คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561  (อ่าน 256185 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เต็มฟ้าลุกขึ้นจากโซฟาหน้าเคาท์เตอร์รอจ่ายยาของโรงพยาบาลทันทีที่ร่างสูงของยุทธภูมิปรากฏขึ้น เขาสวมชุดนักศึกษาสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวที่หน้าอกปักชื่อและตราสัญลักษณ์ของสถาบันดูเท่ไม่เบา เหลืออีกเพียงปีเดียวเท่านั้นว่าที่คุณหมอก็จะได้เป็นคุณหมอเต็มตัวเสียที


ขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มายืนยิ้มอยู่ตรงหน้า “มีอะไรเหรอถึงได้มาถึงที่นี่” 


“มีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ”


“นึกว่าจะคิดถึงกันเสียอีก ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน”


เต็มฟ้าสบตาชายหนุ่มช่างเจรจาอยากจะบอกว่านั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งแต่สุดท้ายอะไรบางอย่างก็ทำให้เลือกที่จะเก็บเอาไว้คนเดียว


“เย็นนี้พอจะมีเวลาไปกินข้าวกันหน่อยไหม”


“อื้อ..ได้สิ”


ยุทธภูมิเดินนำเต็มฟ้าไปที่ลานจอดรถก่อนจะอวดบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 สีดำเงาวับที่เพิ่งเปลี่ยนจากป้ายแดงมาเป็นป้ายขาวเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าที่คุณหมอถอดเสื้อกาวน์ก่อนจะโยนแหมะไว้ที่เบาะหลังจากนั้นจึงนั่งลงประจำที่คนขับ ดวงตาคมกริบลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ กันพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ  เพียงมานานบีเอ็มดับเบิลยูคันงามก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากลานจอดรถของโรงพยาบาล


“เต็มอยากกินอะไร”


“อะไรก็ได้”


“อืม..ภูมิอยากกินกับข้าวฝีมือเต็มน่ะ ไปทำให้ภูมิกินที่คอนโดนะ” รอยยิ้มมีเลศนัยนั้นชวนให้รู้สึกหวั่น ๆ ในใจ แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องยอมตามใจเจ้าของรถ ดังนั้นเต็มฟ้าจึงจำต้องตอบตกลงหลังจากพยายามเลี่ยงมาหลายครั้ง


สองหนุ่มแวะซื้อวัตถุดิบที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ ก่อนจะเข้าคอนโด เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้อง ยุทธภูมิก็จัดการแช่ของสดไว้ในตู้เย็น ในขณะที่เต็มฟ้ากำลังยืนสำรวจว่ามีอุปกรณ์ทำครัวอะไรให้หยิบออกมาใช้งานได้บ้าง เมื่ออุปกรณ์พร้อมพ่อครัวคนเก่งก็เริ่มลงมือทำอาหารโดยมีเจ้าของห้องยืนคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ฟ้ายังไม่ทันมืดกับข้าวที่ทำง่าย ๆ 2-3 อย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมให้ผู้ช่วยพ่อครัวได้ลองชิม


“ฮ้า!!!! อิ่มจัง กินจนพุงกางเลย” มือหนาตบที่ท้องตัวเองเบา ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาข้าง ๆ คนที่กำลังกดรีโหมตเปลี่ยนช่องทีวีอย่างตั้งใจ


“ไปอดอยากมาจากไหน”


“ก็อาหารที่โรงพยาบาลมันไม่อร่อยนี่นา” พูดจบมือปลาหมึกก็โอบไหล่เล็กเอาไว้ก่อนจะรั้งเข้ามาใกล้ ๆ กัน


“นั่งห่าง ๆ หน่อยก็ได้ ที่ตั้งเยอะ”


“ก็อยากนั่งใกล้ ๆ แล้วใครจะทำไม”


“ก็ไม่ทำไมหรอก” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่งก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับรายการเล่าข่าวช่วงหัวค่ำที่พักนี้ไม่ได้มีโอกาสได้ดูสักเท่าไรนั่นเป็นเพราะต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นเกือบทุกวันจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ ที่วันนี้พอจะมีเวลาว่างก็เพราะได้ส่งงานไปแล้วจากนี้ก็ต้องรอดูว่าจะมีแก้ไขอะไรบ้าง


“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมทำหน้าป่วยแบบนั้น”


“เปล่านี่”


“ไม่เชื่อหรอก อย่างนี้ต้องให้คุณหมอตรวจนะครับ” ไม่รอช้าว่าที่คุณหมอก็กดปลายจมูกลงบนแก้มเนียนจนคนไม่ได้ตั้งตัวถึงกับเบิกตากว้าง


“ทะลึ่งแล้ว” สองมือออกแรงดันแผงอกกว้างจนอีกฝ่ายให้ผละออก แต่สุดท้ายก็ถูกรวบมาไว้ในอ้อมกอดเข้าจนได้


“หมอกำลังจะรักษาโรคคิดถึง ไม่ได้ทะลึ่งสักหน่อย” ยุทธภูมิยิ้มเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าขึ้นสีชมพูจาง ๆ ของอีกฝ่าย ถึงปากจะไม่ยอมรับว่าคิดถึง แต่สีหน้าและแววตาของคนน่ารักก็บอกออกมาจนหมดแล้ว


“ปล่อยเลย” เต็มฟ้ากล่าวเสียงแข็งพร้อมกับดิ้นขลุกขลักแต่ยิ่งดิ้นเท่าไรแขนแกร่งก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเท่านั้น


“ไม่ปล่อย” พูดจบริมฝีปากหยักก็พรมจูบลงบนซอกคอขาวให้รู้สึกจั๊กจี้


สองมือของเต็มฟ้าเกาะบ่าหนาเอาไว้พร้อมกับออกแรงดันแต่ก็เปล่าประโยชน์ ริมฝีบางเฉียบเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะกล่าวสิ่งที่ตั้งใจจะมาพูดในวันนี้ออกมา


“ถ้าเราจะกลับไปอยู่ลำปางภูมิจะว่ายังไง”


สิ้นเสียงของคนในอ้อมกอดวงแขนแกร่งก็ค่อย ๆ คลายออก หน้าคมที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยเลื่อนถอยออกมามองอีกฝ่ายให้เต็มตา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาตอบคำถามนี้


“เต็มจะกลับไปทำไม ในเมื่องานที่ทำอยู่ก็มั่นคง เงินเดือนก็เยอะ”


“เราอยากกลับไปช่วยงานพ่อแล้วก็...ดูแล...น้อง” มันเป็นประโยคคำตอบง่าย ๆ แต่คนพูดกลับรู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน


“ไหนเต็มบอกว่าตอนนี้พี่สาวดูแลทุกอย่างแทนแล้วไง” ว่าที่คุณหมอกล่าวอย่างหัวเสีย


“พี่ชลน่ะเขาทำทุกอย่างแทนเรามานาน เราคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลับไป”


“ถ้าเต็มกลับไปอยู่ลำปางแล้วเมื่อไรเราจะได้เจอกัน”


เต็มฟ้าฟังคำถามแบบเด็ก ๆ นั้นก่อนจะยิ้ม “เมื่อไรก็ได้ที่อยากเจอ”


“แต่มันไกลนะเต็ม”


“ถ้านายคิดว่าไกลมันก็ไกล แต่สำหรับเรา เราว่ามันไม่ไกลเลยนะ”


“ภูมิไม่อยากให้เต็มไป ไม่ไปไม่ได้เหรอ”


“เราก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลนะ นายเองก็เหมือนกัน”


ว่าที่คุณหมอนิ่งคิดก่อนจะยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างซึ่งทำให้เต็มฟ้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ถ้าเต็มยืนยันว่าจะกลับไป เราคงต้องเลิกกัน ภูมิรักเต็มนะ แต่ภูมิทำใจไม่ได้หรอกที่เราต้องอยู่ไกลกันแบบนี้ ถ้ามีแฟนแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันจะมีไปทำไม”


“ทำไมถึงพูดแบบนั้น รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ


“เรามีสติดี แล้วก็หมายความตามนั้นจริง ๆ เต็มเลือกเอาก็แล้วกัน”


“เราว่าเรากลับก่อนดีกว่า เอาไว้นายอารมณ์ดี ๆ แล้วค่อยมาคุยกัน” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปที่ประตูแต่มือหนากลับรั้งข้อมือของเขาเอาไว้   


“เดี๋ยวก่อน”


ทันทีที่หันกลับไปมองเจ้าของเสียงก็พบว่าดวงตาแสนอ่อนโยนของยุทธภูมิบัดนี้ได้กลายเป็นแววของของสัตว์ป่าที่หิวกระหายไปเสียแล้ว แม้คนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างเต็มฟ้าก็ยังคิดว่ามันดูน่ากลัว น่ากลัวเสียจนไม่กล้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“คิดจะเดินหนีกันเฉย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ”


“เราไม่ได้หนี แต่นายไม่ฟังเหตุผลของเรา อันที่จริงที่เรามาวันนี้ เราตั้งใจจะมาถามความเห็นของนายก่อนเพราะนายคือคนสำคัญ เรามีเหตุผลของเราที่คิดว่านายน่าจะเข้าใจแต่นายกลับบังคับให้เราต้องเลือก” พูดไปโดยไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้คนฟังอารมณ์คุกรุ่นเป็นทวีคูณ


“ภูมิเสียเวลาไปกับเต็มมากนะ เต็มเป็นคนแรกที่ภูมิยอมไม่แตะต้องเลยมาเป็นปี ๆ”


ข้อมือเล็กรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้น มันเจ็บอย่างบอกไม่ถูกเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจไม่คิดว่าคนที่บอกว่ารักกันจะปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ แรงที่ส่งมาทำให้รับรู้ได้ว่าไฟแห่งความโกรธกำลังลุกโชนอยู่ภายในใจของอีกฝ่าย ทั้งที่ความกลัวเริ่มก่อตัวแต่เต็มฟ้าก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ ริมฝีปากบางยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เป็นปกติ “หึ การคบกับเรามันคือการเสียเวลาหรอกเหรอ เราชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าที่นายไม่อยากให้เราไปเพราะจริง ๆ นายรักเราหรือรักตัวเองกันแน่”


“จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อว่าภูมิรักเต็ม”


“ปล่อยเราสิ”


ยุทธภูมิจ้องมองลูกไก่ในกำมือด้วยแววตาลุกโชนด้วยแรงปรารถนาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก “ปล่อยเหรอ ถ้าปล่อยแล้วเต็มจะรู้ได้ยังไงว่าภูมิรักเต็ม ต้องกอดสิ” พูดจบก็ออกแรงเหวี่ยงจนคนตัวเล็กกว่าลงไปกระแทกกับโซฟาก่อนโผตามลงไปกดจูบลงบนซอกคอขาวราวกับหมาป่าหิวโหยที่กำลังพุ่งเข้าหาเหยื่อ มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออกอย่างช่ำชองจนกระทั่งเห็นแผงอกเนียนละเอียดที่รอคอยจะได้เห็นมานาน


“ปล่อยนะโว้ย” เต็มฟ้าโวยวายพร้อมกับมือที่ปัดป่ายไปมา


ไม่มีแม้เสียงตอบกลับที่อ่อนโยนและสัมผัสที่นุ่มนวลอีกต่อไป มันมีแต่เสียงหัวเราะเยาะและสัมผัสที่ชวนขยะแขยง แต่ลูกไก่สู้ไม่ถอยอย่างเต็มฟ้าก็ไม่ละความพยายามรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายก่อนจะถีบที่หน้าท้องจนร่างสูงหงายหลัง คนกำลังน้อยกว่าดีดตัวลุกขึ้นก่อนจะตามไปกระชากคอเสื้อ ง้างหมัดเตรียมจะอัดเข้าเต็มแรงให้สาสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เมื่อสบตาก็อีกฝ่ายก็ทำไม่ลงเอาดื้อ ๆ มือเล็กกำแน่นเกร็งจนสั่นพลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน


“นี่มันอะไรกัน” เสียงนั้นดังกังวานราวกับสายฟ้าที่ฟาด เต็มฟ้าหันไปสบตาเจ้าของเสียงก่อนจะลดมือลงและผละออกจากร่างของยุทธภูมิที่อยู่ในอารามตกใจไม่ต่างกัน


“พะ..พ่อ..เข้ามาได้ยังไงครับ”


“ก็ห้องนี้ฉันจ่ายเงินซื้อให้แก คีย์การ์ดฉันก็มีทำไมจะเข้ามาไม่ได้” ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันในชุดนายทหารยศสูงกล่าวพลางจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าเสื้อผ้าหลุดลุ่ย


“แล้วนี่ทำอะไรกัน ทำไมสภาพถึงดูไม่ได้แบบนี้”


“มะ..ไม่มีอะไรครับ” เจ้าของห้องผุดลุกขึ้นพลางสบตาคู่กรณีเป็นเชิงขอร้องว่าไม่ให้กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น


“แล้วเธอล่ะเป็นใคร” ดวงตาแข็งกร้าวยังคงจ้องมองหน้าซีดชื้นเหงื่อไม่วางตา


“ผะ..ผม ผมเป็น...”


“เพื่อนน่ะพ่อ หยอกกันแรงไปหน่อย”


แม้การแนะนำของอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจแต่เต็มฟ้าก็ไม่ได้ขัด เขายกมือไหว้และกล่าวสวัสดีผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างนอบน้อม


“แกแน่ใจนะว่าเพื่อน ไม่ใช่พวกประหลาดทำอะไรผิดธรรมชาติแบบที่คนที่โรงพยาบาลเขาลือกัน”


ไม่รู้ว่า ‘พวกประหลาดทำอะไรผิดธรรมชาติ’ ในความหมายของคุณลุงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคืออะไร แต่พอฟังแล้วน้ำตามันก็พาลจะไหลเอาเสียอย่างนั้น ทั้งที่เขาเองก็เพิ่งไปพบยุทธภูมิที่โรงพยาบาลเป็นครั้งแรกแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อ แต่ทำไมคุณลุงคนนี้จึงพูดราวกับมันมีเรื่องพรรค์อย่างนั้นเกิดขึ้นบ่อย ๆ จนคนต้องเอามาพูดกันหรือว่าจริง ๆ แล้วยุทธภูมิไม่ได้คบเขาแค่เพียงคนเดียว


เต็มฟ้าถอนใจเบา ๆ พยายามกลืนความความคิดทุกอย่างลงคอก่อนจะตัดสินใจย้ำให้คนเป็นพ่อมั่นใจในตัวลูกชายของเขามากขึ้น “เพื่อนจริง ๆ ครับคุณลุง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”


“เห็นไหมพ่อ ไม่มีอะไรจริง ๆ พ่ออย่าไปฟังคนพวกนั้นมากเลย พวกขี้อิจฉา เห็นว่าพ่อเป็นเพื่อนกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ผมเอาไปพูดตีไข่ใส่สี”


“ถ้าไม่มีอะไรก็ดี ขืนแกเป็นแบบนั้นละก็ชื่อเสียงของฉันจะพาลเสื่อมเสียไปด้วย” พูดจบผู้เป็นพ่อก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟามองไปรอบ ๆ ห้อง


“ถะ..ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” พูดจบเต็มฟ้าก็ยกมือไหว้นายทหารร่างใหญ่ที่ไม่ได้แยแสเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะอยู่หรือจะไป 


“เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


“ไม่ต้อง!...นายอยู่กับพ่อเถอะ” แม้ประโยคที่ตามมาจะค่อย ๆ เบาลง แต่คำว่า ‘ไม่ต้อง’ ของเต็มฟ้าช่างหนักแน่นราวประกาศิตจนคนฟังไม่สามารถจะขยับเขยื้อนไปไหนได้ดั่งใจ ยุทธภูมิได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ


.....


แท็กซี่สีเขียวเหลืองขับฝ่าสายฝนมาจอดที่หน้าหอพักเมื่อตอนเกือบสามทุ่ม ชายหนุ่มที่นั่งด้านหลังเปิดประตูลงมายืนโงนเงนราวกับเรี่ยวแรงที่มีกำลังจะหมดในขณะที่สายฝนก็ดูเหมือนจะเป็นใจเหลือเกินที่โปรยปรายลงมาในช่วงเวลานี้ ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชายที่กำลังไหลอาบทั้งสองแก้มอย่างแน่นอน โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงหยุดสั่นไปได้พักใหญ่ ๆ นั่นคงเป็นเพราะมันสั่นมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากคอนโดของยุทธภูมิจนกระทั่งแบตเตอรี่หมดหมดโดยที่เจ้าของไม่คิดจะหยิบมันออกมาดูเลยด้วยซ้ำว่าใครโทร.เข้ามา


ทันทีที่ดันประตูเข้าไปเต็มฟ้าก็พบกับร้อยยิ้มของคุณป้าเจ้าของหอเหมือนเคย เธอยังคงร้องเตือนเรื่องจดหมายในล็อกเกอร์ แต่วันนี้พ่อหนุ่มน้อยในสายตาของเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนอง ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มส่งคืนกลับมา ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปเงียบ ๆ ในขณะที่หญิงวัยกลางคนก็ได้แต่เพียงมองอย่างเป็นห่วง
ในที่สุดก็พาตัวเองขึ้นไปจนถึงห้องพักจนได้ มือสั่นเทาเอื้อมบิดลูกบิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เมื่อประตูเปิดออกเต็มฟ้าก็พบว่าเพื่อนรักทั้งสองคนกำลังนั่งรออยู่


กีรติและดุ่ยต่างก็ลุกขึ้นจ้องคนที่เนื้อตัวชุ่มไปด้วยน้ำฝนตรงหน้า มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเพื่อนกำลังร้องไห้


“เต็ม แกเป็นอะไร” เพียงประโยคสั้น ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่แฝงอยู่ในนั้น เพียงแค่คนถูกถามเดินเงียบ ๆ เข้าไปก่อนจะซบหน้าลงบนบ่ากว้างก็พอจะตอบข้อสงสัยที่มีทั้งหมดได้ กีรติยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อนรักเบา ๆ โดยไม่ได้มีคำปลอบใจใด ๆ หลุดออกจากปากแม้แต่คำเดียว แต่กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก


“ข้อมือไปโดนอะไรมาวะ” ดุ่ยเอ่ยขึ้นขณะยกข้อมือเล็กที่มีแต่รอยเขียวช้ำขึ้นดูพลันแววตาขี้เล่นก็ลุกโชนด้วยความโกรธ “ฝีมือไอ้หมอใช่ไหม ข้าจะไปเอาเรื่องมัน” พูดจบหนุ่มร่างเล็กก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่มือเรียวก็คว้าแขนเขาเอาไว้ได้ทัน


“ไอ้ดุ่ยอย่า” เต็มฟ้ารีบห้ามพลางปาดน้ำตาที่กำลังไหล


“ได้ยังไงวะ มันอะไรกันนักหนาถึงต้องทำกันแบบนี้”


“ช่างมันเถอะ”       


“ไอ้ดุ่ยแกไปนั่งสงบสติอารมณ์ไปก่อนไป ส่วนแกไอ้เต็ม แกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยมาเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงจริงจังของกีรติทำให้ทุกคนยอมทำตามแต่โดยดี


เต็มฟ้าหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับดวงตาช้ำปวม ยังนึกไม่ออกเลยว่าที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่ในตอนนี้นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ยุทธภูมิทำกับตนเองหรือคำพูดเพียงไม่กี่คำของนายทหารยศสูงผู้นั้นกันแน่ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเตียงตรงหน้าเพื่อนรักทั้งสองที่ต่างก็มองมาด้วยความเป็นห่วง


“ไอ้หมอมันโทร.มาถามฉันสองคนว่าเจอแกหรือยัง ถามมันว่าเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่ยอมบอก พูดแค่ว่าฝากขอโทษแกด้วย พวกฉันโทร.หาแกแกก็ไม่รับ”


“ขอโทษว่ะ”


“เออ เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ พวกข้าอยากรู้ว่ามันทำอะไรเอ็งถึงได้สภาพเป็นแบบนี้” ดุ่ยถามพลางจับแขนเพื่อนขึ้นมาพลิกไปมาเพื่อสำรวจว่ามีร่องรอยฟกช้ำตรงไหนอีกบ้าง


เต็มฟ้าสบตาสองหนุ่มก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ...


“ฮึ่ย! นึกแล้วมันน่าโมโหไอ้หมอนัก เวลามันจะคบใครมันคิดแต่เรื่องแบบนี้เหรอวะ” ดุ่ยกล่าวพลางคว้าหมอนขึ้นมาขยำระบายความคับแค้นใจ


กีรติถอนใจเบา ๆ ก่อนจะวางโอบไหล่เพื่อนรักเอาไว้ “เจ็บไหมวะ”


“บอกไม่ถูกว่ะ มันตื้อ ๆ อยากด่าตัวเอง ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่... แต่สุดท้ายยอมปล่อยให้บางคนเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิต”


“แก...รักมันไปแล้วหรือยัง”


คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรว่ะ มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกดีเวลาที่มีอีกคนให้นึกถึงละมั้ง”


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว คิดเสียว่ามันก็แค่คน ๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาทำเพื่อให้เราแข็งแรงขึ้น” พูดจบมือใหญ่ก็ตบลงที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายเบา ๆ  แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่เพื่อนรักทั้งสามคนได้นั่งปรับทุกข์กันยันเช้า


.....


“ไอ้เก้ เดี๋ยวข้ากลับบ้านก่อนนะ แล้วเจอกันที่บริษัท”


เสียงดังแว่ว ๆ นั่นทำให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงค่อย ๆ ปรือตาขึ้น ภาพที่เห็นก็คือร่างสูงใหญ่ของกีรติที่กำลังเดินมานั่งลงข้างเตียง มือใหญ่ค่อย ๆ ประคองข้อมือของเพื่อนขึ้นก่อนจะบีบยาออกจากหลอดใช้ปลายนิ้วแตะเนื้อครีมทาไปตามรอยช้ำอย่างเบามือ


“ตัวก็อุ่น ๆ นี่หว่า เดี๋ยวฉันจะไปซื้อข้าวมาไว้ให้ แกกินข้าวกินยาแล้วก็นอนพัก วันนี้ก็ไม่ต้องไปทำงานหรอกฉันจะบอกพี่กบให้ว่าแกไม่สบาย”


“ขอบใจพวกแกมากนะ”


“ขอบจงขอบใจอะไรวะเรื่องแค่นี้เอง” พูดจบกีรติก็ขยี้ผมเส้นเล็กนุ่มมือนั้นเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากโดนบังคับขู่เข็ญให้กินข้าวกินยาเรียบร้อยแล้วคนป่วยก็หลับยาวจนกระทั่งมาตื่นอีกทีก็เมื่อตอนบ่ายคล้อย ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้าม และเมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งเขาก็พบกับคุณป้าเจ้าของหอที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารซิบซุบดาราอยู่ที่เคาท์เตอร์


“เต็ม เห็นเก้บอกว่าไม่สบายเหรอ หายหรือยัง”


“ดีขึ้นแล้วครับป้า ขอบคุณนะครับ” เจ้าของใบหน้าอิดโรยกล่าวพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เพื่อให้คนถามสบายใจ


“อย่าลืมแวะเอาจดหมายด้วยนะ”


“ครับป้า”


เต็มฟ้าแวะไปเปิดล็อกเกอร์หยิบจดหมายก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้อง จดหมายจากน้องชายและรูปโพลารอยด์แสดงพัฒนาการของเจ้าหมาน้อยใบที่ห้า


‘สวัสดีครับพี่เต็ม พี่ปุ่นใส่ปลอกคอที่พี่เต็มส่งมาให้เจ้าแข็งแรงแล้วนะครับ ตอนแรก ๆ มันก็วิ่งสะบัดหัวครางหงิง ๆ  แล้วนอนกลิ้งไปกลิ้งมาจะเอาปลอกคอออกให้ได้ แต่พี่ปุ่นก็ไม่ยอมตามใจมัน พี่ปุ่นบอกว่าให้มันสวมปลอกคอแบบนี้ก็ดีเหมือนกันใครเห็นจะได้รู้ว่ามันมีเจ้าของ อาทิตย์นี้พี่ปุ่นพาเจ้าแข็งแรงไปวิ่งที่ไร่ ท่าทางมันจะชอบมากเลยครับวิ่งไม่หยุดเลย คราวนี้พี่ปุ่นเป็นคนถ่ายให้ครับ ส่วนพ่อก็ช่วยอุ้มเจ้าแข็งแรงให้ เอาไว้ตามจะเขียนมาหาใหม่นะครับ ตามคิดถึงพี่เต็มจัง....ตาม’



ทั้งที่ข้อความในจดหมายมีอยู่เพียงไม่กี่บรรทัดแต่ชายหนุ่มกลับใช้เวลาในการอ่านเป็นชั่วโมง นัยน์ตาสีดำสนิททอดมองรูปโพลารอยด์ในมือ มันเป็นภาพของพ่อที่กำลังอุ้มเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วน การได้เห็นรอยยิ้มของพ่อคงจะเป็นความปรารถนาสูงสุดสำหรับเขาในขณะนี้





ที่หลังซอง...


‘ขอบคุณมากนะสำหรับปลอกคอ ไอ้เด็กแสบ’   



.....



หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเต็มฟ้าก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย จนเพื่อน ๆ ต่างก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ กีรติวางดินสอลงก่อนจะมองดูชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งใจลอยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นเดินไปตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับมา


“ฉันว่าแกควรเอามันไปส่งได้แล้วนะ” พูดจบก็หยิบซองกระดาษสีขาวที่สอดอยู่กับกองหนังสือมาวางตรงหน้าเพื่อน


“แต่ว่า...”


“ไม่ต้องแต่แล้ว แกยังจะลังเลอะไรอีก หรือว่ายังจะรอไอ้หมอ”


“เปล่า ฉันแค่คิดว่าเวลาที่มีพวกแกอยู่ข้าง ๆ มันก็มีความสุขดี”


“ไม่ผิดหรอกที่แกจะคิดแบบนั้น พวกฉันเองก็มีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับแก แต่ตอนนี้ใจแกไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ฉันว่าแกกำลังคิดถึงบ้านว่ะเต็ม พ่อแก น้องแก เวลามีแกอยู่ข้าง ๆ เขาก็มีความสุขนะ และฉันก็เชื่อว่าแกจะรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ข้าง ๆ พวกเขาเหมือนกัน ถึงเวลาที่แกต้องกลับไปแล้วว่ะ แกหนีความรู้สึกของตัวเองมานานเกินไปแล้วนะ”


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนรัก กีรติก็ยังคงเป็นกีรติที่สามารถอ่านใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


ภายในห้องผู้จัดการบริษัทกลับเงียบสนิทหลังจากพนักงานหนุ่มได้แจ้งความประสงค์ที่จะลาออกให้ทราบ มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศได้อย่างชัดเจน ผู้จัดการหนุ่มใหญ่ทอดสายตามองซองสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้าพลางถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นจึงเลื่อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า


“มันเป็นเรื่องน่าเสียดายนะ คุณเป็นคนทำงานดี ผมอยากให้คุณลองกลับไปทบทวนดูอีกครั้ง”


“ผม...ผมทบทวนแล้วครับผู้จัดการ เหตุผลต่าง ๆ ก็ตามที่ได้เขียนเอาไว้ในใบลาออก”


“อืม..ในเมื่อคุณยังยืนยันแบบนั้นผมก็คงห้ามอะไรไม่ได้ ขอให้คุณโชคดีก็แล้วกันกลับไปทำหน้าที่ของลูกที่ดี”


“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจผม”



เต็มฟ้าเดินออกมาจากห้องที่อุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก


จากนี้ไปก็แค่นับวันรอที่จะกลับไป...



...กลับไปที่บ้าน...





ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
ในที่สุด เต็มฟ้า ก็กลับบ้านแล้ววว

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
ในที่สุดเต็มก็กลับบ้านแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ภูมิแม่มแย่ :beat: :beat: :beat:

ออฟไลน์ N.T.❁

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
ไม่มีที่ไหนอบอุ่นไปกว่าบ้านแล้วเต็ม
เวลาไม่สบายใจ แค่ได้กลับบ้าน ได้กอดคนที่เรารักแล้วก็รักเรามันทำให้หายเหนื่อยจริงๆนะ
ดีแล้วที่รู้นิสัยกันตั้งแต่ยังไม่ถลำลึก...อย่างน้อยๆก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีที่ทำให้เต็มรู้สึกว่าบ้านคือที่ๆเป็นของเต็ม

ตอนนี้เห็นถึงพัฒนาการของคนในครอบครัว แล้วก็เรื่องของคุณพ่อคุณแม่พี่ปุ่นด้วย
ต่อไปเต็มกลับบ้านแล้วความสัมพันธ์ของเต็มกับตามคงดีขึ้นมากๆ
ส่วนพี่ปุ่นก็เป็นยารักษาแผลใจ 5555

ขอบคุณมากนะคะ ติดตามๆ  :L2:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
โอ้ว ยาวสะใจ หายคิดถึงไปบ้าง
เต็มไม่ทันได้เจอพี่จ้าเลย
นั่นไอดอล เรื่องคิดบวกนะ สี่สิบของพี่ตังเค้าล่ะ ฮึฮึ

ยุทธภูมิไม่ได้เป็นอะไรที่ผิดคาดเลย
มีก็แค่เรื่องที่ยอมไม่แตะต้องมาเป็นปีนั่นแหละ
แต่ก็ดีแล้ว ที่จริงอยากให้ลุงทหารมาช้ากว่านี้สักนาที
ให้เต็มซัดให้น่วมเลย นิสัยไม่ได้ ไม่ควรเรียนหมอเลย แย่!

ไปเตรียมขันโตกรอเลี้ยงต้อนรับเต็มกลับบ้านดีกว่า  :katai2-1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
“ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากปุ่นเลี้ยงครับพ่อ”>>>>>>>>>>>>>น่าจะเป็น "พี่ปุ่น" เนาะ

อ้าวหมอภูมิออกลายซะงั้น ไม่น่าเลยนะ ลำพังแค่ความคิดเรื่องเวลาและระยะทางนั่น
ก็ทำให้เต็มลำบากใจพออยู่แล้ว ยังมาทำนิสัยแย่ ๆ ให้เห็นอีก ที่สำคัญมีคุณพ่อที่น่ากลัวอีกต่างหาก
เลิกได้ก็เป็นบุญแล้ว
กลับบ้านไปปลูกต้นรักกับพี่ปุ่นดีกว่า

ปล.มุกสามสิบห้าหรือสี่สิบนี่บอกตรง ๆ ว่าพึ่งเคยเห็น เรานี่ก็ไม่วัยรุ่นเหมือนตังเลย อิอิ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ดีใจที่เต็มเลิกกับหมอภูมิ ตอนแรกนึกว่าดีแต่พออ่านตอนไปเยาวราชก็เริ่มคิดแล้วว่านิสัยแปลกๆ

ในที่สุดเต็มก็จะกลับไปอยู่บ้าน อยากให้เต็มเจอแต่คนที่ทำให้มีความสุข :mew4:



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กว่าจะได้พบพาน

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
ไม่รู้ทำไมว่าเราก็รู้สึกโล่งใจด้วยเหมือนกัน :mew1:

ดีนะที่พ่อของอิีตาหมอเข้ามาทันพอดี :mew4:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
กลับบ้านกันเถอะ เต็ม

อิหมอ อิเลววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ helpmeiiz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กลับบ้านเรา รักรออยู่

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
ลุ้น....ลุ้นทุกตัวอักษร :กอด1:

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
อยากจะต่อยอีหมอสักหมัดสองหมัด
ที่แท้ก็พวกกลัวพ่อ ไม่กล้ายอมรับตัวเอง
แถมไม่ได้คบเต็มคนเดียวอีก มัน่าเอาให้สูญพันธ์ไปเลย

กลับบ้านนะเต็ม ดีใจที่เต็มเลือกกลับบ้าน
เชื่อว่าเต็มจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้เยอะเลย
โดยเฉพาะมีพี่ปุ่นไว้กวนตีน 555

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
การกลับบ้านของเต็มครั้งนี้ หวังว่าเต็มจะมีความสุขกับการตัดสินใจนะ ในที่สุด เต็มเลิกกะไอ้หมอแล้ว ว่าแล้วเชียวว่าหมอต้องนิสัยไม่ดีแน่ๆ บังอาจมากนะมาทำให้น้องเต็มร้องไห้ เต็มไม่เป็นไรนะ กลับบ้านไปหาพี่ปุ่นดีกว่า เนอะๆ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2014 07:12:49 โดย เจ้าหญิงขี้ลืม »

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
การเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต กำลังจะเริ่มขึ้น
บ้านที่ซึ่งมีความรัก รออยู่อย่างเต็มเปรี่ยม
มารอลุ้นการพัฒนาการ ของ พี่ปุ่น กับไอ้เด็กแสบ  :z2:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ

ออฟไลน์ butter.juliet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
แบนอิหมอ  :fire: :fire:

ออฟไลน์ yamapong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เย้ ตอนที่รอคอย ดีใจสุดๆๆๆๆเลยค่าาา อยากให้เค้าได้อยู่ใกล้ชิดกันไวๆ กลับไปอยู่บ้านที่แสนอบอุ่นดีกว่านะพี่เต็มนะ

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
แอบดีใจที่หมอเผยด้านมืดออกมา เต็มจะได้ตัดสินใจให้เด็ดขาดซะที


น้ำตาคลอเลยอ่ะที่เต็มจะกลับบ้าน ให้อารมณ์คล้ายๆส่งลูกถึงฝั่งฝายังไงยังงั้นเลย (มันเหมือนกันตรงไหนมั้ยอ่ะ 5555)   :hao7: :hao7: :hao7:


ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
ไปหาพี่ปุ่นนะ

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
 :กอด1: กลับบ้านเรารักรออยู่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
เริ่มคลี่คลายที่ละเปลาะ พี่เต็มเริ่มมีพัฒนาการที่ดีกับน้องตามขึ้นเรื่อยๆ เป็นปลื้ม
ทีนี้ก็ลุ้นต่อละว่าพี่เต็มจะเปิดใจรับพี่ปุ่นยังงัย
ขอบคุณคนแต่งครับ อ่านได้จุใจมากตอนนี้ รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นี่มันนิยายดราม่าชัดๆ โอยยย น้ำตาไหลไม่หยุดเลย T____T

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
นี่จ้ะ..ผืนสุดท้ายแล้ว


ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น



ตามตะวันนั่งมองพี่สาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาท์เตอร์จากระเบียงริมน้ำ ข้าง ๆ กันคือพนักงานไปรษณีย์หนุ่มหล่อที่มักแวะมาหาทุกวันพร้อมกับเจ้าลูกสุนัขขนฟูตัวอ้วนกลม ความรู้สึกเปียกชื้นปนจั๊กจี้ที่ปลายเท้าทำให้หนุ่มน้อยละสายตาจากภาพตรงหน้าได้เพียงชั่วครู่ ตามตะวันผุดลุกขึ้นอย่างร้อนใจจนเจ้าหมาน้อยที่กำลังกระดิกหางดุ๊กดิ๊กนอนเลียเท้าของเขาอยู่ต้องทำหน้าฉงน โทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อ 3-4 นาทีก่อนและเขาก็เป็นรับสายนั้นเอง ดีใจสุด ๆ เมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือพี่ชาย แต่ยังไม่ทันจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบกันอีกฝ่ายก็ขอพูดกับชลธรเสียก่อน


หญิงสาววางหูโทรศัพท์พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเด็กชายร่างเล็ก สีหน้าเคร่งเครียดของเธอทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่ปลายสายหรือเปล่า


“พี่เต็มโทร.มาว่ายังไงเหรอฮะพี่ชล”


“เต็มฝากบอกตามว่าไม่ต้องเขียนจดหมายส่งไปให้อีกแล้วละจ้ะ”


“ทำไมล่ะครับ” ตามตะวันมองพี่สาวตาละห้อย สงสัยเหลือเกินว่าทำไมพี่ชายจึงไม่ให้ส่งจดหมายไปอีก หรือว่าเขาจะทำอะไรให้ไม่พอใจ


ชลธรสบตาน้องชายก่อนจะคลี่ยิ้มจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ก็เพราะว่าพี่เต็มจะกลับมาอยู่ที่นี่กับพวกเราแล้วยังไงล่ะจ๊ะหนุ่มน้อย” พูดจบมือบางก็เลื่อนขึ้นไปวางบนศีรษะเล็ก ๆ อย่างเอ็นดู


“ดีใจไหมจ๊ะ?”


“ดะ..ดีใจครับ” ดวงตาหม่นหมองกลับทอประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำให้แน่ใจ เมื่อเห็นว่าพี่สาวยังคงพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อครู่ตามตะวันก็แทบจะกระโดดตัวลอย เด็กชายหันไปละล่ำละลักกับศิธาพัฒน์ที่นั่งยิ้มแฉ่งไม่ต่างกัน สองมือเล็กกุมกับมือหนากระโดดโลดเต้นไปมา ส่วนเจ้าลูกสุนัขปากเปราะก็ส่งเสียงเห่าไม่หยุดราวกับฟังทุกอย่างเข้าใจ

 
ชลธรมองตามเด็กชายวิ่งนำเจ้าหมาน้อยไปที่สนามหญ้าก่อนจะหันกลับมาหาคนที่กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่เดิม


“พี่ไม่แปลกใจหรอกที่น้องชายเขากระโดดโลดเต้นดีใจพอรู้ว่าพี่ชายกำลังจะกลับบ้าน แต่ที่พี่สงสัยก็คือทำไมคนเลี้ยงหมาต้องยิ้มหน้าบานขนาดนี้ด้วย”


เมื่อได้ฟังดังนั้นศิธาพัฒน์ก็รีบหุบยิ้มทันที ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนในหน้าคืออะไร แค่คำถามธรรมดา ๆ แต่ทำไมกลับทำให้ในใจรู้สึกปั่นป่วนไปหมด


เจ้าของคำถามมองหนุ่มหล่อหน้าเหรอหราที่โดนแซวหน่อยเดียวถึงกับไปไม่ถูก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะถามจริงจัง แต่พอเห็นอาการแบบนั้นแล้วคนหน้าหวานก็อดไม่ได้ที่จะกอดอกรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร


“ผมดีใจแทนเจ้าแข็งแรงน่ะครับ ก็เจ้าของเขาจะกลับมาแล้วนี่”


“อ๋อ..ที่แท้ก็ดีใจแทนเจ้าแข็งแรงนี่เอง” ชลธรยิ้ม


.....   



ชายหนุ่มร่างเล็กวิ่งหน้าเริดฝ่าผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่อยู่ในสถานีรถไฟหัวลำโพงออกมายังชานชาลาพลางสอดส่ายสายตามองหาบางสิ่ง ในมือของเขาถือถุงพะรุงพะรังมีทั้งน้ำและขนมขบเคี้ยว เสียงเครื่องจักรรถไฟที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชาลาผสมกับเสียงเครื่องยนต์ของรถราที่จอดรับส่งผู้โดยสารอยู่ด้านนอกดังอื้ออึงไปหมด ความโกลาหลเริ่มขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก ผู้โดยสารจำนวนมากก้าวลงจากรถไฟพร้อมสัมภาระ ต่างคนต่างมุ่งหน้าเข้าสู่สถานี ดุ่ยยังคงพยายามมองหาแต่ด้วยความสูงที่มีอยู่ไม่มากทำให้แทบจะมองไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากคนที่เดินสวนมาพลันที่บ่าก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือของใครคนหนึ่ง เมื่อหันหลังกลับก็พบว่าคนที่มองหากำลังส่งยิ้มมาให้


“นึกว่าจะไม่มาแล้ว”


“ไม่มาได้ไงวะ นี่คุยกับลูกค้าเสร็จปุ๊บก็รีบนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาเลย อ่ะนี่ซื้อขนมมาฝากด้วยเอ็งจะได้เอาไว้กินระหว่างทางเผื่อหิว”


“ขอบใจนะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะรับถุงขนมมาถือเอาไว้


“แล้วไอ้เก้ล่ะ”


“เอาเป้ขึ้นไปเก็บให้ นั่นไงมาพอดีเลย”


สองหนุ่มหันไปมองร่างสูงที่กำลังก้าวลงมาจากโบกี้รถไฟ กีรติเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนเคราแพะเอาไว้


“นึกว่าแกจะมาไม่ทันส่งไอ้เต็มแล้วนะเนี่ย”


“ทันสิวะ กะเวลาอยู่ รีบคุยแล้วก็รีบมาเลย”


“ขอบใจพวกแกมากนะที่มาส่ง” 


“นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเคลียร์งานแทนเอ็ง พวกข้าจะไปส่งให้ถึงลำปางเลยนะ”


“เออ...แล้วก็ขอบใจมากนะเรื่องงานน่ะ”


“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อน้องเต็มจะได้กลับบ้าน พี่ดุ่ยยอมทั้งนั้น”


“แหม...ไอ้พระเอก” คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มอดแขวะไม่ได้


“อยู่ที่โน่นฉันคงคิดถึงพวกแก”


“อยู่นี่พวกฉันก็คงคิดถึงแกเหมือนกัน” กีรติกล่าว มันเป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ เพราะตลอดห้าปีที่อยู่ด้วยกันมานอกจากช่วงปิดเทอมแล้วก็แทบจะไม่เคยห่างกันไปไหนนาน ๆ ให้ต้องคิดถึงเลยสักครั้ง ถึงจะปิดเทอม...ก็ยังคิดได้ว่าเดี๋ยวพอเปิดเทอมก็เจอกัน แต่ครั้งนี้คงเป็นเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันจริง ๆ แล้ว


เสียงประกาศดังขึ้นท่ามกลางเสียงเครื่องจักรรถไฟที่กำลังทำงานบอกให้รู้ว่ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 จากสถานีกรุงเทพฯปลายทางสถานีเชียงใหม่กำลังจะเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผู้โดยสารต่างขึ้นไปบนขบวนเพื่อหาที่นั่งและจัดเก็บสัมภาระก่อนที่การเดินทางแสนยาวนานจะเริ่มต้นขึ้น


“เต็ม มาให้พี่ดุ่ยกอดที” หนุ่มเคราแพะกล่าวพลางกางแขนออก เต็มฟ้าคลี่ยิ้มก่อนจะเดินเข้าสู่อ้อมแขนของเพื่อนอย่างว่าง่าย


“ดูแลตัวเองดี ๆ นะไอ้เต็ม อย่าให้พวกข้าต้องเป็นห่วง” มือหนาตบลงบนแผ่นหลังของเพื่อนเบา ๆ


“แกก็เหมือนกันนะ”


“พอ ๆ ไม่ต้องกอดแน่นมาก ข้าหายใจไม่ออกว่ะ” ดุ่ยกล่าวพร้อมกับผละออกรีบใช้มือปาดน้ำใสที่ซึมอยู่ที่หางตา


“รีบขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวรถไฟก็จะออกแล้ว” กีรติเอ่ยเตือนเมื่อได้ยินเสียงประกาศครั้งสุดท้าย


“ไปก่อนนะ”


“โชคดี”


เต็มฟ้าจำใจหันหลังให้เพื่อนรักทั้งสอง ขายาวก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดก่อนจะหันกับมาสบตาคนตัวสูงที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน เพียงมองตาก็ราวกับว่าต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และแล้วแขนแกร่งของกีรติก็ผายออกทันเวลาก่อนที่ร่างเล็กจะโผเข้าหา


“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะ” หน้าคมซบลงมาบนไหล่พูดด้วยเสียงอู้อี้แต่ก็ยังพอจับใจความได้


“ไม่เป็นไร” คำพูดสั้น ๆ ลอดผ่านริมฝีปากหยักอย่างแผ่วเบาแต่กลับมีความหมายหนักแน่นในความรู้สึกของคนสองคน มือใหญ่ตบเบา ๆ ที่แผ่นหลังเพื่อเตือนสติเต็มฟ้าจึงค่อย ๆ ขยับตัวถอยออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลาแห่งการร่ำลากำลังจะหมดลงแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจหันหลังให้ก่อนจะเดินดิ่งไปยังขบวนรถไฟที่จอดอยู่ เพราะกลัวว่าน้ำตาที่กำลังไหลจะทำให้คนข้างหลังต้องเป็นห่วงเขาจึงไม่ได้หันกลับไปมองเพื่อนรักทั้งสองอีกเลยจนกระทั่งก้าวขึ้นไปบนขบวนรถ เพียงไม่นานรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 ก็เคลื่อนออกจากชานชาลาพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟที่ดังขึ้น


กีรติทอดสายตามองม้าเหล็กตัวยาวฃที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในความมืด มันกำลังพาทุกคนไปให้ถึงจุดหมาย ม้าเหล็ก..ที่กำลังพาเพื่อนของเขากลับไปส่งยังบ้านเกิดที่จากมานานเหลือเกิน


“กลับเถอะไอ้เก้” ดุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบบ่าเพื่อนตัวสูงเบา ๆ “คืนนี้ข้าขอไปนอนหอเอ็งนะ”


“อือ” กีรติกล่าวพลางละสายตาจากไฟท้ายขบวนรถไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ


“เดี๋ยวคืนนี้พี่ดุ่ยจะร้องเพลงกล่อมน้องเก้เองนะครับ”


“เพลงอะไรวะ”


“รักในซีเมเจอร์ เหมาะกับไอ้พวกเก็บความรู้สึกเก่ง”


คนฟังเผยอยิ้มพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บไว้รู้คนเดียวนะ”


“ถุย! พ่อกีรติ พ่อคนดี” ดุ่ยกล่าวอย่างหมั่นไส้หรี่ตามองใบหน้าคมเข้มที่ยังคงอาบด้วยรอยยิ้ม


“เพื่อนพระเอกก็อย่างนี้แหละ” กีรติหัวเราะเบา ๆ จากนั้นสองหนุ่มก็พากันหันหลังกลับเดินกอดคอเข้าไปในสถานีที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ยังรอเดินทางไปกับรถไฟขบวนถัดไป


เต็มฟ้ายังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนที่ถูกกางออกโดยพนักงานบนรถไฟตั้งแต่รถยังไม่ออกนอกเขตกรุงเทพฯ ม่านทึบถูกรูดปิดเพื่อกันตัวเองจากสิ่งรบกวนในขณะที่เสียงพูดคุยกันของผู้โดยสารค่อย ๆ เงียบลง ได้ยินเสียงประตูเปิดและฝีเท้าของพนักงานที่ให้บริการอยู่บนรถไฟดังเป็นระยะ ๆ  ดวงตาที่ไม่แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืดและความเวิ้งว้างไร้ซึ่งแสงไฟจากบ้านเรือน อดคิดไม่ได้ว่าหากต้องถูกปล่อยให้อยู่ตรงนั้นตนเองจะเดินไปไหนได้ มันจะน่ากลัวสักเพียงใด โทรศัพท์ในมือยังคงสั่นเตือนว่ามีคนโทรเข้า ยี่สิบกว่าสายที่ไม่ได้รับเป็นเบอร์ของคนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้คุยกันร่วมสัปดาห์ตั้งแต่วันที่มีเรื่อง ข้อความขอโทษถูกส่งมาตลอดทั้งสัปดาห์แต่เต็มฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นั่นคงเป็นเพราะภาพที่ดุ่ยส่งมาให้ดูตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อน มันเป็นภาพของยุทธภูมิกับนักศึกษาแพทย์รุ่นน้องที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกันกระหนุงกระหนิงในโรงอาหารของโรงพยาบาล จากที่ตั้งใจจะไปเอาคืนให้สาสมกับที่ทำไว้กับเพื่อน ดุ่ยจึงจำต้องเปลี่ยนใจกะทันหัน


...


เสียงดังกุกกักและเสียงของผู้โดยสารที่กำลังจะเตรียมตัวลงปลุกให้คนที่เพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงตื่นขึ้น จะกดดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือก็พบว่าแบตเตอรีหมดไปเสียแล้ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาบอกเกือบตีห้า รถค่อย ๆ ชะลอความเร็วก่อนจะจอดนิ่งสนิทที่สถานีแม่ปิน เหลืออีกเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 มาถึงสถานีนครลำปาง เต็มฟ้ามาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนฟ้าสางเมื่อพนักงานรถไฟขานชื่อสถานีที่รถจะเข้าจอดในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นด้วยความงัวเงียก่อนจะหยิบแปรงและยาสีฟันที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกไปล้างหน้าล้างตาที่ท้ายโบกี้


เมื่อกลับมาถึงที่นั่งก็พบว่าเพื่อนร่วมทางที่นอนมาบนเตียงบนของเขาหายไปแล้ว เดาว่าคงจะลงที่สถานีเด่นชัยเมื่อตอนตีสี่ครึ่งที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ผู้โดยสารหลายคนเริ่มลุกจากที่นอนล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเตรียมตรวจสอบสัมภาระที่นำติดตัวมาเพื่อลงในสถานีหน้า ที่นอกหน้าต่างดวงอาทิตย์สีส้มดวงกลมได้เคลื่อนพ้นแนวยอดไม้ออกมาทักทายเหล่าคนเดินทาง เมื่อมองลงไปเบื้องล่างกลับชวนให้รู้สึกเสียวที่ปลายเท้าเมื่อพบว่ารางเหล็กนั้นทอดตัวไปตามสันเขาที่ลาดชันปกคลุมด้วยต้นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนม้าเหล็กกำลังวิ่งอยู่เหนือยอดไม้ที่สูงลิบลิ่ว ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 ก็เข้าจอดเทียบที่ชานชาลาของสถานีนครลำปางเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้าของวันเสาร์ เต็มฟ้าสะพายเป้ก้าวลงมายืนมองภาพความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลามุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมองรางเหล็กที่ทอดตัวยาวขนานกันไปจนบรรจบกันที่จุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ไกลสุดสายตา รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วการบรรจบกันนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาแต่ไม่สามารถลวงหัวใจที่รู้ว่ามันจะเชื่อมลำปางกับที่ที่เขาจากมาไว้ด้วยกัน



....



เสียงไก่ชนของลุงเดชโก่งคอขันปลุกให้ทุกบ้านละแวกนี้ตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ศิธาพัฒน์หลับ ๆ ตื่น ๆ ฟังเสียงไก่จนกระทั่งนาฬิกาปลุกเมื่อตอนฟ้าสว่างจึงลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าสังเกตว่าฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้เช้านี้สดชื่นเป็นพิเศษ เสียงหงิง ๆ ของเจ้าลูกสุนัขที่ดังแว่ว ๆ ทำให้ต้องรีบเปิดประตูออกไปดู กลัวว่ามันจะมุดออกไปนอกรั้วแล้วหัวติดอยู่กับซอกประตูเหมือนวันก่อน ตาคมกริบหรี่ลงเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นอกรั้ว ส่วนเจ้าหมาน้อยก็กระดิกหางริก ๆ ยืนตะกายรั้วอยู่ไม่ห่าง


เจ้าของบ้านรีบเดินลงจากบ้านเพื่อไปดูให้แน่ใจ ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้รอยยิ้มแรกของเช้าวันใหม่ก็ปรากฏขึ้น เมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่นอกรั้วก็คือเจ้าของลูกสุนัขที่เขาอาสาเลี้ยงให้นั่นเอง หมูปิ้งไม้เล็ก ๆ ถูกสอดผ่านระหว่างช่องประตูเข้ามาให้เจ้าปากเปราะได้ลิ้มลองและท่าทางมันก็จะชอบเอามาก ๆ เสียด้วย


“ตะกละจริง ไม่รู้คนเลี้ยงปล่อยให้กินอด ๆ อยาก ๆ หรือไง ถึงได้ตะกละตะกลามแบบนี้” ปากบางบ่นพึมพำพลางดึงหมูปิ้งอีกไม้ออกจากถุง


“เลี้ยงให้อ้วนขนาดนี้แล้วยังว่าปล่อยให้อดอยากอีกเหรอ” ร่างสูงกล่าวอย่างอารมณ์ดี


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสีกากีที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าก่อนจะก้มลงสนใจลูกหมาอ้วน


“ใจคอจะไม่ทักทายกันเลยหรือไง” ศิธาพัฒน์กล่าวขณะไขกุญแจที่คล้องโซ่ ทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าหมาน้อยก็วิ่งเข้าไปหาเจ้านายของมันทันที


มือเรียวจับที่โคนขาทั้งสองของเจ้าตัวอ้วนก่อนจะมันลอยขึ้นในอากาศ พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหมนังหนู” 


ศิธาพัฒน์ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อสิ้นเสียงของไอ้เด็กแสบ ที่บอกว่าทักทายน่ะหมายถึงทักทายคนเลี้ยงหมา ไม่ใช่ให้ทักทายหมาเสียหน่อย ชายหนุ่มได้แต่โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ


เต็มฟ้าปล่อยเจ้าแข็งแรงลงก่อนจะยื่นหมูปิ้งให้มันแทะเล่นเป็นของแถม


“จะไปทำงานแล้วเหรอ”


“อือ”


“กินหมูปิ้งไหม”


คนถูกถามเลิกคิ้ว “ก็หมูปิ้งนี่น่ะซื้อมาให้เจ้าแข็งแรงมันไม่ใช่เหรอ”


“เปล่า ซื้อมากินเอง แต่แบ่งให้แข็งแรงกินด้วย พี่ศิธาจะกินไหมล่ะ”


เรียกพี่ศิธาอีกแล้ว....


“เก็บไว้กินเถอะ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินนำทั้งคนทั้งหมาเข้ามาในบ้าน    


“แล้วนี่มาตั้งแต่เมื่อไร”


“มาเมื่อคืน ถึงเมื่อเช้า”


“บอกใครหรือยังว่ามาถึงแล้ว”


เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะนั่งลงที่ระเบียง “ยังไม่ได้บอก แบตหมด ก็เลยแวะมาเยี่ยมเจ้าแข็งแรงมันก่อน”


“เอาเครื่องพี่โทร.ก่อนไหมหรือจะให้ไปส่งที่เกตส์เฮาส์”


“ขอชาร์จแบตก่อนได้ไหมจำเบอร์ไม่ได้”


คำตอบซื่อ ๆ ทำเอาคนถามอดขำไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมครั้งก่อนเขาถึงต้องเดินหาตามหาคนรับโปสการ์ดที่ไม่เขียนเลขที่ ก็เพราะไอ้คนส่งมันไม่จำอะไรเลยนี่เอง ศิธาพัฒน์มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาเข้างานแล้วจึงยื่นกุญแจบ้านให้เต็มฟ้า


“พี่ฝากปิดบ้านด้วยก็แล้วกัน ส่วนกุญแจเอาไปฝากกับป้าบัวไว้ก็ได้ปกติแกไม่ได้ออกไปไหน”


ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนยังไม่ตื่นพยักหน้าส่ง ๆ พลางรับกุญแจมาถือไว้ มองดูร่างสูงที่กำลังเดินลงจากบ้าน ไม่นานเขาก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับออกไปโดยมีเจ้าแข็งแรงยืนกระดิกหางรอส่งอยู่ที่ปลายบันไดข้าง ๆ ชามอาหารเม็ดของมัน


“แข็งแรงมานี่มา”


เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านายตัวจริง เจ้าตัวอ้วนก็เห่ารับก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดมาหาอย่างว่าง่าย


“กินหมูปิ้งกันดีกว่าเนอะ กินอาหารเม็ดจนเบื่อแล้วมั้ง” พูดจบเขาก็ยื่นไม้หมูปิ้งให้นังหนูแข็งแรงเป็นรางวัล


เต็มฟ้าเดินเข้าไปในบ้านที่ทาด้วยสีฟ้าทั้งหลัง ภายในตกแต่งเรียบ ๆ มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และมุมทำครัวเล็ก ๆ ที่ด้านในสุดของตัวบ้าน ส่วนตรงกลางเป็นโถงสำหรับนั่งดูทีวี ด้านและด้านข้างเป็นประตูบานพับใส่กระจกสีโบราณดูแปลกตาเปิดออกสู่ระเบียงที่เชื่อมถึงกัน ไหน ๆ เจ้าของบ้านก็ให้กุญแจเอาไว้แล้วก็ถือวิสาสะถอดเป้วางลงกับพื้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาชาร์จเสียเลย คิดว่ารอชาร์จโทรศัพท์เรียบร้อยก็จะโทร.บอกพ่อให้มารับกลับบ้าน ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดยาวจ้องมองพัดลมเพดานที่หมุนเพราะแรงลมจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด


....


ศิธาพัฒน์กลับมาที่บ้านอีกครั้งในตอนเที่ยงหลังจากฝนหยุดตกไปได้ไม่นาน เมื่อพบว่าประตูยังไม่ได้ถูกคล้องโซ่ก็แน่ใจว่าเต็มฟ้าคงยังอยู่ในบ้าน เมื่อก้าวขึ้นมาบนบ้านก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ไอ้ตัวแสบยังคงนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาแถมบนอกยังมีเจ้าขนฟูตัวอ้วนกลมนอนหลับตาพริ้มหาบใจรดกันอีก เจ้าของบ้านเห็นแล้วอยากจะเขกกะโหลกนักที่เอาลูกสุนัขเข้ามาในบ้านเพราะช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเขายังไม่มีเวลาจับมันอาบน้ำเลย ร่างสูงเตรียมจะอ้าปากบ่นแต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้ เขาย่อตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ โซฟามองดูคนที่กำลังนอนหลับ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองคนตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู พลางนึกไปถึง ‘เจ้าปุ้น’ น้องชายของตัวเอง เวลานอนหลับก็ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร แต่ลองได้ตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็มักจะสร้างเรื่องปวดหัวให้ต้องตามบ่นอยู่เรื่อย มือหนาดึงกังหันพลาสติกสีสวยที่เคยให้กันไว้จากมือของอีกฝ่าย สังเกตเห็นรอยเขียวช้ำที่ข้อมือเล็ก แม้มันจะจางลงมากแล้วแต่ก็ยังดูออกว่าเป็นรอยนิ้ว ที่เกิดเป็นรอยขนาดนี้คนทำคงจะใช้แรงมากส่วนคนถูกกระทำก็คงจะเจ็บมาก ๆ เช่นกัน  ศิธาพัฒน์วางกังหันของเล่นลงบนโต๊ะก่อนจะยกตัวเจ้าลูกสุนัขที่กำลังหลับขึ้นวางลงกับพื้น เจ้าหมาน้อยปรือตาขึ้นเล็กน้อยแต่สุดท้ายมันก็ไม่สามารถเอาชนะความง่วงได้ ดวงตาฉายแววแห่งความอ่อนโยนมองเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เหนือขึ้นไปเป็นคิ้วหนาซึ่งจู่ ๆ ก็มุ่นเข้าหากันชวนให้คิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดนักหนาแม้กระทั่งในยามหลับ


“เต็ม ตื่นได้แล้ว”


เสียงที่ดังแว่ว ๆ อยู่ข้างหูทำให้เจ้าของชื่อต้องปรือตาขึ้น เต็มฟ้ายันตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตามองเจ้าบ้านพลางขมวดคิ้วราวกับเด็กที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม รู้สึกปวดหน่วง ๆ ในหัวจนต้องใช้เวลาตั้งสติอยู่นาน


“เช้าแล้วเหรอ”


“เช้าตั้งนานแล้ว นี่จะเที่ยงแล้ว” ร่างสูงกล่าวพลางลุกขึ้นเดินไปถอดปลั๊กที่ชาร์จแบตโทรศัพท์ก่อนจะมาวางให้บนโต๊ะ “โทร.ไปหาพ่อหรือพี่ชลแล้วหรือยัง”


“โทร.แล้วพ่อไม่อยู่ที่ไร่ โทร.ไปที่เกสต์เฮาส์ไม่มีใครรับ สงสัยแขกเยอะ”


“ถ้าอย่างนั้นให้พี่ไปส่งที่เกสต์เฮาส์ไหม พี่จะไปทานข้าวที่นั่นอยู่พอดี”


ไอ้เด็กแสบนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าตอบรับในที่สุด ดังนั้นศิธาพัฒน์จึงขี่มอเตอร์ไซค์พาเต็มฟ้ามาที่เกสต์เฮาส์ ลมเย็น ๆ หลังฝนตกที่ปะทะเข้ากับใบหน้าของคนซ้อนท้ายทำให้รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีสารใด ๆ เจือปนเช่นนี้ ถ้าจะมีสิ่งเจือปนก็คงเป็นกลิ่นดินกลิ่นกลิ่นหญ้าที่ได้กลิ่นเมื่อไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น น้ำในแม่น้ำวังที่เพิ่มระดับขึ้นมากทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปในสมัยเด็ก เมื่อถึงวันลอยกระทงพ่อกับแม่มักจะพาเขามาทำกระทงกันที่บ้านของน้าเดือน พอตกกลางคือก็ลอยกระทงกันที่ท่าน้ำหลังบ้านก่อนจะไปเที่ยวงานวันที่อยู่ห่างไปไม่ไกล


จะว่าไป...ในช่วงเวลาแบบนี้ถ้าแม่ยังอยู่ด้วยกันก็คงจะดี...





ศิธาพัฒน์รู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่นิ่งเงียบผิดปกติตั้งแต่ออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถาม เมื่อมาถึงเกสต์เฮาส์ ชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน


ชลธรที่กำลังยืนคุยอยู่กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่งมาเข้าพักรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบหน้าน้องชาย นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้โทร.มาบอกล่วงหน้าว่าจะกลับมาจึงไม่มีใครไปรอรับ เต็มฟ้ายกมือไหว้ทักทายพี่สาวพลางหาวหวอด ๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย


“อื้อ...ถึงตั้งแต่เช้าแล้ว”


ศิธาพัฒน์มองชายหนุ่มที่ยืนขยี้ผมตัวเองอยู่หน้าเคาท์เตอร์ แปลกใจตัวเองอยู่ ๆ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาว่าอีกคนกำลังคุยกับใครอยู่ ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะจดรายการอาหารใส่กระดาษโน้ตเล็ก ๆ ส่งให้เด็กสาวที่เดินมารับออเดอร์


“โทษทีว่ะ พอดีแบตหมดเลยไม่ได้โทร.บอก เลิกบ่นได้แล้ว อือ ๆ แค่นี้นะ เดี๋ยวกลางคืนค่อยคุยกัน ไปทำงานเถอะ ฝากบอกไอ้ดุ่ยด้วยล่ะว่าไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบเต็มฟ้าก็กดวางสายก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านปล่อยให้คนมาส่งได้แต่นั่งมองตามตาปริบ ๆ


ครู่หนึ่งสาวหน้าหวานก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟก่อนจะนั่งลงคุยกับพนักงานไปรษณีย์หนุ่มถึงสาเหตุว่าสองหนุ่มทำไมจึงมาด้วยกันได้ เมื่อถูกถามศิธาพัฒน์จึงเล่าทุกอย่างให้เธอฟังตามจริง


“นี่นายเต็มไปป่วนที่บ้านปุ่นแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย”


“ก็ไม่ได้ป่วนอะไรหรอกครับพี่ชล สงสัยจะคิดถึงเจ้าแข็งแรงน่ะครับ”


“เฮ้อ....เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ น้องชายพี่คนนี้นี่ไม่ไหวจริง ๆ เลย” ถึงแม้จะปากจะบ่นแต่ก็ยังยิ้ม ชลธรยอมรับกับตัวเองว่าเธอดีใจไม่น้อยที่น้องชายกลับมาอยู่ด้วยกัน ถึงจะทำชอบทำตัวให้คนอื่นต้องเป็นห่วง ทำเรื่องให้ต้องคอยบ่นคอยว่าแต่ก็อุ่นใจที่มีกันอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเมื่อก่อน


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2014 13:36:17 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


พ่อเลี้ยงตรัยรีบขับรถมาที่เกสต์หลังจากได้รับโทรศัพท์จากลูกชายคนโตเมื่อช่วงสาย วันนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ไร่เพราะต้องเอาพ่อพันธุ์ม้าไปส่งให้เพื่อนที่จังหวัดลำพูนกว่าจะกลับถึงลำปางก็เกือบค่ำ เมื่อถึงเกสต์เฮาส์ก็พบว่าลูกชายทั้งสองคนเตรียมตัวรออยู่แล้ว เต็มฟ้านั่งประจำที่ข้างคนขับเหมือนเคย ในขณะที่หนุ่มน้อยร่างเล็กผู้เป็นน้องชายกอดตุ๊กตาหมอนข้างนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ด้านหลัง ผู้เป็นพ่อสบตาลูกชายคนเล็กในกระจก มั่นใจเหลือเกินว่าความรู้สึกของทั้งพ่อและลูกในตอนนี้คงไม่ต่างกันนักที่ได้รู้ว่าพี่ชายคนโตจะกลับมาอยู่ที่บ้านเป็นการถาวร


เมื่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อของพ่อจอดสนิทที่หน้าบ้านเต็มฟ้าหันไปมองที่ด้านหลังก็พบว่าน้องชายหลับไปแล้ว เขาจึงลงจากรถเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งด้านหลังคนขับพลางเอื้อมมือสะกิดที่แขนเบา ๆ แต่หนุ่มน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น


“ท่าทางจะหลับยาว” ผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมกับหันไปบอกให้คนงานช่วยกันขนสัมภาระที่อยู่ท้ายรถเข้าไปเก็บก่อนจะแทรกตัวเข้ามาเพื่อจะอุ้มลูกชายเข้าบ้าน


“เดี๋ยวเต็มอุ้มน้องเข้าไปเองพ่อ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะพยายามปลุกน้องชายอีกครั้ง ตามตะวันปรือตาขึ้นแต่หนังตามันช่างหนักเสียเหลือเกิน


“ตามอย่าเพิ่งหลับ” พูดจบพี่ชายก็ดึงแขนน้องมาพาดกับบ่าของตัวเอง เด็กชายที่กำลังงัวเงียกอดคอพี่ชายเอาไว้ก่อนจะซบหน้าลงหลับตาสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก่อนจะหลับลงอีกครั้งพร้อมกับคิดว่าตนเองกำลังฝันไปและมันก็เป็นฝันดีมาก ๆ


พ่อเลี้ยงตรัยมองดูภาพน้องชายที่กำลังกอดคอขี่หลังพี่ชายตัวสูง มันเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะสองคนพี่น้องแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย เมื่อลองนึกทบทวนดูก็ให้รู้สึกผิดอยู่ในใจไม่น้อยที่ส่งเต็มฟ้าไปเรียนโรงเรียนประจำ เพราะถ้าหากไม่ทำเช่นนั้นสองคนก็คงจะสนิทกันมากกว่านี้


เต็มฟ้าเปิดประตูเข้ามาในห้องค่อย ๆ วางร่างเล็กลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้ ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียงจ้องมองเด็กชายที่กำลังหลับจากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ ห้อง บนชั้นวางหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนเจ้าแมวสีน้ำเงินไม่มีหูที่กลัวหนูเป็นที่สุด นอกนั้นก็เป็นพวกหนังสือนิทานและหนังสือให้ความรู้ที่พ่อเคยซื้อให้เหมือนกันเมื่อสมัยยังเด็ก บนโต๊ะเขียนหนังสือนอกจากจะมีหนังสือเรียนแล้วยังมีเกียรติบัตรใส่กรอบอย่างดีซึ่งได้มาเมื่อช่วงวันแม่ที่ผ่านมา ไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง จึงไม่เคยรู้เลยว่าน้องชอบอ่านหนังสืออะไร อันที่จริงก็แทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าน้องชอบหรือไม่ชอบอะไร ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะเปิดออกดู พบว่ามันคือชุดกระโปรงสีฟ้าที่เขาเคยบอกให้พ่อยกให้ลูกคนงานไปนานแล้ว ไม่คิดว่ามันจะยังถูกเก็บเอาไว้ มือบางวางกล่องลงที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงพ่อกำลังคุยกับคนงาน จากนั้นจึงเปิดประตูออกจากห้องเดินกลับลงไปที่ชั้นล่างของบ้านเพื่อหยิบสัมภาระของตัวเอง ทันทีที่ลงมาถึงก็เห็นผู้เป็นพ่อกำลังนั่งดูรายการข่าวภาคค่ำอยู่ที่โซฟาลูกชายคนโตจึงเดินมานั่งลงข้าง ๆ


“ทำไมจะกลับบ้านไม่โทรมาบอกก่อนพ่อจะได้ให้คนไปรับ แล้วลาออกกะทันหันแบบนี้งานทางโน้นเขาไม่เสียหายเหรอ”


คนถูกถามถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบคำถามที่คิดว่าพ่อน่าจะต้องการคำตอบมากที่สุด “เพื่อน ๆ เต็มช่วยรับช่วงต่อน่ะพ่อ งานมันก็ไม่ได้เร่งอะไร ก่อนจะลาออกก็พยายามจะเคลียร์ทุกอย่างให้หมดไม่ให้ต้องเป็นภาระใครอยู่แล้ว”


พ่อเลี้ยงตรัยพยักหน้ารู้สึกหมดห่วงที่ได้ยินแบบนั้น เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาว่าลับหลังว่าลูกชายของเขาเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ


“พ่อเหนื่อยไหม”


“ทำไมถามแบบนั้น แกเป็นอะไรหรือเปล่าไอ้ลูกชาย” พูดจบร่างสูงใหญ่ของพ่อก็ขยับเข้ามาใกล้ ๆ


“เต็มแค่รู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มันเหนื่อยจัง มันน่าจะดีถ้าเวลาของเราหยุดอยู่แค่ตอนเป็นเด็ก มีพ่อคอยจูงมือเดิน มีแม่คอยปลอบเวลาร้องไห้”


“เต็มเอ๊ย คนเรามันหนีการเติบโตไม่ได้หรอก ยังไงลูกก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ มันอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้าง แต่นั่นมันก็จะทำให้ลูกแข็งแรงขึ้น และเมื่อลูกผ่านมันมาได้ลูกจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมากเชื่อพ่อสิ”


ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอียงคอพิงไหล่หนาพลางมองดูโทรศัพท์มือถือในมือที่ยังคงสั่น


“อกหักมาหรือไง”


“คงงั้นมั้งพ่อ”


พ่อเลี้ยงตรัยหัวเราะในลำคอก่อนจะยกแขนขึ้นโอบไหล่ลูกชายเอาไว้ “อยากจะรู้จริง ๆ ว่าสาวคนไหนนะที่ทำให้แกเป็นได้ขนาดนี้”


เมื่อได้ฟังดังนั้นลูกชายจึงเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อ “พ่อจะโกรธไหม ถ้าเต็มบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิง”


ผู้เป็นพ่อนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกันเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ลูกพูดออกมา แต่ในที่สุดความตื่นตะลึงในดวงตาวูบหายไปและกลับแทนที่ด้วยแววตาแห่งความอ่อนโยนเหมือนเดิม ผู้เป็นพ่อคลี่ยิ้มก่อนจะเลื่อนมือมาวางบนศีรษะของลูกชาย


“แกไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อจะโกรธแกทำไม”


“แต่เต็ม...เต็มทำให้พ่อผิดหวัง”


“พ่อไม่เคยผิดหวังในตัวแก เพราะสิ่งที่พ่อหวังก็คือการได้เห็นแกเป็นคนดี แล้วแกก็ไม่ทำให้พ่อผิดหวัง” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางมองดูโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมือลูกชาย ทันทีที่เห็นรอยช้ำที่ข้อมือหัวใจของคนเป็นพ่อก็แทบหล่นวูบ ตั้งแต่เล็กจนโตแม้เต็มฟ้าจะดื้อจะซนบ้างเขาก็ไม่เคยถึงกับลงไม้ลงมือให้ลูกต้องเจ็บ แต่นี่ใครกันที่ทำให้ลูกชายต้องเจ็บตัวขนาดนี้ คิดได้ดังนั้นก็คว้าโทรศัพท์จากมือมากดรับสาย แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรคนที่ปลายสายก็เอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน


‘เต็ม ทำไมไม่รับโทรศัพท์ภูมิ ภูมิโทรหาเต็มตั้งหลายวันแล้วนะ นี่ภูมิโทร.ไปหาเก้ถึงได้รู้ว่าเต็มกลับลำปางไปแล้ว ทำไมเต็มไม่บอกภูมิบ้าง ที่ทำแบบนี้แสดงว่าจะเลิกกันจริง ๆ ชะ...’


“แก...อย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก อย่ามาแตะต้องให้ระคายแม้แต่ปลายเล็บ ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่” พูดจบก็กดปิดโทรศัพท์ทันทีโดยไม่รอให้คนที่ปลายสายได้อธิบายใด ๆ


เสียงของพ่อที่ได้ยินเมื่อกี้เป็นเสียงที่เหี้ยมเกรียมที่สุดตั้งแต่ที่เต็มฟ้าเคยได้ยินมา ชายหนุ่มมองเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของผู้เป็นพ่อก่อนจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้ง


“พ่อบอกแกแล้วยังไงว่าแกไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อรักแกที่แกเป็นแก รักเพราะแกเป็นลูกของพ่อ ถ้าแม่แกยังอยู่พ่อเชื่อว่าแม่ก็ต้องคิดแบบนี้เหมือนกัน”


ชายหนุ่มค่อย ๆ เอียงคอซบลงบนไหล่ของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง “ขอบคุณนะพ่อ” ดวงตาหม่นหมองทอดมองมือหนาที่ประคองข้อมือของตัวเองเอาไว้ ได้ยินเสียงเครือ ๆ ของพ่อแว่ว ๆ   


“เจ็บมากไหมลูก”


เพียงคำถามสั้น ๆ ก็ทำเอาแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่


“เต็มบอกไม่ถูก มันเจ็บกว่าตอนวิ่งแล้วหกล้มหรือตอนที่ถูกครูตีเยอะเลย เจ็บ...เสียจนบอกไม่ถูก”
 

“ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวมันก็หาย”


สิ้นเสียงผู้เป็นพ่อชายหนุ่มก็โผเข้าซุกตัวในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของพ่อเหมือนที่เคยทำเมื่อสมัยเด็ก ๆ มือของพ่อที่ลูบลงบนแผ่นหลังยังคงทำให้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเสมอ


ตามตะวันยืนมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ เขายืนอยู่ตรงนี้มาสักพักใหญ่ ๆ ตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบตุ๊กตาหมอนข้าง เมื่อนึกได้ว่าน่าจะลืมเอาไว้ในรถจึงเปิดประตูออกมาจากห้องตั้งใจจะขอกุญแจจากผู้เป็นพ่อไปเปิดรถเพื่อหยิบของที่ลืมไว้แต่ก็ล้มเลิกความคิดเมื่อลงมาพบว่าพี่ชายกำลังร้องไห้


หนุ่มน้อยเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนพยายามข่มตาแต่ก็ไม่อาจหลับลงได้ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมา เขาไม่ได้หยุดที่ห้องฝั่งตรงข้ามแต่กลับเดินต่อขึ้นไปยังห้องใต้หลังคานั่นทำให้ตามตะวันรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นพี่ชายของเขาแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นเด็กชายก็ผุดลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป เด็กชายเดินขึ้นบันไดวนไปหยุดอยู่หน้าห้องที่อยู่สูงที่สุดของบ้าน มือเล็กเคาะประตูเบา ๆ เอ่ยปากขออนุญาตเปิดเข้าไป


“ทำไมยังไม่นอนอีก” เต็มฟ้าที่นั่งอยู่บนเตียงกล่าวเมื่อเห็นน้องชายเปิดประตูเข้ามา


น้องชายไม่ได้ตอบอะไร เขายังคงเดินเข้ามาใกล้ ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จนในที่สุดก็มายืนอยู่ตรงหน้าพี่ชาย


“พี่เต็มเจ็บตรงไหน ตามจะเป่าให้” พูดจบมือเล็กก็เอื้อมจับข้อมือที่มีรอยเขียวช้ำจาง ๆ ขึ้นมาพร้อมกับเป่าอย่างแผ่วเบา “ตอนเด็ก ๆ เวลาตามหกล้มพ่อจะทำแบบนี้แป๊บเดียวก็หายเจ็บ”


เต็มฟ้าพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ชายหนุ่มจับที่แขนเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าก่อนจะดึงตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้โดยไม่ได้พูดอะไร


“พี่เต็มไม่ร้องไห้นะครับ” เด็กชายร่างเล็กกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบหลังพี่ชายเบา ๆ “ไม่ร้องนะ พี่เต็มเคยบอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้”


นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้กอดน้องชาย....


.....



เต็มฟ้าลืมตาตื่นขึ้นเมื่อตอนใกล้เที่ยงของวันอาทิตย์ ชายหนุ่มลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้าน เมื่อไม่พบทั้งน้องชายและพ่อจึงถามเอาจากคนงานจึงรู้ว่าพ่อไปส่งน้องชายทำรายงานที่บ้านเพื่อนตั้งแต่เมื่อตอนเช้า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเอารถออก


ศิธาพัฒน์ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกต้องแปลกใจเมื่อรถเก๋งสีดำคันหนึ่งมาจอดบีบแตรอยู่หน้าบ้าน เมื่อเปิดประตูออกมาก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนขับลดกระจกลงพอดี เสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์และแว่นกันแดดสีชาที่ตัดกับผิวขาวละเอียดทำให้วันนี้ไอ้เด็กแสบดูเท่ไม่หยอก อยากจะชมให้ได้ยินแต่ก็กลัวว่าคนถูกชมจะได้ใจ ศิธาพัฒน์จึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้ดีกว่า 


“มีอะไรหรือเปล่า”


“จะไปวัดพระธาตุลำปางหลวงเลยแวะมาถามว่าพี่ไปมาหรือยัง”


“ยังเลย” ตอบไปแบบนั้นทั้งที่จริง ๆ เคยไปมาแล้วหนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายยังมีแก่ใจนึกถึงจึงจำต้องยอมผิดศีล


“ไปด้วยกันไหม”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกัน”


“เร็ว ๆ เข้า นานมากไม่รอนะ” พูดจบก็ดับเครื่องดึงกุญแจออกจากรถก่อนจะเดินไปนั่งเล่นกับเจ้าแข็งแรงที่บันได


ครู่หนึ่งร่างสูงก็เดินออกมาจากบ้านโดยไม่ลืมที่จะหยิบอัลบั้มรูปของพ่อกับแม่ติดมือมาด้วย เมื่อจัดการปิดประตูเรียบร้อยก็นั่งลงหยิบรองเท้าบูทสีน้ำตาลเข้มหุ้มข้อแบบมีเชือกผูกมาสวม เต็มฟ้าเลิกคิ้วมองชายหนุ่มที่นั่งลงข้าง ๆ กัน เขาสวมเสื้อลายสก็อตเล็ก ๆ สีน้ำเงินเข้มสลับขาวสาบเสื้อแต่งเก๋ ๆ กับกางยีนส์สีเข้มคาดเข็มขัดสีเดียวกันกับรองเท้า เป็นเพราะทุกครั้งที่พบกันก็มักจะเห็นสวมแต่ชุดทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ วันนี้จึงทำให้รู้สึกแปลกตาไม่น้อย


“แค่ไปวัดทำไมต้องแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้ด้วยเนี่ย”


“เอ้า ก็วันนี้เป็นผู้ติดตามลูกชายพ่อเลี้ยงทั้งทีก็ต้องแต่งตัวให้สมฐานะหน่อยสิ” ศิธาพัฒน์หัวเราะก่อนจะลุกขึ้น “เร็วสิ ช้าว่ะ” พูดจบก็เดินลิ่วพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดีทิ้งให้คนรอนั่งเกาหัวทบทวนว่าใครกันแน่ที่ช้า


พักใหญ่ ๆ รถเก๋งสีดำก็พาสองหนุ่มมาหยุดอยู่ที่หน้าวัดซึ่งตั้งอยู่บนเนินล้อมรอบด้วยกำแพงหนา มีบันไดนาคทอดยาวขึ้นสู่ซุ้มประตูด้านบน


“จะถ่ายรูปเป็นที่ระทึกไหม เดี๋ยวถ่ายให้” เจ้าของรถถามขณะกำลังเดินไปที่บันไดทางขึ้น


“เอาสิ เอามุมเดียวกับในรูปเลยนะ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ส่งอัลบั้มพร้อมกับโทรศัพท์มือถือให้


เต็มฟ้าถอดแว่นกันแดดออกเสียบเอาไว้ที่คอเสื้อก่อนจะรับอัลบั้มมาเปิดดู จากนั้นจึงมองหาจุดในการถ่ายภาพเพื่อจะให้ได้ภาพตามแบบที่เห็น ร่างสูงจ้องมองตากล้องจำเป็นเพิ่งรู้ว่าที่แท้แว่นกันแดดสีชานั่นก็ใช้เก็บซ่อนดวงตาที่ช้ำบวมเอาไว้นี่เอง  หลังจากถ่ายรูปเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินขึ้นไปบนบันไดนาค ทั้นทีที่ก้าวพ้นซุ้มประตูก็พบกับวิหารหลวงหลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งอยู่แนวเดียวกับซุ้มประตูและองค์พระธาตุ ซึ่งเป็นเป็นเจดีย์ทรงล้านนาก่ออิฐถือปูน มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมหุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองฉลุลาย หลังจากนมัสการพระธาตุแล้วสองคนก็เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ศิธาพัฒน์รู้สึกว่าการมาวัดพระธาตุลำปางหลวงในวันนี้ของเขามีความหมายมากขึ้นเพราะได้ไกด์กิตติมศักดิ์ช่วยเล่าหลาย ๆ เรื่องให้ฟัง


“มาบ่อยเหรอ”


“ก็เกือบทุกครั้งที่กลับบ้านน่ะ ถ้ามีเวลาก็จะแวะมา” เต็มฟ้ากล่าวขณะที่เดินกลับมาที่รถ ระหว่างที่รถออกจากบริเวณของวัดพระธาตุลำปางหลวงมาได้สักพักเจ้าของรถก็เอ่ยขึ้น


“แล้วไปมาครบทั้งอัลบั้มหรือยัง”


“อืม...ก็เกือบหมดแล้วนะ ถ้าจะเหลือก็คงเป็น.....” เจ้าของอัลบั้มรูปกล่าวพลางพลิกภาพไปมาจนกระทั่งไปหยุดที่ภาพของโรงนาใกล้ลำธาร


“ที่นี่แหละ”


เต็มฟ้าเบนสายตาไปมองที่ภาพพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ไม่ทันได้สังเกตให้ถ้วนถี่ “เดี๋ยวเต็มขอแวะไปที่ไร่ก่อนนะแล้วจะไปส่ง”


ศิธาพัฒน์วางอัลบั้มรูปลงบนตักพยักหน้างง ๆ แทบไม่เชื่อหูที่เมื่อกี้ไอ้เด็กแสบแทนตัวเองว่า ‘เต็ม’
ฟังผิดไปหรือเปล่า?


“ฟังอยู่หรือเปล่า”


“ฟะ..ฟัง ฟังอยู่นี่ไง ได้ยินเต็มสองหู ว่าแต่เมื่อกี้ว่าไงนะ”


“อ้าว ตกลงฟังหรือไม่ฟังเนี่ย” เต็มฟ้ามุ่นคิ้วก่อนจะสวมแว่นตากันแดดกลับเข้าที่ “เต็มบอกว่าซื้อปลอกคออันใหม่มาฝากเจ้าแข็งแรง จะเอาให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ลืม อันเก่าป่านนี้คงแน่นจนมันหายใจไม่ออกแล้วมั้ง”


“ก็คงเริ่มแน่นแล้วละ กินจุขนาดนั้น”  พูดจบศิธาพัฒน์ก็มองออกไปนอกพร้อมกับยกแขนขึ้นเท้าขอบหน้าต่าง นิ้วหนาถูกับปลายจมูกไปมาแก้เขิน พยายามนึกหาที่มาที่ไปของอาการที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเขินทำไม


....


ท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มทำให้รู้สึกร้อนใจอยากจะไปให้ถึงบ้านก่อนที่ฝนจะตกลงมา เพราะความร้อนในใจสั่งให้ต้องเหยีบคันเร่งเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจนคนนั่งมาด้วยกันต้องเอ่ยปากปรามเป็นระยะ ๆ แต่คนขับก็ดูจะไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไรนัก ทันทีที่กลับมาถึงบ้านเต็มฟ้าก็รีบขึ้นไปหยิบปลอกคอสุนัขที่ซื้อมาจากกรุงเทพฯ บนห้องนอนก่อนจะกลับลงมาพบกับพ่อที่เพิ่งกลับมาจากไร่


“น้องล่ะเต็ม”


“อ้าว ก็พี่แจ่มบอกว่าพ่อไปส่งทำรายงานที่บ้านเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอ”


“พ่อไปรับกลับมาแล้วนะ เจ้าตามมันกลับมาไม่เห็นเต็ม ก็เลยขอเอาจักรยานออกไป นี่พ่อก็นึกว่าจะเจอกันเสียอีก ฝนก็จะตกแล้วด้วย ไม่รู้ว่าไปติดฝนอยู่ตรงไหน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวอย่างร้อนใจ เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เห็นว่าเมฆสีดำกำลังเคลื่อนต่ำลงทางท้ายไร่ฝนน่าจะตกลงมาแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเต็มออกไปตามเอง”


“แล้วแกจะไปตามน้องที่ไหน”


“น่าจะอยู่ที่ท้ายไร่นั่นแหละพ่อ” พูดจบเต็มฟ้าก็รีบเดินออกจากบ้านไปทันที


ศิธาพัฒน์มองตามร่างสูงที่วิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาก่อนจะเปิดประตูพรวดเข้ามานั่งในรถ


“มีอะไรหรือเปล่า”


“พ่อบอกว่าตามหายไป”


รถเก๋งสีดำขับลัดเลาะไปตามทางที่ศิธาพัฒน์ไม่คุ้นตา สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นจนที่ปัดน้ำฝนแทบจะกลายเป็นสิ่งไม่มีประโยชน์


“แล้วนี่รู้เหรอว่าจะไปหาน้องที่ไหน”


“น่าจะอยู่ที่ท้ายไร่” พูดจบเต็มฟ้าก็หักพวงมาลัยเลี้ยวลงไปตามทางดินที่ขนาบข้างด้วยรั้วไม้สีขาวเตี้ย ๆ มุ่งหน้าไปยังแนวทิวสนที่ท้ายไร่ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้รถเคลื่อนไปได้อย่างช้า ๆ เสียงฟ้าคำรามฟังน่ากลัวจนบางครั้งต้องแอบหลับตาปี๋


“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ไป” คนนั่งมาข้าง ๆ เอ่ยขึ้นเตือนสติ


ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าโรงนาเก่าที่ถูกแปลงสภาพเป็นโรงงานเซรามิค เพราะเป็นวันอาทิตย์นายใหญ่ของไร่จึงอนุญาตให้คนงานหยุดงานหนึ่งวัน ดังนั้นโรงงานจึงถูกปิดเงียบมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เต็มฟ้ามองผ่านที่ปัดน้ำฝนเห็นจักรยานคันหนึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกล ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถอย่างรีบร้อนก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังโรงนาเก่า เดินหาจนรอบก็หาไม่พบ แสงที่วาบขึ้นเตือนให้รู้ว่าจะมีเสียงคำรมของฟ้าเกิดขึ้นตามมาชายหนุ่มจึงรีบยกมือขึ้นปิดหูหลับตาปี๋ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนดังกึกก้องน่ากลัว


“เต็ม เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงที่ดังแทรกขึ้นกับมือเย็นเฉียบที่แตะลงบนบ่าทำเอาเต็มฟ้าต้องสะดุ้ง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเป็นศิธาพัฒน์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“กลัวเหรอ”


อยากจะเงยหน้าขึ้นถามกลับว่ายืนอุดหูขนาดนี้คิดว่าชอบหรือไง แต่แสงแปลบปลาบก็ทำให้ต้องก้มหน้างุดหลับตาอยู่อย่างนั้น กระทั่งฝนซาเม็ดลงก็ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า


หน้าซีด ๆ นั่นทำให้ทำให้ศิธาพัฒน์แกล้งไม่ลงทั้งที่ในใจอยากแกล้งเสียให้เข็ด ชายหนุ่มเอื้อมดึงมือของคนที่เอาแต่ยืนหลับตาปิดหูเพราะกลัวเสียงฟ้าร้องพร้อมกับปลอบแบบเดียวกันกับที่ปลอบน้องชายเมื่อสมัยยังเด็ก


“ไม่ต้องกลัวนะ รามสูรไปแล้ว”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเต็มฟ้าก็ค่อย ๆ คลายมือออกก่อนจะมองไปรอบ ๆ ฝนเริ่มซาเม็ดลงในขณะที่ท้องฟ้าไม่ได้มืดดำจนน่ากลัวเหมือนเมื่อครู่ 


“กลับกันเถอะ”


“ยังหาน้องไม่เจอเลย” น้ำเสียงและท่าทางจริงจังของคนเป็นพี่ทำเอาศิธาพํฒน์อดนึกขันไม่ได้


“เมื่อกี้คุณลุงโทร.มาบอกว่าคนงานขับรถไปส่งตามที่บ้านแล้ว คงเป็นรถกระบะที่สวนกันก่อนที่เต็มจะเลี้ยวเข้ามาที่นี่นั่นแหละ”


สองหนุ่มเดินกลับมาที่รถอีกครั้ง โดยที่ขากลับออกไปศิธาพัฒน์อาสาเป็นคนขับเสียเอง รู้สึกขยาดนิด ๆ กับฝีมือการขับรถของไอ้เด็กแสบที่ตอนนี้คงจะหายซ่าส์ไปชั่วขณะเพราะเสียงฟ้าร้อง


“จะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม”


“ไม่เป็นไร ไปเถอะ” เต็มฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในใจคิดทบทวนว่าจะถ้าคนงานไม่ได้มาพบน้องชายแล้วพาไปส่งที่บ้านจะเป็นอย่างไร จะทำอย่างไรหากหาน้องไม่พบ


เมื่อรถพ้นเขตไร่แสงดาวมาได้สักพักก็เป็นศิธาพัฒน์ที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ 


“จริง ๆ ก็รักน้องเหมือนกันนี่นา แต่ทำไมไม่แสดงออกให้น้องรู้บ้าง”


ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกโด่งของคนที่นั่งมาด้วยกัน นึกชมคนข้าง ๆ ว่าช่างเป็นมนุษย์ที่พูดแทงใจดำได้เก่งเหลือเกิน


“ถึงจะเป็นพี่ชายคนโต แต่ก็ไม่ต้องทำเข้มแข็งให้น้องเห็นตลอดเวลาก็ได้มั้ง อีกอย่าง...เข้มแข็งกับแข็งกระด้างน่ะมันต่างกันนะ”


“ถ้ามันทำง่าย ๆ ก็คงทำไปแล้วละ” ริมฝีปากบางกล่าวอย่างแผ่วเบาก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง


“ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าเราน่ะ”


“ถามทำไม”


“ตอบมาก่อนสิว่าว่ายเป็นไหม ไม่เอาแบบยกมือไหว้นะ” เจ้าของคำถามเตรียมดักคอเอาไว้ก่อน


“เป็น ถามทำไม”


“ถ้าอย่างนั้นพี่จะบอกอะไรให้” พูดจบศิธาพัฒน์ก็จอดรถบนสะพานข้ามคลองส่งน้ำแคบ ๆ ที่ตอนนี้น้ำมากจนเกือบจะล้นตลิ่ง


“จอดรถทำไม”


“ลงไปก่อนเดี๋ยวก็รู้”


เต็มฟ้าได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ จากนั้นทั้งสองคนก็ลงจากรถก่อนจะมายืนเกาะราวสะพานมองดูสายน้ำเบื้องล่าง


“อะไรที่เราไม่เคยทำ เรามักจะคิดว่ามันยากไว้ก่อนเสมอ แต่พอได้ทำแล้วครั้งต่อ ๆ ไปมันก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย” ร่างสูงหันมายิ้ม “ก็เหมือนกับการกระโดดจากตรงนี้ลงไปข้างล่างนั่นแหละ ครั้งแรกมันจะยาก กว่าจะตัดสินใจกระโดดได้ไม่รู้ใช้เวลาไปเท่าไร แต่พอได้กระโดดลงไปแล้วครั้งต่อไปมันก็กลายเป็นเรื่องสนุก ลองดูไหม”


“เฮ้ย! นี่พี่ศิธาเอาจริงเหรอ”


“จริงสิ” คนชวนถอดรองเท้าก่อนจะถลกขากางเกงปีนขึ้นไปยืนบนราวสะพาน ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็มองอีกฝ่ายอย่างลังเลก่อนจะถอดรองเท้าและถลกขากางเกงปีนขึ้นไปยืนอยู่บนราวสะพานข้าง ๆ กัน


“ตอนนี้รู้สึกกลัวใช่ไหม”   


“กลัวสิ ถามมาได้ สูงขนาดนี้”


“พี่ก็กลัวเหมือนกัน ถ้าเต็มกลัวก็จับไว้” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ผายมือออก


นัยน์สีเข้มมองลงไปเบื้องล่างอย่างชั่งใจก่อนจะวางมือของตัวเองลงบนมือของคนข้าง ๆ สองมือเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ รอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เต็มฟ้าได้เห็นก่อนที่สองร่างจะแหวกอากาศลงสู่สายน้ำเย็นฉ่ำเบื้องล่าง


ตูม!!!!



เมื่อทะลึ่งตัวโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ต่างคนต่างก็มองกลับไปบนสะพานและก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด...
   



มันน่ากลัวแค่ตอนแรก...



แล้วมันก็ยากแค่ในตอนที่จะเริ่มต้นทำเท่านั้น....




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2014 16:01:58 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
โอ้ยดีใจที่เต็มกลับบ้าน   :L2: :L2: :L2: :L2:


ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
พี่ปุ่นนนนน เท่สุดๆไปเลย :3

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
กลับมาแล้วนะเต็ม 


ลุ้นทุกครั้งที่ได้อ่าน :L1:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อ่านแล้วแอบน้ำตาซึม
 :mew6: :mew6:

ดีใจที่เต็มกลับมาบ้านแล้ว
เต็มได้รับรู้ความรู้สึกที่ครอบครัวมีให้เต็ม
ซึ้งมากตอนที่พ่อลูกคุยกันกับตอนที่น้องตามเป่าแขน

เต็มก็ยังเป็นเด็กแสบจอมกวนของพี่ปุ่นอยู่เสมอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด