ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้
20.10 คือเวลาที่รถด่วนพิเศษขบวนที่ 2 หรือพนักงานขายตั๋วเรียกว่า ‘ด่วนนครพิงค์’ เข้าจอดเทียบชานชาลาสถานีรถไฟนครลำปาง ศิธาพัฒน์สะพายเป้ขึ้นหลังก่อนจะลุกขึ้นโบกมือลาคนมาส่ง เมื่อก้าวขึ้นไปบนขบวนรถ เขาก็พบว่าบนขบวนมีผู้โดยสารค่อนข้างบางตา ชายหนุ่มกางตั๋วในมือออกดูหมายเลขระหว่างเดินไปตามทางแคบ ๆ ที่ขั้นกลางระหว่างที่นั่ง ในที่สุดเขาก็หย่อนตัวลงนั่งที่ที่นั่งฝั่งเดียวกับสถานีพลางมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างติดฟิล์มทึบและพบว่าเต็มฟ้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาชวนมองคู่นั้นทอดมองไปตามความยาวของขบวนรถ จนเขาเองนึกอยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“น้องชายมาส่งหรือจ๊ะ”
เสียงของหญิงวัยกลางคนในที่นั่งฝั่งตรงข้ามดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้าในขณะที่ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลา ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธการคาดเดาของเธอ แต่ในใจก็ยังยืนยันว่าไม่ได้อยากเป็นพี่ของน้องชายคนนี้อย่างแน่นอน
“น้องชายหน้าตาน่ารักจัง”
“ครับ” ศิธาพัฒน์ตอบด้วยรอยยิ้ม นี่คงเป็นการเริ่มต้นของสี่สิ่งที่คนนั่งรถไฟเห็นแต่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็นตามทฤษฎีของไอ้เด็กแสบสินะ
“คุณป้ามาคนเดียวเหรอครับ”
“ป้ามากับลูกชาย ลูกสะใภ้แล้วก็หลานน่ะ นี่กำลังจะไปนครสวรรค์กัน พอดีลูกสาวคนสุดท้องกำลังจะคลอด”
คนฟังรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียดทั้งที่ก็เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
“แล้วพ่อหนุ่มล่ะจ๊ะจะไปไหน”
“กรุงเทพฯ ครับ...” ยังไม่ทันที่ศิธาพัฒน์จะได้พูดถึงรายละเอียด เด็กหญิงในชุดกระโปรงก็กระโดดแผล็วลงจากที่นั่งอีกฝั่งก่อนจะวิ่งเข้ามาเกาะที่ตักของคู่สนทนาของเขาเสียก่อน
มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตบลงเบา ๆ ที่ก้นโด่ง ๆ ซึ่งกำลังส่ายไปส่ายไปมา จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตัก เมื่อเส้นผมสีดำสนิทที่ล้อมกรอบใบหน้าถูกจับทัดหูยิ่งทำให้เห็นแก้มยุ้ยของเธอชัดเจนยิ่งขึ้น ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มพร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ ราวกับกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว ดวงตากลมโตมองนิ้วหัวแม่มือป้อม ๆ ของตัวเองที่เกี่ยวไขว้กันในขณะที่นิ้วที่เหลือนั้นขยับพร้อมกันช้า ๆ ดูแล้วเหมือนนกน้อยที่กำลังบินถลาเล่นลม
“คุณยาย คุณยาย ท้องฟ้าอยากให้คุณยาย คุณยาย เล่าเรื่องนกกระจาบให้ฟัง”
“เดี๋ยวสิลูก เอาไว้คุณพนักงานรถไฟเขามากางเตียงให้ก่อนแล้วยายจะไปเล่าให้หนูฟังนะลูก”
“จริง ๆ นะคะคุณยาย คุณยาย”
คุณยายได้แต่เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งที่คล้องเอวเล็กเอาไว้เลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะหลานสาวเบา ๆ ก่อนจะหันมาสบตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ แต่ศิธาพัฒน์ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมทั้งยายและหลานเอาไว้ นึกขอบคุณใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากลองนั่งรถไฟก็เลยได้เห็นในสิ่งที่คนนั่งเครื่องบินเช่นเขาไม่เคยได้เห็น
....
เต็มฟ้ายืนมองเจ้าแข็งแรงที่กำลังนอนขดอยู่ใต้ต้นส้มจากระเบียงหลังบ้าน คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นคนงานจึงพากันออกมานั่งล้อมวงผิงไฟที่ลานกว้าง เจ้าหมาน้อยก็เลยพลอยได้อุ่นไปกับเขาด้วย คิดเอาไว้ว่าหากวันต่อ ๆ ไปอุณหภูมิยังคงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องคงจะต้องหาที่อยู่อุ่น ๆ ให้มันเสียหน่อย มือเย็นถูกันไปมาก่อนจะยกป้องปากเป่าลมร้อนจากร่างกายเพื่อให้คลายความหนาว อาการปวดหน่วง ๆ ที่หัวเข่าดูเหมือนจะทุเลาลงด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดผิดกับเมื่อตอนหัวค่ำที่เจ็บเสียจนคนเกลียดการกินยาทนไม่ไหวต้องแวะไปที่คลีนิกรักษาโรคทั่วไปของนายแพทย์กิตติวุฒิซึ่งเป็นคุณพ่อของยะหยา หลังจากตรวจดูบาดแผลแล้วเห็นว่าไม่กระทบกระเทือนถึงกระดูกคุณหมอจึงสั่งยาให้กลับมารับประทานถุงใหญ่ กระแทกลงไปเสียแรงขนาดนั้นดีแค่ไหนแล้วที่กระดูกไม่แตก เจ็บก็เจ็บแต่พอนึกถึงหน้าซีด ๆ ของศิธาพัฒน์ตอนที่เห็นเลือดแล้วยังขำไม่หาย ที่สำคัญคือยังจะถามมาได้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า คิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
“บ้าเอ๊ย! จะไปนึกถึงทำไมกัน”
“พี่เต็มพูดกับใครเหรอฮะ”
เสียงของน้องชายที่ดังขึ้นใกล้เล่นเอาใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เล่นมาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง
“ปละ เปล่านี่ พี่ไม่ได้พูดอะไรเลย” พี่ชายยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แต่ตามได้ยินนี่นา” ตามตะวันหันซ้ายหันขวาอย่างหวาด ๆ บรรยากาศข้างนอกนี่ก็ช่างเงียบสงัดชวนขนหัวลุกเหลือเกิน
“ผะ...ผีหลอกแล้ว” พูดจบเต็มฟ้าก็วิ่งแบบลืมเจ็บกลับเข้าไปในบ้านจัดการปิดประตูลงกลอนแกล้งน้องชายที่กำลังวิ่งตามมา เสียงทุบกระจกทำเอาพ่อเลี้ยงตรัยที่กำลังนั่งดูข่าวภาคดึกต้องหันกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นก็คือพี่ชายใจร้ายที่ยืนหัวเราะน้องชายที่ทุบกระจกส่งเสียงร้องโหวกเหวกให้เปิดประตูให้อยู่นอกระเบียง ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พักหลัง ๆ ภาพเหล่านี้ดูจะกลายเป็นภาพชินตาที่เกิดขึ้นในบ้าน จากบ้านที่เคยเงียบสงบกลับมีแต่เสียหัวเราะ
“เต็ม” เสียงขรึม ๆ ของพ่อทำให้พี่ชายที่กำลังหัวเราะร่วนต้องหยุดราวกับเหยียบเบรก เต็มฟ้าอมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือดึงกลอนลง ทันทีที่ประตูเปิดออกร่างเล็กของตามตะวันก็โถมเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็น ๆ ร่างเล็กของหนุ่มน้อยโถมเข้าหาพี่ชายปากก็ต่อว่าไปด้วย
“พี่เต็มน่ะ แกล้งตามอีกแล้ว” พูดไปมือก็กวัดแกว่งไปมาแต่เพราะมือบางของอีกฝ่ายที่ดันศีรษะเอาไว้ทำให้เขาคว้าได้แต่เพียงอากาศเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ อะไร ๆ คิดจะหือเหรอ”
“ปล่อย ๆๆๆๆ”
“ไม่ปล่อย ยังไงแกก็ไม่สามารถครองโลกได้หรอกไอ้ปีศาจเปลือกส้ม” พูดจบเต็มฟ้าก็จับการล็อกคอน้องชายก่อนจะลากกันไปยังที่นอนตุ๊กตาแมวหุ่นหนต์ที่อยู่ไม่ไกลจากโซฟา
“ปีศาจเปลือกส้มอะไรเล่า” ตามตะวันบ่นอุบก่อนที่จะถูกเหวี่ยงลงไปกับที่นอน
“แบบนี้ต้องเจอท่าไม้ตายของยอดมนุษย์”
เด็กชายร่างเล็กรู้ดีว่า ‘ท่าไม้ตาย’ ที่ว่าคืออะไรจึงรีบเบี่ยงตัวหลบร่างสูงของพี่ชายที่กำลังจะล้มลงมาทับทันที หนุ่มน้อยยันตัวลุกขึ้นนั่งหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นหน้าตาเหยแกของอีกฝ่าย
“หัวเราะพี่เหรอ มานี่เลย” มือของพี่รวบข้อมือเล็กให้น้องล้มทับมาบนตัวเองก่อนจะจัดการขั้นเด็ดขาดจนโดยการจี้ที่เอวหนุ่มน้อยหัวเราะคิก
“ยอมแพ้หรือยัง”
“ไม่ยอม” ตามตะวันกล่าวทั้งที่ยังหัวเราะ โดยแกล้งแล้วสนุกแบบนี้ใครจะยอมแพ้ง่าย ๆ
“เดี๋ยวน้องก็หายใจไม่ทันกันพอดี” ผู้เป็นพ่อปราม
“เฮ่ย! นี่แกพานายใหญ่ของแกมาด้วยเหรอไอ้ปีศาจเปลือกส้ม แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะกลัวนายใหญ่ของแก” นิ้วเรียวยังคงขยับยุกยิกอยู่ที่เอวของอีกฝ่ายโดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดง่าย ๆ
พ่อเลี้ยงตรัยหัวเราะพลางปาหมอนที่วางอยู่ข้างตัวใส่ไอ้ยอดมนุษย์ตัวแสบแต่มีหรือที่ยอดมนุษย์จบหลบไม่ทัน
“พี่เต็ม!!! ตามจั๊กจี้ พอแล้ว ๆ ตามยอมแพ้แล้ว”
“ฮ่า ๆ และแล้วโลกก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง”
“เออ นอกจากโลกจะกลับมาสงบสุขแล้วพ่อก็กลับมาสบายหูด้วย จะดูข่าวเลยไม่ได้ดูกันเลย” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวในขณะที่ลูกชายสองคนยังคงหัวเราะร่วน
ตรัยกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับนมอุ่น ๆ สองแก้วจากแม่วัวในไร่ที่คนงานรีดแบ่งมาให้ก่อนจะส่งขาย
“ดื่มนมแล้วก็เตนียมเข้านอนได้แล้ว เจ้าเต็มแกก็แกล้งน้องไม่ได้ดูสังขารตัวเองเลย”
“โธ่พ่อ เต็มไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“เดี้ยงขนาดนี้ยังจะบอกไม่เป็นไร เอ้า ๆ ระวัง ๆ” พ่อเลี้ยงตรัยมองลูกชายที่เดินกระเผลกมานั่งลงข้าง ๆ พลางส่ายศีรษะ
“พี่เต็ม คืนนี้ตามไปนอนห้องพี่เต็มได้ไหมฮะ” ตามตะวันกล่าวหลังจากวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ คราบนมที่ติดอยู่ที่ขอบปากทำเอาพี่ชายอดยิ้มไม่ได้
“ได้สิ แต่ต้องไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ พี่ไม่อยากนอนกับเด็กมีหนวดน่ะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นน้องชายก็ยิ้มแฉ่งลุกขึ้นไปจัดการตัวเองตามที่พี่ชายบอกอย่างกระตือรือร้น คืนนี้บานเลื่อนบานใหญ่ที่ทำจากไม้จึงถูกเปิดออกเหลือเพียงบานเลื่อนกระจก ตำแหน่งของมันอยู่ตรงกับตำแหน่งของเตียงนอน ซึ่งเจ้าของห้องมักจะนอนมองออกไปในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
“ดาวสวยจัง” เด็กชายตัวเล็กกว่าเมื่อหัวถึงหมอน
“ถ้าตามชอบ เราแลกห้องนอนกันไหมล่ะ” พี่ชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ กล่าว
“ไม่เอาฮะ พ่อบอกว่าห้องนี้พ่อกับแม่ทำไว้ให้สำหรับพี่เต็ม”
“แต่พี่ยกให้ตามได้นี่” พูดพลางวางมือลงบนหน้าเล็ก ๆ “เอาไหม”
ตามตะวันยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เอาฮะ มานอนกับพี่เต็มแบบนี้ดีกว่า”
เต็มฟ้ายิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนมองออกไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทอประกายระยิบระยับ ความเงียบโอบล้อมสองร่างที่นอนอยู่เคียงข้างกันเอาไว้ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่เจ้าของห้องจะเคลิ้มหลับเสียงของคนที่นอนข้าง ๆ กันก็ปลุกให้ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“พี่เต็ม”
“หืม?”
“แม่ใจดีไหมฮะ”
“ถามทำไมเหรอ”
“ตามอยากรู้ว่าแม่ใจดีไหม เสียงของแม่เป็นยังไง มือของแม่นุ่มหรือปล่า อยากให้พี่เต็มเล่าให้ฟัง”
เต็มฟ้าเหลียวมองน้องชายที่ตอนนี้จ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง นึกถึงตักอุ่น ๆ ที่เคยหนุนนอน มือนุ่ม ๆ ที่ลูบลงมาบนเส้นผม เสียงฮัมเพลงเบา ๆ และกลิ่นหอม ๆ จากครีมทาผิวที่แม่ชอบใช้ หากคืนไหนที่ฝนตกแม่จะมานอนอยู่ข้าง ๆ และกอดเขาเอาไว้แน่น ม่านหน้าต่างถูกปิดจนแสงแปลบปลาบไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ แม้จะยังได้ยินเสียงคำรามของท้องฟ้าแต่เสียงของแม่ที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูก็ทำให้ลืมความกลัวและหลับลงอย่างง่ายดาย
“แม่ของเราเป็นคนสวยแล้วก็ใจดีมาก ส่วนมือของแม่ก็นิ่มที่สุด ตัวแม่หอมเวลาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ พี่รู้สึกว่ามันอุ่นสุด ๆ เลยละ”
“พ่อบอกว่าแม่ของเราขึ้นไปเป็นดาวอยู่บนท้องฟ้า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ตามว่าแม่ต้องเป็นดาวที่สวยที่สุดแน่ ๆ พี่เต็มคิดอย่างนั้นไหม”
“อืม”
“ตามอยากกอดแม่บ้างจัง อยากได้ยินเสียง....”
“มานอนกับพี่นี่มา” พูดจบแขนแกร่งก็กางออกสอดลงใต้ร่างเล็ก ๆ ที่ขยับเข้ามาหาอย่างว่าง่าย ตามตะวันนอนลงบนบ่ากว้างรู้สึกได้ถึงมือนุ่ม ๆ ของพี่ชายที่ประคองศีรษะของตนเองเอาไว้ เด็กชายค่อย ๆ หลับตาสูดกลิ่นหอม ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
.....
“ตื่นแล้วเหรอครับท่าน แหม..นั่งรถไฟกลับบ้านถึงกับสลบ”
น้ำเสียงยียวนกวนประสาททำเอาคนที่กำลังเดินงัวเงียลงบันไดมาตาสว่างทันที เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหนที่แท้ก็ ‘ศิลา กษิศภูมิ’ ว่าที่เภสัชกรหนุ่มหล่อน้องชายคนสุดท้องของบ้านนั่นเอง
“เจอหน้าก็กวนประสาทเลยนะไอ้น้อง”
“เห็นแม่บอกว่านั่งรถไฟกลับมาเหรอ ทำไมถึงแล้วไม่โทร.บอก ปุ้นจะได้ไปรอรับ”
“จากสถานีหลักสี่มาบ้านแค่นี้ นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้ แล้วนี่คนอื่นไปไหนกันหมด”
“พ่อกับแม่พาย่าไปดูผ้าตัดเสื้อน่ะ บ่าย ๆ คงกลับ”
คนฟังกดยิ้มที่มุมปากนึกถงึย่าที่มักจะบอกว่าไม่เห่อ ไม่ตื่นเต้นกับวันสำคัญของหลาน ๆ แต่ก็เตรียมหาผ้าตัดชุดใหม่หรือไม่ก็ออกไปทำผมเสียจนสวยพริ้งทุกครั้งไป
“แล้วแกล่ะทำอะไรอยู่” ศิธาพัฒน์เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟามองน้องชายที่ยังคงง่วนอยู่กับการจดบางอย่างลงในสมุด
“อ่านหนังสือ”
“อะไรกัน นี่เรียนจบแล้วยังจะต้องอ่านอะไรกันอีก”
ชายหนุ่มผิวเข้มขยับแว่นสายตาพลางเกาศีรษะแกรก ๆ “พี่ปุ่นนี่ขี้บ่นไม่เปลี่ยนเลย ปุ้นยังเหลือสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมอีกนะพี่ปุ่น ถ้าสอบไม่ได้พี่จะไม่ได้กลับมาคอยโบกรถที่หน้าร้านขายยาของปุ้นนะ”
“หล่อ ๆ อย่างนี้ให้แค่โบกรถเนี่ยนะ”
“คุณค่าที่คุณคู่ควรไง”
“กวนเบื้องล่างตลอด” พี่ชายส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เมื่อเช้าตอนที่มาถึงไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลง คุยกับพี่สาว พ่อแม่ และย่าได้เพียงไม่กี่คำก็ขอตัวขึ้นไปนอนเพราะรู้สึกง่วงเหลือเกินกว่าจะตื่นอีกทีก็เกือบเที่ยง ทุกอย่างในบ้านดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนัก จะมีก็แต่สีที่ถูกทาใหม่ตามที่แม่เคยโทร.ไปเล่าให้ฟังก็เท่านั้น
“หิวหรือเปล่า เดี๋ยวปุ้นทำอะไรให้กิน”
“แกทำอะไรได้บ้างนอกจากต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”
“อ้าว ๆ อย่าดูถูกเด็กหอนะครับ จะกินอะไรว่ามาเลยดีกว่า”
“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่เป็นไง”
“ข้าวไข่เจียวแล้วกัน”
ศิธาพัฒน์มองค้อน “มีต่อรอง ๆ รีบ ๆ ไปทำไป จะทำอะไรก็ทำ หิวแล้ว”
“คร้าบบบบบบบ รอสักครู่นะครับ” พูดจบศิลาก็ถอดแว่นวางทับลงบนหนังสือก่อนจะกระโดดลงจากโซฟาวิ่งหายเข้าไปในครัว แม้กาลเวลาจะให้ให้เขาเติบโตขึ้นแต่ในสายตาของคนเป็นพี่แล้ว ‘เจ้าปุ้น’ ก็ยังคงเป็นน้องชายจอมทะเล้นเสมอ
ได้ยินเสียงโครมครามที่ดังจากในครัวแล้วให้คนที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟารู้สึกหวั่น ๆ ในใจ ศิธาพัฒน์ลุกขึ้นนั่งพลางชะเง้อมองดูความเคลื่อนไหว เมื่อเริ่มได้กลิ่นหอม ๆ ของไข่เจียวแล้วค่อยคลายใจ ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ แต่แล้วจานข้าวสวยที่มีไข่เจียวสีเหลืองทองโปะอยู่กือบเต็มจานก็ทำให้ต้องละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพ่อครัวหน้าตามอมแมมที่นั่งลงยิ้มอยู่ไม่ห่าง
“กินได้จริงหรือเปล่าเนี่ย แค่ทอดไข่ทำไมมันโครมครามอย่างกับจะซ่อมบ้าน”
“ลอง ชิม แล้ว จะติดใจ” ศิลาเน้นทีละคำจนน่าหมั่นไส้
“แล้วแกล่ะไม่กินเหรอ”
“พี่ปุ่นกินก่อนเลย ปุ้นเป็นน้อง เรื่องแค่นี้เสียสละได้”
ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ทันทีที่ไข่เจียวสัมผัสลิ้นก็นึกชมน้องชายอยู่ในใจว่าเห็นท่าทางแบบนี้ก็มีฝีมือในการทำอาหารอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่อดตายเพราะมีข้าวไข่เจียวประทังชีวิต
“ให้พี่ปุ่นกินก่อนเลย ถ้าพี่ปุ่นกินแล้วไม่เป็นอะไร ปุ้นจะไปทำกินบ้าง”
สิ้นเสียงน้องชายศิธาพัฒน์ก็แทบจะพ่นข้าวออกจากปาก นี่มันเรียกว่าเสียสละยังไงกัน
“อ่ะ ๆ น้ำ ๆ เดี๋ยวติดคอ” หนุ่มหน้าทะเล้นรีบส่งแก้วน้ำให้พี่ชายทันที
“แค่ก ๆ นี่แกเสียสละ แค่ก...แค่ก ๆ ยังไงวะ”
“ก็เสียสละให้พี่ตายก่อนไง” พูดจบน้องชายก็ระเบิดหัวเราะลั่นบ้าน ศิธาพัฒน์มองคนตรงหน้าพลางนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อกี้ตอนที่กำลังเลื่อนหาเบอร์ดทรศัพท์ก็คิดอยู่ว่าจะโทร.ไปดีหรือไม่
“จะโทร.ไปรายงานตัวเหรอ” ศิลาเอ่ยขึ้นขณะยืดคอมองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้
‘คนดี’ดวงตาคมกริบมองตามสายตาของน้องชายก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาปิดหน้าจอลงทันที “รายงานตัวอะไรกัน” พูดจบก็ลงมือกินอาหารต่อเงียบ ๆ
“เขากลับมาแล้วนะ พี่ไม่รู้เหรอ เมื่อวันก่อนปุ้นพาย่าไปบ้านเขามา เห็นลุงยุทธ์บอกว่าพี่พรีมกลับมาแล้ว ตอนนี้เข้าไปทำงานในบริษัทเก่าที่พี่ปุ้นเคยทำอยู่นั่นแหละ”
“อืม ก็เขาได้ทุนบริษัทไปก็ต้องกลับมาทำที่นั่นอยู่แล้ว”
“แล้วนี่ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า”
“เปล่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ลุกขึ้นถือจานไปล้างในครัวทิ้งให้น้องชายมองตามด้วยความเป็นห่วง
“พี่ปุ่นยังรักพี่พรีมอยู่หรือเปล่า”
คำถามของศิลาทำเอาชะงักไปชั่วขณะ มือใหญ่วางจานที่ล้างเรียบร้อยแล้วลงบนตะแกรงพักก่อนจะหันมาตอบคำถาม
“ไม่แล้ว มันจบไปตั้งนานแล้ว”
“อืม...แต่ย่ากับลุงยุทธ์ไม่น่าจะคิดแบบนั้นนะ ปุ้นเห็นเขาคุยกันเหมือนจะเชียร์ให้พี่สองคนกลับมาคบกันอีก”
“เชียร์ก็ไม่ขึ้นหรอก ป่านนี้พรีมเองก็คงมีใครไปแล้วละ”
“แล้วพี่ล่ะ มีใครแล้วหรือยัง”
“อยากรู้เหรอ” ศิธาพัฒน์ยิ้มที่มุมปาก มองหน้าน้องชายที่กำลังพยักหน้าตาวาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ ทำท่าเหมือนจะกระซิบแต่สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดตบท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังคันยุบยิบในหัวใจ
“ไม่ บอก เว้ย!”
“โห! อะไรวะพี่ปุ่น พูดให้อยากแล้วจากไป” ศิลาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่ชายที่เดินผิวปากออกจากครัวไปอย่างอารมณ์ดี แบบนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วกระมังเรื่องถ่านไฟกงถ่านไฟเก่าที่จะย้อนกลับมาเผาให้ไม่ใครก็ใครต้องเจ็บปวด
....
ด้วยแรงหมุนของเครื่องหมุนขึ้นรูปและสองมือที่คอยประคองก็ทำให้ดินก้อนเล็ก ๆ กลายเป็นภาชนะทรงสูงที่มีความโค้งเว้าสวยงาม ดวงตาสีเข้มจ้องมองมันอย่างพอใจก่อนจะใช้เอ็นเส้นเล็ก ๆ ตัดให้ฐานแจกันหลุดออกจากฐานโลหะทรงกลม เต็มฟ้าใช้เวลาตลอดบ่ายในการสร้างชิ้นงานต้นแบบบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์สปาตามที่ได้ออกแบบไว้หลังจากมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนของน้าเดือนที่กำลังจะร่วมลงทุนกับสามีทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สปาในจังหวัดเชียงรายเนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนท้องถิ่นอยู่ในขณะนี้
ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าสุนัขขนยาวที่ลุกขึ้นเห่าทุกครั้งเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนบนโต๊ะเขียนสั่นครืดคราดก่อนจะส่งเสียงปรามมันเป็นระยะ เมื่อได้ลงมือทำงานที่รักจนเพลินหนุ่มอารมณ์ศิลปินอย่างเต็มฟ้าก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาขึ้นรูปดินตามแบบที่วางอยู่ข้าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายบ้างแล้วก็กลับมานั่งในตำแหน่งเดิม จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปท้องที่เริ่มร้องโครกครากเตือนให้รู้ว่าควรจะกลับบ้านเสียที ดังนั้นเต็มฟ้าจึงจัดการล้างไม้ล้างมือแล้วจึงพาเจ้าแข็งแรงกลับบ้าน
บรรยากาศมื้อเย็นของบ้าน ‘กษิศภูมิ’ ดูชื่นมื่นเป็นพิเศษเนื่องจากสมาชิกในบ้านอยู่กันครบ ทั้งคุณย่า พ่อแม่และบรรดาหลาน ๆ ทั้งสามรวมถึงว่าที่หลานเขยร่างใหญ่โตอย่าง ‘นราวิช’ ที่เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพซึ่งมีโครงการจะแต่งงานกับศิตางต์ในช่วงกลางปีหน้า เนื่องจากเป็นคนคุยสนุกเขาจึงสามารถเข้ากับน้องชายทั้งสองของเธอโดยเฉพาะหนุ่มน้อยอารมณ์ดีอย่างศิลาได้ไม่ยาก แต่กว่าจะฝ่าด่านคุณย่ามาได้ก็ถึงกับหืดขึ้นคอตามที่นราวิชเคยรำลึกความหลังอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน
“เสียดายจังที่พ่อวิชไม่ได้ไปงานรับปริญญาเจ้าปุ้นด้วยกัน” คุณนายยุพาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น
“ผมก็เสียดายเหมือนกันครับคุณย่า เลยอดให้น้องปุ้นพาเที่ยวสงขลาเลย เพิ่งรู้ตัวว่าต้องไปประชุมแทนคณบดี” หนุ่มร่างใหญ่กล่าวพลางเอื้อมตักอาหารใส่จานให้คนรักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
“ไว้ช่วงไหนว่าง ๆ พวกเราหาเวลาไปพักผ่อนกันสักทีก็ได้นี่ ไปช่วงรับปริญญาจะไปไหนมาไหรคงไม่สะดวกเท่าไร คนคงมหาศาล” ชายวัยกลางคนหน้าตาคมคายที่นั่งถัดจากผู้อาวุโสที่หัวโต๊ะกล่าวก่อนจะหันไปหาลูกชายคนเล็ก “หรือลูกว่าไงปุ้น”
“คนเยอะจริงพ่อ ตอนนี้เห็นเพื่อน ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดบอกว่าทั้งโรงแรมแล้วก็หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยถูกจองเต็มหมดแล้ว ดีนะที่ปุ้นจองไว้ให้บ้านเราตั้งแต่ต้นปี ไม่งั้นคงลำบาก”
“แล้วนี่จองตั๋วเครื่องบินหรือยัง”
“ยังเลยพ่อ”
“ไปรถไฟกันบ้างไหมครับ” ข้อเสนอของศิธาพัฒน์ทำเอาทั้งโต๊ะมองมาที่เขาเป็นตาเดียว
“นึกยังไงจะไปรถไฟ” หญิงชราหัวโต๊ะมองรอดแว่นด้วยความสงสัย
“ก็เปลี่ยนบรรยากาศไงครับ นั่งเครื่องบินบ่อยแล้ว เผื่อว่าจะได้เห็นอะไรแบบที่คนนั่งเครื่องบินไม่เคยเห็น”
“อืม...พ่อว่าก็น่าสนใจนะ ไม่ได้นั่งรถไฟนานแล้วตั้งแต่ย้ายกลับมาจากลำปาง” ศิลป์หันไปยิ้มให้ภรรยา พอพูดถึงลำปางทีไรความทรงจำแสนหวานก็ย้อนกลับมาให้หวนนึกถึงอยู่ร่ำไป
“อะแฮ่ม!” กระแอมของลูกสาวทำเอาผู้เป็นพ่อหุบยิ้มแทบไม่ทัน “หวานกันไม่เกรงใจลูกเลยนะคะ”
“แกอิจฉาแกก็รีบแต่งเร็วเข้าสิ จริงไหมวิช”
“ครับคุณพ่อ” ว่าที่ลูกเขยรับคำก่อนจะส่งตาหวานให้คนที่นั่งข้าง ๆ กัน
“งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ปุ้นจะไปจองตั๋วรถไฟเลยก็แล้วกันนะครับ”
“เอ้อ..เดี๋ยว ๆ เจ้าปุ้น ย่าว่าลองถามบ้านโน้นเขาก่อนไหมว่าเขาสะดวกไปรถไฟกับเราหรือเปล่า”
เมื่อได้ฟังดังนั้นศิลาถึงกับขมวดคิ้ว ‘บ้านโน้น’ ที่ย่าของเขาพูดถึงคงเป็น ‘บ้านวรารักษ์’ บ้านหลังใหญ่ที่อยู่กลางซอยซึ่งเป็นของ ‘พ.อ. ยุทธพงศ์ วรารักษ์’ นายทหารวัยไล่เลี่ยกับพ่อของเขาซึ่งคบค้าสมาคมกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายนั่นเอง และที่ย่าไปชวนเขาทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องภายในครอบครัวก็คงไม่พ้นแผนการที่จะทำให้ลูกสาวบ้านโน้นกับพี่ชายของเขากลับมาคบกันเหมือนเดิม
“ปุ้นว่าเราไปกันเฉพาะครอบครัวเราดีกว่านะครับย่า”
“ย่าเปรยกับเขาไปแล้วนี่นา แล้วลุงยุทธ์ของแกเขาก็ท่าทางสนใจด้วย พรุ่งนี้ย่าชวนเขามาทานข้าวเย็นที่บ้านเรา เดี๋ยวย่าจะถามเขาอีกทีว่าจะไปด้วยกันไหม ถ้าเขาปฏิเสธแกก็ค่อยไปจองตั๋วรถไฟก็ได้นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะเดินทาง”
ทั้งศิตางค์ ศิลาและศิธาพัฒน์ต่างก็สบตากันอย่างเข้าใจ เรื่องหัวดื้อไม่มีใครโค่นคุณย่าของพวกเขาลงได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ศิธาพัฒน์แอบผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ทั้งที่ฝีมือทำกับข้าวของแม่อร่อยที่ที่สุดในโลกแต่ทำไมกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หรือเป็นเพราะสิ่งที่น้องชายพูดเอาไว้เมื่อตอนกลางวันมันกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง
.....
สามพี่น้องเดินออกมาส่งนราวิชที่รถก่อนที่ศิธาพัฒน์จะแยกตัวไปนั่งเล่นที่ศาลาท่าน้ำ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้หลังจากตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะต้องได้ยินเสียงของเจ้าของเบอร์ให้ได้ แต่เมื่อโทร.ไปแล้วคนที่ปลายสายก็ไม่รับสักที
“จ้องแบบนี้แล้วคนทางโน้นเขาจะรู้ไหม ทำไมไม่กดโทร.ล่ะจ๊ะ” พี่สาวคนโตที่เดินเข้ามากับน้องชายหน้าทะเล้นเอ่ยขึ้น
“ผมโทร.เป็นร้อยสายแล้วมั้ง แต่เขาก็ไม่รับ” เจ้าของโทรศัพท์ขมุบขมิบพูด แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาแต่ก็พอจับใจความได้พอให้คนฟังหันสบตากันยิ้ม ๆ
“นั่นแน่! แสดงว่าคนสำคัญนะเนี่ยถึงโทร.หาเป็นร้อยสาย” น้องชายเมื่อเห็นพี่ชายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็อดที่จะแซวไม่ได้ก็อดแซวไม่ได้
“ยุ่งจริง”
“โธ่ ๆ พี่ปุ่น เราเป็นพี่น้องกันนะ เรื่องของพี่ก็เหมือนเรื่องของปุ้นกับพี่ปุน แฟนพี่ปุ่นก็เหมือนน้องพี่ปุน เหมือนแฟนของปุ้น”
“ตอนแรกก็จะซึ้งอยู่หรอก แต่ไอ้ตอนหลัง ๆ นี่ฟังแล้วอยากเตะให้หายฝัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ลุกขึ้นท่าทางเอาจริงตามที่พูด แต่ศิลาก็อาศัยความไวหลบหลังพี่สาวได้ทันแถมยังร้องให้พี่สาวช่วยไม่หยุดปาก
“เอาละ ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนปุ่น ปุ้นก็เหมือนกันไปแซวพี่เขาอยู่ได้” ศิตางค์หันไปปรามน้องชายคนเล็กก่อนจะหันมาทำตาวาวใส่น้องชายคนรอง “ว่าแต่เขาเป็นใครเหรอปุ่น สาวลำปางหรือเปล่า”
“โธ่! พี่ปุน” น้องชายคนรองทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่สาวและน้องชาย นึกว่าจะช่วยกันที่ไหนได้ก็พากันมาล้วงความลับนี่เอง
“พี่ล้อเล่นจ้ะ ยังไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่ถ้าวันหนึ่งมันถึงเวลาที่ต้องพูดพี่ว่าปุ่นก็ควรต้องพูดนะ ไม่งั้นเรื่องราวมันจะบานปลายสุดท้ายก็จะมีหลายคนที่ต้องเสียใจนะ” ศิตางค์กล่าวก่อนจะนั่งลงจบมือน้องชาย “ปุ่นเข้าใจความหมายของพี่ใช่ไหม”
ศิธาพัฒน์ยักหน้า รู้ดีว่าพี่สาวหมายถึงอะไร
“ปุ้นว่างานนี้คุณย่ากับลุงยุทธ์เอาจริงแน่ เห็นอยากเป็นดองกันจะแย่ นี่ถ้าไอ้ภูมิเป็นผู้หญิงคงจับคู่ปุ้นกับมันแหง ๆ” พูดจบศิลาก็ทำท่าขนพองสยองเกล้าเมื่อนึกถึงอิทธิฤทธิ์ของย่าที่พ่อกับแม่เคยเล่าให้ฟัง
(มีต่อค่ะ)