คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561  (อ่าน 256277 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ่านไปอมยิ้มไป ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือเป็นน้องเพียงเรามีความรัก ความห่วงใย ใส่ใจดูแลกัน นั่นก็วิเศษสุด ๆ แล้ว
พี่ปุ่นไม่อยากเป็นพี่ชายก็เดินหน้าจีบอย่างเป็นทางการได้ล่ะ
ชอบเวลาน้องตามปลอบใจพี่ ตบหลังปุ ๆ น่ารักมาก

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อ่านแล้วรูสึกอบอุ่นจัง
พี่ปุ่นไม่อยากเป็นแค่พี่ชายเต็มแล้ว
 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
ข้อความสุดท้ายต้องบอกให้เต็มรู้แล้วหล่ะ

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
ไม่บอกออกไปละ ว่าคิดยังไง :hao4:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
'อยากเป็นแฟนตะหาก' :hao7:

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
 :mew1: :mew1: :mew1:ตอนนี้น่ารักกกก อ่านแล้วน้ำตาคลอ

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปเนอะ~  :o8:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยาวสะใจมาก
อบอุ่นประทับใจมาก
ชอบมากๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ว้า...จะมาซาบซึ้งกับการเป็นน้องชายอะไรตอนนี้ เต็มฟ้า
นี่อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วนะ มุ้งมิ้งได้แล้วมั้ย จะได้มีคนปลอบตอนฟ้าร้อง
แถมด้วยกอดให้อุ่นตอนหน้าหนาว วั้วๆๆๆๆๆ

ปล. วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ไม่มี ค์ นะคะ ^^

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
น่ารักมาก  น้องเต็มกับพี่ศิธา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yamapong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
กย๊าาาาาาาาาาา พี่ปุ่นก็บอกไปเลยว่า พี่มีน้องอยู่แล้ว ไม่อยากได้น้องแล้ว อยากได้อย่างอื่นมากกว่า คริๆ ฟินค่าาา

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
เปิดเผยใจออกมาแล้วคนนึงยังเหลือตัวแสบอีกคนนึง
อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้ว เค้ายังไม่ได้รักกันเลยนะ

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
หน้าฝนผ่านไป หน้าหนาวเข้ามา แต่ขอให้ใจทั้งสามดวงของพี่ปุ่น พี่เต็ม น้องตามอบอุ่นจ้า

ตั้งตารอตอนต่อไป ขอบคุณคนแต่ง

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
น่ารักจริงๆเลย แต่สั้นอะ 20ตอนเองหรอ อย่างอ่านไปเรื่อยๆๆ เนื้อเรื่องสบายๆ

ออฟไลน์ แป้งข้าวหมาก

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
ไม่อยากเป็นพี่ชายก็บอกเขาไปเลยสิคะพี่ปุ่น  :hao7:

อ่านเรื่องนี้ทีไรรู้สึกอบอุ่น คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวทุกที
  :กอด1:

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
บรรยากาศดีขึ้นเยอะเลยระหว่างสองพี่น้อง
และเต็มกับพี่ปุ่น เค้าไม่ได้อยากได้เต็มเป็นน้อง แต่อยากได้เป็นแฟนต่างหาก
ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้ น่ารักไปอีกแบบ ไม่หวือหวาด้วย

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น มีความสุข  :กอด1:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ตามอ่านเสียหลายตอน ทำเอาน้ำตาซึมเลย อารมณ์มาเต็ม :hao5:
ดีใจที่เต็มกลับบ้าน แล้วกับน้องตามก็ดีขึ้นมาก
เหลือแต่ลุ้นกับพี่ปุ่นนี่แหละ กลับมาจากกรุงเทพฯ น่าจะมีอะไรดีๆเนอะ อิอิ :katai2-1:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย นั่ลลัคคคคคคคคคค
ไ่ม่ได้อยากเป็นพี่ชาย อยากเป็นอะไรล่ะจ๊ะพ่อหนุ่มไปรษณียยยย์
รออ่านตอนต่อไป คนเป็นน้องจะรู้สึกหรือยังว่าไม่ได้อยากได้พี่ชายซักหน่อย
กรีดร้องงงงงงงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
พี่ปุ่นเขาไม่ได้อยากเป็นพี่ชายนะเต็ม
อั๊ยยะ!! รอวันที่เต็มไม่อยากจะเป็นแค่น้องชายพี่ปุ่นจ้ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้



20.10 คือเวลาที่รถด่วนพิเศษขบวนที่ 2 หรือพนักงานขายตั๋วเรียกว่า ‘ด่วนนครพิงค์’ เข้าจอดเทียบชานชาลาสถานีรถไฟนครลำปาง ศิธาพัฒน์สะพายเป้ขึ้นหลังก่อนจะลุกขึ้นโบกมือลาคนมาส่ง เมื่อก้าวขึ้นไปบนขบวนรถ เขาก็พบว่าบนขบวนมีผู้โดยสารค่อนข้างบางตา ชายหนุ่มกางตั๋วในมือออกดูหมายเลขระหว่างเดินไปตามทางแคบ ๆ ที่ขั้นกลางระหว่างที่นั่ง ในที่สุดเขาก็หย่อนตัวลงนั่งที่ที่นั่งฝั่งเดียวกับสถานีพลางมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างติดฟิล์มทึบและพบว่าเต็มฟ้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาชวนมองคู่นั้นทอดมองไปตามความยาวของขบวนรถ จนเขาเองนึกอยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่


“น้องชายมาส่งหรือจ๊ะ”


เสียงของหญิงวัยกลางคนในที่นั่งฝั่งตรงข้ามดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้าในขณะที่ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลา ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธการคาดเดาของเธอ แต่ในใจก็ยังยืนยันว่าไม่ได้อยากเป็นพี่ของน้องชายคนนี้อย่างแน่นอน


“น้องชายหน้าตาน่ารักจัง”


“ครับ” ศิธาพัฒน์ตอบด้วยรอยยิ้ม นี่คงเป็นการเริ่มต้นของสี่สิ่งที่คนนั่งรถไฟเห็นแต่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็นตามทฤษฎีของไอ้เด็กแสบสินะ


“คุณป้ามาคนเดียวเหรอครับ”


“ป้ามากับลูกชาย ลูกสะใภ้แล้วก็หลานน่ะ นี่กำลังจะไปนครสวรรค์กัน พอดีลูกสาวคนสุดท้องกำลังจะคลอด”


คนฟังรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียดทั้งที่ก็เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก


“แล้วพ่อหนุ่มล่ะจ๊ะจะไปไหน”


“กรุงเทพฯ ครับ...” ยังไม่ทันที่ศิธาพัฒน์จะได้พูดถึงรายละเอียด เด็กหญิงในชุดกระโปรงก็กระโดดแผล็วลงจากที่นั่งอีกฝั่งก่อนจะวิ่งเข้ามาเกาะที่ตักของคู่สนทนาของเขาเสียก่อน


มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตบลงเบา ๆ ที่ก้นโด่ง ๆ ซึ่งกำลังส่ายไปส่ายไปมา จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตัก เมื่อเส้นผมสีดำสนิทที่ล้อมกรอบใบหน้าถูกจับทัดหูยิ่งทำให้เห็นแก้มยุ้ยของเธอชัดเจนยิ่งขึ้น ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มพร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ ราวกับกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว ดวงตากลมโตมองนิ้วหัวแม่มือป้อม ๆ ของตัวเองที่เกี่ยวไขว้กันในขณะที่นิ้วที่เหลือนั้นขยับพร้อมกันช้า ๆ ดูแล้วเหมือนนกน้อยที่กำลังบินถลาเล่นลม


“คุณยาย คุณยาย ท้องฟ้าอยากให้คุณยาย คุณยาย เล่าเรื่องนกกระจาบให้ฟัง”


“เดี๋ยวสิลูก เอาไว้คุณพนักงานรถไฟเขามากางเตียงให้ก่อนแล้วยายจะไปเล่าให้หนูฟังนะลูก”


“จริง ๆ นะคะคุณยาย คุณยาย”


คุณยายได้แต่เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งที่คล้องเอวเล็กเอาไว้เลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะหลานสาวเบา ๆ ก่อนจะหันมาสบตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ แต่ศิธาพัฒน์ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมทั้งยายและหลานเอาไว้ นึกขอบคุณใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากลองนั่งรถไฟก็เลยได้เห็นในสิ่งที่คนนั่งเครื่องบินเช่นเขาไม่เคยได้เห็น



....



เต็มฟ้ายืนมองเจ้าแข็งแรงที่กำลังนอนขดอยู่ใต้ต้นส้มจากระเบียงหลังบ้าน คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นคนงานจึงพากันออกมานั่งล้อมวงผิงไฟที่ลานกว้าง เจ้าหมาน้อยก็เลยพลอยได้อุ่นไปกับเขาด้วย คิดเอาไว้ว่าหากวันต่อ ๆ ไปอุณหภูมิยังคงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องคงจะต้องหาที่อยู่อุ่น ๆ ให้มันเสียหน่อย มือเย็นถูกันไปมาก่อนจะยกป้องปากเป่าลมร้อนจากร่างกายเพื่อให้คลายความหนาว อาการปวดหน่วง ๆ ที่หัวเข่าดูเหมือนจะทุเลาลงด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดผิดกับเมื่อตอนหัวค่ำที่เจ็บเสียจนคนเกลียดการกินยาทนไม่ไหวต้องแวะไปที่คลีนิกรักษาโรคทั่วไปของนายแพทย์กิตติวุฒิซึ่งเป็นคุณพ่อของยะหยา หลังจากตรวจดูบาดแผลแล้วเห็นว่าไม่กระทบกระเทือนถึงกระดูกคุณหมอจึงสั่งยาให้กลับมารับประทานถุงใหญ่ กระแทกลงไปเสียแรงขนาดนั้นดีแค่ไหนแล้วที่กระดูกไม่แตก เจ็บก็เจ็บแต่พอนึกถึงหน้าซีด ๆ ของศิธาพัฒน์ตอนที่เห็นเลือดแล้วยังขำไม่หาย ที่สำคัญคือยังจะถามมาได้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า คิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว


“บ้าเอ๊ย! จะไปนึกถึงทำไมกัน”


“พี่เต็มพูดกับใครเหรอฮะ”


เสียงของน้องชายที่ดังขึ้นใกล้เล่นเอาใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เล่นมาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง


“ปละ เปล่านี่ พี่ไม่ได้พูดอะไรเลย” พี่ชายยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้


“แต่ตามได้ยินนี่นา” ตามตะวันหันซ้ายหันขวาอย่างหวาด ๆ บรรยากาศข้างนอกนี่ก็ช่างเงียบสงัดชวนขนหัวลุกเหลือเกิน


“ผะ...ผีหลอกแล้ว” พูดจบเต็มฟ้าก็วิ่งแบบลืมเจ็บกลับเข้าไปในบ้านจัดการปิดประตูลงกลอนแกล้งน้องชายที่กำลังวิ่งตามมา เสียงทุบกระจกทำเอาพ่อเลี้ยงตรัยที่กำลังนั่งดูข่าวภาคดึกต้องหันกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นก็คือพี่ชายใจร้ายที่ยืนหัวเราะน้องชายที่ทุบกระจกส่งเสียงร้องโหวกเหวกให้เปิดประตูให้อยู่นอกระเบียง ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พักหลัง ๆ ภาพเหล่านี้ดูจะกลายเป็นภาพชินตาที่เกิดขึ้นในบ้าน จากบ้านที่เคยเงียบสงบกลับมีแต่เสียหัวเราะ


“เต็ม” เสียงขรึม ๆ ของพ่อทำให้พี่ชายที่กำลังหัวเราะร่วนต้องหยุดราวกับเหยียบเบรก เต็มฟ้าอมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือดึงกลอนลง ทันทีที่ประตูเปิดออกร่างเล็กของตามตะวันก็โถมเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็น ๆ ร่างเล็กของหนุ่มน้อยโถมเข้าหาพี่ชายปากก็ต่อว่าไปด้วย


“พี่เต็มน่ะ แกล้งตามอีกแล้ว” พูดไปมือก็กวัดแกว่งไปมาแต่เพราะมือบางของอีกฝ่ายที่ดันศีรษะเอาไว้ทำให้เขาคว้าได้แต่เพียงอากาศเท่านั้น


“ฮ่า ๆ ๆ อะไร ๆ คิดจะหือเหรอ”


“ปล่อย ๆๆๆๆ”


“ไม่ปล่อย ยังไงแกก็ไม่สามารถครองโลกได้หรอกไอ้ปีศาจเปลือกส้ม” พูดจบเต็มฟ้าก็จับการล็อกคอน้องชายก่อนจะลากกันไปยังที่นอนตุ๊กตาแมวหุ่นหนต์ที่อยู่ไม่ไกลจากโซฟา


“ปีศาจเปลือกส้มอะไรเล่า” ตามตะวันบ่นอุบก่อนที่จะถูกเหวี่ยงลงไปกับที่นอน


“แบบนี้ต้องเจอท่าไม้ตายของยอดมนุษย์”


เด็กชายร่างเล็กรู้ดีว่า ‘ท่าไม้ตาย’ ที่ว่าคืออะไรจึงรีบเบี่ยงตัวหลบร่างสูงของพี่ชายที่กำลังจะล้มลงมาทับทันที หนุ่มน้อยยันตัวลุกขึ้นนั่งหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นหน้าตาเหยแกของอีกฝ่าย


“หัวเราะพี่เหรอ มานี่เลย” มือของพี่รวบข้อมือเล็กให้น้องล้มทับมาบนตัวเองก่อนจะจัดการขั้นเด็ดขาดจนโดยการจี้ที่เอวหนุ่มน้อยหัวเราะคิก


“ยอมแพ้หรือยัง”


“ไม่ยอม” ตามตะวันกล่าวทั้งที่ยังหัวเราะ โดยแกล้งแล้วสนุกแบบนี้ใครจะยอมแพ้ง่าย ๆ


“เดี๋ยวน้องก็หายใจไม่ทันกันพอดี” ผู้เป็นพ่อปราม


“เฮ่ย! นี่แกพานายใหญ่ของแกมาด้วยเหรอไอ้ปีศาจเปลือกส้ม แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะกลัวนายใหญ่ของแก” นิ้วเรียวยังคงขยับยุกยิกอยู่ที่เอวของอีกฝ่ายโดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดง่าย ๆ


พ่อเลี้ยงตรัยหัวเราะพลางปาหมอนที่วางอยู่ข้างตัวใส่ไอ้ยอดมนุษย์ตัวแสบแต่มีหรือที่ยอดมนุษย์จบหลบไม่ทัน


“พี่เต็ม!!! ตามจั๊กจี้ พอแล้ว ๆ ตามยอมแพ้แล้ว”


“ฮ่า ๆ และแล้วโลกก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง”


“เออ นอกจากโลกจะกลับมาสงบสุขแล้วพ่อก็กลับมาสบายหูด้วย จะดูข่าวเลยไม่ได้ดูกันเลย” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวในขณะที่ลูกชายสองคนยังคงหัวเราะร่วน


ตรัยกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับนมอุ่น ๆ สองแก้วจากแม่วัวในไร่ที่คนงานรีดแบ่งมาให้ก่อนจะส่งขาย


“ดื่มนมแล้วก็เตนียมเข้านอนได้แล้ว เจ้าเต็มแกก็แกล้งน้องไม่ได้ดูสังขารตัวเองเลย”


“โธ่พ่อ เต็มไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”


“เดี้ยงขนาดนี้ยังจะบอกไม่เป็นไร เอ้า ๆ ระวัง ๆ” พ่อเลี้ยงตรัยมองลูกชายที่เดินกระเผลกมานั่งลงข้าง ๆ พลางส่ายศีรษะ


“พี่เต็ม คืนนี้ตามไปนอนห้องพี่เต็มได้ไหมฮะ” ตามตะวันกล่าวหลังจากวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ คราบนมที่ติดอยู่ที่ขอบปากทำเอาพี่ชายอดยิ้มไม่ได้


“ได้สิ แต่ต้องไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ พี่ไม่อยากนอนกับเด็กมีหนวดน่ะ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นน้องชายก็ยิ้มแฉ่งลุกขึ้นไปจัดการตัวเองตามที่พี่ชายบอกอย่างกระตือรือร้น คืนนี้บานเลื่อนบานใหญ่ที่ทำจากไม้จึงถูกเปิดออกเหลือเพียงบานเลื่อนกระจก ตำแหน่งของมันอยู่ตรงกับตำแหน่งของเตียงนอน ซึ่งเจ้าของห้องมักจะนอนมองออกไปในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว


“ดาวสวยจัง” เด็กชายตัวเล็กกว่าเมื่อหัวถึงหมอน         


“ถ้าตามชอบ เราแลกห้องนอนกันไหมล่ะ” พี่ชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ กล่าว


“ไม่เอาฮะ พ่อบอกว่าห้องนี้พ่อกับแม่ทำไว้ให้สำหรับพี่เต็ม”


“แต่พี่ยกให้ตามได้นี่” พูดพลางวางมือลงบนหน้าเล็ก ๆ “เอาไหม”


ตามตะวันยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เอาฮะ มานอนกับพี่เต็มแบบนี้ดีกว่า”


เต็มฟ้ายิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนมองออกไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทอประกายระยิบระยับ ความเงียบโอบล้อมสองร่างที่นอนอยู่เคียงข้างกันเอาไว้ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่เจ้าของห้องจะเคลิ้มหลับเสียงของคนที่นอนข้าง ๆ กันก็ปลุกให้ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง   


“พี่เต็ม”


“หืม?”


“แม่ใจดีไหมฮะ”


“ถามทำไมเหรอ”


“ตามอยากรู้ว่าแม่ใจดีไหม เสียงของแม่เป็นยังไง มือของแม่นุ่มหรือปล่า อยากให้พี่เต็มเล่าให้ฟัง”


เต็มฟ้าเหลียวมองน้องชายที่ตอนนี้จ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง นึกถึงตักอุ่น ๆ ที่เคยหนุนนอน มือนุ่ม ๆ ที่ลูบลงมาบนเส้นผม เสียงฮัมเพลงเบา ๆ และกลิ่นหอม ๆ จากครีมทาผิวที่แม่ชอบใช้ หากคืนไหนที่ฝนตกแม่จะมานอนอยู่ข้าง ๆ และกอดเขาเอาไว้แน่น ม่านหน้าต่างถูกปิดจนแสงแปลบปลาบไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ แม้จะยังได้ยินเสียงคำรามของท้องฟ้าแต่เสียงของแม่ที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูก็ทำให้ลืมความกลัวและหลับลงอย่างง่ายดาย


“แม่ของเราเป็นคนสวยแล้วก็ใจดีมาก ส่วนมือของแม่ก็นิ่มที่สุด ตัวแม่หอมเวลาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ พี่รู้สึกว่ามันอุ่นสุด ๆ เลยละ”


“พ่อบอกว่าแม่ของเราขึ้นไปเป็นดาวอยู่บนท้องฟ้า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ตามว่าแม่ต้องเป็นดาวที่สวยที่สุดแน่ ๆ พี่เต็มคิดอย่างนั้นไหม”


“อืม”


“ตามอยากกอดแม่บ้างจัง อยากได้ยินเสียง....”


“มานอนกับพี่นี่มา” พูดจบแขนแกร่งก็กางออกสอดลงใต้ร่างเล็ก ๆ ที่ขยับเข้ามาหาอย่างว่าง่าย ตามตะวันนอนลงบนบ่ากว้างรู้สึกได้ถึงมือนุ่ม ๆ ของพี่ชายที่ประคองศีรษะของตนเองเอาไว้ เด็กชายค่อย ๆ หลับตาสูดกลิ่นหอม ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด



.....



“ตื่นแล้วเหรอครับท่าน แหม..นั่งรถไฟกลับบ้านถึงกับสลบ”



น้ำเสียงยียวนกวนประสาททำเอาคนที่กำลังเดินงัวเงียลงบันไดมาตาสว่างทันที เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหนที่แท้ก็ ‘ศิลา กษิศภูมิ’ ว่าที่เภสัชกรหนุ่มหล่อน้องชายคนสุดท้องของบ้านนั่นเอง


“เจอหน้าก็กวนประสาทเลยนะไอ้น้อง”


“เห็นแม่บอกว่านั่งรถไฟกลับมาเหรอ ทำไมถึงแล้วไม่โทร.บอก ปุ้นจะได้ไปรอรับ”


“จากสถานีหลักสี่มาบ้านแค่นี้ นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้ แล้วนี่คนอื่นไปไหนกันหมด”


“พ่อกับแม่พาย่าไปดูผ้าตัดเสื้อน่ะ บ่าย ๆ คงกลับ”


คนฟังกดยิ้มที่มุมปากนึกถงึย่าที่มักจะบอกว่าไม่เห่อ ไม่ตื่นเต้นกับวันสำคัญของหลาน ๆ แต่ก็เตรียมหาผ้าตัดชุดใหม่หรือไม่ก็ออกไปทำผมเสียจนสวยพริ้งทุกครั้งไป


“แล้วแกล่ะทำอะไรอยู่” ศิธาพัฒน์เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟามองน้องชายที่ยังคงง่วนอยู่กับการจดบางอย่างลงในสมุด


“อ่านหนังสือ”


“อะไรกัน นี่เรียนจบแล้วยังจะต้องอ่านอะไรกันอีก”


ชายหนุ่มผิวเข้มขยับแว่นสายตาพลางเกาศีรษะแกรก ๆ “พี่ปุ่นนี่ขี้บ่นไม่เปลี่ยนเลย ปุ้นยังเหลือสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมอีกนะพี่ปุ่น ถ้าสอบไม่ได้พี่จะไม่ได้กลับมาคอยโบกรถที่หน้าร้านขายยาของปุ้นนะ”


“หล่อ ๆ อย่างนี้ให้แค่โบกรถเนี่ยนะ”


“คุณค่าที่คุณคู่ควรไง”


“กวนเบื้องล่างตลอด” พี่ชายส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เมื่อเช้าตอนที่มาถึงไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลง คุยกับพี่สาว พ่อแม่ และย่าได้เพียงไม่กี่คำก็ขอตัวขึ้นไปนอนเพราะรู้สึกง่วงเหลือเกินกว่าจะตื่นอีกทีก็เกือบเที่ยง ทุกอย่างในบ้านดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนัก จะมีก็แต่สีที่ถูกทาใหม่ตามที่แม่เคยโทร.ไปเล่าให้ฟังก็เท่านั้น


“หิวหรือเปล่า เดี๋ยวปุ้นทำอะไรให้กิน”


“แกทำอะไรได้บ้างนอกจากต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”


“อ้าว ๆ อย่าดูถูกเด็กหอนะครับ จะกินอะไรว่ามาเลยดีกว่า”


“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่เป็นไง”


“ข้าวไข่เจียวแล้วกัน”


ศิธาพัฒน์มองค้อน “มีต่อรอง ๆ รีบ ๆ ไปทำไป จะทำอะไรก็ทำ หิวแล้ว”


“คร้าบบบบบบบ รอสักครู่นะครับ” พูดจบศิลาก็ถอดแว่นวางทับลงบนหนังสือก่อนจะกระโดดลงจากโซฟาวิ่งหายเข้าไปในครัว แม้กาลเวลาจะให้ให้เขาเติบโตขึ้นแต่ในสายตาของคนเป็นพี่แล้ว ‘เจ้าปุ้น’ ก็ยังคงเป็นน้องชายจอมทะเล้นเสมอ



ได้ยินเสียงโครมครามที่ดังจากในครัวแล้วให้คนที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟารู้สึกหวั่น ๆ ในใจ ศิธาพัฒน์ลุกขึ้นนั่งพลางชะเง้อมองดูความเคลื่อนไหว เมื่อเริ่มได้กลิ่นหอม ๆ ของไข่เจียวแล้วค่อยคลายใจ ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ แต่แล้วจานข้าวสวยที่มีไข่เจียวสีเหลืองทองโปะอยู่กือบเต็มจานก็ทำให้ต้องละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพ่อครัวหน้าตามอมแมมที่นั่งลงยิ้มอยู่ไม่ห่าง


“กินได้จริงหรือเปล่าเนี่ย แค่ทอดไข่ทำไมมันโครมครามอย่างกับจะซ่อมบ้าน”


“ลอง ชิม แล้ว จะติดใจ” ศิลาเน้นทีละคำจนน่าหมั่นไส้


“แล้วแกล่ะไม่กินเหรอ”


“พี่ปุ่นกินก่อนเลย ปุ้นเป็นน้อง เรื่องแค่นี้เสียสละได้”


ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ทันทีที่ไข่เจียวสัมผัสลิ้นก็นึกชมน้องชายอยู่ในใจว่าเห็นท่าทางแบบนี้ก็มีฝีมือในการทำอาหารอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่อดตายเพราะมีข้าวไข่เจียวประทังชีวิต


“ให้พี่ปุ่นกินก่อนเลย ถ้าพี่ปุ่นกินแล้วไม่เป็นอะไร ปุ้นจะไปทำกินบ้าง”


สิ้นเสียงน้องชายศิธาพัฒน์ก็แทบจะพ่นข้าวออกจากปาก นี่มันเรียกว่าเสียสละยังไงกัน


“อ่ะ ๆ น้ำ ๆ เดี๋ยวติดคอ” หนุ่มหน้าทะเล้นรีบส่งแก้วน้ำให้พี่ชายทันที


“แค่ก ๆ นี่แกเสียสละ แค่ก...แค่ก ๆ ยังไงวะ”


“ก็เสียสละให้พี่ตายก่อนไง” พูดจบน้องชายก็ระเบิดหัวเราะลั่นบ้าน ศิธาพัฒน์มองคนตรงหน้าพลางนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อกี้ตอนที่กำลังเลื่อนหาเบอร์ดทรศัพท์ก็คิดอยู่ว่าจะโทร.ไปดีหรือไม่


“จะโทร.ไปรายงานตัวเหรอ” ศิลาเอ่ยขึ้นขณะยืดคอมองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้

‘คนดี’



ดวงตาคมกริบมองตามสายตาของน้องชายก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาปิดหน้าจอลงทันที “รายงานตัวอะไรกัน” พูดจบก็ลงมือกินอาหารต่อเงียบ ๆ


“เขากลับมาแล้วนะ พี่ไม่รู้เหรอ เมื่อวันก่อนปุ้นพาย่าไปบ้านเขามา เห็นลุงยุทธ์บอกว่าพี่พรีมกลับมาแล้ว ตอนนี้เข้าไปทำงานในบริษัทเก่าที่พี่ปุ้นเคยทำอยู่นั่นแหละ”


“อืม ก็เขาได้ทุนบริษัทไปก็ต้องกลับมาทำที่นั่นอยู่แล้ว”


“แล้วนี่ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า”


“เปล่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ลุกขึ้นถือจานไปล้างในครัวทิ้งให้น้องชายมองตามด้วยความเป็นห่วง


“พี่ปุ่นยังรักพี่พรีมอยู่หรือเปล่า”


คำถามของศิลาทำเอาชะงักไปชั่วขณะ มือใหญ่วางจานที่ล้างเรียบร้อยแล้วลงบนตะแกรงพักก่อนจะหันมาตอบคำถาม


“ไม่แล้ว มันจบไปตั้งนานแล้ว”


“อืม...แต่ย่ากับลุงยุทธ์ไม่น่าจะคิดแบบนั้นนะ ปุ้นเห็นเขาคุยกันเหมือนจะเชียร์ให้พี่สองคนกลับมาคบกันอีก”


“เชียร์ก็ไม่ขึ้นหรอก ป่านนี้พรีมเองก็คงมีใครไปแล้วละ”


“แล้วพี่ล่ะ มีใครแล้วหรือยัง”


“อยากรู้เหรอ” ศิธาพัฒน์ยิ้มที่มุมปาก มองหน้าน้องชายที่กำลังพยักหน้าตาวาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ ทำท่าเหมือนจะกระซิบแต่สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดตบท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังคันยุบยิบในหัวใจ


“ไม่ บอก เว้ย!”


“โห! อะไรวะพี่ปุ่น พูดให้อยากแล้วจากไป” ศิลาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่ชายที่เดินผิวปากออกจากครัวไปอย่างอารมณ์ดี แบบนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วกระมังเรื่องถ่านไฟกงถ่านไฟเก่าที่จะย้อนกลับมาเผาให้ไม่ใครก็ใครต้องเจ็บปวด



....



ด้วยแรงหมุนของเครื่องหมุนขึ้นรูปและสองมือที่คอยประคองก็ทำให้ดินก้อนเล็ก ๆ กลายเป็นภาชนะทรงสูงที่มีความโค้งเว้าสวยงาม ดวงตาสีเข้มจ้องมองมันอย่างพอใจก่อนจะใช้เอ็นเส้นเล็ก ๆ ตัดให้ฐานแจกันหลุดออกจากฐานโลหะทรงกลม เต็มฟ้าใช้เวลาตลอดบ่ายในการสร้างชิ้นงานต้นแบบบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์สปาตามที่ได้ออกแบบไว้หลังจากมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนของน้าเดือนที่กำลังจะร่วมลงทุนกับสามีทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สปาในจังหวัดเชียงรายเนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนท้องถิ่นอยู่ในขณะนี้



ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าสุนัขขนยาวที่ลุกขึ้นเห่าทุกครั้งเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนบนโต๊ะเขียนสั่นครืดคราดก่อนจะส่งเสียงปรามมันเป็นระยะ เมื่อได้ลงมือทำงานที่รักจนเพลินหนุ่มอารมณ์ศิลปินอย่างเต็มฟ้าก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาขึ้นรูปดินตามแบบที่วางอยู่ข้าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายบ้างแล้วก็กลับมานั่งในตำแหน่งเดิม จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปท้องที่เริ่มร้องโครกครากเตือนให้รู้ว่าควรจะกลับบ้านเสียที ดังนั้นเต็มฟ้าจึงจัดการล้างไม้ล้างมือแล้วจึงพาเจ้าแข็งแรงกลับบ้าน 



บรรยากาศมื้อเย็นของบ้าน ‘กษิศภูมิ’ ดูชื่นมื่นเป็นพิเศษเนื่องจากสมาชิกในบ้านอยู่กันครบ ทั้งคุณย่า พ่อแม่และบรรดาหลาน ๆ ทั้งสามรวมถึงว่าที่หลานเขยร่างใหญ่โตอย่าง ‘นราวิช’ ที่เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพซึ่งมีโครงการจะแต่งงานกับศิตางต์ในช่วงกลางปีหน้า เนื่องจากเป็นคนคุยสนุกเขาจึงสามารถเข้ากับน้องชายทั้งสองของเธอโดยเฉพาะหนุ่มน้อยอารมณ์ดีอย่างศิลาได้ไม่ยาก แต่กว่าจะฝ่าด่านคุณย่ามาได้ก็ถึงกับหืดขึ้นคอตามที่นราวิชเคยรำลึกความหลังอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน 


“เสียดายจังที่พ่อวิชไม่ได้ไปงานรับปริญญาเจ้าปุ้นด้วยกัน” คุณนายยุพาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น


“ผมก็เสียดายเหมือนกันครับคุณย่า เลยอดให้น้องปุ้นพาเที่ยวสงขลาเลย เพิ่งรู้ตัวว่าต้องไปประชุมแทนคณบดี” หนุ่มร่างใหญ่กล่าวพลางเอื้อมตักอาหารใส่จานให้คนรักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“ไว้ช่วงไหนว่าง ๆ พวกเราหาเวลาไปพักผ่อนกันสักทีก็ได้นี่ ไปช่วงรับปริญญาจะไปไหนมาไหรคงไม่สะดวกเท่าไร คนคงมหาศาล” ชายวัยกลางคนหน้าตาคมคายที่นั่งถัดจากผู้อาวุโสที่หัวโต๊ะกล่าวก่อนจะหันไปหาลูกชายคนเล็ก “หรือลูกว่าไงปุ้น”


“คนเยอะจริงพ่อ ตอนนี้เห็นเพื่อน ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดบอกว่าทั้งโรงแรมแล้วก็หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยถูกจองเต็มหมดแล้ว ดีนะที่ปุ้นจองไว้ให้บ้านเราตั้งแต่ต้นปี ไม่งั้นคงลำบาก”


“แล้วนี่จองตั๋วเครื่องบินหรือยัง”


“ยังเลยพ่อ”


“ไปรถไฟกันบ้างไหมครับ” ข้อเสนอของศิธาพัฒน์ทำเอาทั้งโต๊ะมองมาที่เขาเป็นตาเดียว


“นึกยังไงจะไปรถไฟ” หญิงชราหัวโต๊ะมองรอดแว่นด้วยความสงสัย


“ก็เปลี่ยนบรรยากาศไงครับ นั่งเครื่องบินบ่อยแล้ว เผื่อว่าจะได้เห็นอะไรแบบที่คนนั่งเครื่องบินไม่เคยเห็น”


“อืม...พ่อว่าก็น่าสนใจนะ ไม่ได้นั่งรถไฟนานแล้วตั้งแต่ย้ายกลับมาจากลำปาง” ศิลป์หันไปยิ้มให้ภรรยา พอพูดถึงลำปางทีไรความทรงจำแสนหวานก็ย้อนกลับมาให้หวนนึกถึงอยู่ร่ำไป


“อะแฮ่ม!” กระแอมของลูกสาวทำเอาผู้เป็นพ่อหุบยิ้มแทบไม่ทัน “หวานกันไม่เกรงใจลูกเลยนะคะ”


“แกอิจฉาแกก็รีบแต่งเร็วเข้าสิ จริงไหมวิช”


“ครับคุณพ่อ” ว่าที่ลูกเขยรับคำก่อนจะส่งตาหวานให้คนที่นั่งข้าง ๆ กัน


“งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ปุ้นจะไปจองตั๋วรถไฟเลยก็แล้วกันนะครับ”


“เอ้อ..เดี๋ยว ๆ เจ้าปุ้น ย่าว่าลองถามบ้านโน้นเขาก่อนไหมว่าเขาสะดวกไปรถไฟกับเราหรือเปล่า”


เมื่อได้ฟังดังนั้นศิลาถึงกับขมวดคิ้ว ‘บ้านโน้น’ ที่ย่าของเขาพูดถึงคงเป็น ‘บ้านวรารักษ์’ บ้านหลังใหญ่ที่อยู่กลางซอยซึ่งเป็นของ ‘พ.อ. ยุทธพงศ์ วรารักษ์’ นายทหารวัยไล่เลี่ยกับพ่อของเขาซึ่งคบค้าสมาคมกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายนั่นเอง และที่ย่าไปชวนเขาทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องภายในครอบครัวก็คงไม่พ้นแผนการที่จะทำให้ลูกสาวบ้านโน้นกับพี่ชายของเขากลับมาคบกันเหมือนเดิม


“ปุ้นว่าเราไปกันเฉพาะครอบครัวเราดีกว่านะครับย่า”


“ย่าเปรยกับเขาไปแล้วนี่นา แล้วลุงยุทธ์ของแกเขาก็ท่าทางสนใจด้วย พรุ่งนี้ย่าชวนเขามาทานข้าวเย็นที่บ้านเรา เดี๋ยวย่าจะถามเขาอีกทีว่าจะไปด้วยกันไหม ถ้าเขาปฏิเสธแกก็ค่อยไปจองตั๋วรถไฟก็ได้นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะเดินทาง”


ทั้งศิตางค์ ศิลาและศิธาพัฒน์ต่างก็สบตากันอย่างเข้าใจ เรื่องหัวดื้อไม่มีใครโค่นคุณย่าของพวกเขาลงได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ศิธาพัฒน์แอบผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ทั้งที่ฝีมือทำกับข้าวของแม่อร่อยที่ที่สุดในโลกแต่ทำไมกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หรือเป็นเพราะสิ่งที่น้องชายพูดเอาไว้เมื่อตอนกลางวันมันกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง


.....



สามพี่น้องเดินออกมาส่งนราวิชที่รถก่อนที่ศิธาพัฒน์จะแยกตัวไปนั่งเล่นที่ศาลาท่าน้ำ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้หลังจากตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะต้องได้ยินเสียงของเจ้าของเบอร์ให้ได้ แต่เมื่อโทร.ไปแล้วคนที่ปลายสายก็ไม่รับสักที


“จ้องแบบนี้แล้วคนทางโน้นเขาจะรู้ไหม ทำไมไม่กดโทร.ล่ะจ๊ะ” พี่สาวคนโตที่เดินเข้ามากับน้องชายหน้าทะเล้นเอ่ยขึ้น


“ผมโทร.เป็นร้อยสายแล้วมั้ง แต่เขาก็ไม่รับ” เจ้าของโทรศัพท์ขมุบขมิบพูด แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาแต่ก็พอจับใจความได้พอให้คนฟังหันสบตากันยิ้ม ๆ


“นั่นแน่! แสดงว่าคนสำคัญนะเนี่ยถึงโทร.หาเป็นร้อยสาย” น้องชายเมื่อเห็นพี่ชายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็อดที่จะแซวไม่ได้ก็อดแซวไม่ได้


“ยุ่งจริง”


“โธ่ ๆ พี่ปุ่น เราเป็นพี่น้องกันนะ เรื่องของพี่ก็เหมือนเรื่องของปุ้นกับพี่ปุน แฟนพี่ปุ่นก็เหมือนน้องพี่ปุน เหมือนแฟนของปุ้น”


“ตอนแรกก็จะซึ้งอยู่หรอก แต่ไอ้ตอนหลัง ๆ นี่ฟังแล้วอยากเตะให้หายฝัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ลุกขึ้นท่าทางเอาจริงตามที่พูด แต่ศิลาก็อาศัยความไวหลบหลังพี่สาวได้ทันแถมยังร้องให้พี่สาวช่วยไม่หยุดปาก


“เอาละ ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนปุ่น ปุ้นก็เหมือนกันไปแซวพี่เขาอยู่ได้” ศิตางค์หันไปปรามน้องชายคนเล็กก่อนจะหันมาทำตาวาวใส่น้องชายคนรอง “ว่าแต่เขาเป็นใครเหรอปุ่น สาวลำปางหรือเปล่า”


“โธ่! พี่ปุน” น้องชายคนรองทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่สาวและน้องชาย นึกว่าจะช่วยกันที่ไหนได้ก็พากันมาล้วงความลับนี่เอง


“พี่ล้อเล่นจ้ะ ยังไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่ถ้าวันหนึ่งมันถึงเวลาที่ต้องพูดพี่ว่าปุ่นก็ควรต้องพูดนะ ไม่งั้นเรื่องราวมันจะบานปลายสุดท้ายก็จะมีหลายคนที่ต้องเสียใจนะ” ศิตางค์กล่าวก่อนจะนั่งลงจบมือน้องชาย “ปุ่นเข้าใจความหมายของพี่ใช่ไหม”


ศิธาพัฒน์ยักหน้า รู้ดีว่าพี่สาวหมายถึงอะไร


“ปุ้นว่างานนี้คุณย่ากับลุงยุทธ์เอาจริงแน่ เห็นอยากเป็นดองกันจะแย่ นี่ถ้าไอ้ภูมิเป็นผู้หญิงคงจับคู่ปุ้นกับมันแหง ๆ” พูดจบศิลาก็ทำท่าขนพองสยองเกล้าเมื่อนึกถึงอิทธิฤทธิ์ของย่าที่พ่อกับแม่เคยเล่าให้ฟัง



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2014 11:55:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

เกือบสี่ทุ่มแล้วแต่ศิธาพัฒน์ก็ยังนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ สองขาจุ่มอยู่ในน้ำที่ท่วมขึ้นมาถึงบันไดขั้นบนสุดในขณะที่ตาจ้องมองโทรศัพท์มือถือในมือ ความคิดที่ว่า ‘เดี๋ยวเจ้าของเบอร์คงโทร.กลับ’ ถูกปาทิ้งไปตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน แต่กระนั้นนิ้วหนาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะกดโทร.ออกซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งเสียงสัญญาณรอสายถูกแทนที่ด้วยเสียงดังโครมจนต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหู



“อูย!!!” ได้ยินเสียงครางเบา ๆ ดังมาตามสาย ก่อนที่เสียงนั้นจะเริ่มชัดเจนขึ้น “สวัสดีครับ” คนปลายสายกล่าวเสียงงัวเงีย


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ย รู้ไหมว่าโทร.ไปไม่รู้กี่สายแล้ว จะโทร.กลับก็ไม่มีเลย มัวทำอะไรอยู่”


เต็มฟ้าตะเกียกตะกายขึ้นมานั่งบนโซฟาหลังจากลิ้งตกลงไปเมื่อตอนที่โทรศัพท์สั่นอยู่บนโต๊ะ ประโยคยืดยาวนั้นทำเอาตาสว่าง และหางคิ้วกระตุกจนต้องถามกลับบ้าง


“ใครวะ นี่ถ้าโทร.มาเพื่อจะปลุกขึ้นมาด่าละก็ จะวางแล้วนะ”


“ดะ..เดี๋ยวๆๆๆ เต็ม พี่เอง”


เต็มฟ้าขมวดคิ้ว “พี่? ขอโทษนะครับ พอดีเป็นลูกชายคนโต”


“หึ รู้แล้ว เคยบอกมาแล้วครั้งหนึ่ง”


“แล้วตกลงว่าพี่ไหน พี่ตูน บอดี้สแลม พี่เบิร์ด ธงไชย พี่ดู๋ สัญญา หรือว่าพี่เท่ง เถิดเทิง”


พอได้ฟังอย่างนั้นศิธาพัฒน์ก็เดาได้ทันทีว่าคนที่ปลายสายคงจะตื่นเต็มตาแล้ว


“พี่ปุ่นไง”


“อืม? อ๋อ!!! พี่ศิธา...”


พี่ศิธาอีกแล้ว....


“แล้วโทร.มาทำไม” พูดจบก็หยิบรีโมตปิดทีวีที่เปิดค้างไว้


“ก็จะถามว่าเป็นยังไงบ้าง”


“สบายดีระยะสุดท้าย”


“แผลล่ะ”


“ก็ยังปวดอยู่ แต่ว่าไปหาอาหมอพ่อของยะหยามาแล้วละ อาหมอให้ยามากิน”


“แล้วได้กินหรือเปล่า”


“ให้แข็งแรงกินแทน”


“เฮ้ย! จริง ๆ น่ะเหรอ”


“อือ ก็เห็นมันชอบมาทำตาปริบ ๆ แถมน้ำลายไหลเยิ้ม เต็มก็เลยแบ่งให้มันกินบ้าง”


“พูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้ว”


“พี่ศิธาก็รู้ว่าเต็มพูดเล่นยังจะถามต่อให้ต้องคิดอีกทำไม”


“ว่าแต่มันเป็นยังไงกัน ไอ้สบายดีระยะสุดท้ายที่ว่าเมื่อกี้น่ะ”


ศิธาพัฒน์ยกยิ้มก่อนจะใช้มือวักน้ำเล่น จากนั้นก็จรดปลายนิ้ววาดรูปบางอย่างลงบนแผ่นไม้ระหว่างรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร


“ก็สบายแบบเต็มขั้น ขั้นสุงสุดยอดอะไรประมาณนี้ละมั้ง ไม่รู้เหมือนกันจำตามมาพูดอีกที” คนถูกถามหัวเราะก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้


“แล้วพี่ศิธาไปเอาเบอร์เต็มมาจากไหน” เป็นคำถามที่ศิธาพัฒน์ไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบไปตามความจริง


“ก็เห็นมันเขียนอยู่บนกล่องพัสดุที่จะส่งมากรุงเทพฯ น่ะเลยจดไว้ เผื่อวันไหนต้องเอาโปสการ์ดไม่มีบ้านเลขที่ไปส่งอีกจะได้โทร.ถามว่าจะให้เอาไปส่งที่ไหน”


“โอ้โห อะไรจะรอบคอบขนาดนั้น”


น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นปกติของอีกฝ่ายทำเอาศิธาพัฒน์อยากจะร้องเพลง ‘ช่างไม่รู้เลย’ ให้ดังไปถึงลำปางเสียเดี๋ยวนี้





“คืนนี้ดาวเยอะจัง”



“เหรอ ๆ” พูดจบเต็มฟ้าก็ลุกพรวดขึ้นก่อนจะเปิดประตูออกไปยืนที่ระเบียง จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด


“จริงด้วย เหมือนยืนอยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาลเลยแฮะ”


“ขนาดนั้นเลยเหรอ”


“ใช่ บนระเบียงเนี่ยเห็นดาวเยอะกว่ามองจากหน้าต่างใต้หลังคาอีกนะ”


ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเลือกที่จะมองหากลุ่มของดวงดาวที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดในขณะที่ปลายนิ้วยังคงลากไปบนผิวไม้หยาบ ๆ “เห็นดาวลูกไก่ไหม”


“อืม...” ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองไปบนท้องฟ้าก่อนจะไปหยุดที่กลุ่มดาวที่กรุจุกรวมกันอยู่ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นนับจำนวนเมื่อนับได้ครบเจ็ดดวงก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เห็นแล้ว ๆ”


“เห็นแล้วใช่ไหม” ศิธาพัฒน์อมยิ้ม เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคนที่ปลายสายกำลังมองไปยังจุดเดียวกัน “เห็นแล้วก็ไปนอนเถอะ น้ำค้างแรงเดี๋ยวไม่สบาย”


“อ้าว...อะไรวะ มาชวนดูดาวแล้วก็ไล่ไปนอน” เต็มฟ้าบ่นขมุบขมิบ “ถ้าอย่างนั้นเต็มวางแล้วนะ”


“อื้อ...”


รอจนคนปลายสายวางไปแล้วศิธาพัฒน์ก็ก้มลงมองรอยจาง ๆ ที่เขียนด้วยน้ำซึ่งก็มีแต่ ‘รูปหัวใจ’ เต็มไปหมด 



.....



เมื่อผ่านค่ำคืนที่แสนยาวนาน ในที่สุดช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้าก็มาถึง ศิธาพัฒน์จ้องมองเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำเงาวับที่ค่อย ๆ แล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้าน นายทหารพลขับเปิดประตูลงจากฝั่งคนขับเดินก้มหน้างุด ๆ อ้อมมาเปิดประตูฝั่งคนนั่งที่ด้านหลัง จากนั้นนายทหารวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็ก้าวลงมายืนอย่างองอาจก่อนจะหันกลับไปมองยังประตูอีกฝั่งที่ค่อย ๆ เปิดออกพลันร่างเล็กของหญิงสาวที่ไม่ได้พบกันเสียนานก็ปรากฏขึ้น เธอยิ้มให้ผู้เป็นพ่อก่อนจะส่งยิ้มให้ศิธาพัฒน์ที่ยังคงยืนนิ่ง



“ปุ่น ไปรับคุณลุงเถอะลูก” นวลตาสะกิดบอกลูกชาย ดังนั้นศิธาพัฒน์จึงเดินเข้าไปสวัสดีก่อนจะเชิญทั้งสองพ่อลูกเข้าไปในบ้าน มื้อเย็นสำหรับแขกพิเศษถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยที่วันนี้คุณนายยุพาถึงกับลงทุนเข้าครัวทำของโปรดของอดีตว่าที่หลานสะใภ้ด้วยตัวเองสร้างความแปลกใจให้กับนวลตาและเด็กรับใช้ในบ้านไม่น้อย เมื่อสมาชิกมากันพร้อมแล้วต่างคนต่างก็นั่งประจำที่ของตัวเอง ศิลาที่กำลังจะเดินมานั่งข้างพี่ชายชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของผู้เป็นย่า ที่ประจำของเขาจึงถูกเว้นไว้ให้กับผู้มาเยือนโดยอัตโนมัติ หากจะว่าไปจริง ๆ แล้วที่ตรงนี้ก็เคยเป็นของ ‘พรีม’ หรือ ‘พีรนันท์ วรารักษ์’ มาก่อน แม้ทั้งสองตระกูลจะชอบพอกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า แต่พีรนันท์และศิธาพัฒน์ก็เพิ่งจะได้มารู้จักกันจริง ๆ เมื่อตอนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  นอกจากพีรนันท์จะเรียนคณะเดียวกับศิธาพัฒน์ เธอยังมีตำแหน่งเป็นถึงดาวคู่กับเขาที่เป็นเดือนมหาวิทยาลัยอีกด้วย สมัยนั้นใคร ๆ ต่างก็พากันจับตามองคู่หนุ่มหล่อสาวสวยคู่นี้กันทั้งนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจากความเป็นเพื่อนก็พัฒนามาเป็นคนรักในที่สุด เมื่อจบการศึกษาทั้งคู่ก็ยังเข้าทำงานในบริษัทเดียวกัน นั่นทำให้พีรนันท์เข้าออกบ้าน ‘กษิศภูมิ’ ได้อย่างสนิทใจจนเพื่อน ๆ ต่างก็ลงความเห็นว่าเธอและศิธาพัฒน์จะต้องเป็นคู่แต่งงานคู่แรกของรุ่นอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายความรักของทั้งสองคนก็พังครืนลงด้วยเหตุผลที่ศิธาพัฒน์ไม่เคยพูดให้ใครฟัง



“ไม่เจอกันเสียนาน ปุ่นดูไม่เปลี่ยนเลยนะ” หน้าสวยกระซิบ


“เปลี่ยนสิ เวลาเปลี่ยนอะไร ๆ ก็เปลี่ยนทั้งนั้นแหละ” ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปเขาก็ยกยิ้มน้อย ๆ “ปุ่นหมายถึงอายุกับหน้าตาน่ะ ไม่วัยรุ่นเหมือนก่อนแล้ว”


คุณนายยุพามองหนุ่มสาวที่คุยกันกระหนุงกระหนิงอย่างพอใจก่อนจะหันไปบอกเด็กรับใช้ให้ตักข้าว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็เชื้อเชิญให้ทุกคนลงมือรับประทานอาหาร


“เห็นคุณนวลบอกว่า คุณน้าจะไปงานรับปริญญานายปุ้น จะไปรถไฟกันเหรอครับ” ยุทธพงศ์เอ่ยขึ้น


“จ้ะ หลาน ๆ เขาคุยกันว่าอย่างนั้น แต่น้ารอปรึกษาพ่อยุทธ์ก่อนว่าจะสะดวกไปด้วยกันไม”


“อืม ผมว่ามันจะลำบากน่ะสิครับ คุณน้าจะขึ้นจะลงยังไง ใครกันครับเนี่ยที่เป็นคนเสนอความคิดนี้” คำถามของนายทหารหน้าดุทำเอาบรรดาหลาน ๆ ต่างเงยหน้าขึ้นสบตากัน


“ผมเองครับ” ศิธาพัฒน์กล่าวโดยไม่มีทีท่าเกรงกลัวใด ๆ


“ไม่เปลี่ยนเลยนะ เรื่องทำตัวติดดินเนี่ย” จู่ ๆ พีรนันท์ก็แทรกขึ้น


“ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะลำบากอะไรนะคุณยุทธ์” ศิลป์วางช้อนลงเงยหน้าขึ้นสบตาคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ท่าทางกระอักกระอ่วนของแขกทำให้ผู้อาวุโสที่สุดต้องตัดสินใจตัดบท “ถ้าพ่อยุทธ์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ เดี๋ยวน้าจะให้เจ้าปุ้นเอาชุดครุยไปถ่ายรูปด้วยที่บ้านก็ได้”


“อย่างนั้นก็ได้ครับ” ยุทธพงศ์กล่าวก่อนจะหันไปหาหลานชายคนสุดท้องของบ้านก่อนจะกล่าวขอโทษที่คงไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีในวันสำคัญของเขา ซึ่งนั่นทำให้ศิลายินดีมากจนเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่เดือดร้อนให้ศิตางค์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องส่งสายตาปราม


“เอ้อ แล้วนี่เมื่อไรจะย้ายกลับมาล่ะปุ่น”


คนถูกถามยังไม่ทันที่จะตั้งตัวตัว ผู้เป็นย่าก็ชิงตอบให้เสร็จสรรพ “เขาสัญญาว่าจะไปแค่สามปีแล้วจะกลับมาน่ะ”


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เหลืออีกแค่ปีกว่า ๆ น่ะสิครับ ผมว่ากลับมาก็ดีเหมือนกัน ถ้าจะมองกันยาว ๆ ไปเลย ลาออกแล้วมาเรียนต่อปริญญาโทก็ดีเหมือนกันจะได้กลับมาทำงานบริษัทเหมือนเดิม ดีกว่าเป็นพนักงานไปรษณีย์ต๊อกต๋อยไปวัน ๆ” คำพูดของยุทธพงศ์ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับเงียบกริบลงจนเจ้าตัวรู้สึกได้


“เอ้อ...ผมก็พูดในฐานะคนเป็นพ่อที่อยากให้ลูกสาวได้คู่ครองที่สมน้ำสมเนื้อกันน่ะครับ ทั้งเรื่องการศึกษาและน้าที่การงาน ถ้าจะกลับมาคบกันอีกครั้งก็อยากจะให้คิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้ด้วย ลูกสาวผะ...”


“เป็นพนักงานไปรษณีย์ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ อันที่จริงผมเองก็เคยเป็นมาก่อน” ศิลป์ทะลุขึ้นกลางปล้องจนผู้อาวุโสที่นั่งอยู่หัวโต๊ะถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอก ตัวยุทธพงศ์เองก็หน้าเจื่อนไปเหมือนกัน ลืมไปเสียสนิทว่าศิลป์เองก็เคยเป็นพนักงานไปรษณีย์ต๊อกต๋อยแบบที่เขาว่ามาก่อน


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนับจากวินาทีนั้นดูตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้บรรดาหลาน ๆ ต่างก็ไม่เจริญอาหารไปตาม ๆ กัน ผู้เป็นย่าจึงตัดสินใจแก้สถานการณ์ด้วยการเบนความสนใจไปที่สาวน้อยหน้าหวานที่นั่งเงียบ ๆ ฟังผู้ใหญ่คุยกัน


“เอาละ ๆ พวกคนแก่ ๆ นี่ชอบรื้อฟื้นความหลังกันอยู่เรื่อยเลยเนอะหนูพรีม ย่าว่าเราทานข้าวกันต่อดีกว่า นั่นน่ะแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายของโปรดหนูพรีม ย่าลงมือเข้าครัวเองเลยนะ ปุ่นตักให้หนูพรีมหน่อยสิ”


“ครับ” ศิธาพัฒน์รับคำก่อนจะเอื้อมมือตักแกงเขียวหวานสรรพคุณล้นหลามให้ในจานของคนที่นั่งข้าง ๆ กัน


“ขอบคุณค่ะ” พีรนันท์กล่าวพลางใช้ช้อนเขี่ยอาหารไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ดูเธอก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ในขณะนี้อยู่เหมือนกัน


“หนูพรีมมีแฟนหรือยังจ๊ะ”


น้องชายคนสุดท้องสบตาพี่สาวก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำถามของผู้เป็นย่า เธอคงคิดว่ามันเป็นคำถามสบาย ๆ ที่จะทำให้ทุกบรรยากาศผ่อนคลายแต่ในความคิดของศิลามันน่าจะทำให้ทุกอย่างดูแย่เสียมากกว่า


“ยะ ยังค่ะ”


“เอ....ยังเพราะว่ารอใครหรือเปล่าจ๊ะ”


“เอ่อ....”


“สงสัยจะรอคนกลับจากลำปางมั้ง” ยุทธพงศ์ได้โอกาสแทรกขึ้นบ้าง


“ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องที่ทำให้พรีมอึดอัดกันดีกว่าไหมครับย่า ลุงยุทธ อย่างเช่นเรื่องที่จะทำให้เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งที่มันจบไปนานแล้วและมันก็เป็นไปไม่ได้” ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ท่าทางจริงจังแบบนั้นทำให้ศิลาอดทึ่งไม่ได้ นี่แหละพี่ชายของเขา พี่ชายที่ไม่ยอมเดินตามเส้นทางที่ตัวเองไม่ได้ขีด


“นี่เธอ!” นายทหารหน้าดุทำเสียงเข้มพลางกัดกรามแน่นจนคุณนายยุพาต้องกล่าวขอโทษขอโพยแทนหลานชาย หลังจากพยายามข่มอารมณ์อยู่นานเขาก็ลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบ ๆ


....


ศิธาพัฒน์เดินเลี่ยงออกไปที่ศาลาท่าน้ำทอดสายตาออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่


“ทำไมปุ่นพูดกับพ่อของพรีมแล้วก็พูดกับคุณย่าแบบนั้น” สาวสวยที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้น


“ปุ่นไม่อยากให้พรีมต้องลำบากใจ”


“ปุ่นถามคนดีหรือยังว่าคนดีลำบากใจไหม ถามสักคำไหมว่าคนดีอยากอยู่แบบนี้หรืออยากให้ระหว่างเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม”


“มันเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ พรีมก็รู้ พรีมน่าจะรู้ดีว่าเหตุผลที่พรีมเลิกกับปุ่นมันคืออะไร ตอนนี้ปุ่นเลือกที่จะเป็นแบบนี้ เป็นในแบบที่พรีมกับพ่อไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอก”


“ทำไมล่ะ ถ้าปุ่นยังรักคนดีปุ่นก็แค่เปลี่ยน แค่ทำตามความต้องการของพ่อเราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แค่นี้ปุ่นทำไม่ได้เหรอ”


ศิธาพัฒน์ส่ายหน้า ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้เป็นครั้งที่สองหลังจากวันที่เธอเดินหันหลังให้


“แล้วถ้าพรีมรักปุ่น...”


พีรนันท์เบือนหน้าหนี คนตรงหน้าไม่เรียกเธอว่า ‘คนดี’ อีกต่อไป ไม่มีสักคำที่จะหลุดออกมาจากปากของเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันแทบจะกลายเป็นชื่อประจำตัวที่ใช้เรียกกันระหว่างคนสองคน


“....ทำไมพรีมถึงไม่ยอมรับในสิ่งที่ปุ่นเป็นล่ะ”


คำถามของร่างสูงตรงหน้าทำเอาพีรนันท์ถึงกับอึ้ง ภาพในวันนั้นปรากฏขึ้นชัดเจนอีกครั้งในความคิด ภาพของชายหนุ่มที่นั่งลงคุกเข่าท่ามกลางสายฝน เขาร้องขอไม่ให้เธอทิ้งเขาไป หากเธอต้องการที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศตามความต้องการของเธอเขาก็ยอม ขอเพียงแค่อย่าบอกเลิกกันแบบนี้ อย่าทิ้งให้เขาต้องมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง แต่เธอก็ให้เขาไม่ได้ นั่นเพียงเพราะเขาตัดสินใจลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเขาเรียกว่า ‘ความฝัน’ แต่สำหรับสาวสวยหัวก้าวหน้าผู้มีความทะเยอทะยานเป็นแรงผลักดันอย่างพีรนันท์มันก็เป็นเพียงแค่ ‘เรื่องไร้สาระ’ ที่มีแต่จะทำให้คนเราเป็นเพียงความต้อยต่ำในสังคมตามแบบที่พ่อของเธอมักจะพร่ำสอนก็เท่านั้น   



เมอร์เซเดส-เบนซ์คันหรูเคลื่อนพ้นรั้วบ้านไปนานแล้ว คุณนายยุพาที่ทำท่าจะเป็นลมตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารก็ขึ้นนอนตั้งแต่หัวค่ำ โดยมีหลานสาวและหลานชายคนเล็กคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จะมีก็แต่ศิธาพัฒน์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำจนพ่อและแม่อดเป็นห่สวงไม่ได้


“ทำไมอยังไม่เข้าบ้านอีกล่ะลูก เป็นอะไรหรือเปล่า” 


ศิลป์นั่งลงข้าง ๆ พลางโอบไหล่ลูกชายเอาไว้


“เปล่าครับพ่อ ผมแค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”


“คิดเรื่องสองพ่อลูกนั่นน่ะเหรอ”


“นั่นก็เรื่องหนึ่งครับ”


“แล้วมีเรื่องอะไรอีก เล่าให้พ่อฟังได้นะ”


ลูกชายคนรองมองพ่ออย่างตัดสินใจ เขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตัวเขาที่เป็นลูกชายคนรองที่เป็นความหวังของครอบครัว ยิ่งเมื่อศิตางค์กำลังลังจะออกไปมีครอบครัว ภาระหนักอึ้งก็ดูเหมือนจะมาตกอยู่ที่เขาเป็นลำดับถัดมา อีกหน่อยย่าคงหาใครต่อใครมาให้ดูตัวเหมือนสมัยที่พ่อยังเป็นหนุ่ม ทั้งที่เชื่อมั่นในความอดทนของตนเองแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะสามารถฟันฝ่ามันไปเหมือนกับที่พ่อเคยทำได้ไหม






“พ่อเคยตกหลุมรักคน ๆ เดียวซ้ำไปซ้ำมาบ้างไหมครับ ผมคิดว่าผมกำลังเป็นแบบนั้นอยู่”







‘ศิลป์ กษิศภูมิ’ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้กลับมาที่ลำปางอีกครั้งเพียงเพราะประโยคสั้น ๆ ประโยคนั้นของลูกชาย ชายวัยกลางคนลอบมองผู้เป็นแม่ที่นั่งหน้าตึงมาตั้งแต่ที่เครื่องบินออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจนกระทั่งเครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานลำปาง เข้าใจหัวอกคนเป็นย่าดี เธอคงจะช็อกอยู่ไม่น้อยที่ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากของหลานชายหัวแก้วหัวแขวน เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่เหมือนกันในครั้งแรกที่ได้ยิน



เทศกาลปีใหม่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความสุขเอาไว้ตามบ้านเรือนและถนนหนทางที่ดูเปลี่ยนแปลงไปจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม อดีตพนักงานไปรษณีย์มองออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถเช่า อาคารโบราณบางหลังยังชวนให้หวนนึกถึงคืนวันเก่า ๆ ยิ่งรถห่างออกจากตัวเมืองมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความหวานหอมของอดีต ศิธาพัฒน์มองหญิงชราใบหน้านิ่งเฉยผ่านกระจกมองหลัง เธอแทบจะไม่พูดอะไรกับเขาเลยตั้งแต่วันที่เธอได้รู้จัก ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ จากปากของเขา



ไม่นานนักรถเช่าคันเก่าก็เคลื่อนเข้าสู่อาณาบริเวณที่แสนกว้างใหญ่ของไร่แสงดาว ที่นั่นศิลป์ได้พบกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนานเหลือเกินนับตั้งแต่ที่เขาย้ายครอบครัวกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ‘ตรัย ตติยพัฒน์’ ยังคงสง่างามน่าเกรงขามสมกับเป็นนายใหญ่ของลูกน้องนับร้อย ทั้งที่ความทรงจำระหว่างคนสองคนจะเป็นการแข่งขันกันเพื่อหญิงสาวเพียงหนึ่งคน แต่สุดท้ายผลของการแข่งขันนั้นก็ไม่ได้จบลงที่ความบาดหมาง แม้ต่างฝ่ายจะไม่เคยพูดถึงกันและกันให้คนรุ่นลูกฟังเลยก็ตาม



“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบนายอีก ตอนที่เจ้าปุ่นเล่าให้ฟังก็ยังแปลกใจไม่หาย”


พ่อเลี้ยงตรัยคลี่ยิ้มพลางมองสำรวจคู่สนทนา ‘ศิลป์’ ยังคงเค้าของความหล่อเหลาเหมือนสมัยหนุ่มไม่มีผิด ส่วนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับคุณย่าของเขานั้นก็ช่างถอดแบบจากผู้เป็นพ่อมาได้อย่างครบถ้วนกระบวนความเสียเหลือเกิน


“ตอนที่เห็นปุ่นครั้งแรกฉันก็รู้สึกว่าคุ้นโครงหน้าแบบนี้จริง ๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เจอลูกของเพื่อนเก่าที่นี่”


‘เพื่อนเก่า’ คำนี้ของพ่อเลี้ยงตรัยชวนให้ประทับใจคนฟังนัก อดีตพนักงานไปรษณีย์หัวเราะพลางสบตาลูกชายแวบหนึ่งก่อนจะเข้าประเด็นเมื่อได้จังหวะ


“เจ้าปุ่นเล่าให้ฟังว่านายมีลูกชายสองคน แล้วนี่พวกเด็ก ๆ ไปไหนกันหมดล่ะ” ดวงตาคมกริบภายใต้กระจกแว่นตาสีชามองหนุ่มน้อยที่ยกถาดน้ำเข้ามาเสิร์ฟ พิจารณาจากผิวพรรณแล้วไม่น่าจะเป็นลูกคนงานหรือเด็กรับใช้ในบ้านอย่างแน่นอน


“เจ้าเต็ม ลูกชายคนโตเอาของไปส่งในเมืองน่ะ ส่วนนี่เจ้าตามลูกชายคนเล็ก” สิ้นเสียงผู้เป็นพ่อเด็กชายร่างเล็กก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนในที่นั้นก่อนจะยิ้มให้ศิธาพัฒน์อย่างคุ้นเคยจากนั้นก็เดินถือถาดหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง


“อืม เสียดายนะที่คุณนวลเขาไม่ได้มาด้วย พอดีมีนัดตรวจสุขภาพน่ะ เลื่อนหมอมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคราวไปงานรับปริญญาเจ้าปุ้น ว่าแต่เจ้าปุ่นมันมารบกวนหรือเปล่า”


“ไม่เลย ดีเสียด้วยซ้ำบ้านจะได้ครึกครื้น เจ้าตามก็บ่นถึงแต่พี่ปุ่น ๆ ทุกวัน”


“เจ้าปุ่นมาบ่อยเหรอ”


“ก็ถ้าเจ้าเต็มมันเป็นผู้หญิง ฉันคงจะคิดว่าลูกชายนายมาจีบลูกฉันแล้วละ” พ่อเลี้ยงตรัยพูดติดตลก


“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ....ผมหมายถึงถ้าผมจีบลูกชายคุณลุงจริง ๆ คุณลงจะว่ายังไงครับ” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นทำเอาคนเป็นพ่อถึงกับเบิกตากว้างแต่ไม่ช้าใบหน้านั้นก็กลับนิ่งเรียบเป็นปกติดังเดิม


“เธอแน่ใจแล้วเหรอที่พูดมาน่ะ"


“ผมแน่ใจครับ”


“ที่ฉันมาวันนี้นอกจากจะมาเยี่ยมเพื่อนเก่าก็กะว่าจะมาคุยเรื่องนี้กับนาย ตอนที่เจ้าปุ่นมันไปบอกฉันกับคุณนวลก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว”


“ฉันเองก็คงตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอกนะ เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่เจ้าเต็มมัน”


ศิลป์พยักหน้าอย่างเข้าใจ อย่างน้อยวันนี้เขาก็ได้ทำหน้าที่ที่พ่อควรจะทำอย่างดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็คงปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเด็กสองคนก็แล้วกัน ลูกชายสบตาผู้เป็นแม่ที่นั่งทำหน้าปั้นยากอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งที่สอง แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักแต่คุณนายยุพาก็ไม่วายขอตามมาด้วย ที่มาก็เพื่อจะมาเห็นเด็กหนุ่มที่หลานชายพูดถึงด้วยตาตัวเอง อยากจะรู้เหลือเกินว่าทำไมศิธาพัฒน์จึงกล้าพูดว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับผู้ชายทุกคนบนโลก ถ้าคนนั้นไม่ใช่ ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’




....



สวัสดีค่ะ ตอนที่ 15 แล้วนะคะ ตอนนี้นอกจากพี่ไปรฯ จะชักช้า (ตามประสาคนสุขุม)

แล้วยังทำอะไรแบบมีกระบวนการด้วยนะเออ เอาเข้าไป (555 สงสัย 20 ตอนเอาไม่อยู่)

เชียร์คุณย่า คุณย่าสู้ ๆ

ปล.ถ้ายังจำกันได้ จะเห็นว่าคุณลุงทหารแกกลับมาอีกแล้วนะคะ

คอยดูว่าลุงแกจะมาสร้างความปั่นป่วนอะไรบ้าง

ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนต์ค่ะ ^^

ตอนนี้เขียนยันเช้า ยังไม่ได้ทวนคำผิด ต้องขออภัยค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2014 10:11:45 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
พี่ปุ่นของน้องเต็มช่างดีเหลือเกินนนนนนนนนนน :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ไม่ค่อยชอบบ้านวรารักษ์เลย อยากจะดองกับบ้านของพี่ปุ่น

แต่ทำไมถึงต้องดูถูกอาชีพคนอื่นด้วย แถมยังเหตุผลที่พรีมบอกเลิกพี่ปุ่นอีก

อ่านแรกๆนึกว่าพ่อของพรีมจะเป็นคนเดียวแต่ไหงพรีมเป็นด้วย

ไม่เชียร์พี่ปุ่นกับพรีมนะจ้ะ ชอบที่พี่ปุ่นตอกกลับไปมากเลย

และดีใจที่พี่ปุ่นยอมรับตัวเองด้วย แล้วยังบอกผู้ใหญ่ในบ้านอีก

แต่ก็แอบกลัวว่าเต็มฟ้าจะห่างออกไปเพราะตอนนี้เต็มยังดูนิ่งอยู่เลย

รออ่านตอนต่อไปนะ พี่ปุ่นจะบอกเต็มหรือเปล่าว่าจะจีบ ลุ้น :a2:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
เรื่องราวน่าติดตามเริ่มมีตัวป่วนเพิ่มมาอีกหลายคน

และเรื่องยุ่งๆมันจะตามมาด้วยมั้ย!! :3123:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ปุ่นมีจุดยืนของตัวเอง กล้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง
รู้สึกดีที่พี่ปุ่นเป็นคนแบบนี้

รอเต็มกลับมา เต็มจะว่ายังไงนะ

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ชอบพี่ปุ่นจัง กำหนดชีวิตตัวเอง

ปุ่นเต็มๆๆๆๆน่ารักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มัดมือชกซะแล้ว พี่ปุ่น ไม่กลัวเด็กแสบหรือไงนะ  :z1:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
ที่จริงเต็มก็รู้สึกแปลกๆ กับพี่ปุ่นบ้างแล้วนะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด