ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง
เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ที่ดังขึ้นเรียกให้หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนที่กำลังง่วนอยู่กับการยืนเลือกขนมต้องหันกลับไปมองตามเสียง นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็คือพนักงานไปรษณียหนุ่มหล่อซึ่งมาพร้อมกับเจ้าลูกหมาตัวอ้วนในตะกร้าหน้ารถนั่นเอง ตามตะวันยิ้มให้พลางกระชับเป้สะพายหลังก่อนจะหันไปจ่ายเงินให้อาม่าเจ้าของร้าน จัดการเก็บขนม 2-3 ชิ้นลงกระเป๋ากางเกงขณะเดินมาหาศิธาพัฒน์ที่จอดมอเตอร์ไซค์รออยู่
“สวัสดีครับพี่ปุ่น” เด็กชายร่างเล็กกล่าวพร้อมกับแหย่นิ้วหลอกล่อเจ้าขนฟูที่กำลังไล่งับอากาศพร้อมกับเห่าเสียงดังเมื่อทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ
“เป็นยังไงบ้างหนุ่มน้อย ทำข้อสอบได้หรือเปล่า”
“ทำได้ฮะ”
“แล้วนี่เหลือสอบอีกวิชา”
“พรุ่งนี้อีกวันเดียวก็ปิดเทอมแล้วฮะ” ตามตะวันกล่าว หนุ่มน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อโดนฟันเล็ก ๆ ของเจ้าแข็งแรงงับที่ปลายนิ้ว มันกดเขี้ยวแหลมเล็กลงบนเนื้อนิ่มราวกับกำลังแทะหมูปิ้งของโปรดก็ไม่ปาน แต่แค่เพียงตามตะวันเอื้อมมือบีบปากบนของมันเบา ๆ เจ้าหมาน้อยก็ยอมปล่อยนิ้วเล็ก ๆ ให้เป็นอิสระทันที
“จะกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ขอบคุณครับพี่ปุ่น”
“เกาะดี ๆ นะ”
ศิธาพัฒน์เอี้ยวตัวมาดูให้แน่ว่าเด็กชายขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะออกรถ ฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นานทำให้อากาศกำลังเย็นสบาย ชายหนุ่มมองนังหนูแข็งแรงที่นั่งชูคออยู่ในตะกร้าหน้ารถสลับกับเงาสะท้อนของดวงหน้าเล็ก ๆ ในกระจกมองข้าง นังหนูของเขาขณะนี้ปราศจากซึ่งอาการตื่นกลัวผิดกับช่วงแรก ๆ ที่เริ่มจับลงตะกร้าไปไหนมาไหนด้วยกัน มันนั่งเชิดหน้าส่งเสียงเห่าเป็นระยะเมื่อเจอสุนัขแปลกหน้าท่าทางดุจดังสิงโตเจ้าป่าคงลืมไปว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงหมาเจ้าเนื้อเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้เจ้าตัวกลมดูมีความสุขกว่าใคร ในขณะที่คนนั่งซ้อนท้ายนั้นก็ดูเปี่ยมไปด้วยความสุขไม่แพ้กันเลย
สายลมเย็น ๆ และละอองน้ำเล็ก ๆ ที่สาดกระทบเข้ากับใบหน้านำพาความคิดของตามตะวันล่องลอยไป ดวงตาสดใสทอดมองตึกแถวสองข้างทาง มันเป็นภาพที่เห็นอยู่เกือบทุกวันบนเส้นทางจากบ้านไปโรงเรียน อีกไม่ไกลก็จะถึงร้านข้าวขาหมูเจ้าอร่อยที่ไม่ว่าจะผ่านมาเมื่อไรก็เห็นลูกค้าแน่นร้านทุกครั้ง นึกถึงลูกชายเจ้าของร้านที่ป่านนี้คงกำลังเตะฟุตบอลกับก๊วนเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามของโรงเรียนชดเชยที่ต้องโดนเตี่ยกับแม่เคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือมาเสียหลายวัน
“มาซื้อขนมร้านอาม่าบ่อยเหรอ”
“ไม่หรอกครับ นาน ๆ ซื้อที ซื้อบ่อย ๆ เดี๋ยวพี่ชลเห็นแล้วตามโดนดุ พี่ชลบอกว่ากินเยอะ ๆ ฟันจะผุ”
คนขับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถามถึงใครอีกคน “แล้วพี่ชายล่ะ ดุไหม”
“อืม...ตามไม่แน่ใจฮะ พี่เต็มไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้ม จนบางครั้งตามก็กลัว”
“แล้วทำไมตามไม่บอกให้เขายิ้มล่ะ ชวนคุยก็ได้”
“ก็...ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่นี่ก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วนี่ ทำไมไม่ลองดูล่ะ”
คนนั่งซ้อนท้ายนิ่งคิด มันก็น่าจะดีเหมือนกันถ้าหากทำแบบที่ศิธาพัฒน์ว่า
“แล้วพี่ปุ่นละฮะ มีน้องหรือเปล่า”
“พี่มีน้องชายน่ะ”
“เหรอครับ แล้วอายุเท่าไรครับ เท่าตาม แก่กว่า หรือว่าอ่อนกว่า”
คนถูกถามส่ายหน้า ดวงตาคมกริบยังคงมองไปที่ทางข้างหน้า “น่าจะอายุพอ ๆ กับพี่ชายของตามละมั้ง”
“ดีจัง แบบนี้ก็คงได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ตอนเย็นก็รอกลับบ้านพร้อมกันใช่ไหมฮะพี่ปุ่น”
ศิธาพัฒน์ครางรับในลำคอพลางนึกถึงเจ้าน้องชายตัวป่วนที่ทำให้เขาและพี่สาวต้องปวดหัวอยู่บ่อย ๆ
“ตามอยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังอดหัวเราะไม่ได้ ในความคิดของศิธาพัฒน์บางทีการมีพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกันมันก็ไม่ได้สนุกอย่างที่คิด วันไหนถ้ามีใครตื่นสายสักคนวันนั้นเหมือนฟ้าจะถล่มดินจะทลายพากันสายยกครัว ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีไปส่งลูกลิงไปโรงเรียน ยิ่งพอขึ้นมัธยมทั้งเขาและศิลาก็ถูกแยกให้ไปเรียนโรงเรียนชายล้วนซึ่งอยู่คนละทางกับที่ทำงานของพ่อและโรงเรียนของศิตางค์ ดังนั้นลูกชายคนรองอย่างศิธาพัฒน์จึงต้องรับหน้าที่กำกับดูแลน้องชายจอมกวนแทนพ่อที่ต้องคอยรับส่งพี่สาว การเป็นลูกผู้ชายส่งผลให้พวกเขาถูกสอนให้ทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง โดยมีพ่อและแม่คอยให้การสนับสนุนหรือให้คำปรึกษาเมื่อเจอกับปัญหา
“อาจจะไม่ดีอย่างที่ตามคิดก็ได้นะ”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้ตามตะวันนึกสงสัย การได้ไปโรงเรียนกับพี่ชายและกลับบ้านด้วนกันตอนเย็นมันจะไม่ดีได้อย่างไรกัน เขาเองยังนึกอิจฉาเพื่อน ๆ หลายคนที่มีพี่สาวหรือพี่ชายมายืนรอรับเพื่อที่จะกลับบ้านพร้อมกันอยู่บ่อย ๆ
“ทำไมล่ะครับพี่ปุ่น”
“น้องชายพี่มันแสบ ชอบก่อเรื่อง เอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งก็ดื้อจนน่าตี” มาถึงตรงนี้คนพูดอดคิดไม่ได้ว่านี่เขากำลังพูดถึงน้องชายตัวเองหรือ ‘ไอ้เด็กแสบ’ นั่นกันแน่
“อยู่ด้วยแล้วทำให้พี่ต้องกลายร่างเป็นยักษ์เป็นมารอยู่เรื่อย แล้วก็ชอบบ่นว่าพี่ใจร้ายทุกที”
“แต่ตามว่าพี่ปุ่นใจดีนะฮะ ตามชอบพี่ปุ่น ยะหยากับหมูอ้วนยังบอกเลยว่าพี่ปุ่นใจดี ขนาดพี่ชลก็ยังชอบพี่ปุ่นเลย ใคร ๆ ก็ชอบพี่ปุ่นกันทั้งนั้นเลยนะครับ”
คนถูกชมได้แต่ยิ้ม ใคร ๆ ที่ว่าคงไม่มี ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ รวมอยู่แน่ ๆ
.....
เมื่อมาถึงเกสต์เฮาส์ ศิธาพัฒน์ก็พบว่าสมาชิกในบ้านต่างก็อยู่กันอย่างพร้อมหน้า ยกเว้นก็แต่ใครบางคนที่ยังไม่ได้พบหน้ากันเลยตั้งแต่เมื่อวาน เดือนดาราออกมาต้อนรับแขกขาประจำก่อนจะชวนให้เขาอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกันเพื่อตอบแทนที่ศิธาพัฒน์มาส่งตามตะวันแถมยังช่วยติวให้เมื่อวาน ส่วนเจ้าแข็งแรงก็ปิดปากเงียบตั้งแต่มาถึงทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเห่ามาตลอดทางอยู่แท้ ๆ ลูกสุนัขตัวอ้วนกลมท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นพิเศษเสียจนคนพามารู้สึกหมั่นไส้ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะริมระเบียงมานั่งลงยีหัวมันเล่นพลางบ่นให้ได้ยินกันแค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัว
“แกจะไม่เห่าเรียกพ่อแกหน่อยเหรอ หืม..นังหนู”ทันทีที่มือหนาห่างออกไปเจ้าหมาน้อยก็สะบัดหัวไปมาทำท่ารำคาญก่อนจะนอนลงเงียบ ๆ อย่างไม่แยแสคนที่ให้ข้าวอยู่ทุกวันเลยแม้แต่น้อย
ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินคอตกกลับไปนั่งที่เดิม หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด พลันริมฝีปากอิ่มก็ยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ เมื่อแผนการหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
“แข็งแรงมานี่มา” ศิธาพัฒน์ร้องเรียกเสียงดังทั้งที่เจ้าตัวอ้วนก็นอนอยู่ห่างออกไปไม่มาก แครกเกอร์อบกรอบที่วิษณุแบ่งให้เมื่อตอนกลางวันถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ร่างสูงย่อตัวลงนั่งมองลูกสุนัขที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีแม้แต่จะผงกหัวขึ้นมาดูเลยด้วซ้ำว่าเจ้านายเรียกทำไม แต่ถึงอย่างนั้นพนักงานไปรษณีย์หนุ่มก็ยังไม่ละความพยายาม เพียงขยับมือเล็กน้อยเสียงดังก๊อบแก๊บของห่อขนมที่เสียดสีกันก็เกิดพลังมากพอที่จะทำให้หูเล็ก ๆ ซึ่งปกลุมไปด้วยขนขยับเป็นจังหวะ ทันทีที่ซองขนมถูกฉีกเจ้าขนฟูก็พรวดพราดลุกขึ้นราวกับถูกจู่โจมด้วยคลื่นเสียงความถี่ที่สามารถทำให้น้ำลายหยดติ๋งได้
“หึ...แกอยากกินใช่ไหม...นังหนู”
เสียงครางหงิง ๆ และน้ำลายที่หยดแหมะลงกับพื้นพอจะใช้เป็นคำตอบได้ ศิธาพัฒน์ยิ้มก่อนจะยื่นขนมไปใกล้ รอจังหวะที่เจ้าแข็งแรงยื่นปากมางับก็รีบชักมือกลับทันที ได้ยินเสียงปากยาวกระทบกันดังปับ ๆ
“แกต้องเห่าก่อนนะรู้ไหม” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับคำพูดเมื่อสักครู่ให้อดนึกไม่ได้ว่าตัวเขาเองก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่น
เจ้าลูกสุนัขที่เลียปากตัวเองแผล็บ ๆ พร้อมกับหายใจฟืดฟาดใช้ขาหน้าปัดจูมกราวกับเด็กที่หงุดหงิดเมื่อโดนแกล้ง
“แข็งแรง ทำยังไงก่อน” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเสียงดังไปทำไมทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้
“พี่ปุ่นจะสอนให้แข็งแรงสวัสดีเหรอฮะ” ตามตะวันที่เดินออกมาจากบ้านเอ่ยขึ้นขณะวางหนังสือที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะ
มันแยบยลกว่านั้น ศิธาพัฒน์คิดในใจ อยากจะบอกออกไปแต่ก็ได้เพียงแค่ยิ้มรับ
“แข็งแรงสวัสดีก่อนเร็ว ยกขาสิยกขา” สิ้นเสียงเจ้านายตัวเล็กแทนที่เจ้าแข็งแรงจะยกขาทำท่าสวัสดี มันกลับเห่าเสียงดังจนคนสั่งต้องขมวดคิ้ว ยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นเจ้าของขนมกล่าวชื่นชมและยื่นแครกเกอร์อบให้เจ้าหมาน้อย เพียงไม่กี่วินาทีมันก็ทำให้สสารลงไปอยู่ในท้องเข้าสู่กระบวนการย่อยอย่างสมบูรณ์ก่อนจะนั่งเลียปากจ้องมองส่วนที่เหลือในมือของชายหนุ่ม
“ดีมากนังหนู” มือหนาส่งแครกเกอร์เข้าปากยาวพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ
“อ้าว ยังไม่ได้สวัสดีเลย”
“ให้มันไปเถอะครับ สงสารมัน” ศิธาพัฒน์พูดไปก็นึกขำตัวเอง นี่ถ้าเจ้าแข็งแรงมันพูดได้มันคงจะฟ้องตามตะวันไปแล้วว่าเขาแผนสูงขนาดไหนและทำอะไรกันมันบ้าง
“อีกชิ้นไหม”
ด้วยพลังของแครกเกอร์อบนี้เองทำให้นังหนูขนฟูแสดงร่างจริงของมันจนได้ มันเห่าเสียงดังพลางวิ่งวนไปมาเมื่อจับทางได้ว่าความปากเปราะจะทำให้ได้รางวัล และไม่นานแครกเกอร์ก็ถูกทำให้หายไปด้วยพลังความตะกละตะกลามของเจ้าหมาน้อย
“ลูกสาวใครเนี่ยเห่าเสียงดังจัง เดี๋ยวจับถ่วงน้ำเสียเลยนี่”‘เฮ้อ...ในที่สุดก็ออกมาเสียที’ ศิธาพัฒน์มองหาต้นเสียง หน้าตาที่ดูอิดโรยกับเสียงขึ้นจมูกนั่นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายป่วยแน่ ๆ แต่ถ้ามีแรงพูดจากวนประสาทได้แบบนี้แล้วละก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“พี่เต็มจะจับแข็งแรงถ่วงน้ำจริงเหรอฮะ”
“อื้อ..เดี๋ยวพี่จะจับมันใส่หม้อถ่วงน้ำไปพร้อมกับขนมในปากมันนั่นแหละ” เต็มฟ้ากล่าวขณะเดินมานั่งลงตรงหน้าต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองไม่สบายพร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ
“เต่าญี่ปุ่นของพี่ชลก็ปล่อยลงน้ำจนเกลี้ยงบ่อ นี่ยังจะจับหมาถ่วงน้ำอีก ใจร้ายจริง ถามคนเลี้ยงของเขาหรือยังว่าเขายอมหรือเปล่า”
“ก็คนเลี้ยงปล่อยให้มันเห่ารบกวนคนอื่นแบบนี้ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” เจ้าของใบหน้าซีดเซียวยิ้มเยาะ แต่แล้วหัวคิ้วก็ต้องขมวดเข้าหากันเมื่อนึกทวนคำพูดเมื่อสักครู่ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พูดถึงเต่าพี่ชล รู้ได้ยังไงใครเล่าให้ฟัง”
“เขาแซ่ซ้องสรรเสริญกันไปทั้งโลกแล้วไม่รู้หรอกเหรอ”
คนฟังมองตาขุ่น ๆ ก่อนจะอุ้มเจ้าหมาน้อยมาไว้แนบอก รู้สึกได้ว่าตัวมันหนักขึ้นทุกวัน ๆ อีกหน่อยคงจะอุ้มแบบนี้ไม่ไหวแล้ว
“พูดอะไรไร้สาระเนอะแข็งแรงเนอะ” ริมฝีปากที่ไร้ซึ่งสีของเลือดกล่าว เดาว่าคงจะเป็นพี่สาวหรือไม่ก็พ่อของเขาที่เอาเรื่องนี้มาเล่าเป็นเรื่องสนุกทั้งที่ตัวเขาต้องโดนทำโทษให้สำนึกผิดอยู่นานสองนาน
“พูดไร้สาระก็ยังดีกว่า คนที่รู้สึกยังไงก็เก็บเอาไว้เนอะน้องตามเนอะ”
ศิธาพัฒน์กล่าวพลางยืนขึ้นโอบไหล่เล็กของเด็กชายเอาไว้ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมาต่อปากต่อคำกับไอ้เด็กกวนประสาทที่ไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ แทนที่จะพูดกันดี ๆ
ตามตะวันที่จู่ ๆ ก็ถูกลากเข้ามาเกี่ยวได้แต่หัวเราะแหะ ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสมรภูมิการต่อสู้ของเหล่าดิจิทัลมอนสเตอร์ที่กำลังแผ่คลื่นไฟฟ้าใส่กันแบบที่เห็นในรายการการ์ตูนตอนเช้า
“เอ่อ....ตามว่าตามไปอ่านหนังสือดีกว่า” พูดจบเด็กชายร่างเล็กก็เดินหนีเอาดื้อ ๆ ปล่อยให้สองคนยังคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกันอยู่อย่างนั้น
“จะพูดดี ๆ กันบ้างไม่ได้หรือไง”
“ใครเริ่มก่อน” เต็มฟ้าทำปากขมุบขมิบ พูดไปแบบนั้นทั้งที่รู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตู
“โตแล้วน่าจะรู้”
“เออ ๆ ก็ได้ ๆ เต็มเริ่มก่อน แต่ถ้าพี่ศิธาทนฟังไม่ได้ อุดหูไว้ก็จบ”
“ไอ้เด็กบ้า เป็นเด็กเป็นเล็กแทนที่จะขอโทษ” ศิธาพัฒน์โคลงหัวมองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังอุ้มลูกสุนัขลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักให้อภัยถูกไหมครับ”
รอยยิ้มที่มุมปากกับหางคิ้วที่ขยับขึ้นลงถี่ ๆ นั้นทำเอาคนมองแทบอดใจไว้ไม่อยู่ นี่ถ้าเป็นน้องชายคงได้ง้างเท้าเตะเข้าป้าบใหญ่ไปแล้ว ตาคมหรี่มองร่างสูงสมส่วนที่กำลังเดินผิวปากผ่านหน้าไปพร้อมกับท่อง ‘ไม่เตะหนอ..ไม่เตะหนอ’ ในใจ
ศิธาพัฒน์เดินไปไปล้างมือก่อนจะมานั่งลงที่โต๊ะริมระเบียงพลางถอนใจเบา ๆ สายตายังคงจ้องมองแผ่นหลังคนที่นั่งอยู่ที่บันไดท่าน้ำ
“พี่ปุ่นโกรธพี่เต็มเหรอฮะ”
คำถามของตามตะวันทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง “ตามอยากให้พี่โกรธไหม”
“ไม่ฮะ ตามไม่อยากให้พี่ปุ่นโกรธพี่เต็ม ตามอยากให้พี่ปุ่นพาแข็งแรงมาบ้านเราบ่อย ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่โกรธ ดีไหม”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเด็กชายร่างเล็กก็ยิ้มออก “ดีฮะ ดีมาก ๆ เลย”
ศิธาพัฒน์มองเด็กชายร่างเล็กอย่างเอ็นดู ที่พูดไปแบบนั้นก็เพราะไม่ได้รู้สึกโกรธจริง ๆ แต่ทำไมจึงรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า หัวใจก็เต้นแรงแปลก ๆ ทบทวนดูแล้วก็คิดว่าตัวเองไม่ได้กำลังโกรธ แล้วนี่มันอะไรกัน?
“หนุ่ม ๆ ทานข้าวกันได้แล้วจ้ะ”
เสียงของเจ้าของเกสต์เฮาส์ทำให้ทุกคนต้องหยุดกิจกรรมต่าง ๆ และหันไปมองเธอเป็นตาเดียว วันนี้เดือนดาราลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง นาน ๆ เธอจะทำเช่นนี้แสดงว่าต้องมีอะไรเป็นพิเศษ อาหารพื้นเมืองหลายอย่างถูกยกมาวางบนโต๊ะโดยพี่สาวคนโตของบ้าน จากนั้นทุกคนก็มารวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร
“วันนี้มีอะไรพิเศษครับ น้าเดือนถึงลงมือทำกับข้าวเอง” เต็มฟ้ากล่าวขณะวางเจ้าแข็งแรงลงให้มันกินอาหารที่คนงานเตรียมให้ชามพลาสติกเอาไว้ให้
“พอดีวันนี้น้าไปเจอเพื่อนเก่ามาจ้ะ เขาเป็นอาจารย์อยู่ที่เชียงรายน่ะ เห็นว่าสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางอะไรนี่แหละ น้าก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ในมหาวิทยาลัยมีคณะอะไรแบบนี้ด้วย ตอนนี้เขาหันมาจับธุรกิจสปา จะทำพวกผลิตภัณฑ์สปาแบรนด์ของตัวเองก็เลยอยากได้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร พอน้าบอกว่าโรงงานของเรารับทำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเซรามิกเขาก็สนใจใหญ่ นี่เห็นว่าจะหาเวลาว่าง ๆ แวะไปคุยกับพ่อของเต็มที่ไร่ด้วยนะ” เดือนดารายิ้มก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ
“นี่ถ้าตกลงกันเรียบร้อย อีกหน่อยคนที่จะต้องเหนื่อยก็คงต้องเป็นเต็มแล้วนะ” ชลธรกล่าวกับน้องชายพร้อมกับวางโถใส่ข้าวลงบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็จัดการตักข้าวแจกจ่ายให้ทุกคนที่ต่างก็นั่งประจำที่ของตัวเอง
“ล้างมือหรือยัง” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น แต่คนที่นั่งข้างกันกลับทำไม่รู้ไม่ชี้
“เมื่อกี้อุ้มเจ้าแข็งแรงน่ะ ล้างมือแล้วหรือยัง”
“มันไม่ได้สกปรกนี่” คนดื้อดึงกล่าวพลางทำท่าจะหยิบช้อน แต่อีกคนมือไวกว่าถึงจานหนีออกได้ทัน
“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ต้องล้างอยู่ดี จะรู้ได้ยังไงว่าวันทั้งวันมันไปทำอะไรมาบ้าง ยิ่งไม่สบายแบบนี้ด้วยยิ่งต้องรักษาความสะอาดนะรู้ไหม”
คำพูดยืดยาวตามประสาพี่ชายผู้คุ้มกฎทำให้ชลธรอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นน้องชายคนรองจำใจลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ “นี่ที่ไปล้างมือเพราะเชื่อพี่ปุ่นใช่ไหมว่าต้องรักษาความสะอาด”
เต็มฟ้าส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะตอบคำถามที่เรียกเสียงหัวเราะได้จากทั้งโต๊ะ “เปล่า เต็มรำคาญ บ่นอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ไปล้างมือคงบ่นจนกับข้าวชืดหมด”
สาวหน้าหวานส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะหันมาสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ดีจังเลยนะที่มีปุ่นช่วยกำราบนายเต็มให้ ไม่งั้นก็ทำอะไรตามใจอยู่เรื่อย”
“ลืมตัวไปหน่อยน่ะครับคิดว่าอยู่ที่บ้าน” ศิธาพัฒน์หัวเราะแก้เก้อ “เจ้าปุ้นน้องชายของผมก็ดื้อแบบนี้เหมือนกัน ต้องให้ใช้ไม้แข็งกันอยู่เรื่อย”
“ดีจ้ะ น้าสนับสนุน ต้องให้มีคนคอยขัดใจบ้างอย่างนี้แหละจะได้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง” เดือนดารากล่าวพลางมองหลานชายที่เดินหน้ามู่ทู่กลับมาที่โต๊ะอาหาร
ศิธาพัฒน์เหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ ที่ลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ รู้สึกขบขันกับใบหน้าบอกบุญไม่รับนั่นเหลือเกิน ช่างเหมือศิลาไม่มีผิด ด้วยความที่เป็นน้องชายคนเล็ก เวลาโดนพี่ ๆ ขัดใจก็จะแสดงสีหน้าไม่พอใจแบบนี้ทุกครั้งไป แต่พอพี่ ๆ ง้อเข้าหน่อยก็ยิ้มหน้าบานหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเต็มฟ้าคนนี้จะเป็นเช่นเดียวกับน้องชายของเขาด้วยหรือเปล่า
“เอ้อ เมื่อเช้าพี่ไปตลาดกลับมาไม่ทันตามไปโรงเรียนเสียก่อนก็เลยไม่ได้ทานอะไรเลยน่ะสิ” ชลธรเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้
“ทานฮะ เมื่อเช้าพี่เต็มทำข้าวต้มให้ตามทาน”
“จริงเหรอเต็ม”
“เปล่า” ผู้เป็นพี่ชายปฏิเสธ
“อืม..แต่เต็มจำได้นะฮะว่าลายมือบนกระดาษโน้ตเป็นลายมือพี่เต็ม” ตามตะวันเกาหัวแกรก ๆ จำได้จริง ๆ ว่านั่นคือลายมือของพี่ชาย แต่ทำไมอีกฝ่ายจึงกลับปฏิเสธเสียได้
“เขียนว่าอะไรเหรอจ๊ะ” พี่สาวคนโตของบ้านหันไปซักไซ้น้องชายคนเล็ก แต่ก็โดนเต็มฟ้าทะลุขึ้นกลางปล้องเสียก่อน
“เขียนว่า......ทานข้าวเถอะนะพี่ชลนะ นะจ๊ะ” ชายหนุ่มยิ้มหวานพลางตักกับข้าวให้พี่สาวอย่างประจบ มองค้อนคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อยจากนั้นจึงลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบ ๆ
ชลธรมองน้องชายอย่างรู้ทัน คิดว่าอย่างไรเสียวันนี้เธอก็ต้องถามให้ได้ความจากตามตะวันให้ได้
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ศิธาพัฒน์ก็ถือโอกาสลากลับ เขาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่นอกรั้วโดยมีเต็มฟ้าเดินอุ้มเจ้าแข็งแรงตามไปห่าง ๆ
“ทำแล้วทำไมต้องบอกว่าไม่ได้ทำด้วย”
“ทำอะไร”
“ก็ทำอะไรดี ๆ แบบที่ทำให้คนอื่นเขายิ้มได้น่ะ”
“ก็...มันไม่ชิน”
“ไม่ชินก็ทำให้มันชินสิ แค่ยอมรับเอง แล้วนี่จะกลับไปอยู่ที่ไร่เมื่อไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน ก็คงรอตามสอบเสร็จก่อนละมั้ง”
คนถามพยักหน้าพลางรับเจ้าตัวอ้วนจากมือของอีกฝ่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสกันเท่านั้นก็ทำให้อากาศเย็นสบายหลังฝนตกก็กลับร้อนอบอ้าวขึ้นมาทันที ใบหน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุทั้งที่ตัวต้นเหตุก็ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ขยับไปไหน
โชคดีเหลือเกินที่ความมืดและแสงไฟสีเหลืองนวลช่วยอำพรางแก้มสีชมพูของเขาเอาไว้ได้เมื่อเต็มฟ้าเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งก็พบว่าน้องชายกำลังยืนรอเขาอยู่ ตามตะวันสบตาพี่ชายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คือตาม...ตามจะขอบคุณพี่เต็มสำหรับข้าวต้มเมื่อเช้า”
พี่ชายมองน้องชายที่ยืนตัวลีบก้มหน้างุดพลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า มันอาจจะไม่ชัดเจนจนสังเกตได้ แต่เต็มฟ้าก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังยิ้ม นั่นเพราะท่าทางของน้องทำให้รู้สึกได้ว่าเขาคงเป็นพี่ชายที่ใจร้ายเอามาก ๆ น้องถึงได้กลัวขนาดนี้
“พรุ่งนี้อยากกินอะไร”
“ฮะ? อะไรนะฮะ”
“พี่ถามว่าพรุ่งนี้ตามอยากกินอะไร”
“อะ..อะไรก็ได้ฮะ ตามทานได้หมด”
....สำหรับน้องชายแล้ว พี่ชายทำอะไรให้ก็กินทั้งนั้น.... ....
ศิธาพัฒน์หรี่ตามองเจ้าลูกสุนัขตัวกลมที่กำลังยืนสองขาเกาะรั้วทำจมูกฟุดฟิด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าที่แท้จุดหมายของมันก็คือการเอาถุงพลาสติกใส่ข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เกี่ยวอยู่กับเหล็กดัดลงมาจัดการเสียให้เรียบร้อย กลิ่นหอมยั่วยวนนั่นทำเอาเจ้าหมาน้อยน้ำลายไหลยืดเป็นทาง ตาแป๋วมองตามมือหนาที่เอื้อมปลดถุงลงมาพร้อมกับเลียปากแผล็บ ๆ ที่ถุงมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเขียนติดเอาไว้ว่า ‘แบ่งกันนะ อย่าแย่งกันล่ะ’ ทำเอาศิธาพัฒน์หัวเราะหึเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ไอ้เด็กแสบ’ นอกจากจะกวนประสาทคนเลี้ยงแล้วยังทรมานหมาอีกต่างหาก หลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปที่เกสต์เฮาส์เพราะเขาต้องอยู่ช่วยงานที่ที่ทำงการไปรษณีย์จนมืดค่ำทุกวัน ร่างสูงยกยิ้มมุมปากเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่สะกิดที่ขาพร้อมกับเสียงร้องหงิง ๆ
“ไงนังหนู แกอยากกินเหรอ” พูดจบก็ย่อตัวลงนั่งก่อนจะหยิบไม้หมูปิ้งส่งให้ เจ้าแข็งแรงอ้าปากงับพลางนอนลงแทะชิ้นหมูอย่างเอร็ดอร่อย
“พ่อแกนี่ใจร้ายจังเนอะ ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหนนักหนา”
เย็นวันนั้นทั้งหมาทั้งคนก็พากันแวะไปที่เกสต์เฮาส์ ศิธาพัฒน์พบว่ารถเก๋งสีดำไม่ได้จอดอยู่ในที่ประจำของมันเหมือนเคย เมื่อถามจากชลธรก็รู้ว่าตามตะวันสอบเสร็จแล้ว สองพี่น้องจึงพากันกลับไปอยู่ที่ไร่แสงดาว
(มีต่อค่ะ)