ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ
"เต็ม ขึ้นมาได้แล้ว" มือหนาป้องปากตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่ยังคงดำผุดดำว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นฉ่ำ ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไรแล้วที่เขาต้องโก่งคอไปโดยไม่เกิดประโยชน์แบบนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไรแล้วที่เต็มฟ้ากระโดดจากราวสะพานลงไปนับจากครั้งแรกที่ทั้งสองคนกระโดดลงไปด้วยกันจนตอนนี้ศิธาพัฒน์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดผิดที่ชวนไอ้ตัวแสบมากระโดดน้ำเอาเมื่อตอนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายเช่นนี้ เดี๋ยวคงได้ไม่สบายกันไปข้างหนึ่งแน่ ๆ ดวงตาคมทอดมองตัวซีดที่กำลังว่ายกลับเข้าฝั่งมองหาที่ยึดเกาะเพื่อพาตัวเองขึ้นจากน้ำ ทันทีที่มือบางเกาะเกี่ยวกอหญ้าได้ก็ตะเกียกตะกายขึ้นนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับขึ้นมาบนสะพานอีกครั้ง
“พอหายกลัวแล้วเอาใหญ่เลยนะ” ศิธาพัฒน์ที่นั่งอยู่บนราวสะพานเอ่ยขึ้นขณะเต็มฟ้ากำลังพาร่างสูงโปร่งสมส่วนที่ชุ่มไปด้วยน้ำตรงเข้ามา เสื้อเชิ้ตสีเข้มเมื่อเปียกน้ำก็แนบติดไปกับลำตัวจนเห็นเอวสอบชัดเจน ช่วงไหล่กว้างอย่างกับนักกีฬาว่ายน้ำชวนให้อดที่จะถามไม่ได้ แต่จะถามอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่คิดว่ากำลังถูกลอบสำรวจรูปร่างอยู่นั่นคือปัญหา มองคนหายใจหอบยันตัวขึ้นนั่งบนราวสพานแล้วให้นึกขำ นี่น่ะหรือพี่ชายที่ชอบทำหน้านิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าน้อง พอได้ทำอะไรที่หลุดไปจากกรอบที่ตีขึ้นมาบังคับตัวเองกลับแสดงความเป็นเด็กออกมาจนน่าตีนัก
มือบางเสยผมที่ลงมาปกหน้าผากในขณะที่ริมฝีปากซีดเผยอน้อย ๆ ช่วยกอบโกยอากาศร่วมกับจมูกโด่งก่อนจะเหลียวกลับไปมองสายน้ำเบื้องล่าง ลมแรงที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ๆ ช่วยให้เสื้อผ้าแห้งไวขึ้นแต่ก็ทำเอาหนาวสั่นอยู่เหมือนกัน
“จะโดดอีกไหม”
เต็มฟ้าโคลงศีรษะไปมาแทนคำตอบ โดดลงไปไม่กี่ครั้งก็หอบแฮกพูดอะไรไม่ออกแล้ว ตอนแรกที่ขึ้นไปยืนรู้สึกขาแข้งสั่นไปหมด แทบไม่อยากจะมองลงไปข้างล่าง แต่พอกระโดดลงไปแล้วความรู้สึกกลัวนั้นกลับหายเป็นปลิดทิ้ง จริงอย่างศิธาพัฒน์ว่า มันกลายเป็นเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับวันที่อากาศขมุกขมัวแบบนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
“เห็นไหมว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ยากเลย ก็เหมือนการแสดงความรักให้น้องรู้นั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย”
คนฟังก้มต่ำมองปลายเท้าเปลือยเปล่าตัวเองก่อนที่ริมฝีปากบางจะกลับมาทำหน้าที่ของมันเหมือนเดิม
“แค่พูดเฉย ๆ ก็ง่ายน่ะสิ”
ศิธาพัฒน์ถอนใจเบา ๆ มองคนฟอร์มเยอะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ถ้าการพูดหรือการกระทำมันยากไปก็เริ่มจากการเขียนดีไหม”
“เขียนเหรอ?”
“ใช่ รู้สึกแบบไหนก็เขียนออกไป อย่างน้อยน้องจะได้รู้ว่าพี่ชายที่ชอบทำตัวเย็นชา แข็งกระด้าง วางฟอร์ม ขี้เก๊ก พูดจามะนาวไม่...ม...มี...”
“พอได้แล้วมั้ง ที่พูดมานี่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง” เจ้าของสรรพคุณทั้งหมดหรี่ตามองเมื่อรู้สึกกำลังถูกหลอกด่าอยู่กลาย ๆ ในขณะที่คนพูดเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้าง
“ก็นั่นแหละ เริ่มต้นจากแบบนี้ก่อน”
“อืม..จะลองทำดูก็แล้วกัน” สิ้นเสียงชายหนุ่มบรรยากาศก็กลับเงียบลงอีกครั้ง นัยน์ตาสีเข้มยังคงก้มต่ำคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็เป็นศิธาพัฒน์เองที่ทำลายความเงียบนั้นลง
“ว่ายเก่งเหมือนกันนี่ เคยเป็นนักกีฬาเหรอ”
“เคยเรียนน่ะ สมัยที่อยู่โรงเรียนประจำไม่มีอะไรทำก็ไปว่ายเล่นอยู่บ่อย ๆ แต่หลัง ๆ พอโดนบังคับให้ซ้อมไปแข่งก็เลยเลิก ไปทำอย่างอื่นแทน”
เหตุผลที่ฟังดูเอาแต่ใจเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนถามได้ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาเหมือนจะถามว่ามีอะไรน่าขำ ชายหนุ่มก็จำต้องรีบเบนหน้าหนีดวงตาคู่สวยที่ถูกล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวทันที
“ศิลปินจริง ๆ”
“ใคร ๆ ก็พูดอย่างนั้น”
“แล้วเต็มคิดยังไงที่คนเขาพูดแบบนั้น”
“ฟังเฉย ๆ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป”
“ทำแบบนี้น่ะ ไม่กลัวคนอื่นเขาจะคิดว่าเราเอาแต่ใจตัวเองบ้างหรือไง”
“ก็คงห้ามไม่ได้” ริมฝีปากบางที่ตอนนี้กลับซีดลงเพราะอากาศที่หนาวเย็นเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างไม่ยี่หระ “ทำอะไรแล้วไม่มีความสุขก็ไม่ทำ คิดอยู่แค่นี้แหละ ก็คงเหมือนที่พี่ศิธาชวนกระโดดน้ำเมื่อกี้ กระโดดเล่น ๆ มันก็สนุก แต่ถ้าจะให้กระโดดไปเพื่อไปโอลิมปิกเต็มก็ไม่เอาหรอก พอมีเรื่องการแข่งขันขึ้นมาเกี่ยวมันก็ไม่สนุกแล้ว”
ศิธาพัฒน์พยักหน้าเข้าใจ ถึงจะฟังดูยอกย้อนแต่ก็ยังมีเหตุผลให้ยอมรับได้ หากเป็นเมื่อก่อนอดีตนักการตลาดอย่างเขาคงเถียงสุดใจขาดดิ้น
‘ต้องแข่งขันสิ ชีวิตมันถึงจะมีรสชาติ’ ....
แสงไฟหน้ารถที่สาดผ่านช่องประตูทำให้เจ้าลูกสุนัขที่นอนอยู่บนบันไดต้องผงกหัวขึ้นมองฝ่าความมืดไปยังประตูรั้ว ทันทีที่เห็นเงาตะคุ่มของคนที่เปิดประตูลงมามันก็เห่าเสียงดังจนคนเลี้ยงนึกชมอยู่ในใจว่านังหนูขนฟูช่างทำหน้าที่ของมันได้ดีจริง ๆ เสียงโซ่ถูกดึงครูดกับลูกกรงเหล็กจากนั้นประตูรั้วก็ถูกเปิดกว้างให้รถเก๋งสีดำเคลื่อนผ่านเข้ามา เมื่อเห็นชัด ๆ ว่าใครเป็นใครเจ้าแข็งแรงก็กระดิกหางริก ๆ เดินวนไปมาอยู่บนลูกบันไดหน้าแคบ
“ขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม ขับกลับแบบนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้เป็นหวัดกันพอดี”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ความกังวลของศิธาพัฒน์ดูว่าจะกลายเป็ยความจริงขึ้นมาแล้วทันทีที่ได้ยินเสียงตอบกลับที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรได้ยังไง เสียงเปลี่ยนแล้วเนี่ย”
“Copyman Show ไง มนุษย์ร้อยเสียง”
“ยังจะกวน”
เต็มฟ้าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถือว่ามันคือคำชม ทิ้งตัวลงนั่งข้างเจ้าหมาน้อยปล่อยเจ้าของบ้านส่ายหน้าเดินขึ้นบันไดไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในบ้าน มือเรียวค่อย ๆ ถอดปลอกคอที่เริ่มตึงออกจากคอเจ้าตัวอ้วน จากนั้นก็ใส่อันใหม่ให้มัน ไม่นานอะไรนิ่ม ๆ ก็ถูกวางแหมะไว้บนหัว ตามด้วยเสียงเตือนให้เช็ดผมให้แห้ง ชายหนุ่มเอื้อมมือข้างหนึ่งจับผู้ขนหนูผืนนุ่มซับน้ำที่เส้นผมเบา ๆ ในขณะที่อีกมือก็ยังคงห่วงเล่นกับเจ้าหมาน้อย เมื่อรู้สึกว่าผมหมาดเขาก็คล้องผู้ขนหนูเอาไว้กับคอก้มมองแก้วน้ำซึ่งถูกยื่นข้ามไหล่มาให้
“กินยาด้วย เดี๋ยวเป็นหวัด”
“ยุ่งจริง” ปากบางขยับบ่นพลางรับแก้วน้ำและเม็ดกลมสีขาวสะอาดสองเม็ดมาถือไว้ในมือ เรื่องกินยาเป็นเรื่องที่ไม่ชอบเอาเสียเลยแล้วคนที่สามารถบังคับเขาได้ก็มีเพียงกีรติคนเดียวเท่านั้น
“กินสิ จ้องอยู่ได้ มันไม่ซึมเข้าผิวหนังหรอกนะ”
หัวคิ้วหน้ากระตุกเล็กน้อยก่อนจะหันไปค้อนคนที่เดินกลับไปนั่งเอกเขนกอยู่ที่ระเบียง ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูก ดวงตาขุ่น ๆ จ้องเม็ดยาสีขาวอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจโยนเข้าปาก รีบดื่มน้ำตามหวังจะไล่ลงท้องไปเสียให้หมดแต่ความขมของยาก็ยังหลงเหลือติดโคนลิ้นให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“ขมเป็นบ้า”
“ยาที่ไหนเขาก็ขมทั้งนั้นแหละ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางมองโทรศัพท์ที่เต็มฟ้าหยิบมันมาจากคอนโซลตอนลงจากรถซึ่งขณะนี้ถูกวางเอาไว้ข้างตัว เพราะไม่ได้เปิดเสียงและไม่ได้ตั้งสั่นจึงทำให้เจ้าของไม่ทันสังเกตว่ามีคนโทร.เข้ามา ภาพลายเส้นดินสอของชายหนุ่มแปลกหน้าที่แสดงอยู่ที่หน้าจอกับชื่อที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษบอกให้รู้ว่าเขาโทร.เข้ามาหลายครั้งแล้วตั้งแต่เมื่อตอนที่ติดฝนอยู่ที่โรงนา
“เขาโทร.มาหลายครั้งแล้วนะ ไม่รับหน่อยเหรอ”
เต็มฟ้าหันมองโทรศัพท์ที่หน้าจอสว่างมีข้อความแจ้งเตือนสายไม่ได้รับสิบกว่าสาย ไม่นานภาพวาดของยุทธภูมิที่ตั้งไว้เป็นภาพประจำตัวของเจ้าของเบอร์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรจะคุย”
“แฟนเหรอ” แม้ใจจะสั่งไม่ให้ถาม แต่ปากก็ไวกว่าใจไปเสียแล้ว
เป็นอีกครั้งที่มนุษย์ผู้เก่งกาจในเรื่องพูดแทงใจดำสามารถทำแต้มได้ เต็มฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะตัดสายและปิดเครื่อง
“เคยเป็นน่ะ”
“ทำไมถึงเลิกกันล่ะ” ศิธาพัฒน์นึกอยากจะตบปากตัวเองอยู่เหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็ถามออกไปแบบนั้น
“เพราะลำปางมันไกลจากกรุงเทพฯ”
แม้คนพูดจะหันหลังให้ แต่คนฟังก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดจากวนประสาทแน่ ๆ น้ำเสียงนั้นเย็นเยือกพอ ๆ กับอากาศที่โอบล้อมพวกเขาอยู่
“เรื่องแค่นี้เองเหรอ”
“บางครั้งระยะทางก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางคนนะ”
“อืม..ก็จริง” ดวงตาคมกริบของศิธาพัฒน์วูบหม่นลง รู้สึกเห็นตามอย่างไร้ข้อโต้เถียง ระยะทางสำหรับบางคนเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่แปลกที่ระยะทางถูกนำมาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ความรัก’
“แล้วพี่ล่ะ มาทำงานไกลขนาดนี้แฟนไม่ว่าเหรอ”
'แฟน' อย่างนั้นเหรอ...แทบจะลืมคำนี้ไปแล้ว
“อ้าว เงียบเลย อย่าบอกนะว่าปูนนี้แล้วยังไม่มีแฟน”
รู้สึกหมั่นไส้กับคำว่า ‘ปูนนี้’ และรอยยิ้มที่มุมปากของคนที่เอี้ยวตัวกลับมารอฟังคำตอบเสียเหลือเกิน หัวคิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากัน นึกตำหนิว่าไอ้ตัวแสบมันใช้คำว่าปูนนี้กับหนุ่มวัยเบญจเพสอดีตเดือนมหาวิทยาลัยคนนี้ได้อย่างไรกัน
“ยี่สิบห้าเองนะ เรื่องแบบนี้ไม่เห็นจำเป็น” พูดไปแล้วให้เจ็บจี๊ดในใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“นี่ไม่ได้กัดฟันพูดใช่ไหม”
“เปล่า”
“ถามจริง หน้าตาพี่มันไม่น่าเชื่อถือว่ะ”
“ทำไม หน้าตาพี่มันทำไม”
“หน้าแบบนี้ ทำคิ้วขมวดแบบนี้ มันบ่งบอกว่าเป็นคนมีอดีตชัด ๆ โดนพูดแทงใจดำเข้าบ้างเจ็บจี๊ดจากภายในสู่ภายนอก”
“ขนาดนั้น?”
เต็มฟ้าหัวเราะพรืด “เปล่า กะว่าพูดส่ง ๆ ไปอย่างนั้นเองมันต้องโดนบ้างแหละ ทำไมล่ะสรุปว่าตรงกับชีวิตจริงว่างั้น”
ศิธาพัฒน์เพียงแต่กอดอกมองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ ไม่นานร่างสูงสมส่วนก็คว้าโทรศัพท์ลุกขึ้นบิดขี้เกียจพร้อมกับดึงผ้าขนหนูที่คอพาดไว้กับราวบันได
“กลับดีกว่า”
“อ้าว ถามแล้วก็จะไป ไม่รอฟังคำตอบก่อนหรือไง”
“ม่ายยยยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงแบบไม่ใส่ใจ
“ไม่ต้องตอบก็ได้ ไม่ได้สนิทกันขนาดจะต้องเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้กันฟัง เนอะแข็งแรงเนอะ”ฟังแล้วยิ่งเจ็บจี๊ดหนักเข้าไปกันใหญ่ ตาคมมองคนที่กำลังโน้มตัวลงลูบหัวก่อนจะโบกมือไหว ๆ ให้เจ้าลูกหมาอย่างกับสนิทกันมาสักร้อยชาติ ทำไมไอ้เด็กบ้านี่มันช่างสามารถพูดให้พูดให้คนอื่นนึกน้อยใจได้เก่งขนาดนี้
‘น้อยใจ’ ใช้คำนี้ไม่น่าจะถูก ศิธาพัฒน์คิดในใจ ได้เพียงคิดในใจเพราะหากพูดให้อีกฝ่ายได้ยินเข้าแล้วละก็ คำตอบที่จะได้ก็คงไม่พ้น
‘สนิทอะไรถึงจะต้องมาน้อยใจกัน’ ไม่ผิดแน่ ๆ
เต็มฟ้ากลับไปตั้งนานแล้ว ส่วนเจ้าแข็งแรงก็นอนขดอยู่ในตะกร้าบุนวมอุ่น ๆ ของมันที่ระเบียง สายฝนที่ซาเม็ดไปเมื่อตอนหัวค่ำกลับโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายอีกครั้ง ศิธาพัฒน์นอนเหยียดยาวฟังเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบหลังคาอยู่บนโซฟากลางบ้าน นัยน์ตาทอดมองรูปภาพที่พกติดกระเป๋าสตางค์มาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี เป็นภาพหมู่ของชายหนุ่มหญิงสาในชุดนักศึกษา ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามโครงหน้ารูปไข่ของใครคนหนึ่งก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ ในที่สุดก็สอดรูปใบนั้นไว้ด้านหลังสารพัดบัตรในหลืบที่ลึกที่สุดของกระเป๋าเหมือนที่เก็บเรื่องราวเกี่ยวกับคนในภาพเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้งของหัวใจ
....
“พี่เต็ม”“พี่เต็ม” เสียงนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นในความมืดพร้อมกับสัมผัสเย็นเฉียบที่หน้าผาก เจ้าของชื่อพยายามจะลืมตาขึ้นแต่เปลือกตาบาง ๆ วันนี้มันช่างหนักเหลือกำลัง ไม่รู้ว่าเหตุที่ทั้งร่างสั่นเทาอยู่ในขณะนี้จะเป็นด้วยอากาศหนาวเย็นเนื่องจากฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืนหรือเพราะฤทธิ์ไข้กันกันแน่ รู้เพียงว่าตอนนี้ร่างกายร้อนผ่าวราวกับถูกห่อหุ้มด้วยเกราะสุมไฟ มือบางดึงผ้าห่มผืนหนาเข้ามากอดไว้แน่นขยับตัวนอนขดหลบหนีมือเย็นที่ยังคงคลอเคลียอยู่กับข้างแก้มและต้นคอ
“พี่เต็ม ไม่สบายหรือเปล่าฮะ ตัวร้อนจี๋เลย”
เต็มฟ้าปรือตาตื่นขึ้นเมื่อเสียงนั้นยังคงไม่ไปไหน ภาพของน้องชายที่มองมาด้วยแววตาแห่งความห่วงใยค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นท่ามกลางแดดยามสายที่ทอแสงจาง ๆ ผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา
“ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ” ฟังเสียงที่เปล่งออกไปแล้วแทบจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของตัวเอง ข้างในลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายไล่ความสากราวกับโรยด้วยเม็ดทรายรู้สึกเจ็บในช่องคอไปหมด
“วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนฮะเพราะพรุ่งนี้จะสอบ ตามเห็นว่าสายแล้วพี่เต็มยังไม่ลงไปทานข้าวเลยขึ้นมาดู”
พี่ชายพยักหน้าพยายามยันตัวขึ้นนั่งแต่เหมือนมีบางอย่างถ่วงไว้ให้รู้สึกหนัก ๆ อยู่ในหัว
“เดี๋ยวตามจะลงไปบอกพี่แจ่มให้ยกข้าวขึ้นมาให้พี่เต็มนะฮะ”
“มะ..ไม่เป็นไร พี่ยังไม่อยากกิน” พูดจบก็ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโคลงศีรษะไปมาพยายามลืมตาสู้แสงแต่หนังตาก็หนักจนแทบจะยกไม่ขึ้น
“แต่ว่า....” น้องชายคิดอยากจะค้านแต่เพราะกลัวว่าจะโดนดุจึงต้องกลืนทุกคำพูดลงคอ นิ่งเงียบอยู่เพียงไม่นานเสียงของพ่อก็ดังมาจากชั้นล่าง
“ตาม เสร็จหรือยังลูก”ตามตะวันมองตามเสียงก่อนจะหันมาสบตาพี่ชายด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงเขากำลังจะขึ้นมาเก็บของเตรียมไปบ้านน้าเดือน แต่เพราะเห็นว่าพี่ชายตื่นสายผิดปกติจึงได้แวะเข้ามาดู
“นี่ต้องไปบ้านน้าเดือนใช่ไหม”
“ครับ เดี๋ยวพ่อจะไปส่งตามก่อนค่อยไปไร่”
“ถ้าอย่างนั้นลงไปบอกพ่อให้ไปไร่ได้เลย เดี๋ยวพี่ไปส่งตามเอง บ่าย ๆ หน่อยได้ใช่ไหม”
“ครับ ตะ...แต่พี่เต็มมะ...ไม่..ส...”
“ไปเถอะน่า ไปบอกให้พ่อไปทำงานเถอะ”
“ครับ”
ดังนั้นในตอนบ่ายเต็มฟ้าจึงหอบสังขารขับรถไปส่งน้องชายที่เกตส์เฮาส์ ตามตะวันทอดสายตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถยนต์ เห็นว่าท้องฟ้ายังคงฉ่ำด้วยน้ำ เหนือขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกสีขาวและก้อนเมฆที่ลอยต่ำราวกับจะเอื้อมมือคว้ามาไว้ได้ เขาชอบฤดูฝนเพราะฝนทำให้รอบ ๆ ตัวมีแต่สีเขียวขจี พืชผลในไร่เมื่อได้น้ำก็กลับงอกงามดีซึ่งพลอยทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อตามมาด้วย เสียงจามของคนข้าง ๆ ทำให้ต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าหันกลับมามองคนขับด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าถ้าบอกให้ลองไปหาหมอดูไหมจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พี่ชายรำคาญหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่ามันเป็นหนทางที่จะทำให้อีกฝ่ายหายจากอาการป่วย หนุ่มน้อยก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“พี่เต็มไปหาหมอไหมครับ จะได้หายป่วยไว ๆ”
ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ พี่ชายยังคงมองไปข้างหน้าโดยไม่มีทีท่าสนใจคำพูดเมื่อสักครู่ มันคงเป็นคำพูดชวนรำคาญจริง ๆ ดังที่คิดเอาไว้ในตอนแรก ดังนั้นตามตะวันจึงเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ภาพผืนนาสีเขียวข้างทางค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพของตึกรามบ้านช่องและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ เมื่อรถเริ่มเข้าเขตตัวเมือง อีกเพียงไม่กี่อึดใจก็จะถึงเกสต์เฮาส์ อีกเพียงไม่กี่อึดใจเวลาที่จะได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ กันแบบนี้ก็จะหมดลง
“ไปร้านไหนดี” เป็นประโยคแรกที่ได้ยินตั้งแต่ออกมาจากไร่ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยหันมามองคนพูดด้วยความแปลกใจจนอีกฝ่ายก็คงรู้สึกได้เหมือนกัน
“หมอน่ะ ไปหาร้านไหนดี”
“พี่เต็มจะไปหาหมอเหรอครับ”
พี่ชายเพียงแต่พยักหน้าเป็นคำตอบ ตายังคงมองไปที่สัญญาณไฟที่เพิ่งจะเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวจึงทำให้ไม่เห็นรอยยิ้มของน้องชาย
“ก็ตามบอกให้พี่ไปหาหมอไม่ใช่เหรอ”
“เอ้อ...คะ..ครับ”
“พี่ก็ถามอยู่นี่ไงว่าไปร้านไหนดี”
“ถ้าอย่างนั้นไปคลินิกคุณอาหมอพ่อของยะหยาไหมฮะ อยู่ตรงสามแยกก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอยเกสต์เฮาส์ เวลาตามไม่สบายพี่ชลก็จะพาไปที่นี่บ่อย ๆ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้แหละ”
(มีต่อค่ะ)