คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561  (อ่าน 256037 ครั้ง)

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
รู้สึกไปทุกๆอย่างกับน้องตามเลย เหงา เศร้า คิดถึง ปลื้มใจ รัก ดีใจ
มีแววว่าเต็มจะเลิกกับหมอเร็วๆนี้แล้ว :katai3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารตาม นี่ถ้าจิตใจไม่ดีพอคงกลายเป็นเด็กที่มีปัญหากัยพี่ชายแบบต่างคนต่างอยู่แน่ๆ เต็มนี้ก็ยังไงก็โทรหาน้องบ้าง นาทีสองนาทีคงไม่หนักหนาหรอก
พระนายแต่ละคู่ของคนแต่งกว่าจะได้เจอ ได้รักและได้อยู่ด้วยกันต้องใช้เวลานานมากๆเป็นปีสองปี

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
มาต่อแล้วววว 


เป็นเรื่องที่เราเดาตอนต่อไปหรือตอนจบไม่ออกเลยค่ะ ต้องติดตามอ่านอย่างเดียว

อยากให้เต็มกลับบ้าน  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย



พ่อเลี้ยงตรัยลดกระจกลงมองลูกชายคนเล็กที่กำลังเดินถือกระเป๋าเข้าประตูโรงเรียน พลันรอยยิ้มจาง ๆ ของคนเป็นพ่อก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า การมาส่งลูกในวันแรกของการเปิดเทอมกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วตั้งแต่ตามตะวันโตขึ้นและสามารถมาโรงเรียนเองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเวลาสิบสองปีมันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน นอกจากจะเป็นสิบสองปีของการอยู่กันลำพังตามประสาพ่อลูกแล้วยังเป็นสิบสองปีที่เต็มไปด้วยความคิดถึงที่มีต่อภรรยาผู้ล่วงลับและก็จะยังคงคิดถึงเช่นนี้ตลอดไป


เด็กชายร่างเล็กถือกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองของอาคารเรียน เช้าวันแรกของการเปิดเทอมมักจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าจะได้เรียนกับเพื่อน ๆ ห้องเดิมบ้างหรือไม่ คุณครูประจำชั้นคนใหม่รวมถึงเพื่อน ๆ จะเป็นอย่างไร ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ราวนกกระจอกแตกรัง หนุ่มน้อยมองหาที่นั่งก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางค่อนมาทางหน้าห้อง นับว่าเป็นโชคดีของเด็กผู้ชายตัวเล็กเช่นเขาที่ยังพอมีที่ว่างด้านหน้าเหลืออยู่จะได้ไม่ต้องคอยชะเง้อคอมองกระดานเหมือนเมื่อเทอมที่ผ่านมา แล้วก็โชคดีเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าคนที่นั่งข้าง ๆ กันก็คือสาวน้อยผมเปียที่เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นป.สี่


“เฮ้ย ๆ นั่นมันไอ้ชื่อยาวที่เทอมก่อนอยู่ห้องสามนี่หว่า” เด็กชายรูปร่างตุ้ยนุ้ยที่ดูท่าทางจะเป็นหัวโจกเอ่ยขึ้น


“เออใช่ ๆ ไอ้นี่ไงที่ทำห้องสามแพ้วิ่งผลัดเมื่องานกีฬาสีปีที่แล้ว”


“แล้วปีนี้ห้องเราจะรอดไหมวะ” เจ้าของแก้มยุ้ยเกาศีรษะแกรกพร้อมกับส่ายหน้าไปมา


คนถูกพาดพิงยังคงนั่งเงียบ ๆ อยู่ในที่ของเขาในขณะที่บรรดาเด็กผู้ชายที่จับกลุ่มกันอยู่หลังห้องต่างพากันหัวเราะคิกคัก แต่นั่นก็ไม่อาจสร้างความรำคาญใจให้ตามตะวันได้แม้แต่น้อย


วันแรกของการเรียนผ่านไปได้ด้วยดี ลูกชายคนเล็กไม่ลืมที่จะโทร.กลับไปเล่าให้พ่อฟังตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ การเรียนในปีสุดท้ายของในระดับประถมศึกษาของลูกชายไม่สร้างความกังวลให้กับพ่อเลี้ยงตรัยมากนัก นั่นเป็นเพราะตามตะวันเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอดเขาจึงไม่ต้องถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนกวดวิชาเหมือนกับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ดังนั้นเด็กชายร่างจึงมีเวลาเล่นสนุกอยู่ในไร่ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำรวมถึงการช่วยงานที่เกสต์เฮาส์บ้างเป็นบางเวลาตามแบบที่เด็ก ๆ ในวัยนี้ควรจะได้ทำ
 


วันหนึ่งในชั่วโมงสุดท้ายซึ่งเป็นชั่วโมงเรียนวิชาภาษาไทย คุณครูสายสมรซึ่งเป็นคุณครูประจำชั้นก้าวเข้ามาในห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้ง ตาคมดุจดวงตาของนางพญาเหยี่ยวมองลอดแว่นสำรวจนักเรียนแต่ละคนที่หน้าตาดูเหน็ดเหนื่อยหลังจากเรียนกันมาทั้งวันต่างจากตอนที่พบกันในชั่วโมงโฮมรูมเมื่อช่วงเช้าอยู่มาก เธอเป็นสาวใหญ่วัยย่างสี่สิบปีท่าทางใจดีเวลาที่อยู่นอกห้องเรียน แต่เด็ก ๆ ต่างรู้ดีว่าเมื่อถึงชั่วโมงสอนเมื่อเธอจะจริงจังกับการสอนและไม่ใจดีดังเช่นหน้าตา ดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นทางเดินดังใกล้เข้ามา เสียงพูดคุยกันของเหล่านกกระจิบกระจอกก็เงียบลงทันที


“นักเรียนทำความเคารพ”   


สิ้นเสียงหัวหน้าห้องบรรดาเด็กหญิงชายร่วมสี่สิบชีวิตที่นั่งอยู่ในห้องก็พากันเปล่งเสียงสวัสดีขึ้นพร้อมกัน


สายสมรทักทายตอบก่อนจะสั่งให้เด็ก ๆ หยิบสมุดการบ้านและหนังสือแบบเรียนขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มสอนในเรื่องที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนจนกระทั่งสัญญาณเตือนหมดชั่วโมงดังขึ้น


“เอาละจ้ะ วันนี้เราได้รู้แล้วว่าองค์ประกอบของการเขียนความเรียงมีอะไรบ้าง และเนื่องจากเดือนหน้าโรงเรียนของเราจะจัดกิจกรรมวันแม่ ครูก็เลยจะให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับแม่ส่งเข้าประกวดจ้ะ แล้วครูก็จะเอาคะแนนจากเรียงความนี่แหละมาเป็นคะแนนเก็บด้วยเพราะฉะนั้นพวกเธอต้องตั้งใจให้มาก ๆ”


คุณครูสายสมรยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงบ่นงึมงำดังขึ้นจากด้านหลังห้องจนต้องปรามกันด้วยดวงตาพญาเหยี่ยว


“เอาละ ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ครูรู้ว่าพวกเธออยากเขียนมาก” เธอเน้นเสียงสูงที่ทำว่า ‘มาก’ จนเด็ก ๆ พากันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นกลับไปเขียนมาคนละหนึ่งหน้ากระดาษสมุด เช้าวันพุธหน้าให้หัวหน้ารวบรวมเอาไปส่งไว้บนโต๊ะครูในห้องหมวดภาษาไทยนะคะ ครูจะตรวจให้ก่อนแล้วจะคืนให้ในชั่วโมง เราจะมาโหวตกันว่าจะส่งเรียงความของใครเข้าประกวด ใครส่งตรงเวลาครูจะบวกให้ห้าคะแนนแต่ถ้าใครไม่ส่งละก็ครูจะหักวันละห้าคะแนนเหมือนกัน”


การบ้านของคุณครูสายสมรได้สร้างความหนักใจให้กับเด็ก ๆ ไม่น้อย โดยเฉพาะเด็กชายที่นั่งเงียบอยู่ที่กลางห้อง


ผ่านมา 2-3 วันแล้วหลังจากได้รับการบ้านจากครูประจำชั้น แต่ตามตะวันก็ยังคงนั่งทอดถอนใจจ้องมองหน้ากระดาษสมุดการบ้านที่ยังคงว่างเปล่าในขณะที่เพื่อน ๆ หลายคนเริ่มคุยกันเรื่องเรียงความของตนเองที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว


“ยังเขียนไม่เสร็จเหรอตาม” เด็กหญิงผมเปียหันมาถามเด็กชายที่นั่งข้าง ๆ กัน


“ยังเลย เราไม่รู้จะเขียนอะไร” ตามตะวันทำหน้ามุ่ยพลางพาดคางลงกับโต๊ะท่าทางท้อแท้


เด็กพยักหน้าอย่าเข้าใจ เธอรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น “อืม...ทำไมไม่ลองให้พ่อ น้าเดือน หรือพี่ชายเล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่ให้ฟังล่ะ”
ตามตะวันนิ่งคิด ที่ผ่านมาแทบจะไม่มีใครพูดถึงแม่ให้เขาฟังเลย ที่คิดว่าแม่น่าจะเป็นผู้หญิงใจดีก็เพียงเพราะเห็นจากภาพถ่ายเท่านั้น การจะให้ไปเที่ยวถามเอาจากคนในครอบครัวก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ หนุ่มน้อยถอนหายใจเบา ๆ พลางจรดปลายปากกาลงบนกระดาษตั้งใจจะเขียนในแบบที่ตนเองรู้สึกได้ก็แล้วกัน


“เฮ้ย! ไม่มีแม่แล้วเขียนได้เหรอวะไอ้ชื่อยาว”


เสียงที่ดังขึ้นจากหลังห้องทำเอามือเล็กกำปากกาแน่น ตัวหนังสือตัวสุดท้ายที่กำลังเขียนถูกลงน้ำหนักเสียจนกระดาษแทบทะลุ ตามตะวันยังคงนั่งนิ่งในขณะที่บรรดาเพื่อนสนิทต่างก็มองเขาอย่างเป็นห่วงก่อนจะพากันส่งสายตาพิฆาตไปยังเดกชายร่างตุ้ยนุ้ยที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หลังห้อง


“ไอ้หมูอ้วน เงียบปากไปเลยนะ” สาวน้อยผมเปียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


“อะไรยัยผมเปีย เธอเกี่ยวอะไรด้วย ฉันพูดกับไอ้ชื่อยาวต่างหาก”


เด็กหญิงค้อนขวับก่อนจะหันมาพูดกับคนนั่งข้าง ๆ กัน “อย่าไปสนใจมันเลยตาม ไอ้หมูอ้วนมันปากไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพื่อนห้องเดิมไม่มีใครชอบมันหรอก”


“ไหน ๆ ดูหน่อยสิเขียนว่าอะไรบ้าง”


อยู่ ๆ สมุดที่วางอยู่ตรงหน้าก็ถูกใครคนหนึ่งดึงให้ลอยขึ้น


“เอาสมุดของเราคืนมา” ตามตะวันโวยวายพร้อมกับลุกขึ้นคว้าสมุดการบ้านของตัวเองแต่ก็ช้าไป เพราะมันถูกโยนมือต่อมือจนกระทั่งไปอยู่ตรงหน้าของเด็กชายตุ้ยนุ้ยซึ่งนั่งเต๊ะท่าอยู่หลังห้อง


เจ้าของแก้มยุ้ยไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่เพิ่งจะเขียนได้ไม่ถึงบรรทัด “แม่ของผมเป็นคนสวย....”


“เอาคืนมา” เด็กชายร่างเล็กกล่าวขึ้นเป็นครั้งที่สอง


“แกไม่มีแม่แล้วแกรู้ได้ยังไงวะว่าแม่แกสวย” สิ้นเสียงลูกพี่บรรดาลูกกะจ๊อกก็พากันหัวเราะร่วนจนน่าหมั่นไส้


“เราเคยเห็นในรูป” ตามตะวันตอบซื่อ ๆ


“นี่! ไอ้หมูอ้วน! แกเอาสมุดของตามคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเราจะฟ้องคุณครูสายสมร”


“ไปฟ้องเลย จ้างให้ก็ไม่กลัวหรอก แบร่!!!! ยัยเปียขี้เหร่” คนพูดทำแลบลิ้นปลิ้นตา


“เอาของเราคืนมาเถอะ” เด็กชายเจ้าของสมุดขอร้อง แต่คำขอร้องของเขาก็ไม่เป็นผล เด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยยังคงอ่านอ่านข้อความนั้นต่อไปอีก


“ในความคิดของผมแม่เป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลก...”


“หยุดอ่านได้แล้ว แล้วก็เอาสมุดของเราคืนมาสักที” ตามตะวันกำมือแน่นก่อนจะเดินตรงไปยังหลังห้องทันที น้ำเสียงแข็งกร้าวและแววตาดุดันไม่ได้ทำให้คนตั้งใจแกล้งรู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย


“เฮ้ย ๆ หมูอ้วน ไอ้ชื่อยาวมันโกรธแล้วว่ะ” กองหนุนพากันโห่ร้องเกรียวกราวยิ่งทำให้หัวโจกได้ใจ


เด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยปิดสมุดลงพลางหัวเราะชอบใจ “โกรธจนหน้าแดงเลยโว้ย”


“เอาของเราคืนมาเถอะ” เจ้าของสมุดพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแม้ในใจจะกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธก็ตาม


“ไม่ให้ มีอะไรไหม ไอ้คน...ไม่...มี...แม่” คนพูดทำลอยหน้าลอยตาจนน่าหมั่นไส้


ตามตะวันจ้องหน้าเด็กชายที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองตาเขม็ง มือที่กำแน่นค่อย ๆ คลายออกเปลี่ยนไปจับคอเสื้อคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
“ทำไมวะ แกจะทำไม จะต่อยฉันเหรอ แกกล้าเหรอไอ้เด็กไม่มี...” ยังพูดไมทันจบหมัดเล็ก ๆ ก็อัดเข้าที่แก้มยุ้ยเต็มแรง จากนั้นการตะลุมบอนระหว่างเด็กชายอ้วนผอมก็เกิดขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อน ๆ ....

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เสียงครืดคราดของโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะทำงานทำให้เต็มฟ้าต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.มา


“ไงพี่ชล โทร.มาเสียดึกเชียว”


“เต็มอยู่ไหนน่ะ” ชลธรกรอกเสียงมาตามสายอย่างไม่รีรอ


“อยู่ที่ทำงาน มีอะไรหรือเปล่า”


“เสาร์อาทิตย์นี้เต็มกลับบ้านหน่อยได้ไหม”


“มีอะไรเหรอ”


“วันจันทร์พี่อยากให้เต็มไปโรงเรียนกับนายตามหน่อยน่ะ”


“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เต็มฟ้าถามด้วยความแปลกใจ


“คือ.....” ชลธรเงียบไปครู่หนึ่ง อันที่จริงตั้งใจว่าจะเล่าให้น้องชายฟังเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน แต่ถ้าไม่ยอมบอกรายละเอียดให้รู้คนดื้อย่างเต็มฟ้าคงไม่ยอมกลับไปตามที่ร้องขอแน่ ๆ ดังนั้นพี่สาวคนโตจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง


“ตามได้บอกพี่ชลไหมว่าทำไมถึงไปชกต่อยกับเพื่อนแบบนั้น”


“ไม่นะ พี่ถามก็เอาแต่เงียบ ที่พี่รู้ก็เพราะคุณครูเขาโทร.มาที่บ้าน เขาเชิญผู้ปกครองของเด็กสองคนไปพบ นี่โชคดีนะที่เขาติดต่อลุงตรัยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลุงตรัยคงต้องโกรธตามมาก ๆ แน่”


“แล้วนี่พ่อไม่อยู่เหรอ”


“ลุงตรัยพาแม่พี่กับเพื่อนไปดูที่ที่เชียงรายกว่าจะกลับก็วันอังคาร พี่ก็คิดว่าเต็มน่าจะเหมาะที่สุดเพราะเต็มเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนายตาม อีกอย่างวันจันทร์พี่ต้องเอาของไปส่งให้เพื่อนที่ลำพูนตั้งแต่เช้าแล้วก็ต้องไปส่งของต่ออีกหลายที่เพราะช่วงนี้คนงานลาออกเยอะเราก็เลยผลิตไม่ทัน”


“ไม่เป็นไรพี่ชล เดี๋ยวเต็มไปเอง”


“แล้วนี่เต็มจะมาพรุ่งนี้เลยไหม”


“อืม...คงไม่ได้หรอก พอดีเต็มมีงานหลายชิ้นที่ต้องปิดให้ได้ในเสาร์อาทิตย์นี้น่ะ เอาเป็นว่าเช้าวันจันทร์เจอที่บ้านเลยก็แล้วกัน” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะวางสาย


 ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ  คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันแต่ก็พอมองออกว่าตามตะวันเป็นเด็กหัวอ่อน  ยังนึกสาเหตุไม่ออกเลยว่าทำไมน้องชายคนเล็กถึงได้ก่อเรื่องชกต่อยกับเพื่อนเช่นนี้


......


ตามตะวันตื่นแต่เช้าหรืออาจะเรียกว่าแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ เรื่องชกต่อยที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารวมถึงการที่คุณครูประจำชั้นโทรศัพท์มาเชิญผู้ปกครองไปพบยิ่งทำให้เขาถึงกับนอนไม่หลับ ทันทีที่ถือกระเป๋านักเรียนออกมาจากห้องเด็กชายร่างเล็กก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าพี่ชายกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่ก็คาดเดาได้ว่าเขาคงจะรับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากปากของพี่สาวคนโตจนหมดสิ้นแล้ว เด็กชายวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ก่อนจะยกมือไหว้ผู้เป็นพี่และนั่งลงรับประทานอาหารเช้าเงียบ ๆ
เต็มฟ้ามองสำรวจดวงหน้าที่ดูไม่ค่อยสดชื่นนักของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นรอยช้ำเล็ก ๆ ที่มุมปาก ส่วนที่แขนยังคงปรากฏร่องรอยฟกช้ำจาง ๆ เมื่อประมาณด้วยสายตาแล้วก็ชวนให้คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่น่าดูน้องชายถึงได้แผลขนาดนี้


“ถ้าอิ่มแล้วก็ตามมานะ พี่รอที่หน้าบ้าน” พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินจากไปเงียบ ๆ จนตามตะวันนึกประหวั่นในใจ คิดไปต่าง ๆ นานาว่าพี่ชายจะโกรธที่ตนเองทำแบบนั้นลงไปหรือไม่


เพียงไม่นานหนุ่มน้อยก็เดินตามออกมาเป็นเวลาเดียวกับที่มอเตอร์ไซค์คลาสิคเข้ามาจอดที่หน้าเกสต์เฮาส์ ตามตะวันยกมือไหว้คนที่เพิ่งมาถึง ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็มองอีกฝ่ายที่ไม่ได้พบกันเสียนานอย่างแปลกใจไม่คิดว่าจะเจอเขาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้


“จะไปไหนกันสองพี่น้อง” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น


“กำลังจะไปโรงเรียนครับ” ตามตะวันตอบในขณะที่พี่ชายของเขายังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าและแววตาไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกยินดียินร้ายใด ๆ


“แล้วจะไปยังไงกัน ให้พี่ไปส่งไหม”


“งานการไม่ทำหรือไง”

เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียง คำถามนั้นยังฟังยียวนกวนประสาทเหมือนเดิม
   

“วันนี้ลาพักร้อนน่ะ ว่าจะแวะมากินข้าวก่อนค่อยไปทำธุระ จะให้ไปส่งไหม”
   

“ไม่เป็นไร” เต็มฟ้าตอบเสียงเรียบก่อนจะหันไปเตือนน้องชายให้รีบออกเดินทาง
   

“ถ้าอย่างนั้นเอามอเตอร์ไซค์พี่ไปสิ” เจ้าของใบหน้าระบายยิ้มกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจให้
   

อดีตเจ้าของรถมองกุญแจในมือของคนตรงหน้าอย่างลังเลก่อนจะรับมันมาในที่สุด “เดี๋ยวเอามาคืนนะ”
   

ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะหันไปส่งสายตาให้กำลังใจหนุ่มน้อยที่กำลังเดินหน้าจ๋อยตามพี่ชายไปติด ๆ นึกถึงภาพของเด็กชายใบหน้าช้ำบวมเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่มายืนรออยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์แล้วยังตกใจไม่หาย ตาคมมองดูสองพี่น้องที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปแม้ในใจจะนึกเป็นห่วงแต่ก็ภาวนาขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี


......   
   

ตามตะวันมองแผ่นหลังกว้างของพี่ชายขณะที่มอเตอร์ไซค์คลาสิคกำลังพุ่งทะยานพาทั้งสองคนเลาะไปตามคนแคบ ๆ ขนานกับลำน้ำวัง สายลมเย็น ๆ พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ ปะทะเข้ากับปลายจมูกจนแทบอยากจะแนบแก้มลงพักกับแผ่นหลังของคนตรงหน้า


“บอกพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงไปชกต่อยกับเพื่อน”


น้ำเสียงราบเรียบของพี่ชายที่ดังแทรกขึ้นท่ามกลางเสียงของเครื่องยนต์ทำให้คนฟังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที หนุ่มน้อยนั่งนิ่งมือกำชายเสื้อของพี่ชายจนแน่น


“ได้ยินที่พี่ถามหรือเปล่า” เจ้าของคำถามเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเหลียวมองคนที่นั่งซ้อนท้าย


"มะ...หมูอ้วนบอกว่าตามเป็นไอ้เด็กไม่มีแม่"


คำตอบที่หลุดออกจากปากของน้องทำให้เอาพี่ชายอย่างเต็มฟ้าถึงกับพูดอะไรไม่ออก



ไม่นานชายหนุ่มก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในโรงเรียน ก่อนจะตรงไปยังห้องฝ่ายปกครองตามที่ชลธรได้บอกเอาไว้ ที่นั่นเขาพบกับอาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครอง คุณครูสายสมรและผู้ปกครองของเด็กชายตัวอ้วนซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคู่กรณี ดูจากสภาพหน้าตาของอีกฝ่ายก็สาหัสไม่แพ้กันหรือดูจะสาหัสกว่าเสียด้วยซ้ำ เต็มฟ้าและตามตะวันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนในห้องก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญ


“คุณคือผู้ปกครองของตามตะวันอย่างนั้นเหรอครับ” ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น


“ครับ ผมเต็มฟ้า ตติยพัฒน์เป็นพี่ชายของตามตะวัน”


อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองพยักหน้ารับทราบก่อนจะชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เต็มฟ้าก็รู้ได้ทันทีว่าน้องชายของเขาผิดเต็มประตูที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอโทษผู้ปกครองของเด็กชายตุ้ยนุ้ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน


“อันที่จริงผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ก็อยากจะให้ไกล่เกลี่ย”


“ดิฉันก็ไม่ติดใจเอาความอะไรหรอกค่ะอาจารย์ เท่าที่ฟังลูกชายของดิฉันก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่พูดจาไม่ดีแบบนั้น” หญิงร่างท้วมกล่าวพร้อมกับมองลูกชายตนเองอย่างคาดโทษ “แม่ไม่เคยสอนให้ลูกพูดจาไม่ดีกับคนอื่นโดยเฉพาะกับเพื่อนนะหมูอ้วน ลูกควรจะขอโทษเพื่อนนะ”


เจ้าของแก้มยุ้ยที่นั่งก้มหน้างุดค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่อย่างหวาดกลัวก่อนจะหันมาสบตาคู่กรณีก่อนจะกล่าว
“ระ...เรา...เราขอโทษนะตาม”


เต็มฟ้ามองเด็กชายผิวขาวเจ้าของพวงแก้มยุ้ย ๆ ตรงหน้า แววตาของเขาแสดงให้รู้ว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อสักครู่มันถูกส่งผ่านออกมาจากใจไม่ใช่สมองอย่างแน่นอน ตาคมค่อย ๆ กดต่ำลงมองคนที่นั่งข้าง ๆ กันซึ่งยังคงเอาแต่นิ่งเงียบ มือเล็ก ๆ กำแน่นวางบนหน้าขา จ้องมองอีกฝ่ายตาเขม็ง


“ตาม เพื่อนขอโทษน่ะ” เสียงและสัมผัสอ่อนโยนของพี่ชายเรียกสติของตามตะวันคืนมาอีกครั้ง มือหนาที่วางลงบนบ่าค่อย ๆ เปลี่ยนแววตาแข็งกร้าวให้กลับมาเป็นแววตาสดใสอีกครั้ง หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชายก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนที่กำลังรอการให้อภัยจากเขาเช่นกัน


“ไม่เป็นไร เราก็ต้องขอโทษหมูอ้วนเหมือนกันนะ”


รอยยิ้มยิ้มที่เด็กชายสองคนมอบให้แก่กันทำให้บรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้องต่างก็คลายความกังวลลงไม่น้อย อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองแจ้งว่าจะไม่มีการทำทัณฑ์บนใด ๆ เนื่องจากเด็กทั้งสองต่างก็มีความประพฤติดีมาโดยตลอด ครั้งนี้จึงเป็นเพียงการเชิญมาเพื่อปรับความเข้าใจกันเท่านั้น


เต็มฟ้าเดินออกจากห้องฝ่ายปกครองไปที่ยังที่จอดรถโดยมีน้องชายเดินตามไปส่ง


“พะ..พี่เต็มโกรธตามหรือเปล่า ตามขอโทษนะครับ”


ผู้เป็นพี่ชายหันมากลับมาส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบก่อนจะขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์เตรียมจะสตาร์ท “ทีหลังอย่าทำอีกก็แล้วกัน”


น้องชายรับคำหนักแน่นพร้อมกับสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกก่อนจะถามคำถามหนึ่งที่อยากจะถามผู้เป็นพี่ตั้งแต่ออกมาจากห้องฝ่ายปกครอง


“พี่เต็มจะกลับกรุงเทพฯ วันนี้เลยหรือเปล่าครับ”


“ยังหรอก” พี่ชายตอบเสียงเรียบก่อนจะสตาร์ทรถ “เย็นนี้รอที่โรงเรียนนะเดี๋ยวพี่มารับ”


เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจแฟบ ๆ ของน้องชายกลับพองฟูขึ้นอีกครั้ง



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เต็มฟ้าขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่เกสต์เฮาส์อีกในตอนสายแต่ก็ไม่พบศิธาพัฒน์แล้ว เมื่อไปที่บ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์ก็พบว่าประตูรั้วถูกล่ามโซ่เอาไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ที่หน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอในบ้านของลุงเดชและป้าบัว ถือโอกาสแวะเยี่ยมนังหนูแรมโบ้ที่ไม่ได้เจอกันเสียนานเดาเอาว่าป่านนี้คงโตเป็นสาวแล้ว


เมื่อเข้าไปในบ้านชายหนุ่มก็พบเพียงภรรยาเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งคัดผลไม้ที่เพิ่งเก็บมาจากในสวนก่อนจะนำไปฝากขายที่ตลาด ป้าบัวบอกว่าลุงเดชไปดูไก่ชนตัวใหม่ของเพื่อนซึ่งอยู่ต่างอำเภอตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับก็คงบ่ายคล้อย เพราะรายนั้นลองได้คุยเรื่องไก่ก็แทบจะลืมกินข้าวกินปลาเลยทีเดียว


ชายหนุ่มนั่งคุยกับหญิงวัยกลางคนไปเรื่อย ๆ พร้อมกับมองที่นอกรั้วไปด้วยรอว่าเมื่อไรเจ้าของบ้านข้าง ๆ จะกลับมาเสียที พลันที่เท้าก็รู้สึกอะไรหนัก ๆ ที่กดลงมา เมื่อก้มลงไปมองก็พบเจ้าลูกสุนัขสีดำขาวตัวอ้วนกลมกำลังนอนหลับตาพริ้มพาดอยู่บนเท้าของตนเอง เต็มฟ้ากดยิ้มที่มุมปากก่อนจะค่อย ๆ อุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมามองหน้ามันให้ชัด ๆ


“ลูกใครเนี่ย” ชายหนุ่มกล่าวพลางวางเจ้าขนปุยลงบนตักพร้อมกับใช้มือลูบเบา ๆ


“ลูกนังแรมโบ้มันน่ะ” ป้าบัวกล่าวพลางวางผลไม้ลงในตะกร้า “แม่มันโดนรถชนตายไปเมื่อเดือนก่อน ออกมาห้าใครมาใครก็ขอเอาไปเลี้ยง ลุงเขาก็ให้ไปเพราะกลัวว่าเดี๋ยวโตขึ้นมันจะรุมกัดไก่ชนจนหมด เหลือมันอยู่ตัวเดียวนี่แหละ เพราะว่าเป็นตัวเมียเลยไม่มีใครอยากได้”


“น่าสงสารมันนะป้า” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองลูกสุนัขที่กำลังพยายามขยับตัวตัวลุกขึ้นนั่ง “ตื่นแล้วเหรอสาวน้อย” พูดจบมือเรียวก็ค่อย ๆ ยกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะหินอ่อน


“เต็มเอาไปเลี้ยงไหมล่ะ ป้ายกให้”


“อืม...” คนถูกถามทำท่าลังเลจนในที่สุดเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น


“ชอบก็เอาไปเลี้ยงสิ ป้าบัวอุตส่าห์ยกให้แล้ว”


เต็มฟ้าหันไปสบตาร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาก่อนจะมองเจ้าหมาน้อยที่กำลังนั่งกระดิกหางด้วยความดีใจราวกับคุ้นเคยกันดีกับคนที่เพิ่งมาถึง


“คิดนานจัง” ศิธาพัฒน์กล่าวพร้อมกับนั่งลงที่ม้านั่งตัวข้าง ๆ


“ไม่เอาดีกว่าครับป้า”


ชายหนุ่มนั่งมองเจ้าหมาน้อยที่กำลังอ้าปากงับนิ้วหนาของคนที่นั่งใกล้ ๆ กัน เมื่อเห็นว่าออกจากบ้านมานานแล้วจึงลาป้าบัวกลับ


“ไม่เอาไปเลี้ยงจริง ๆ น่ะเหรอ” พนักงานไปรษณีย์หนุ่มที่เดินอุ้มลูกสุนัขตามมาเอ่ยขึ้น


“ไม่เอาหรอก พ่อกับน้าเดือนคงไม่ให้เลี้ยง”


“ทำไมล่ะ”


“ตามร่างกายอ่อนแอ เจออะไรแปลกปลอมก็แพ้ไปหมด”


ศิธาพัฒน์พยักหน้า นึกไม่ถึงว่าคนที่ทำท่าเฉยชาเวลาอยู่ต่อหน้าน้องจริง ๆ แล้วก็ใส่ใจในรายละเอียดและเป็นห่วงน้องอยู่เหมือนกัน


“พี่เลี้ยงให้ไหม เพราะถ้าไม่มีใครเอาไปเลี้ยงอีกหน่อยมันก็คงถูกรถชนตายเหมือนกับแม่ของมัน หรือไม่อย่างนั้นลุงเดชแกคงเอาไปปล่อยเพราะแกห่วงไก่ชนของแกมากกว่า แต่เต็มต้องสัญญาว่าจะมาเยี่ยมมันบ้าง”


“เอาสิ” เต็มฟ้าตอบก่อนจะเอื้อมมือลูบหัวเจ้าหมาน้อยเบา ๆ


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งชื่อให้มันก่อน”


“อืม...” เต็มฟ้าทำท่านึกก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้ม “มันมีพี่น้องทั้งหมดห้าตัว ถ้าอย่างนั้นชื่อว่าอลิซาเบธมิเชลสเตฟานี่ที่ห้าก็แล้วกัน”


“นี่ตัวเดียวใช่ไหม”


“ใช่”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคนฟังก็ถึงกับหน้าเบ้ “ยาวไป”


“อ้าวเหรอ” เต็มฟ้าหัวเราะ “ชื่อมันยาวไปหน่อแต่แกชอบใช่ไหมเจ้าหนู” พูดจบมือเรียวก็กดหัวเจ้าตัวปุกปุยให้พยักหน้า
   

“นั่นไง มันบอกว่ามันชอบ”


“เต็ม....” ศิธาพัฒน์ลากเสียงเมื่อเห็นว่า ‘ไอ้เด็กบ้า’ เริ่มพูดจาเลอะเทอะไปกันใหญ่


“ก็ได้ ๆ ถ้าอย่างนั้นชื่อแข็งแรงก็แล้วกัน มันจะได้แข็งแรงสมชื่อ”


“อืม...ก็ดีนะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางชูเจ้าหมาน้อยขึ้นในอากาศ “แกชอบชื่อนี้ไหมนังหนู” เมื่อสิ้นเสียงชายหนุ่มเจ้าลูกสุนัขก็เห่าเสียงดังพร้อมกับกระดิกหางดุ๊กดิ๊กราวกับมันเข้าใจในสิ่งที่เขาถาม


สองหนุ่มเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์คลาสิคซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ศิธาพัฒน์ค่อย ๆ วางลูกสุนัขขนปุยลงในตะกร้ารถก่อนจะรับกุญแจที่อีกฝ่ายยื่นให้


“จะกลับเลยไหม พี่จะไปส่ง”


“ไม่เป็นไร กลับเองได้”


เมื่อเห็นว่าเต็มฟ้าต้องการเช่นนั้น ศิธาพัฒน์จึงไม่อยากจะขัด ดังนั้นเขาจึงเดินไปยืนรอส่งชายหนุ่มขึ้นรถก่อนจะเปิดประตูและจูงมอเตอร์ไซค์เข้าไปเก็บในบ้าน


เย็นวันนั้นเต็มฟ้าไปรับน้องชายที่โรงเรียนตามที่ได้บอกเอาไว้ เมื่อกลับถึงบ้านเด็กชายตามตะวันอาบน้ำอาบท่ากินข้าวตนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการทำการบ้านมหาศาลอยู่ภายในห้องนั่งเล่น โดยมีพี่ชายนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาเงียบ ๆ อยู่ที่โซฟา ที่เงียบก็เป็นเพราะว่าเต็มฟ้าหรี่เสียงมันลงจนกระทั่งแทบจะไม่ได้ยินเสียงนั่นเอง


“พี่เต็มจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนฮะ” น้องชายเอ่ยขึ้นพลางมองดูหน้าจอทีวีที่ถูกเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย


“พรุ่งนี้เย็น ๆ มั้ง มีอะไรหรือเปล่า”


เด็กชายร่างเล็กส่ายหน้าก่อนจะลงมือทำการบ้านต่อเงียบ ๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย สมุดยับยู่ยี่เล่มหนึ่งก็ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า ตามตะวันพลิกเปิดไปยังหน้าที่เขียนค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ที่หัวกระดาษมีข้อความสั้น ๆ เขียนว่า ‘แม่ของฉัน’ ถัดลงมาคือเนื้อหาของเรียงความที่ยังเขียนไปได้ไม่ถึงไหนก็มีเหตุให้ชกต่อยกับเพื่อนเสียก่อน หนุ่มน้อยจดปลายปากกาลงบนกระดาษอีกครั้งในที่สุดข้อความก็เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งเต็มหน้ากระดาษ

....


เต็มฟ้าลุกออกไปยืนคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ๆ ที่โทร.มาถามข่าวที่หน้าบ้านได้พักใหญ่ ๆ กว่าจะกลับเข้ามายังห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็เกือบสองทุ่ม เมื่อไม่เห็นน้องชายก็เดาเอาว่าเขาคงเข้านอนไปแล้วตั้งแต่ทำการบ้านเสร็จ สมุดหนังสือที่จะต้องให้เรียนในวันพรุ่งนี้ถูกจัดลงในกระเป๋าเรียบร้อยในขณะที่หนังสือแบบเรียนและสมุดการบ้านบางส่วนถูกวางเรียงไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือย่างเป็นระเบียบ


ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของน้องชายพลางกวาดตามองข้าวของที่อยู่บนโต๊ะพลันสายตาก็มาสะดุดเข้ากับสมุดยับ ๆ เล่มหนึ่ง เต็มฟ้าเอื้อมมือหยิบสมุดเล่มนั้นมาวางตรงหน้าก่อนจะพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่หน้าสุดท้าย


แม่ของผมเป็นคนสวย ในความคิดของผมแม่เป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลก ถึงผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่จริง ๆ เลยสักครั้ง แต่ผมก็รักแม่มาก ๆ ผมเคยนึกอิจฉาคนอื่นที่เขาได้เดินจับมือกับแม่ ได้กอดแม่ของเขาแน่น ๆ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกเวลาที่มีแม่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าคงจะมีความสุขมาก ๆ .....


อ่านมาได้เพียงไม่ถึงครึ่งหน้ากระดาษเต็มฟ้าก็จำต้องปิดสมุดลงเพราะม่านน้ำตาทำให้ภาพตรงหน้าเลือนลางไปหมด ชายหนุ่มวางสมุดเล่มนั้นเอาไว้ที่เดิมก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา นัยน์ตาที่เจือด้วยแววแห่งความเศร้าหมองทอดมองไปยังเพดานที่มีเพียงพัดลมทรงโบราณที่กำลังหมุนเอื่อย ๆ ในที่สุดภาพของแม่ที่ไม่เคยถูกลบออกไปจากความทรงจำจะปรากฏชัดเจนขึ้นอีกครั้ง


เต็มฟ้าลืมตาตื่นขึ้นในตอนบ่ายของวันถัดมานั่นเป็นเพราะเรื่องที่คิดวนเวียนอยู่ในหัวทำให้เพิ่งมาผล็อยหลับไปเมื่อตอนฟ้าสาง  ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวอาบน้ำอาบท่าจัดข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ


“พี่แวะไปจองตั๋วมาให้แล้วนะเต็ม” ชลธรกล่าวขณะยกจานอาหารมาวางตรงหน้าน้องชายที่กำลังอ้าปากหาว


“ขอบคุณครับ” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“เมื่อวานกว่าพี่จะกลับมาก็เกือบสามทุ่ม เห็นปิดไฟนอนกันหมดแล้วเลยไม่ได้ถามเลยว่าโรงเรียนเขาว่ายังไงบ้าง”


“คุณแม่น้องหมูอ้วนเขาก็ไม่ได้เอาความอะไร”


“อืม...ก็ดีแล้ว เกิดเอาความขึ้นมาสงสัยเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะเดินไปยังเคาท์เตอร์เมื่อเห็นว่าแขกกลุ่มใหม่กำลังเดินผ่านประตูรั้วเข้ามา


เต็มฟ้ามองดูพี่สาวกำลังพูดคุยกับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวที่ตั้งใจตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเธอจะเรียนการโรงแรมเพื่อจะเข้าทำงานในโรงแรมที่มีชื่อเสียง แต่สุดท้ายหลังจากพ่อเสียชีวิตลงเธอก็ต้องกลับมาช่วยแม่บริหารงานเกสต์เฮาส์เล็ก ๆ ซึ่งเป็นกิจการที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้แทน ซ้ำยังต้องช่วยดูแลโรงงานเซรามิคของที่ท้ายไร่แสงดาวแทนเขาอีกด้วย ร่างเล็กที่ดูบอบบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรกลับดูซูบผอมลงผิดหูผิดตาถึงแม้เธอจะบอกว่ามันเป็นหุ่นมาตรฐานของนางแบบดัง ๆ ก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นก็คงเพราะต้องวิ่งรอกทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะรวบช้อนจากนั้นก็หายกลับเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องตลอดบ่าย


เสียงหัวเราะคิกคักของน้องชายทำให้เต็มฟ้าปรือตาขึ้น ชายหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯในเย็นวันนี้ นาฬิกาติดฝาผนังบอกเวลาห้าโมงเย็น เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงเขาจึงอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะสะพายเป้ออกไปจากห้อง ภาพที่เห็นคือน้องชายของเขากำลังอุ้มเจ้าลูกสุนัขขนฟูสีขาวดำเอาไว้แนบอกโดยไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวเชื้อโรคที่จะติดมากับเจ้าหมาน้อยเลยสักนิด


“ตาม ทำไมอุ้มมันแบบนั้น” เสียงพี่ชายที่ดังขึ้นทำให้หนุ่มน้อยต้องรีบส่งเจ้าลูกสุนัขคืนให้เจ้าของทันที


“พี่อาบน้ำมันมาอย่างดีเลยนะ รับรองสะอาดแน่ เนอะนังหนูเนอะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางวางเจ้าขนปุยลงกับพื้น


“วางใจได้ที่ไหน เมื่อตอนเด็ก ๆ อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะแพ้ก็แพ้จนพ่อต้องพาไปโรงพยาบาลทุกที” พี่ชายกล่าวก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ม้านั่ง


“ตามไม่เป็นไรหรอกครับพี่เต็ม ก่อนพี่เต็มจะออกมาตามก็เล่นกับเจ้าแข็งแรงอยู่ตั้งนาน” หนุ่มน้อยกล่าวก่อนจะย่อตัวลงลูบหัวที่เต็มไปด้วยขนนุ่ม ๆ อย่างเบามือ “เอาไว้ตามจะพามันไปวิ่งเล่นที่ไร่นะครับพี่ปุ่น”


“ได้สิ” ศิธาพัฒน์ตอบยิ้ม ๆ พลางมองนาฬิกาข้อมือจากนั้นก็หันไปถามคนที่กำลังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ


“จะไปแล้วเหรอ”


“อีกสักพักน่ะ รถเพิ่งออกจากเชียงใหม่”


“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่สถานีก็แล้วกัน”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คนงานไปส่งก็ได้” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองไปรอบ ๆ พบว่าคนงานที่ไม่ได้อยู่ประจำเริ่มทยอยกลับบ้านกันหมดแล้วในขณะที่ศิธาพัฒน์เองได้แต่ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจให้กับความดื้อดึงของอีกฝ่าย


ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกขณะ ทำให้เต็มฟ้าที่กำลังนั่งทอดอารมณ์มองสายน้ำในลำน้ำวังที่กำลังไหลเอื่อย ๆ อยู่ที่ท่าน้ำต้องก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าจวนได้เวลารถไฟมาถึงสถานีนครลำปางชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินกลับเข้าหยิบเป้ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นสะพายก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้าน พบว่าพนักงานไปรษณีย์หนุ่มยังคงนั่งอยู่ที่ม้านั่งโดยมีน้องชายของเขานั่งอยู่เป็นเพื่อนกัน บนตักของหนุ่มน้อยคือเจ้าลูกสุนัขขนปุยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มหลังจากกินข้าวจนพุงกางไปตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า


“จะไปแล้วใช่ไหม” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น


เต็มฟ้าได้แต่พียงพยักหน้าก่อนจะหันไปมองน้องชายที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน


“ฝากบอกพี่ชลด้วยนะว่าพี่ไปแล้ว”


“ครับ” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับค่อย ๆ วางเจ้าหมาน้อยที่กำลังหลับลงกับพื้น


“แล้วพี่เต็มจะมาอีกเมื่อไรฮะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน” เต็มฟ้าตอบตามความจริง


“ตามอยากไปส่งพี่เต็ม” ตามตะวันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนพลางมองร่างสูงตรงหน้าอย่างขอความเห็นใจ


“ไม่ต้องไปหรอก ค่ำแล้ว รีบอาบน้ำทำการบ้านเถอะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะหันหลังให้เจ้าของดวงตาหม่นเศร้า





“เป็นเด็กดีล่ะ อย่าทำให้พี่ชลต้องปวดหัวอีก”

เสียงนั้นลอดผ่านริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่พี่ชายจะเดินพ้นประตูไป


ศิธาพัฒน์เอื้อมมือวางบนศีรษะของเด็กชายร่างเล็กก่อนจะโยกเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ จากนั้นเขาก็เดินไปสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่ที่นอกรั้วขับตามมนุษย์ที่สุดแสนจะดื้อดึงออกไปทันที


“ขึ้นมาเร็ว”


“บอกแล้วไงว่าไปเองได้”


“ใช่เวลาดื้อไหม ขึ้นมาเร็ว ๆ เข้า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ “กลัวเสียฟอร์มกับน้องน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ากลัวเสียฟอร์มกับพี่น่ะตกรถไฟแน่”


เต็มฟ้ามองคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้พร้อมกับรีบสะบัดมือออกขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถอย่างจำใจ มอเตอร์ไซค์คลาสิคพาสองหนุ่มลัดเลาะไปตามถนนที่เต็มไปด้วยรถราจนในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟนครลำปางเป็นเวลาเดียวกับที่นายสถานีกำลังประกาศให้ผู้โดยสารทราบว่ารถด่วนพิเศษนครพิงค์ปลายทางสถานีกรุงเทฯกำลังจะเคลื่อนเข้าจอดเทียบชานชาลาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


“เกือบไม่ทันแล้วเห็นไหม มัวแต่กลัวเสียฟอร์มอยู่ได้” ศิธาพัฒน์บ่นขณะจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าสถานีในขณะที่คนซ้อนท้ายกระโดดลงตั้งแต่รถยังไม่จอดสนิทเสียด้วยซ้ำ


“ขี้บ่นจริง” เต็มฟ้าที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่นังคงนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์


ศิธาพัฒน์มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนอะไรเลย ผิดกับตนเองที่อุตส่าห์รีบแทบแย่


“ขอบคุณนะคร้าบบบบบที่มาส่ง” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับยกมือไหว้จากนั้นเขาก็รีบเดินเข้าไปในสถานีทันทีที่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น



“ก็เลยไม่ได้รู้สักทีว่าอะไรที่คนนั่งรถไฟเห็นแต่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น”


ศิธาพัฒน์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังห่างออกไปทุกทีพลางโครงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงเจือด้วยรอยยิ้มที่เจ้าตัวเองก็ยังหาสาเหตุไม่ได้

...

ตอนที่ 10 แล้วนะคะ คิดว่าน่าจะผ่านมาได้เกือบครึ่งทางแล้วค่ะสำหรับเรื่องคุณบุรษไปรษณีย์ที่รัก
ต้องขอบคุณทุกคนมากๆค่ะที่อดทนต่อวิธีการดำเนินเรื่องสไตล์เรา
หากเต็มฟ้าทำให้ต้องคันยุบยิบในหัวใจหรือปลายเท้าประการใดต้องกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2015 16:01:20 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
อยากให้พี่ชายเข้าใจกันกับน้องชายมากกว่านี้อีกจัง ทลายกำแพงออกเหอะ  :mew6: สงสารน้อง

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
แฮ่...แล้วพี่ปุ่นกับเต็มก็ได้เจอกันอีกครั้ง
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆก็เถอะ
แล้วนี่มีเสนอตัวเลี้ยงลูกหมาให้เค้า
กว่าเต็มจะกลับมาเล่นกับนังแข็งแรง คงมีลูกไปหลายคอก
แต่ว่าไม่ได้ เต็มเริ่มคิดสงสารพี่ชลที่ต้องทำงานหนักแล้ว
อาจจะตัดสินใจกลับมาทำโรงงานเซรามิกเองก็ได้ ลุ้นต่อไป

พฤติกรรมเต็มที่มีกับพี่ปุ่นนี่ เหมือนสาวน้อยแสนงอนเลยนะ
ตะบึงตะบอน เล่นตัวโก่งราคากับพี่ปุ่นตลอด ฮ่าๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2014 00:42:56 โดย Sillyfoolstupid »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อ่านตอนนี้แล้วอยากจะทุบไอ้หมู้อ้วน ยังนี้ที่แม่เด็กยังเป็นคนที่ยุติธรรมพอไม่ปิดตาเข้าข้างลูกตัวเองแบบผิดๆ

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
กลัวเหลือเกินนะ เสียฟอร์มเนี่ย ขี้เก๊กว่ะ :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อ่านแล้วทำให้อยากไปลำปางตามรอยนิยายจังเลยครับ
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาศได้ไปรึปล่าว
 o18

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
แล้วเขาจะไปรักกันตอนไหนล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ปุ่นเต็มๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
เมื่อไรทั้งสองคนจะรักกันน้อ แต่รู้อย่างนึงว่าความรักของสองพี่น้อง เต็มตามดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มีเค้าลาง ๆ ว่าเต็มฟ้าน่าจะกลับมาอยู่บ้านเสียที ภาระทางบ้านมากมายมาช่วยกันแบ่งเบาได้แล้ว
น้องตามทั้งน่ารัก น่าสงสาร แต่ก็เข้มแข็งน่าดู สู้คนด้วยนะ

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เจอกันอีกทีในช่วงเวลาสั้นๆ แต่รู้สึกเหมือนใกล้กันกว่าเดิมเลย  :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ N.T.❁

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
อ่านรวบสองตอนไม่ว่ากันนะคะ : )

ตอนนี้รู้สึกดีกับเต็มมากขึ้นเยอะเลยค่ะ
อาจเพราะว่าน้องตามนี่แหละ
เต็มดูเป็นเด็กมีทิฐิสูง จริงๆคือรักน้องน่ะแหละ แต่แค่ยังฝังใจ
พอมารู้เรื่องแม่ที่ทำให้น้องชกกับเพื่อน เดาว่าเต็มน่าจะรู้สึกได้เองนะว่าตัวเองยังโชคดีกว่าน้องเยอะเลย
อยากให้เต็มฟ้ารักน้องชายแบบตามตะวันให้มากๆ แทนความรักของแม่ที่น้องไม่มีโอกาสได้รับมันเหมือนที่เต็มฟ้าเคยได้รับ
ถ้าแค่ไม่ปากหนัก แล้วก็แสดงออกให้มากกว่านี้ น้องตามคงมีความสุขอีกเยอะเลย
สำหรับตอนนี้เราอิ่มใจนะคะ พี่ปุ่นกับเต็มจะมีใจให้กันแบบจริงๆจังๆเมื่อไหร่เรารอได้เสมอเลยค่ะ
บางทีความรักมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ มาแบบเรื่อยๆอย่างนี้ก็รู้สึกดีไปอีกแบบนึง
ขอบคุณมากนะคะ อ่านแล้วยิ้มเลย : )

ปล. ส่วนของตอนที่แล้ว ผิดไหมเนี่ยที่ไม่ชอบหมอ 555555
เดาเอาว่าเต็มเองก็คงเซ็งเหมือนกัน

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
พี่เต็มนี่ใจแข็ง (แอบใจร้ายนิดๆ) จริงๆ อยู่ใกล้ๆ จะหยิกให้เนี้อเขียวเลย

ออฟไลน์ yamapong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
พี่เต็มตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเถอะน้าาาาาาาาาา พลีสสสสสส
มาอยู่เป็นเพื่อนน้องตาม แล้วก็มาสานต่อกะพี่ปุ่น อิอิ พี่ปุ่นอยู่อีกแค่สองปีเองใช่มะ
อย่าปล่อยให้พี่สาวสุดสวยทำงานหนักแทนสิ ไม่ดีๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
แอบหมันไส้เต็มนะ ดูฟอร์มเยอะแต่ทำไมบางมุมน่ารัก

ถึงจะไม่ค่อยใกล้น้องแต่ก็เอาใจใส่ตลอด :myeye:

ส่วนพี่ปุ่น ใจดีสุดยอด ท่าทางเอ็นดูน้องทั้งสองคนเลย

รออ่านตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
เต็มดูเป็นเด็กๆทุกทีเลยที่อยู่กับปุ่น
ทั้งๆที่พออยู่เองก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดีแท้ๆ
ขอให้คนเขียนขยันยิ่งๆขึ้นไปปป
ผ่านมาครึ่งตอนแล้ว เริ่มรักกันบ้างรึยังเนี่ย

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
อ่านเรียงความเรื่องแม่ของตาม แล้วน้ำตาไหลเลยอะ
เข้าใจความรู้สึกเลย
ดีใจที่ดูเหมือนเต็มจะเปิดใจให้ตามที่ละน้อย
ลุ้นเรื่องเต็มกับตามมากกว่าพี่ปุ่นอีกอะ 555

กลับบ้านบ่อยๆนะเต็ม

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
อ่านรวดเดียวเลย หลังจากได้คำแนะนำจาก น้องคนหนึ่ง
สนุกมากครับ แม้เรื่องจะดำเนินอย่างเนิบนาบก็ตาม แต่มันเนิบนาบแบบคลาสสิก :z1:
ปมแต่ละปม ยังไม่ถูกคลีคลาย แต่อีกหน่อยคงคลีคลายทีละปม ๆ
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :mew1:

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
เวลาปุ่นกับเต็มอยู่ด้วยกัน รู้สึกอบอุ่นดีนะคะ~

ขอบคุณค่ะ ติดตามตลอด^^

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
เฮ้อ ไอ้เรื่องล้อเพื่อนว่าไม่มีพ่อมีแม่ ไม่ว่าโรงเรียนที่ไหนๆก็มีตลอด
ถ้าเราเป็นตามก็คงซัดมันเหมือนที่ตามทำนั่นล่ะ :z6:
พี่ปุ่นกับเต็มมีการเลี้ยงหมาน้อยไว้ให้กันด้วย
เอ๊ะ!! แบบนี้ขอจิ้นว่าเป็นลูกของสองคนนี้ได้เปล่าหว่า :hao7:
ทิฐิของเต็มเริ่มลดลงมาบ้างแล้ว น้องตามสู้ๆนะ :กอด1:

ออฟไลน์ แป้งข้าวหมาก

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
เต็มเห็นเรียงความของน้องแล้วหวังว่าจะเข้าใจอะไรมากขึ้นนะ
กับพี่ปุ่นเจอนิดนึงเอง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอละนะ
แถมเค้ามีเลี้ยงลูกไว้ด้วยอ่ะ....ว๊ายๆ
 :-[

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ

เนื่องจากหายไปนานมาก คนเขียนก็ลืมตัวละครเหมือนกันเลยทำเป็นแผนผังมาฝากค่ะ



ตอนที่ 11 : ทบทวน




พ่อเลี้ยงตรัยจ้องมองกระดาษเนื้อดีในมือที่ผู้เป็นเจ้าของเพิ่งเปิดกระเป๋าเอาออกมาอวดทันทีที่มาถึงบ้าน ข้อความในกระดาษระบุว่าลูกชายคนเล็กของเขาได้รับรางวัลรองชนะเลิศการเขียนเรียงความวันแม่ที่ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นรางวัลที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักแต่มันก็ได้สร้างความสุขเล็ก ๆ ให้กับคนเป็นพ่อ ตรัยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางลูบศีรษะหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเอ็นดู


“ลูกเก่งมาก พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ”


“ขอบคุณฮะพ่อ” ตามตะวันยิ้มก่อนจะรับเกียรติบัตรมาเก็บลงในกระเป๋า


“ไม่ค่อยจะเห่อเลย” ชลธรแสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “ตั้งแต่ได้มาพี่ก็เห็นเอาออกมานั่งชื่นชมทุกวัน แถมยังโทร.มาโม้ให้พ่อฟังแล้วด้วยรอบหนึ่ง”


“ก็พ่อยังไม่เห็นของจริงนี่นา” คนโดนแซวตอบเขิน ๆ


“พ่อก็มีของจะให้ลูกเหมือนกันนะ” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาก่อนจะส่งให้ลูกชาย
ตามตะวันยกมือไหว้งง ๆ รับถุงใบนั้นมาเปิดดู พบว่าข้างในมีกล่องของขวัญใบหนึ่ง มือเล็กค่อย ๆ หยิบกล่องนั้นออกมาบรรจงแกะกระดาษห่อของขวัญและทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออกหนุ่มน้อยก็ยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที


“ชอบหรือเปล่า”


“ชอบมากเลยครับพ่อ ขอบคุณครับ” พูดจบก็ดึงกล้องโพลารอยด์สีสดใสมีลวดลายการ์ตูนเล็ก ๆ ในซองกันกระแทกออกมาลูบ ๆ คลำ ๆ ราวกับกลัวว่ามันจะช้ำ “ตามจะเอาไปถ่ายเจ้าแข็งแรง”


“ใครกัน เจ้าแข็งแรง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


“ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากพี่ปุ่นเลี้ยงครับพ่อ”


“ปุ่น?”


“พนักงานไปรษณีย์ที่ชลเคยเล่าให้ลุงฟังไงคะ ลุงก็เจอเขาตั้งหลายครั้งแล้ว เขาชอบมาทานข้าวที่เกสต์เฮาส์บ่อย ๆ”
พ่อเลี้ยงตรัยพยักหน้ากับหลานสาวเมื่อถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เคยพบกันที่เกสต์เฮาส์ แต่ละครั้งที่เจอก็รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกเสียทีว่าเคยพบกันที่ไหน


.....


ศิธาพัฒน์ทอดสายตามองเจ้าลูกสุนัขสีดำขาวตัวอ้วนที่นั่งชูคอโต้ลมอยู่ที่ตะกร้าหน้ารถพลางยิ้มน้อย ๆ สังเกตมาหลายหนว่าเจ้าแข็งแรงคงจะชอบเวลาที่สายลมเย็น ๆ ปะทะเข้ากับหน้า เพราะมันมักจะนั่งนิ่งเชิดหน้าไม่กระดุกกระดิกให้ต้องเจ้าของต้องคอยระวังเวลาเอาใส่ตะกร้าหน้ารถไปไหนมาไหนด้วยกันเช่นนี้ เสียงหวีดหวิวลอดผ่านริมฝีปากอิ่มเป็นทำนองเพลงโฟล์กซองคำเมืองตลอดทางจนกระทั่งเมื่อถึงที่หน้าเกสต์เฮาส์ซึ่งอยู่สุดปลายถนน ชายหนุ่มค่อย ๆ ชะลออความเร็วลงในขณะที่เจ้าแข็งแรงก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนพลางส่งเสียงเห่าพร้อมกับกระดิกหางด้วยความดีใจเมื่อพบหน้าเด็กหญิงชายสามคนที่กำลังยืนรออยู่


“มาแล้วเด็ก ๆ” พี่ชายใจดีกล่าวพร้อมกับอุ้มเจ้าลูกสุนัขส่งให้เด็กชายร่างเล็ก


“ตัวหนักนะเนี่ยแข็งแรง”


“ขอเราอุ้มบ้างสิตาม” เด็กชายตัวอ้วนกลมกล่าวพลางใช้มืออวบ ๆ ลูบหัวเล็ก ๆ ของเจ้าขนปุยอย่างเบามือ


“ก็ได้” พูดจบก็ส่งเจ้าหมาน้อยให้เพื่อนอุ้มบ้าง


“โห! ตัวมันหนักขึ้นเยอะเลยนะครับพี่ปุ่น ไม่เจอแค่สองอาทิตย์เอง” หมูอ้วนกล่าวพร้อมกับชูลูกสุนัขขึ้นในอากาศ หางที่กระดิกไปมาจนแทบจะหลุดบอกให้รู้ว่าเจ้าหมาน้อยก็ชอบให้ทำแบบนี้เสียด้วย


“มันกินจุมากเลย สงสัยพี่ต้องพาไปวิ่งฟิตหุ่นบ้างแล้วละ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่ปุ่นต้องพาหมูอ้วนไปด้วยนะคะจะได้ผอม ๆ” เด็กหญิงผมเปียหัวเราะ


“ว่าไงหมูอ้วน สนใจไปวิ่งกับเจ้าแข็งแรงตามที่ยะหยาว่าไหม” ศิธาพัฒน์หันมาถามเด็กชายแก้มยุ้ยที่กำลังส่ายหน้ารัว


“ไม่ได้หรอกครับพี่ปุ่น ขืนหมูอ้วนน้ำหนักลดแม่ต้องเป็นกังวลแน่ ๆ”


“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว


“ช่ายยยยยย เพราะหมูอ้วนเป็นโลโก้ของร้านนะ”


ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อนึกถึงห้องแถวสองคูหาในตลาดที่เปิดเป็นร้านข้าวขาหมู ซึ่งเจ้าของเป็นคู่สามีภรรยาร่างท้วม มีป้ายแผ่นใหญ่ติดอยู่หน้าร้านมองเห็นได้แต่ไกลเขียนว่า ‘ขาหมูลูกชาย’ กับโลโก้รูปเด็กแก้มยุ้ยคล้ายกับที่เห็นบนฉลากข้างขวดซีอิ๊วขาวที่แท้ก็มีที่มาที่ไปอย่างนี้นี่เอง


“พี่ปุ่น ยะหยา หมูอ้วน เข้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวตามจะไปเอากล้องแล้วเรามาถ่ายรูปกับเจ้าแข็งแรงกัน” ตามตะวันกล่าวพลางเลื่อนเปิดประตูรั้วนำทุกคนเข้าไปในบ้าน


ศิธาพัฒน์เดินไปนั่งกับชลธรที่หน้าเคาน์เตอร์มองพวกเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกับเจ้าขนปุยตัวอ้วนอยู่ที่สนามหญ้า เจ้าหมาน้อยวิ่งไล่คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเนื่อย บางครั้งก็นอนหมอบลงกับพื้นรอซุ่มโจมตี เมื่อสบโอกาสขาสั้น ๆ ก็วิ่งไล่กวดคนที่เข้ามาแหย่จนลื่นไถลกลิ้งไปกับผืนหญ้าพาให้เด็ก ๆ ได้หัวเราะคิกคักในความตลกของมัน พอเหนื่อยเข้าทั้งคนทั้งสุนัขต่างก็หยุดหอบแต่อยู่นิ่งได้ไม่นานก็เริ่มวิ่งวนไปมาอีกราวกับใส่ถ่าน


“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ทั้งที่เคยมีเรื่องต่อยกันจนหน้ายับขนาดนั้นแต่กลับมาเป็นเพื่อนกันได้” สาวร่างบางเอ่ยขึ้นขณะมองน้องชายคนเล็กที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเพื่อน ๆ


“เด็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละครับ โกรธกันแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลืมแล้ว”


“สองคนพี่น้องเหมือนกันไม่มีผิด เจ้าพี่ชายน่ะลองเลือดขึ้นหน้าแล้วละก็ต่อให้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนไม่เคยกลัวอยู่แล้ว นี่พี่ยังขำที่นายเต็มกลับมาเล่าให้ฟังไม่หายเลย ตอนที่เปิดประตูห้องฝ่ายปกครองเข้าไปเจอสภาพหมูอ้วนน่ะ คิดไม่ถึงว่าตามจะทำได้ขนาดนั้น”


“ฟังที่ตามเล่า ตอนนั้นก็คงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วจริง ๆ แหละครับ”


ชลธรพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปปรามน้องชายที่กำลังวิ่งหน้าเริดเข้ามาพร้อมกับชูภาพถ่ายในมือ


“สวยไหมครับพี่ชล พี่ปุ่น” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับอวดภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ และเจ้าลูกสุนัขตัวกลมให้พี่ ๆ ดู


“สวยมากจ้ะหนุ่มน้อย อืม...น่าจะส่งไปให้เจ้าของเขาดูเนอะ เผื่ออยากกลับมาเลี้ยงเองบ้าง” คำพูดของพี่สาวทำให้ตามตะวันต้องหันไปสบตาศิธาพัฒน์อย่างขอความคิดเห็น


......



“เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม”


เต็มฟ้ามองข้อความที่เพิ่งพิมพ์ส่งเข้าไปในโปรแกรมสนทนาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพียงไม่นานก็ปรากฏการแจ้งเตือนว่าคนที่ปลายทางได้อ่านแล้วแต่ก็ไม่มีข้อความใด ๆ ถูกตอบกลับมา ชายหนุ่มถอนใจพลางเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง รวบดินสอที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะลงในกล่องจากนั้นก็ลุกออกจากห้องทำงานไป


ชายหนุ่มเดินออกจากบริษัทตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าตั้งใจว่าจะกลับไปที่หอพัก แต่แล้วโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ต้องหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้งพลันใบหน้าเรียบเฉยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง


“ว่าไง”


‘เราเห็นเต็มส่งข้อความมา’ คนปลายสายกล่าว


“อืม..ก็เห็นว่าวันนี้ไม่ต้องอยู่ดึก เผื่ออยากกินข้าวด้วยกัน”


‘วันนี้เรานัดกับเพื่อน ๆ จะไปตีแบดน่ะ’


“เราก็แค่ถามเฉย ๆ เผื่ออยากเจอกัน เห็นว่าวันนี้ภูมิว่าง”


‘ก็ว่างแต่เรานัดเพื่อนตีแบดไง เรานัดเพื่อนเอาไว้แล้ว ทำไมเต็มไม่ถามให้เร็วกว่านี้ล่ะ’ คนปลายสายกล่าวเสียงแข็ง


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไว้วันอื่นก็ได้”


‘นี่ไม่ได้โกรธกันใช่ไหม’


“จะโกรธทำไม เรื่องแค่นี้”


‘เจอกันทั้งที ภูมิก็อยากเจอเต็มนาน ๆ อยากไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ด้วยกันทั้งวัน เจอกันแค่ไม่กี่นาทีจะเจอกันไปทำไม เต็มเข้าใจใช่ไหม’


ทั้งที่วันนี้อุตส่าห์รีบทำงานให้เสร็จและปฏิเสธนัดเพื่อนเผื่อเอาไว้เพราะเห็นว่าเป็นวันว่างของว่าที่คุณหมอ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไร ไม่เจอกันวันนี้วันหน้าก็ยังมี เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของใครสักคนที่ดังแทรกขึ้นมาเต็มฟ้าจึงตัดสินใจตัดบท       


“อืม..เข้าใจแล้ว ภูมิไปเถอะเดี๋ยวเพื่อนรอ”


หลังจากวางสายก็เสียบหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ปลายนิ้วเลื่อนหาเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงถานีรถไฟฟ้า ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนสถานีก็เห็นบรรดาหนุ่มสาวอ๊อฟฟิศต่างก็ดูรีบเร่งแม้จะเป็นเวลาเลิกงานแล้วก็ตาม บางคนเดินมาด้วยกันแต่กลับไม่ได้คุยอะไรกันเลยเพราะมัวแต่คุยกับอีกคนในโทรศัพท์ ในขณะที่บางคนก็ไม่ทันระวังเดินชนคนอื่นบ้างถูกคนอื่นชนบ้างแต่ก็ไม่มีแม้คำขอโทษเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แม้เหล่านี้จะเป็นภาพที่เห็นอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่ทำให้เต็มฟ้ารู้สึกชินสักที ในที่สุดดวงตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนเท้าแขนกับแผงกั้นหันหลังให้ความวุ่นวายภายในสถานี ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่ไปมาด้วยความรีบเร่งเขากลับยืนสงบนิ่งทอดสายตามองออกไปยังที่ไหนสักที่ซึ่งเต็มฟ้าก็ไม่อาจคาดเดาได้ ชายหนุ่มถอดหูฟังพร้อมกับเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินเข้าไปทักเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือซีเนียร์ดีไซเนอร์ที่บริษัทซึ่งตนเองทำงานอยู่


“พี่ตัง มายืนทำอะไรตรงนี้น่ะพี่ เห็นออกมาตั้งนานแล้วผมคิดว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก”


“กำลังรอคนน่ะ”


“สามสิบห้าหรือสี่สิบ”


“อะไรวะไอ้เต็ม” คนถูกถามขมวดคิ้วมองไอ้เด็กกวนประสาทตรงหน้า


“ถ้าสามสิบห้าก็ธรรมดา สี่สิบก็พิเศษ พี่ตังนี่ไม่วัยรุ่นเลยว่ะ ผมหมายถึงรอคนพิเศษหรือเปล่า” เต็มฟ้าทำหน้าทะเล้น สังเกตจากอาการของคนของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่เขากำลังรอยังไงก็ต้องเป็นคนพิเศษแน่ ๆ


“เออ แสนรู้เหลือเกินนะ” คนไม่ทันมุกกล่าวอย่างหมั่นไส้


“แล้วทำไมมารอตรงนี้ล่ะพี่ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน”


“เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปทำงานต่อ ใกล้จะปลายปีก็แบบนี้แหละ งานเยอะ”


“ทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอพี่”


“ถ้าไม่ติดว่ามีงานด่วนแบบวันนี้ก็นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านพร้อมกันเกือบทุกวัน ต่างคนต่างทำงานก็ต้องอาศัยเจอกันแบบนี้แหละถ้าไม่อยากรอให้ถึงเสาร์อาทิตย์”


“เจอกันแค่ไม่กี่นาทีเนี่ยนะพี่”


“มันก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอไม่ใช่เหรอ” ตฤณกรสบตาคนถาม “ถ้าอยากมีเวลามากกว่านี้ก็แค่นั่งย้อนกลับไปรอเขาที่สถานีที่เขาจะขึ้น แล้วก็นั่งไปส่งสถานีที่เขาลง แค่นี้ก็มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกตั้งหลายนาที”


เต็มฟ้าพยักหน้าพลางเท้าแขนลงกับแผงกั้น เข้าใจความรู้สึกนั้นดี หากในใจเกิดความรู้สึกอยากจะเจอแล้ว ต่อให้เพียงนาทีเดียวก็มีค่าเหลือเกิน


“เป็นอะไรวะ เงียบเลย”


“กำลังคิดถึงใครคนหนึ่งที่มองเรื่องเวลาตรงข้ามกับพี่อยู่น่ะ”


“เพิ่มลูกชิ้นหรือเปล่า”


เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนเอาคืนใบหน้าเคร่งขรึมก็ค่อย ๆ เจือด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าคำตอบคำถามเมื่อครู่พลางผ่อนลมหายใจยาว


“จริง ๆ ของแบบนี้น่ะอยู่ที่ว่าเราจะมองมันยังไง สมมติแกเดินจากป้ายรถเมล์หน้าบริษัทไปร้านกะเพราเป็ดก้นซอย” ตฤณกรยกตัวอย่าง


“ผมไม่ชอบกินเป็ดอ่ะพี่”


“เออ สมมติว่าแฟนแกชอบกินก็ได้”


“แล้วไงต่อ”


“สมมติแฟนแกชอบกินกะเพราะเป็ดมาก แบบขาดไม่ได้ กินจนจะเดินส่ายเป็นเป็ดอยู่แล้ว”


“พอ ๆ พี่ แล้วยังไงต่อ”


“แกก็พาแฟนไปกินกะเพราเป็ดไง จากป้ายรถเมล์หน้าบริษัทไปร้านกะเพราเป็ดก้นซอยใช้เวลาห้านาที ป้าเจ้าของร้านผัดอีกห้านาที กินอีกห้านาที เดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกห้านาที รวมเบ็ดเสร็จยี่สิบนาที”


“เอาให้ฮานะพี่ตัง” เต็มฟ้าหรี่ตามองคนเจ้าหลักการพลางกอดอกรอฟังสิ่งที่เขากำลังพูดต่อไป


“นี่ไม่ได้พูดให้ขำนะโว้ย”


“อ่ะต่อ ๆ ไม่ขัดแล้ว”


“ยี่สิบนาทีนี้คือเวลาที่แกสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน ถ้าแกคิดว่ามันเป็นแค่ยี่สิบนาทีมันก็เป็นเวลาที่ไม่นานหรอก แต่ถ้าคิดว่ามันตั้งยี่สิบนาที เท่านี้แกก็จะรู้สึกว่าแกมีเวลาอยู่ด้วยกันนานตั้งยี่สิบนาทีแล้ว พี่ถึงบอกไงว่ามันแล้วแต่เราจะเลือกมอง”


“พี่ตังจะอ้อมไปร้านกะเพราเป็ดทำไมเนี่ย” เต็มฟ้ากล่าวพลางเกาศีรษะแกรก “มันแหม่ง ๆ ตรงกะเพราเป็ดนี่แหละ แต่โดยรวมก็ถือว่ายอมรับได้”


“นี่อุตส่าห์พูดให้สบายใจ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะ”


“ผมว่ายกตัวอย่างให้หิวมากกว่า” พูดจบก็ยกมือลูบท้องตัวเอง “ผมว่าผมรีบไปดีกว่า เริ่มหิวแล้ว”


“เออ จะไปไหนก็ไปเถอะ” ตฤณกรกล่าวพลางโบกมือไล่


“แหม กลัวผมจะเป็นก้างละสิ”


“เปล่า....” ร่างสูงลากเสียงพลางขยับกรอบแว่นตา “กลัวปลายเท้าลั่นต่างหาก”  แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มส่งมาให้ เป็นรอยยิ้มที่บรรดาสาว ๆ ในอ๊อฟฟิศต่างให้นิยามว่ามันคือ ‘ยิ้มใจละลาย’ เป็นรอยยิ้มที่เต็มฟ้าเองก็เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาว ๆ จึงได้พากันหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้


“พี่ตังใจร้ายว่ะ ผมไปดีกว่า” หนุ่มรุ่นน้องกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูทางเข้าเพื่อแตะบัตรให้ประตูเปิดออก


เมื่อผ่านประตูเข้ามาในสถานีเต็มฟ้าก็เดินปะปนไปกับผู้คนจำนวนมาก ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อนที่ทอดตัวขึ้นสู่ด้านบนของสถานี รอเพียงไม่นานรถไฟฟ้าก็เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชาลา ร่างสูงก้าวเข้าไปยืนเบียดเสียดกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในขบวนรถก่อนที่ประตูจะปิดลง สังเกตว่าแม้รอบตัวจะรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมากแต่ทั้งขบวนกลับมีแต่ความเงียบ นัยน์ตาสีดำมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาหนุ่มสาววัยทำงานที่ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนในมือ ถ้าไม่เล่นเกมก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกับใครสักหรือเสพข่าวสารความบันเทิงจากโซเชีลมีเดีย ในขณะที่หลายคนต่างก็กำลังอยู่ในโลกของตัวเอง โลกซึ่งเข้าถึงได้โดยปลายนิ้วสัมผัส แต่เต็มฟ้ากลับเลือกที่จะยืนปล่อยใจคิดอะไรไปเรื่อยจนลืมสนใจไปเลยว่ารถไฟฟ้าได้ผ่านสถานีใดมาแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีบางคนเริ่มขยับแทรกตัวเดินไปยืนรอที่ประตูทางออกขณะที่รถชะลอความเร็วลงและมาจอดสนิทที่สถานีหนึ่ง ชายหนุ่มทอดสายตามองผ่านกระจกออกไปยังชานชาลาฝั่งตรงข้าม ซึ่งภาพที่เห็นก็ไม่ได้ต่างไปจากในขบวนนัก


เมื่อประตูรถไฟฟ้าเปิดออกผู้โดยสารในขบวนก็ทยอยกันเดินออกไปจนภายในดูโล่งไปถนัดตา หายใจสะดวกชนิดที่ไม่ต้องกลัวว่าจะไปรดต้นคอใคร เสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกุญแจลูกกระพรวนดังขึ้นหลังจากสัญญาณเตือนประตูปิดเงียบลงเรียกสายตาหลายคู่ให้จับจ้องไปที่เด็กชายชั้นประถมปลายในชุดลูกเสือที่เพิ่งขึ้นมาจากสถานีเมื่อสักครู่ เขาสะพายเป้ใบโตจนพวกผู้ใหญ่อดรู้สึกหนักแทนไม่ได้  นอกจากจะสะพายเป้แล้วที่มือยังลากกระเป๋าลากมาด้วยอีกหนึ่งใบ มือเล็ก ๆ ข้างที่เหลือเลือกกำชายเสื้อของเด็กหนุ่มที่ยืนข้าง ๆ กันเอาไว้แทนการเกาะราวเหล็ก นั่นคงเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกอุ่นใจมากกว่า แม้จะต้องโคลงเคลงด้วยแรงเหวี่ยงของขบวนรถบ้างแต่ร่างสูงก็เป็นหลักยึดที่ดีในยามนี้


“พี่กันต์ ก้องขอซื้อหมูปิ้งหน้าปากซอยได้ไหม” เด็กชายตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูน


“นะ ๆ พี่กันต์นะ”


“เดี๋ยวก็โดนแม่ดุหรอก” เด็กหนุ่มมัธยมปลายกล่าวพลางปิดหนังสือการ์ตูนเก็บลงเป้นักเรียนที่หนีบใช้แขนหนีบเอาไว้ก่อนจะสะพายขึ้นหลังโดยไม่ได้สนใจสายตาเว้าวอนของน้องชายเลยแม้แต่น้อย มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังดังจากในกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาจากนั้นก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไป


“ถ้าพี่กันต์ไม่บอกแม่ก็ไม่รู้หรอก เดี๋ยวก้องจะรีบกินให้หมดนะ ๆ พี่กันต์นะ นะ ๆ”


เสียงออดอ้อนนั้นทำให้พี่ชายต้องถอนใจเฮือกในที่สุดก็จำใจพยักหน้า 


“เย้ พี่กันต์ใจดีจัง”


“พอเลย ไม่ต้องมาทำประจบ อาทิตย์นี้ซื้อให้กินสองวันติดกันแล้วนะ” พูดจบเด็กหนุ่มก็เก็บโทรศัพท์เอื้อมมือรั้งกระเป๋าลากจากน้องชายมาถือเอาไว้เสียเองก่อนที่ทั้งคู่จะจูงมือกันเดินฝ่าผู้คนไปยืนรอที่หน้าประตูทางออก เต็มฟ้าเบนสายตาจากเงาสะท้อนในกระจกจ้องมองเด็กชายตัวเล็กที่กำลังเดินห่างออกไป อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาไม่อายุต่างจากน้องชายถึงสิบเอ็ดปีก็คงได้จูงมือกันไปโรงเรียนแบบนี้ทุกวันแน่ ๆ ขายาวก้าวตามสองพี่น้องเมื่อเสียงขานชื่อสถานีซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินดังขึ้น และเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้งก็เป็นเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2014 11:11:47 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

เมื่อขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเต็มฟ้าก็พบว่าดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนลับหายไปแล้ว ท้องฟ้ามืดมิดปราศจากแสงของดาวดวงใด ๆ แต่ภายในซอยเล็ก ๆ กลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ จากที่เคยเงียบเชียบเมื่อตอนกลางวันก็กลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งมีทั้งคนทำงานและบรรดานักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียน


ทั้งที่เคยวางแผนกับเพื่อนว่าจะย้ายออกเมื่อมีเงินเดือนมากพอแต่สุดท้ายก็ยังอยู่ที่นี่มาได้ตั้งปีกว่าด้วยเหตุผลที่ว่ามันก็ไม่ได้ดูแย่อะไร ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปในอาคาร 5 ชั้น ก็มักจะได้พบกับรอยยิ้มของคุณป้าเจ้าของหอทุกครั้ง แม้ข้างนอกจะไม่มีใครยิ้มให้ แต่พอกลับมาที่นี่ทีไรก็จะเห็นรอยยิ้มนี้เสมอ ชายหนุ่มชะลอฝีเท้ามองหญิงวัยกลางคนที่มักจะคอยร้องบอกบรรดาลูกหอให้แวะดูจดหมายหรือพัสดุในล็อกเกอร์อยู่บ่อย ๆ วันนี้ก็เช่นกันแม้ละครกำลังถึงตอนสนุกจนต้องนั่งแทบจะติดจอทีวี แต่เธอก็ยังคอยมองคนที่เดินเข้าออกจากเงาสะท้อนของกระจกและแจ้งเรื่องของในล็อกเกอร์เหมือนทุกครั้ง


“เต็ม อย่าลืมแวะเปิดเอาจดหมายที่ล็อกเกอร์นะป้าใส่เอาไว้ให้แล้ว”


“ขอบคุณครับป้า” เต็มฟ้ากล่าวขณะเดินผ่านเคาท์เตอร์ จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดล็อกเกอร์เก่า ๆ สนิมเขรอะก่อนจะหยิบจดหมายหลายฉบับที่ถูกมัดรวมกันไว้ด้วยหนังยางออกมาดู นอกจากใบแจ้งหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์มือถือ เอกสารจากธนาคารซึ่งเป็นของเพื่อนร่วมห้องแล้วในจำนวนนั้นยังมีจดหมายที่ถูกส่งมาจากลำปาง เป็นจดหมายฉบับที่สี่แล้วที่เขาได้รับในเดือนนี้ 


ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงจ้องมองจดหมายที่หยิบมาจากล็อกเกอร์ นิ้วเรียวค่อย ๆ เปิดซองและดึงสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ซึ่งก็เป็นไปตามคาดมันคือรูปโพลารอยด์หนึ่งใบกับกระดาษสมุดพับครึ่ง ข้อความในกระดาษมีไม่มากแต่ก็บรรจงเขียนเสียจนคนอ่านต้องค่อย ๆ ไล่สายตาไปทีละตัวอักษร


‘สวัสดีครับพี่เต็ม....ตามส่งรูปเจ้าแข็งแรงมาให้พี่เต็มครับ คราวนี้มันไม่ยอมอยู่เฉย ๆ พี่ปุ่นต้องวิ่งไล่จับ ตอนนี้มันกินจุขึ้นกว่าเดิมอีกนะครับแล้วก็ตัวหนักมาก ๆ จนพี่ปุ่นต้องพาไปวิ่งเกือบทุกวันเลย อาทิตย์หน้าตามก็เลยจะชวนพี่ปุ่นพาเจ้าแข็งแรงไปที่ไร่ มันจะมีที่กว้าง ๆ ให้วิ่งเล่น แล้วตามจะถ่ายรูปส่งมาให้พี่เต็มดูอีกนะครับ....ตาม’



นัยน์สีเข้มทอดมองภาพที่ถูกส่งมาอย่างพิจารณา มันต่างไปจากภาพก่อน ๆ ซึ่งเป็นภาพของเจ้าหมาน้อยในท่าทางต่าง ๆ แต่ครั้งนี้กลับมีภาพของใครอีกคนที่ถูกพูดถึงในจดหมายติดมาด้วย แม้จะเบลอเพราะทั้งสุนัขทั้งคนต่างก็เคลื่อนไหวแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนมองถึงกับจำไม่ได้


เต็มฟ้าพับจดหมายของน้องชายใส่ซองเหมือนเดิมก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ จัดการติดรูปโพลารอยด์ใบที่สี่ลงบนกระดานเตือนความจำ เมื่อสังเกตว่าเจ้าลูกสุนัขในภาพมันโตขึ้นจริง ๆ หากเทียบกับภาพถ่ายสามใบก่อนหน้านี้รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในขณะที่เอื้อมหยิบไดอารีซึ่งวางอยู่ใกล้มือมาเปิดออกตั้งใจจะเสียบจดหมายฉบับล่าสุดรวมกับฉบับอื่น ๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับลายมือของใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงมุมซองด้านหลัง


‘ลำปางสบายดี คนที่นี่สบายไหม’


จำได้ว่าเคยเห็นลายมือนี้มาก่อน มันถูกเขียนอยู่บนกล่องพัสดุเมื่อคราวที่น้องชายส่งของขวัญรับปริญญามาให้ ว่าจะถามตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอกันแต่ก็ลืมเสียสนิท หัวคิ้วหนาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองภาพของชายหนุ่มผู้ที่ขันอาสารับเลี้ยงลูกสุนัขให้ ไม่รู้ว่าลายมือที่อยู่บนซองจดหมายจะใช่ลายมือของเขาหรือเปล่า


หลังจากส่งจดหมายฉบับที่สี่ไปไม่นานตามตะวันก็ได้รับพัสดุ EMS กล่องหนึ่งซึ่งถูกส่งมาจากกรุงเทพฯ ยิ่งได้รู้ว่าเป็นของที่พี่ชายส่งมาก็ยิ่งทำให้เก็บอาการตื่นเต้นดีใจไว้ไม่อยู่จนชลธรที่เป็นคนเซ็นรับไว้อดแซวไม่ได้ แต่ทันทีที่เปิดกล่องออกมาก็พบว่ามันคือปลอกคอสีแดงสำหรับลูกสุนัขกับคุกกี้ห่อใหญ่ ทั้งสองชิ้นมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่เขียนด้วยลายมือแปะติดมาด้วย หนุ่มน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่นั่งเท้าคางจ้องมองของสองสิ่งสลับกันไปมาอย่างใช้ความคิดจนไม่ได้ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ที่แล่นมาจอดที่หน้าเกสต์เฮาส์ ศิธาพัฒน์วางเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วนลงบนพื้นหญ้า จากนั้นก็เดินตรงมายังโต๊ะอาหารริมระเบียงก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กชายที่กำลังนั่งทำคิ้วชนกัน


“เป็นอะไรไป ทำไมวันนี้หนุ่มน้อยถึงหน้ายุ่งแบบนี้ล่ะครับ”


ตามตะวันยิ้มกว้างเมื่ออยู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดีก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า “อืม..ตามมีเรื่องงง ๆ นิดหน่อยครับ”


“เรื่องอะไรบอกพี่ได้ไหม”


“คือว่าวันนี้พี่เต็มส่งพัสดุมาให้ฮะ เป็นปลอกคอกับคุ้กกี้แล้วก็เขียนโน้ตมาด้วย” พูดจบมือเล็ก ๆ ก็เลื่อนกล่องไปที่กลางโต๊ะ


“บอกว่าฝากให้ลูกหมากับคนเลี้ยงหมา”


“ตามไม่แน่ใจว่าจะเอาอันไหนให้ใคร กำลังคิดว่าพี่เต็มติดสลับกันหรือเปล่า”


ศิธาพัฒน์หัวเราะพรืดทันทีที่หยิบของสองอย่างขึ้นมาดู กระดาษโน้ตที่ติดอยู่บนถุงคุกกี้เขียนว่า ‘ฝากให้ลูกหมา’ ส่วนอีกใบที่ติดอยู่กับปลอกคอเขียนว่า ‘ฝากให้คนเลี้ยงลูกหมา’ พออ่านจบก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่การติดสลับกันอย่างที่ตามตะวันคิด แต่มันคือความตั้งใจของคนที่ส่งของพวกนี้มาต่างหาก



ไอ้เด็กแสบ...



......



บ่ายวันอาทิตย์ศิธาพัฒน์ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปนอกเมืองตามแผนที่ที่ชลธรวาดใส่กระดาษมาให้โดยมีเจ้าหมาน้อยกับปลอกคออันใหม่นั่งชูคออยู่ในตะกร้าหน้ารถ เมื่อแยกจากถนนสายหลักมาสักพักก็เริ่มสังเกตป้ายไร่แสงดาวที่ทางแยกจึงค่อยอุ่นใจว่ามาไม่ผิดแน่ มอเตอร์ไซค์คลาสิกพาหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวลัดเลาะไปตามทางที่ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้น  ไม่นานภาพของบ้านไม้หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพื้นที่ทำการเกษตรอันกว้างใหญ่ไพศาลของคุณพ่อลูกสองก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า


เมื่อเสียงของเครื่องยนต์เงียบแทนที่ด้วยเสียงเห่าของเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วน มันเห่าเสียงดังเสียจนเจ้าของบ้านต้องเดินออกมาดู พ่อเลี้ยงตรัยหรี่ตามองชายหนุ่มแปลกหน้าให้ชัด จำได้ว่าเคยพบเขามาแล้วที่เกสต์เฮาส์ของน้องสาวภรรยา แต่ก็ยังรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยพบกันมาก่อนหน้านี้อยู่ดี


“สวัสดีครับคุณลุง” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางประนมมือไหว้อย่างนอบน้อม


“อืม..ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม นี่มาหาเจ้าตามใช่ไหม”


“ครับ” ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร เสียงกระดิ่งจักรยานก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน


พ่อเลี้ยงตรัยหันมองลูกชายที่กำลังจอดจักรยานพึงไว้กับต้นไม้ใหญ่ก่อนจะเดินยิ้มร่าเข้ามายกมือไหว้ผู้มาใหม่ด้วยท่าทางดูสนิทสนม


“นี่ไงฮะพ่อ เจ้าแข็งแรง ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากพี่ปุ่นเลี้ยง” พูดจบเด็กชายร่างเล็กก็อุ้มเจ้าตัวอ้วนขนปุยออกจากตะกร้าหน้ารถ แต่ตัวมันหนักเสียจนตามตะวันไม่อาจทานน้ำหนักไหวจึงตัดสินใจปล่อยให้มันยืนเอง ทันทีที่สี่ขาสัมผัสกับผืนหญ้าเขียวขจี เจ้าหมาน้อยก็วิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาจนตามตะวันต้องวิ่งตามเพราะกลัวว่าจะไปชนอะไรเข้า แต่ยิ่งทำแบบนั้นมันก็ยิ่งคิดว่าเจ้านายตัวน้อยกำลังเล่นด้วย เจ้าแข็งแรงเร่งฝีเท้าวิ่งวนไปมาพร้อมกับทำท่าหลอกล่อก่อนจะโดนจับได้จนล้มลงไปนอนกลิ้งทั้งคนทั้งสุนัข


“ตาม ระวังนะลูก เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะแย่” ร่างสูงร้องปรามเสียงเข้มด้วยความเป็นห่วง สุขภาพที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทำให้เขาต้องเข้มงวดเรื่องการกินการอยู่ของลูกชายคนเล็กเป็นพิเศษ แต่ตามตะวันก็ไม่ค่อยจะยอมปฏิบัติตามเสียเท่าไร การแอบไปเล่นหรือรับประทานอะไรโดยไม่ระวังบางครั้งก็ทำให้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อจนต้องขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ


“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ตามเล่นกับแข็งแรงตั้งหลายครั้งแล้ว สบายมาก” พูดจบตามตะวันก็อุ้มเจ้าหมาน้อยเดินเข้ามายืนข้าง ๆ ผู้เป็นพ่อที่ได้แต่โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ


“ถ้าอย่างนั้นตามขอพาแข็งแรงไปวิ่งเล่นในไร่นะฮะพ่อ”


“เอาสิ” ผู้เป็นพ่อกล่าวพลางโยกศีรษะลูกชายเบา ๆ


....



พ่อเลี้ยงตรัยยืนมองเด็กชายที่กำลังวิ่งนำลูกสุนัขตัวอ้วนไปตามผืนหญ้าที่ลาดลงสู่ไร่ส้มกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เจ้าปากเปราะยังคงเห่าไม่หยุดราวกับจะประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่ามันมีความสุขเหลือเกินที่ได้วิ่งเล่นในที่กว้าง ๆ แบบนี้ ทันทีที่ลงไปถึงแปลงปลูกมันก็ทำจมูกฟุดฟิดดมโน่นดมนี่ไปทั่ว ก่อนจะไปหยุดที่โคนต้นส้มใช้สองขาหน้าตะกุยดินอย่างเอาเป็นเอาตายจนคนงานต้องพากันไล่ แต่เจ้าจอมซนที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองก็ยังคงคิดว่าคนงานพวกนั้นกำลังเล่นกับมันอยู่ดี ตามตะวันยืนหัวเราะในท่าทางตลก ๆ บรรดาน้า ๆ คนงานที่กำลังช่วยกันไล่จับต้นเหตุของความวุ่นวาย ในที่สุดหนุ่มน้อยก็เลือกที่จะช่วยคู่หูโดยการร้องเรียกชื่อของมันก่อนจะวิ่งนำไปตามแปลงดินที่มีต้นส้มยืนต้นเรียงรายเว้นช่วงห่างเท่า ๆ กันไปตลอดแนวโดยมีเจ้าหมาน้อยวิ่งคลอเคลียไปไม่ห่าง 


“ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเลี้ยงหมาให้เจ้าเต็ม แต่ถ้ามันเป็นการเพิ่มภาระละก็เธอจะทิ้งมันไว้ที่นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวลุงจะให้คนงานให้ข้าวให้น้ำมันเอง” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะเดินนำศิธาพัฒน์ไปตามขั้นบันไดดินที่ทอดยาวลงสู่พื้นที่ทำการเกษตรเบื้องล่าง


“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ผมยินดี” ชายหนุ่มกล่าวพลางมองดูเด็กชายและเจ้าหมาน้อย คิดอยู่อย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงมันตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเจ้าของ


“เจ้าเต็มน่ะมันขี้สงสาร เจอตัวอะไรก็อยากจะเก็บมาเลี้ยงเสียหมด เมื่อก่อนนี้ก็เลี้ยงทุกอย่าง กระต่าย หมา แมว เขารักสัตว์เหมือนแม่ แต่พอเจ้าตามเกิดลุงก็ยกให้คนงานเอาไปเลี้ยงหมดเพราะเจ้าตัวเล็กมันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่น”


คนเดินตามได้แต่ฟังเงียบ ๆ เพราะเคยรู้เรื่องการเสียชีวิตของนายหญิงแห่งไร่แสงดาวจากชลธรมาก่อนแล้วศิธาพัฒน์จึงไม่คิดจะถามเพื่อรื้อฟื้น แต่รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของคนเล่าก็แสดงให้เห็นว่าเขามีความสุขที่ได้พูดถึงลูก ๆ และภรรยาที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ


“ขนาดเต่าญี่ปุ่นของยัยชลมันยังจัดการปล่อยลงแม่น้ำเสียเกลี้ยงบ่อ ไม่ไหวจริง ๆ ไอ้ลูกคนนี้ ไม่รู้ว่ามีเมตตาหรือกวนบาทากันแน่” พ่อหม้ายหนุ่มใหญ่กล่าวพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ


เมื่อได้ฟังคนเป็นพ่อพูดถึงลูกชายเช่นนั้น อยู่ ๆ หน้าของไอ้เด็กบ้าท่าทางจองหองที่ชอบทำไม่รู้ไม่ชี้เวลาที่ได้พูดจากวนประสาทคนอื่นก็ลอยขึ้นมาในหัวทำเอาคนฟังก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้ 


“เอ้อ...มัวแต่โม้เรื่องตัวเองเพลินก็เลยยังไม่ได้ถามเธอเลยว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เป็นคนลำปางหรือเปล่า”


“แม่ของผมเป็นคนลำปางครับ ส่วนพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ ตอนที่ผมเกิดพ่อก็พาแม่กับพี่สาวย้ายกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็ถูกส่งให้ไปอยู่กับคุณย่าที่บ้านสวนเมืองนนท์เพราะใกล้โรงเรียนมากกว่า”


“แม่เป็นคนลำปางงั้นเรอะ แล้วชื่ออะไรล่ะเผื่อลุงจะรู้จัก”


“ชื่อนวลตาครับ นามสกุลเดิมคือนรฤทธิ์ คุณลุงเคยได้ยินไหมครับ”


“อืม...นวลตา นรฤทธิ์...นรฤทธิ์” ร่างสูงที่เดินเอามือไพ่หลังหยุดกึกก่อนจะหันกลับมา มือใหญ่ยกขึ้นถูกปลายคางตัวเองอย่างใช้ความคิด


“คุ้น ๆ อยู่นะ แต่เดี๋ยวนี้น่าจะหาคนนามสกุลนี้ไม่ได้แล้ว”


“แม่บอกว่าพอตากับยายสิ้นบุญแล้วก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก หลังจากแต่งงานกับพ่อได้ 5-6 ปีก็ย้ายกลับไปกรุงเทพฯ บ้านกับสวนที่เคยทำก็ขายหมด”


“แล้วคุณพ่อของเธอล่ะชื่ออะไร”


“พ่อผมชื่อศิลป์ กษิศภูมิครับ ท่านเคยมาบรรจุเป็นพนักงานไปรษณีย์ที่นี่”


“ศิลป์ กษิศภูมิ พอพูดชื่อนี้ขึ้นมาถึงนึกออกว่าเคยเห็นหน้าเธอที่ไหน”


ศิธาพัฒน์มองเจ้าของริมฝีปากหยักที่กำลังเผยอยิ้มอบอุ่นด้วยความแปลกใจ “คุณลุงหมายความว่ายังไงครับ”


“ก่อนหน้าที่ตอนที่พบเธอที่เกสต์เฮาส์ก็ยังนึกแปลกใจ รู้สึกเหมือนเคยเห็นรูปร่างหน้าตาแบบนี้มาก่อน ที่แท้ก็ลูกชายของศิลป์นี่เอง”


“หมายความว่าคุณลุงรู้จักพ่อของผมเหรอครับ”


คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่จ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาทอประกายระยับราวกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปในวัยหนุ่มอีกครั้ง


“เธอเหมือนพ่อมากนะ ทั้งรูปร่างหน้าตาการพูดการจา”


“คุณลุงรู้จักพ่อของผมได้ยังไงครับ” ศิธาพัฒน์กล่าวอย่างตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นพ่อจะพูดถึงเพื่อนคนนี้ให้ฟังเลยสักครั้ง


“หึ...พ่อเธอคงไม่เคยพูดถึงลุงให้ฟังละสิ”


“ไม่เคยครับ”


“มันก็น่าอยู่หรอก ใครจะพูดถึงคู่แข่งให้เจ็บใจเล่น”


“คู่แข่ง?”


“ใช่ เราเคยชอบผู้หญิงคนเดียวกัน” พ่อเลี้ยงตรัยยิ้มก่อนจะเดินต่อ “แม่เจ้าเต็มเขาเป็นคนสวย ใครเห็นก็ตกหลุมรัก รวมถึงไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ คนนั้นด้วย”


“หมายความพ่อของผมกับคุณลุง....”


“เราแข่งกันจีบดารกาแม่ของเจ้าเต็มน่ะ แต่ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะแต่งงานกับหนุ่มชาวไร่จน ๆ อย่างลุง ยังจำหน้าจ๋อย ๆ ของเจ้าศิลป์เมื่อวันที่มาร่วมงานแต่งงานได้ไม่ลืมเลย” คนเล่ายกยิ้มที่มุมปากพลางโคลงศีรษะไปมา “สุดท้ายเจ้านั่นมันก็ได้แต่งงานกับเพื่อนเจ้าสาว ได้เป็นเขยคนลำปางสมใจ”


“นี่หมายความว่าแม่ผมกับภรรยาของคุณลุงเคยเป็นเพื่อนกันเหรอครับ”


“เป็นเพื่อนรักกันเลยละ ตอนที่รู้ว่านวลตาจะต้องย้ายไปอยู่กรุงเทพฯน่ะ แม่เจ้าเต็มก็ซึมเศร้าไปหลายวัน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางชี้ไปที่แนวทิวสนที่เห็นอยู่ไกล ๆ “เธอเห็นแนวสนนั่นไหม ตรงนั้นน่ะเคยเป็นของแม่เธอ พอต้องย้ายตามสามีก็เลยประกาศขาย แม่เจ้าเต็มเขาตัดสินใจซื้อเก็บเอาไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเพื่อนจะกลับมา ส่วนโรงนาเก่าก็ทำเป็นโรงงานเซรามิค น่าเสียดายที่เขาบุญน้อยเลยไม่มีโอกาสได้พบกับลูกชายของเพื่อนรักในวันนี้”


“ถ้าเธออยากไป วันหลังก็ให้เจ้าตามพาไปก็แล้วกัน”


ศิธาพัฒน์มองตามด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แนวทิวสนตรงนั้นเคยเป็นที่ดินของแม่ของเขามาก่อนอย่างนั้นเหรอ แน่นอนว่าเขาจะต้องไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง


...ที่ที่พ่อกับแม่เคยใช้เวลาร่วมกัน บางทีอาจจะได้คำตอบก็ได้ว่าทำไมพ่อถึงได้รักที่นี่นัก...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2014 07:29:12 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด