกลับต้องน้ำตาซึมเสียเอง....






รถกระบะที่ใช้ขนผลผลิตทางการเกษตรขับพาลูกชายเจ้าของไร่มาแวะที่เกสต์เฮาส์เพื่อร่ำลาเดือนดาราและชลธร ก่อนที่จะไปส่งยังจุดหมายปลายทางนั่นคือสถานนีรถไฟนครลำปาง เต็มฟ้ากล่าวขอบคุณคนมาส่งก่อนจะลงจากรถ สะพายเป้ขึ้นหลังแล้วเดินหายเข้าไปหลังประตูโค้งขนาดใหญ่ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า...



หนักงานไปรษณีย์หนุ่มชะลอรถมอเตอร์ไซค์มองดูอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้รูปทรงที่แปลกตา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมล้านนาและยุโรปเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งที่สะดุดตาคือมีประตูทางเข้ารูปโค้ง มีลายไม้ฉลุตามระเบียงและเหนือวงกบประตูและหน้าต่าง ศิธาพัฒน์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ด้านหน้าของอาคารก่อนจะหยิบอัลบั้มภาพถ่ายขาวดำออกมาเปิดหาภาพที่ตรงกับสถานที่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็มาหยุดที่ภาพถ่ายใบหนึ่งซึ่งพ่อกับแม่ถ่ายด้วยกัน นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่ามาไม่ผิดแน่ นี่คือสถานีรถไฟนครลำปาง ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองก่อนจะเก็บอัลบั้มใส่กระเป๋าสะพายข้างจากนั้นจึงเดินเข้าไปในสถานี




เต็มฟ้าหยิบตั๋วรถไฟจากกระเป๋ากางเกงออกมากางก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนบอกเวลาเรือนใหญ่ซึ่งเข็มสั้นและเข็มยาวแสดงให้รู้ว่าขณะนี้เลยเวลาเคารพธงชาติมาเกือบสามสิบนาที อีกสามสิบนาทีรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 จากสถานีเชียงใหม่ปลายทางสถานีกรุงเทพฯ จะเข้าจอดเทียบชานชาลา ชายหนุ่มเดินมานั่งลงที่ม้านั่งริมชานชาลาซึ่งมีเลขแสดงโบกี้ตรงกับที่ระบุไว้ในตั๋ว เป้ใบโตถูกวางลงกับพื้น ดวงตาทอดมองไปตามรางเหล็กที่วางทอดยาวขนานกันไปบนไม้หมอนรถไฟ เป็นอีกครั้งที่เขามารอขึ้นรถไฟโดยไม่มีคนในครอบครัวมาส่ง




‘กลัวว่าถ้ามีคนไปส่งแล้วจะไม่อยากไปใช่ไหมล่ะ’ นั่นเป็นคำถามที่ชลธรมักจะถามเขาเสมอ ๆ เมื่อเธอถูกห้ามไม่ให้ตามมาด้วย บางครั้งก็แอบยอมรับในใจว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เธอว่า แต่ถ้าการมาส่งจะต้องทำให้มีใครคนหนึ่งเสียน้ำตา และน้ำตานั้นทำให้คนอีกคนไม่สามารถจะตัดใจจากไปได้ สู้ร่ำลากันเสียแต่ที่บ้านแล้วไม่ต้องมีใครมาส่งดีกว่า เพราะถึงแม้จะอยู่ด้วยกันนานเพียงใด สุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดี ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ขณะนี้จวนได้เวลารถจอดเทียบชานชลาเข้าไปทุกขณะ บริเวณรอบ ๆ สถานีปกคลุมไปด้วยความมืด วันนี้ผู้โดยสารที่รอเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับวันเสาร์หรืออาทิตย์ ครู่หนึ่งเสียงประกาศจากนายสถานีก็ดังขึ้นเพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารที่รอเดินทางทราบว่ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ที่มีกำหนดเข้าเทียบชานชาลาในเวลาหนึ่งทุ่มตรงจะถึงสถานีนครลำปางล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด เมื่อสิ้นสุดเสียงประกาศหลายคนต่างพากันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หลายคนชวนกันออกไปหาอะไรรองท้องที่ร้านค้าหน้าสถานี ในขณะที่อีกหลายคนก็ยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ที่เดิมเพื่อฆ่าเวลาโดยไม่รู้เลยว่ารถจะมาถึงสถานีเมื่อไร




“ถ้านั่งเครื่องป่านนี้คงถึงไปแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้นใกล้ตัว ทำเอาคนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง


“นึกว่าใคร ที่แท้ก็.........” เต็มฟ้าลากเสียงในขณะที่ศิธาพัฒน์เองก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร



“ใครวะ”



“กวนตีนว่ะ” เจ้าของร่างสูงหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ



“มาได้ไง”



“มาตามกลิ่น”



คนถามทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะยกแขนตัวเองขึ้นดม “กลิ่นอะไร ไหน ๆ กลิ่นอะไร”



“ไอ้เด็กบ้า เลิกพูดจากวนประสาทได้แล้ว คุยกันดี ๆ สักวันไม่ได้เลยหรือไง” ศิธาพัฒน์กดยิ้มที่มุมปากมองชายหนุ่มข้าง ๆ ที่รีบหุบปากสนิท



“จะกลับกรุงเทพฯ เหรอ”



“อือ” เต็มฟ้าตอบเพียงสั้น ๆ



“แล้วทำไมไม่นั่งเครื่องกลับ ก็รู้ ๆ อยู่ว่ารถไฟมันเสียเวลา”



“ก็ไม่ได้บอกสักคำว่ารีบ” คำพูดที่ยังคงยียวนกวนเบื้องล่างนั้นทำเอาคนถามต้องลอบถอนใจ



“รู้ว่าไม่รีบ แต่ถ้านั่งเครื่องกลับก็จะได้มีเวลาอยู่กับคนที่บ้านนาน ๆ ไม่ต้องมานั่งรอให้เสียเวลาแบบนี้”



“จะอยู่นานอีกกี่ชั่วโมงสุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” มันเป็นประโยคที่ยากจะหาเหตุผลใด ๆ มาหักล้าง เพราะศิธาพัฒน์เองก็คิดแบบนั้นไม่ต่างกัน



“เมื่อกี้ยังไม่ตอบเลยว่ามานี่ได้ยังไง” เต็มฟ้าย้อนกลับไปถามคำถามแรกอีกครั้ง



“มาตามลายแทง”



“หมายความว่ายังไงมาตามลายแทง” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยขณะที่ดวงตาจ้องมองชายหนุ่มซึ่งกำลังควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพาย


“นี่ไง” ปากอิ่มเผยอยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับยื่นอัลบั้มรูปมาให้



“อัลบั้มรูปเหรอ” เต็มฟ้ามองอัลบั้มรูปในมือหนาอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตจึงรับอัลบั้มรูปนั้นมาเปิดดูอย่างถือวิสาสะ



“พ่อกับแม่พี่เอง”



“ใครนะ”



“พ่อกับแม่พี่ไง คนในรูปน่ะ”



“ใครถาม” คนพูดหัวเราะชอบใจ เล่นเอาศิธาพัฒน์คิ้วกระตุกหุบยิ้มแทบไม่ทัน มือหนาเอื้อมคว้าอัลบั้มรูปคืนมา



“พอเลย ไม่ต้องดูแล้ว”



“เฮ้ย! ดูๆๆๆๆ แหม....ล้อเล่นแค่นี้” พูดจบก็ดึงอัลบั้มรูปจากคนข้าง ๆ ที่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรมาเปิดดูต่อไปเรื่อย ๆ



“นี่กะว่าจะไปทุกที่ในภาพเลยใช่ไหม”



“อือ” คนถูกถามพยักหน้า



“ทำยังกับตามรอยซีรีย์เกาหลี แล้วนี่ไปมาครบหรือยัง”



“ยังเลย บางที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ถ้าไกล ๆ ก็ต้องไปวันหยุด ไม่มีคนนำทางก็ไปไม่ถูก”



เต็มฟ้าพยักหน้าขณะก้มลงพิจารณาภาพสองหนุ่มสาวที่ยืนข้าง ๆ กันที่เชิงบันไดนาคซึ่งทอดยาวขึ้นสู่ซุ้มประตูใหญ่ นิ้วเรียวชี้ลงบนภาพนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่นั่งข้าง ๆ กัน “นี่น่ะ วัดพระธาตุลำปางหลวง”



“อยู่ไกลไหม”



“อืม..จากนี่ไปเกาะคาก็สักยี่สิบกิโลละมั้ง” พูดจบเต็มฟ้าก็ส่งอัลบั้มรูปคืนเจ้าของ



“ไว้จะลองไปดู” ศิธาพัฒน์กล่าวขณะรับอัลบั้มรูปคืนมาก่อนจะเก็บลงกระเป๋า



“เมื่อกี้ถามยังไม่ตอบเลยว่าทำไมไม่นั่งเครื่องกลับ”



“ติสท์ไง”



“เหอะ! ติสท์กับนิสัยเสียมันแบ่งด้วยเส้นบาง ๆ นะ”



“ว่าแต่คนอื่นกวนตีน” เต็มฟ้าเหล่มองคนข้าง ๆ อย่างหมั่นไส้



“ก็ตอบดี ๆ สิ คนเขาถามดี ๆ”
 


“อืม...ก็...” เต็มฟ้าใช้นิ้วเคาะที่ปลายคางเป็นจังหวะอย่างใช้ความคิด “การนั่งรถไฟทำให้ได้เห็นอะไรที่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น”




“เนี่ยนะคำตอบ” คนตั้งคำถามทอดถอนลมหายใจ “แล้วอะไรบ้างที่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น”



ยังไมทันที่คนถูกถามจะได้ขยายความ เสียงประกาศของนายสถานีก็ดังขึ้นเพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่าขบวนรถที่กำลังจะเข้าจอดเทียบชานชาลาคือขบวนรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 นั่นเอง สิ้นเสียงประกาศแสงไฟจากหน้าขบวนรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้สถานีจนในที่สุดเสียงหวูดก็ดังขึ้น บรรดาผู้โดยสารต่างเตรียมหิ้วกระเป๋าสัมภาระมายืนรอที่ริมชานชาลา



“ไว้วันหลังค่อยมาตอบก็แล้วกันนะ รถไฟมาแล้ว” พูดจบเต็มฟ้าก็ลุกขึ้นสะพายเป้ก่อนจะขยับไปยืนที่ขอบชานชาลาโดยมีศิธาพัฒน์ลุกตามไปยืนใกล้ ๆ กัน




“ขอบคุณสำหรับข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่นะ”



คำพูดนั้นทำให้ต้องเหลียวกลับมา เต็มฟ้าพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังแสงไฟหน้าขบวนรถ ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ซึ่งมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็เข้าจอดเทียบชานชาลาเป็นที่เรียบร้อย เสียงประกาศจากสถานีดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความวุ่นวาย บรรดาผู้โดยสารต่างรีบขนสัมภาระขึ้นไปบนขบวนรถเพื่อหาที่นั่งของตัวเอง


“เดินทางปลอดภัยนะ” ศิธาพัฒน์กล่าวกับคนที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับความวุ่นวายตรงหน้า เขายังคงยืนนิ่ง ๆ และหลีกทางให้ผู้โดยสารโบกี้เดียวกันหอบสัมภาระขึ้นไปบนขบวนก่อนเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อคนสุดท้ายขึ้นไปบนขบวนเป็นที่เรียบร้อย เต็มฟ้าจึงขยับทำท่าจะก้าวขึ้นตามไป แต่แล้วเขาก็ชะงักก่อนจะหันกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง



“ไปก่อนนะ พี่ศิธา” พูดจบก็กระโดดแผล็วขึ้นไปบนขบวนรถทันที


ศิธาพัฒน์มองตามร่างสูงที่สะพายเป้ใบโตเดินหาที่นั่ง ในที่สุดก็เดินไปหยุดที่กลางโบกี้ก่อนจะนั่งลงทอดสายตามองออกไปในความมืด เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้ง เพียงไม่ถึงอึดใจรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนออกจากชานชาลาของสถานีนครลำปาง ภาพของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา...แล้วก็ผ่านไปในที่สุดจนกระทั่งลับหายไป





‘พี่ศิธา’ อย่างนั้นเหรอ ศิธาพัฒน์กดยิ้มที่มุมปาก ถึงมันจะเป็นชื่อเรียกที่ดูห่างเหินเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยวันนี้เขาก็มี ‘น้อง’ เพิ่มขึ้นอีกคน








...



สวัสดีค่ะ ตอนที่ 8 มาแล้วนะคะ เขียนตอนนี้มันส์มาก ๆ
อยู่ ๆ ก็อยากมีตัวละครพูดเหนือขึ้นมาซะงั้น
ทีนี้ก็เลยเดือดร้อนคุณคนอ่านต้องมาช่วย translate ให้
ต้องขอบคุณ translator ทุกท่านเป็นอย่างสูงค่ะ
(เป็นการเขียนนิยายแบบผู้อ่านมีส่วนร่วมมาก ๆ ฮ่าๆๆ ^^)
จบตอนนี้เราขออนุญาตพักยาว ๆ เพื่อส่งการบ้าน “ตัง จ้า” กับ สนพ. หน่อยนะคะ
แล้วไว้พบกันในตอนที่ 9 ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยตรวจคำผิดให้
และขอบคุณที่แนะนำเรื่องนี้ในกระทู้แนะนำนิยายด้วยค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2014 10:05:51 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Nemasis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
น่าฮักขนาดดดดดเลยเจ้า

พี่ศิธา อร๊ายย

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
นี่ที่อุตส่าห์แอบไปถอดหมอนรถไฟออก ถ่วงเวลาได้แค่นี้เองใช่มั้ย? ฮือออออ
แม่ยกพี่ปุ่นช้ำใจ ทำไมพระนายต้องไกลกัน
ยังไม่พอ ปลายทางยังมีอีตาหมออีก ฮืออออออออ

เปิ้นบ่ายอมหนา เปิ้นอยากหื้อเต็มอยู่ลำปางกับอ้ายปุ่นอ่ะ  ไปลากคอเต็มปิ๊กลำปางบ่าเดี่ยวนี้ (โหดแต้) :sad4:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

ออฟไลน์ butter.juliet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
พี่เต็มหลงรักน้องตามและใช่ม้าาาาา  :mc4: :mc4:
ดีใจแทนน้องตามผุดๆ ค่อยๆเปิดใจนะพี่เต็ม แล้วความสุขจะตามมา รอตอนต่อไปค่าาา

ปล.ภาคเหนือปกติไม่ใช้คำว่า 'นาย' แทนตัวนายจ้างนะคะ ใช้คำว่า "พ่อเลี้ยง (ป้อเลี้ยง)"

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
พี่ศิธา น้องเต็ม น่าฮักๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นนะระหว่างเต็มกับพี่ปุ้น

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
จะร้องไห้ตามน้องตาม การลาจากช่างเจ็บปวด :mew6:
จังหวะชีวิตชอบเป็นอย่างนี้เนอะ พอความสัมพันธ์เริ่มดีก็ต้องห่างกัน :katai1:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ใจ๋ลอยโตยลมฮักลมกึ๊ดเติงเหียก้าอ้ายปุ่น :-[
อย่างน้อยก็เลื่อนเป็นน้องแล้ว สำหรับ ปุ่น เต็ม

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
อยากได้ยินประโยค แล้วเจอกัน ชะมัด
เข่้าใจเลย เราเวลาแม่มาหานานๆก็ไม่อยากให้กลับ คิดถึง 55555 กลายเป็นน้องตามไปแล้ว
เรื่องจะเป็นยังไงต่อเนี่ย อยากรู้จังๆ

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
อยากให้เต็มหันกลับมามองน้องตามดีๆสักครั้ง
แล้วจะรู้ว่าน้องรักมากแค่ไหน :hao5:
แต่ความสัมพันธ์จะต้องค่อยๆพัฒนาละนะ
เหมือนกับพี่ศิธานี่ไงเนอะ :mew1:

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
น้องตามน่ารักอ่ะ น่าสงสารด้วย อยากเชียร์ให้พี่ปุ่นชะมัด  แต่ดูท่าจะช้าไป พี่ปุ่นหวั่นไหวไปกับพี่เต็มซะแร้วววว  :o8:

จะเขี่ยคุณหมอออกไปยังไงดี  o18

ปอลอลิง   :กอด1:


มันอาจเป็นเพราะคู่ปรับกำลังจะจากไปโดยยังไม่ได้มีโอกาสขอคุณสำหรับข้าวผัดในวันนี้ก็ได้...


ขอบคุณ


เพียงไม่นานเสียงเคลื่อนยนต์ทำงานก็ดังขึ้น เด็กชายตามตะวันซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับลดกระจกลงพร้อมกับส่งยิ้มมาให้


เครื่องยนต์


"ชุดนี้หละเจ้า มันยังใหม่ ๆ อยู่เลย ป้เลี้ยงจะฮื้อเจ้าเยียะจะใด"


น่าจะตก อ.อ่าง นะฮะ


ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคำรามคลืน ๆ อยู่ไกล ๆ


ครืน


ฝนที่เริ่มตกปรอย ๆ ทำให้ต้องเริ่งฝีเท้าขึ้นจนในที่สุดก็ถึงฝั่ง


เร่ง



เขาหันกลับมาช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งเงยหน้าขึ้นสบตาแดงกร่ำของหนุ่มน้อยตรงหน้า


แดงก่ำ /  แดงกล่ำ


อีกสามสิบนาทีรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 จากสถานีเชียงใหม่ปลายทางสถานีกรุงเทพฯ จะเข้าจอดเทียบชานชลา ชายหนุ่มเดินมานั่งลงที่ม้านั่งริมชานชลา

ก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ขณะนี้จวนได้เวลารถจอดเทียบชานชลาเข้าไปทุกขณะ

รถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ที่มีกำหนดเข้าเทียบชานชลาในเวลาหนึ่งทุ่มตรง

ขบวนรถที่กำลังจะเข้าจอดเทียบชานชลาคือขบวนรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 นั่นเอง สิ้นเสียงประกาศแสงไฟจากหน้าขบวนรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้สถานีจนในที่สุดเสียงหวูดก็ดังขึ้น บรรดาผู้โดยสารต่างเตรียมหิ้วกระเป๋าสัมภาระมายืนรอที่ริมชานชลา

พูดจบเต็มฟ้าก็ลุกขึ้นสะพายเป้ก่อนจะขยับไปยืนที่ขอบชานชลาโดยมีศิธาพัฒน์ลุกตามไปยืนใกล้ ๆ กัน

ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ซึ่งมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็เข้าจอดเทียบชานชลาเป็นที่เรียบร้อย

พียงไม่ถึงอึดใจรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนออกจากชานชลาของสถานีนครลำปาง


ชานชาลา








ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
จากกันอีกแล้ว เมื่อไหร่จะรักกันนะ ลุ้นอยู่

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ justonce

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
แอบจิ้นพี่เต็มกับน้องตาม

ออฟไลน์ แป้งข้าวหมาก

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
อ้ากกกก...เต็มกลับเมืองกรุงไปแล้ว  :ling1:
แล้วจะยังไงต่อหล่ะนี่.....

ThyRist

  • บุคคลทั่วไป
แวะมาลงชื่อครับ ตามอ่านรวดเดียวจนจบ 8 ตอนเลย วันนี้


ชอบภาษา แล้วก็ตัวละครในเรื่องครับ

น่ารักมากจริง ๆ ><

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เรายังแอบขัดใจกับเต็มเล็กๆ อยู่เลยอ้ะ
สงสารน้องตาม 5555555

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
โอ้ยยยยยยยยย น่ารักมากกกกกกกกกกกกก:)

อ่านแล้วแบบหลงรักคุณบุรุษไปรษณีย์เลยแหละ

มาต่อไวไวนะคะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
น้องตามน่ารักมากเลยลูก อยากกอด ๆ
ส่วนเต็มกับพี่ปุ่นเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกละเนี่ย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
อ้าววว เผลอแป๊บเดียว ห่างกันซะแล้ว
จะมีโปสการ์ดจากพี่ชายบุรุษไปรศนีย์ส่งไปหาน้องเต็มบ้างมั้ยคะ? :'))
เอาไว้กัดกันเวลาคิดถึงไง กัดกันผ่านโปสการ์ดน่ารักดีออกนะ ไม่ค่อยมีใครทำด้วย 55555

ตอนนี้ชอบโมเม้นท์พี่น้องปั่นจักรยานมากเลยค่ะ
พี่เต็มดูใจดีกับน้องตามขึ้นเยอะเลย จริงๆ ก็รักน้องใช่มั้ยล่ะ?
แต่เพราะสิ่งที่ยังคงฝังอยู่ในใจเลยทำให้ทิฐิบังตาอยู่อย่างนี้ไง
แต่ค่อยๆ รักไปแบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ

น้องตามนายเอกมาก 5555555555

รอตอนหน้าค่ะ

ปล.คิดถึงพ่อหนุ่มเดรทร็อคจังเลยยยย  :-[

ิbabobean

  • บุคคลทั่วไป
ช่วงเวลาแห่งการจากลาและรอคอยมักทรมานเสมอ TT
กลับมาตอบคำถามพี่ศิธาไวไวนะคะน้องเต็มฟ้า
เป็นนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกเย็นสบายจริงๆค่ะ (แม้อากาศตอนอ่านจะร้อนแค่ไหน)

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แอบน้ำตาไหล
คิดถึงตอนที่ต้องมาเรียนไกลพ่อค่ะ
เข้าใจความรู้สึกของเต็มเลยค่ะ ที่ว่าเหงาจนไม่รู้จะเหงายังไง

แล้วจะเป็นยังไงต่อไป ไกลกันแล้วจะรักกันยังไง
ลุ้นค่ะลุ้น เอาใจช่วย  :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด