ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง
พ่อเลี้ยงตรัยจดรถก่อนเดินนำเพื่อนเก่าไปยังที่ตั้งของโรงนาที่ตอนนี้ปรับปรุงต่อเติมเป็นโรงงานเซมิกขนาดย่อม ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ทำมาตั้งแต่ลูกชายคนโตยังเล็ก ชายวัยกลางคนผู้ไม่ทิ้งเค้าหน้าคมในวัยหนุ่มเดินสำรวจไปรอบ ๆ ราวกับจะซึมซับเอาไออุ่นของอดีตมาเก็บไว้ในตัวให้มากที่สุด ในที่สุดร่างสูงก็มาหยุดที่ริมลำธารมองดูต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่ยังคงยืนต้นตระหง่าน ดอกสีชมพูของมันเหมือนสีของความรักที่เคยผลิบานขึ้นที่นี่ ผืนดินโล่ง ๆ ปกคลุมด้วยต้นหญ้าเขียวขจีถัดจากตำแหน่งของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ไปไม่ไกลเคยเป็นที่ตั้งของบ้านไม้ชั้นเดียวซึ่งปลูกเป็นเรือนหอชั่วคราวก่อนที่คู่รักคู่ใหม่จะช่วยกันเก็บรวบรวมเงินที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงเพื่อปลูกบ้านและเริ่มต้นชีวิตครอบอย่างสมบูรณ์ในที่ดินที่ฝ่ายหญิงได้รับเป็นมรดกตกทอด แต่แล้วโทรเลขแจ้งข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อก็ทำให้นายไปรษณีย์หนุ่มตัดสินใจขอย้ายกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ที่ดินบริเวณนี้จึงถูกขายให้กับผู้หญิงที่เคยรักซึ่งเป็นเพื่อนรักกับภรรยาของเขา
"ที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนะ"
"ดาวเขาตั้งใจเก็บเอาไว้ให้นวลน่ะ เผื่อว่าวันหนึ่งจะนายกับนวลจะอยากกลับมาใช้ชีวิตปั้นปลายกันที่นี่" พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวขณะเดินมายืนเคียงข้างคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน "เสียดายก็แต่บ้านหลังนั้นที่ถูกพายุพัดพังในวันที่ดาวคลอดเจ้าตาม ตั้งแต่วันนั้นฉันก็แทบไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรอีกเลย งานศพก็บอกกันแต่ในหมู่ญาติ ๆ นึกถึงนวลอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะติดต่อได้ยังไง"
"ตอนที่เจ้าปุ่นบอกพวกเราว่าดาวเสียแล้ว นวลก็ตกใจจนเป็นลมไปเลย สองคนนั้นเขารักกันมากจริง ๆ นี่ถ้าดาวยังอยู่แล้ววันนี้นวลมาด้วยกันก็คงจะกอดกันร้องไห้แล้วละ"
คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย ไม่เคยลืมภาพของสองสาวที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันชนิดที่เห็นดารกาที่ไหนจะต้องเห็นนวลตาที่นั่นเลย
“คงจะคุยเรื่องความหลังกับเรื่องลูก ๆ กันไม่หยุด”
"ขอโทษด้วยนะที่เจ้าปุ่นทำให้ต้องอึดอัด" ศิลป์หันมาสบตาอีกฝ่ายที่ยังคงทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของลำธาร
"ขอโทษทำไมกัน ลูกชายนายมันก็ตรงไปตรงมาเหมือนนายนั่นแหละ ยอมเสี่ยงทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง"
"อืม ตอนแรกที่เจ้าปุ่นมาบอก ทั้งฉันกับนวลแล้วก็คุณแม่ ทุกคนต่างก็พากันคิดว่าเด็กสองคนนั่นคงตกลงคบหากันไปแล้ว ตอนที่คุยกับนายเมื่อกี้ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่นี่นะ ลูกจะเป็นยังไงสุดท้ายก็เป็นลูกอยู่ดี"
"นายทำหน้าที่ของนายได้ดีที่สุดแล้วละ" พูดจบมือหนาก็วางบนบ่าของเพื่อนก่อนจะบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ ตรัยเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเพราะเขาเองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
"นายไม่รังเกียจ..."
"ฉันจะรังเกียจแต่เฉพาะคนที่เจ้าเต็มรังเกียจเท่านั้นแหละ"
เมื่อได้ฟังดังนั้นดวงตาคมก็ค่อยคลายความกังวลลงไปบ้าง ศิลป์ผ่อนลมหายใจยาว นั่นเพราะยังรู้สึกข้องใจเกี่ยวกับลูกชายของตัวเอง "ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าปุ่นมันคิดยังไงถึงขอร้องให้ฉันมาที่นี่ มาพูดกับนายเรื่องนี้ทั้งที่มันเองก็ยังไม่ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลูกชายนายคิดกับเรื่องนี้แบบไหน แต่คิดว่ามันคงมีเหตุผลของมัน ฉันเชื่อว่ามันคงคิดทบทวนมาดีแล้ว”
“เจ้านี่น่ะถ้าให้เดินตามทางที่คนอื่นเขียนให้ล่ะก็ไม่ยอมเด็ดขาด หรือถ้าจะให้เดินตามก็จะต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะตอบมันได้ว่าทำไมมันต้องทำแบบนั้น"
คนฟังหัวเราะในลำคอนึกถึงลูกชายตัวเองที่ช่างมีบุคลิกตรงกันข้ามกับที่เพื่อนกล่าวมาเหลือเกิน
"ส่วนเจ้าเต็มน่ะ ถึงใครจะมีเหตุผลดีแค่ไหน ถ้ามันเลือกแล้วว่าจะไม่ทำตามต่อให้บังคับขู่เข็ญมันก็จะยังยืนยันแบบนั้น เจ้านี่มันเป็นประเภทไม่ชอบให้ใครมาบังคับ บอกให้ไปทางซ้ายมันก็ดื้อไปทางขวา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทางซ้ายน่ะเป็นทางที่ถูกต้อง ฉันก็เลยมักจะปล่อยให้มันไปเผชิญโลกด้วยตัวของมันเอง ให้มันตัดสินใจเอาเอง ถ้าเรื่องไหนที่การตัดสินใจของมันผิดมันก็จะถอยกลับมา คนเป็นพ่ออย่างเราก็มีหน้าที่นั่งข้าง ๆ ลูกเวลาที่ลูกต้องการใครสักคน ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ทำอยู่นี่มันถูกหรือเปล่า หลาย ๆ ครั้งก็นึกเหมือนกันว่าถ้าดาวยังอยู่เขาจะสอนลูกว่ายังไง"
"ฉันเชื่อว่านายเลี้ยงลูกได้ดี นายทำหน้าที่ของพ่อและแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด"
พ่อ ๆ ต่างสบตากันอย่างเข้าใจ จากนี้ไปก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่จะต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตกันเอาเอง ส่วนคนพ่อก็คงทำได้เพียงคอยมองและเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
...
แม้นาฬิกาข้อมือจะบอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแต่บรรยากาศยามเย็นในฤดูหนาวก็ดูเหมือนใกล้ค่ำเต็มที ดวงตะวันสีส้มสดที่เคลื่อนคล้อยคลอเคลียอยู่กับแนวทิวสนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นอีกต่อไป มือเหี่ยวย่นควานหาสิ่งที่จะช่วยให้ความอบอุ่นในกระเป๋า ในที่สุดผ้าสีสวยที่ลูกสะใภ้เตรียมมาให้ก็ถูกคลี่ออก คุณนายยุพากระชับผ้าคลุมไหล่พลางทอดสายตาชมทิวทัศน์ของไร่แสงดาวจากใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ปลายเนิน นึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อวันที่หลานชายเข้ามากราบขอโทษที่พูดจาไม่ไว้หน้าและไม่เห็นความหวังดีของเธอที่ต้องการให้ศิธาพัฒน์และพีรนันท์ซึ่งเป็นอดีตคนรักได้กลับมาคบหากันอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะคุณนายยุพาค่อนข้างพอใจในตัวลูกสาวนายทหารยศพันเอกผู้นี้อยู่มาก แถมสองครอบครัวยังสนิทสนมกันมานานนม ดังนั้นการได้ดองกันก็เข้าทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหน
วันนั้นศิธาพัฒน์อธิบายทุกอย่างจนหมดเปลือก เขาพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับพีรนันท์ได้อีกซึ่งก็คือเรื่องของทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ไม่ตรงกัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้หญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่าปีผู้ผ่านโลกมามากรู้สึกตัวชาได้เท่ากับตอนที่ได้รู้ถึงเหตุผลข้อต่อมาที่ว่าหลานชายของเธอบอกว่าเขามีใครคนในใจอยู่แล้วและที่สำคัญก็คือคนคนนั้นเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อที่บังเอิญได้พบกันที่ลำปาง
ความรู้สึกปวดร้าวถาโถมในอกของคนเป็นย่ายิ่งนัก นั่นเป็นเพราะศิธาพัฒน์ถือว่าเป็นหลานชายคนโตของบ้าน เป็นความหวัง และเป็นผู้ที่จะต้องสืบสกุลและสืบทอดกิจการต่าง ๆ ในวันหนึ่งที่คุณนายยุพาไม่อาจยืนอยู่ในตำแหน่งของเธอได้อีกต่อไป การไม่ขัดขวางเรื่องที่ศิธาพัฒน์ลาออกจากงานเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนการไปรษณีย์ถือเป็นสิ่งที่เธอยอมอ่อนข้อให้มากแล้ว แต่กับเรื่องนี้เห็นทีว่าคงจะยอมกันไม่ได้
เมื่อแรกที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของหลานชาย ยังอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะเอาหน้าไปสู้คนอื่นในวงสังคมได้อย่างไรกัน หากใครถามจะตอบว่าอย่างไร เธอจะทนต่อเสียงซุบซิบนินทาของใครต่อใครได้หรือไม่ ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกนับแต่วินาทีนั้น หวังจะให้ความกระอักกระอ่วนอึดอัดที่สุมอยู่ในอกหลุดออกมาด้วยแต่ก็ดูว่าจะเปล่าประโยชน์ เธอแทบจะไม่ได้พูดกับศิธาพัฒน์อีกเลยหลังจากเกิดเรื่อง จนกระทั่งสองพ่อลูกตกลงกันว่าจะมาที่ลำปางเธอจึงตัดสินใจที่จะติดตามมาด้วย เพียงเพราะอยากจะเห็นหน้าคนที่กระชากเอาความหวังทั้งหมดไปจากเธอ ดวงตาสีมัวยังคงฉายแววแห่งความกังวลอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาแสนอึดอัดมานานแล้วก็ตาม ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเองรวมถึงพ่อเลี้ยงตรัยที่เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรกจึงนิ่งเฉยกับเรื่องที่ดูไม่ค่อยจะปกตินี้ อีกทั้งพ่อเลี้ยงคนนี้ยังไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจหลานชายของเธอเสียด้วยซ้ำ
"ทำไมแกถึงกล้าทำแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่แกเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเขาคิดยังไงกับแก ตอนแรกย่าหลงคิดว่าแกกับเด็กนั่นตกลงคบหากันแล้วเสียอีก" เป็นคำพูดยาวที่สุดที่ย่าพูดกับหลานชายนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น
"ผมอยากให้เขามั่นใจว่าถ้าคบกับผมแล้ว เขาจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวของผม ไม่ต้องคบกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ผมก็เลยเลือกที่จะบอกให้พ่อแม่รวมถึงย่าและทุก ๆ คนทราบ ถ้าหากทุกคนยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่ผมได้พูดออกมา มันอาจต้องใช้เวลาสักพัก หรือถ้าสุดท้ายแล้วไม่มีใครยอมรับได้ผมคงเลือกที่จะไม่ดึงเขาเข้ามายุ่งเกี่ยว"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แกคิดว่าแกจะทำใจได้หรือ"
"ถึงจะทำใจไม่ได้ อย่างน้อยก็มีผมคนเดียวที่เจ็บปวดไม่ใช่เหรอครับ" ศิธาพัฒน์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความสุขุมรอบคอบยังคงเป็นคุณสมบัติประจำตัวของอดีตนักการตลาดผู้ที่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานว่าเป็นนักคิดและนักวางแผนที่เยี่ยมยอด
นัยน์ตาสีหม่นจับจ้องที่ดวงหน้าคมคายของหลานชายก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเห็น
"ย่าเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กทำไมย่าจะไม่รู้ คนอย่างแกมันดื้อเงียบ ต่อให้สิ่งที่แกพูดออกมาไม่มีใครยอมรับ แกก็ไม่ละความพยายามหรอก แล้วสุดท้ายมันก็เป็นพวกหัวหงอกอย่างฉันที่ต้องยกมือยอมแพ้หลานชายตัวเอง"
"หึ ชักอยากจะเจอเด็กเต็มฟ้านั่นเสียแล้วสิ อยากรู้จริง ๆ ว่ามีดีอะนักรถึงทำให้แกเป็นได้ขนาดนี้"
"อาจจะไม่มีดีอะไรเลยก็ได้ครับ" ชายหนุ่มกล่าวพลางทอดสายตามองไปยังร่างเล็กที่กำลังวิ่งคู่กับเจ้าสุนัขขนฟูบนแนวแปลงปลูกต้นส้มที่อยู่เบื้องล่าง ภาพนั้นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อทั้งคนทั้งหมาวิ่งขึ้นมาตามแนวลาดชันของขั้นบันได ในที่สุดรอยยิ้มที่เหือดหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาเสียหลายวันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
"พี่ปุ่นจะรับแข็งแรงกลับไปเลยไหมฮะ" ตามตะวันพูดไปหอบไป
"ยังหรอกครับ พี่ฝากตามไว้ก่อนก็แล้วกันนะ" ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะย่อตัวลงลูบหัวเจ้าหมาน้อยที่ไม่ได้เจอกันเสียหลายวัน
"มันชื่ออะไรจ๊ะหนุ่มน้อย" คุณนายยุพาที่พยายามปรับน้ำเสียและสีหน้าให้เป็นปกติถามขึ้น
"ชื่อแข็งแรงครับ" เด็กชายยิ้มกว้างพลางกระตุกสายจูงให้นังหนูจอมซนที่มัวแต่ทำจมูกฟุดฟิดดมโน่นดมนี่มายืนข้าง ๆ กัน
"ชื่อน่ารักเชียว หนูเป็นคนตั้งให้มันเหรอ"
"เปล่าครับ พี่เต็มเป็นคนตั้งชื่อครับ พี่ปุ่นเป็นคนเลี้ยง ส่วนตามเป็นคนพามันวิ่งเล่นฮะ" ตามตะวันอธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉานและดูจะภูมิใจเป็นพิเศษกับหน้าที่ของตนเอง
"แล้วนี่พี่ชายของหนูจะกลับเมื่อไรจ๊ะ"
"อืม...วันนี้น่าจะกลับค่ำ ๆ หรือไม่ก็ค้างที่บ้านน้าเดือนฮะ เพราะว่าพี่เต็มเอาตุ๊กตาเซรามิกไปส่งก็เลยอยู่ช่วยพี่ชลขายของที่ถนนคนเดิน"
"เหรอจ๊ะ"
"คุณย่าจะรอเหรอครับ" หลานชายถามขณะลุกขึ้นยืน
"รออีกหน่อยก็ไม่เสียหายนี่ ย่าก็ไม่ได้รีบร้อนไปไหน" ผู้เป็นย่ากล่าวอย่างมีเลศนัยก่อนจะเบนความสนใจไปที่หนุ่มน้อยและสุนัขอีกครั้ง
"หนูพาฉันไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม ที่แปลงส้มข้างล่างน่ะ"
"ได้ฮะ" คนถูกขอร้องกล่าวอย่างกระตือรือร้นก่อนจูงมือหญิงชราและเจ้าแข็งแรงเดินลงไปตามขั้นบันไดดิน ในขณะที่ศิธาพัฒน์เองได้แต่มองด้วยความหวั่นใจ คาดเดาไม่ถูกเลยว่านับจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“หนูชื่อตามตะวันใช่ไหม”
“ใช่ฮะ” หนุ่มน้อยกล่าวขณะเดินจูงมือคุณย่าเดินไปตามทางเดินระหว่างแปลงปลูกต้นส้ม “คุณย่าเป็นคุณย่าของพี่ปุ่นเหรอฮะ”
“ใช่จ้ะ อืม...แล้วนี่คุณแม่ของหนูไปไหนจ๊ะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเลย”
“แม่เสียตั้งแต่ตอนที่ตามเกิดแล้วละฮะ” คำบอกเล่าของเด็กชายทำเอาคุณนายยุพารู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ นึกตำหนิตัวเองที่เป็นผู้ใหญ่แต่ดันพูดให้เด็กต้องสะเทือนใจ
“ขะ..ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณย่า พี่เต็มบอกว่าจริง ๆ แม่ก็ไม่ได้ไปไหน แต่มองเราอยู่บนฟ้า”
หญิงชราพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วพี่ชายสอนอะไรหนูอีก”
“อืม...พี่เต็ม พี่เต็มสอนไม่ให้โกรธคนที่ล้อว่าตามเป็นเด็กไม่มีแม่ เพราะพ่อเป็นทั้งพ่อและแม่ของตาม ถ้าตามไปโกรธเขาแสดงว่าพ่อทำหน้าที่ไม่ดีตามถึงรู้สึกว่าตามขาดแม่ฮะ”
“พี่ชายหนูท่าทางจะใจดีมากสินะ”
“มากครับคุณย่า พี่เต็มใจดีสุด ๆ ใจดีเหมือนพี่ปุ่นเลย แต่พี่เต็มกับพี่ปุ่นชอบเถียงกัน ตลกดี”
เจ้าของเส้นผมสีดอกเลาพยักหน้าพอใจกับข้อมูลที่เธอได้รับ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน ความอยากเจอ ‘เต็มฟ้า คนนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
ศิธาพัฒน์ที่ยืนมองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ที่เดิม พักใหญ่ ๆ ตามตะวันก็จุงมือหญิงชราเดินคุยกันขึ้นมาตามขั้นบันไดซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ท้องฟ้ากำลังจะเลือนหายไปในความมืด อากาศที่เริ่มจะหนาวเย็นลงทุกขณะและน้ำค้างที่ลงจัดทำให้ศิธาพัฒน์ต้องรีบเตือนให้ทั้งสองคนกลับเข้าบ้านด้วยเกรงว่าเดี๋ยวทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะป่วยไปตาม ๆ กัน คบไฟทำจากไม้ไผ่ถูกทยอยจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง เจ้าแข็งแรงเดินหายไปหลังโรงจอดรถอย่างรู้งานเพราะแม่บ้านมักจะนำอาหารมาวางให้มันที่นั่นทุกวัน
ค่ำนี้พ่อเลี้ยงตรัยลงมือเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ น่าเสียดายที่ศิลป์ติดธุระที่กรุงเทพฯ จึงต้องบินกลับในตอนเช้าตรู่ ไม่เช่นนั้นคงจะพากันเที่ยวรำลึกความหลังกันเสียหน่อย ดูเหมือนว่าคนที่รู้สึกเสียดายยิ่งก่าจะเป็นคุณนายยุพาที่หมายมั่นปั้นมือว่าการมาลำปางคราวนี้ยังไงก็ต้องจะต้องเจอตัวต้นเหตุให้ได้
“เอาไว้ถ้าคุณย่ามาอีก ตามจะพาคุณย่าเที่ยวให้ทั่ไร่เลยครับ” เด็กชายยังคงจ้อไม่หยุดขณะเดินมาส่งแขกที่รถ
“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ” ริมฝีปากแห้งฝากยิ้มเยือกเย็น ในใจคิดว่าหากได้พบกับเต็มฟ้าในคราวนี้นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอมาเหยียบที่นี่ก็ได้
“ฉันต้องกลับมาอีกแน่ ๆ”คำพูดทิ้งท้ายของหญิงชราทำเอาสองพ่อลูกแห่งตระกูลกษิศภูมิมองตากันปริบ ๆ แม้แต่คนเป็นลูกอย่างศิลป์ก็ไม่อาจคาดเดาความคิดของผู้เป็นแม่ ได้เพียงแต่ภาวนาอย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวายซ้ำรอยเหมือนในสมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม ๆ เลยก็แล้วกัน
.....
เช้าวันเสาร์หลังจากส่งพ่อและย่ากลับกรุงเทพฯแล้วศิธาพัฒน์ก็ไปทำงานตามปกติ วันนี้คนค่อนข้างเยอะคงจะเป็นเพราะเป็นวันแรก ๆ ที่ที่ทำการไปรษณีย์เปิดทำการหลังจากหยุดปีใหม่ และเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลของการส่งความสุขทั้งพัสดุและโปสการ์ดที่รอการคัดแยกจึงมีจำนวนมากจนหลาย ๆ คนต้องช่วยกันทำงานแม้จะนอกเหนือจากหน้าที่ของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ทำให้พนักงานไปรษณีย์อย่างศิธาพัฒน์รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย การได้อ่านชื่อจังหวัดที่เขียนอยู่บนกล่องพัสดุหรือโปสการ์ดถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางกล่องถูกส่งไปไกลถึงใต้สุดของประเทศ ในขณะที่บางกล่องถูกส่งข้ามทวีปก็มี ชายหนุ่มยังคงทำงานด้วยรอยยิ้ม ยิ้มและภาวนาให้ของทุก ๆ ชิ้น โปสการ์ดทุกใบ จดหมายทุกฉบับถึงมือคนรับอย่างปลอดภัย
“เลิกงานแล้วยังไม่กลับอีกเหรอศิธา” วิษณุที่เตรียมตัวจะกลับบ้านเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงยังคงนั่งเท้าคางอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ทั้งที่ทำการไปรษณีย์ก็ปิดให้บริการแล้ว
“อีกสักพักน่ะพี่ทำใจก่อน” ชายหนุ่มกล่าวพลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ
“อะไรวะ แค่กลับบ้านเนี่ยนะ”
คนถูกถามหัวเราะแห้ง ๆ ถ้ากลับบ้านคงไม่คิดหนักขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะตั้งใจว่าหลังเลิกงานจะแวะไปที่เกสต์เฮาส์เพื่อสะสางเรื่องค้างคาใจผู้ใหญ่หลายคนให้เรียบร้อย แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะพูดกับเต็มฟ้ายังไงกัน ถ้าหากอีกฝ่ายรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้างจะเกิดอะไรขึ้น ไม่พ้นคงได้อาละวาดบ้านแตกแน่ ๆ
“กลับบ้านหรือจะไปสารภาพรักถึงต้องทำใจก่อน” วิษณุพึมพำก่อนจะเดินออกหายเข้าไปด้านหลัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงแต๊ก ๆ ของมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่แต่เจ้าของก็ไม่ตัดใจซื้อใหม่เสียที เสียงนั้นห่างออกไปในขณะที่มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อตัวเองทั้งที่อากาศก็เย็นแถมในสำนักงานไปรษณีย์ยังเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียสตามนโยบาย แต่เหงื่อเม็ดโตกลับผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“สารภาพรัก? เรียกว่าอย่างนั้นจะได้หรือเปล่านะ” พูดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่
อด..เป็นห่วง....ตัวเองไม่ได้ ศิธาพัฒน์เอ๋ยศิธาพัฒน์ หรือจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียคราวนี้....
(มีต่อค่ะ)