คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561  (อ่าน 255858 ครั้ง)

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ตกลงเถอะนะเต็มๆๆๆๆ ผู้ชายแบบพี่ศิหายากนะๆๆๆๆๆ


ออฟไลน์ แป้งข้าวหมาก

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
จะเรียกว่าเจ้าเล่ห์หรือนักวางแผนดี พี่ปุ่นเห็นนิ่ง ๆ อย่างนั้น ร้ายกว่าที่คิด
เต็มฟ้าจะต้องถูกไล่ต้อนจนต้องยอมเป็นแฟนถาวรแน่ ๆ
น้องตามน่ารักอีกแล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้คุณย่ายุพาต้องหลงรักหนูแน่นอน

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
ลุ้นเอาใจช่วยพี่ปุ่นเต็มที่ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
น้องเต็มตกลงไปเห้อะะะะ เป็นแฟนพี่ปุ่นอ่ะ :-[

ออฟไลน์ tulakom5644

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
น้องเต็มกลัวหวั่นไหวชัวร์!!!!!! ไม่ต้องกลัวนะคะ หวั่นไหวและปล่อยใจปล่อยตัวไปเลนค่ะคุณน้อง คนอ่านคอยลุ้นนนนนนอยู่ค่าาาาาาาาาาา คึคึคึคึ :hao7: :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2014 12:06:17 โดย tulakom5644 »

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
วางแผนมาดีซะเหลือเกินนะพี่ปุ่น

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
เอาน่าสู้ๆนัพี่ปุ่น อุปสรรคมักก่อให้รักบังเกิด เนอะ
น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อนเลย ทำคะแนนทุกวันแบบนี้ ไม่นานหรอกเต็มได้หวั่นไหวแน่นอน เอาใจช่วยนะค้าาา

ออฟไลน์ TrebleBass

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่ปุ่น นี่คือ ผู้ชายตัวอย่างจริงๆ  ดีจริงๆ :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
คุณย่าเป็นตัวพิสูจน์รักป้ะเนี่ย
เต็มเขินแล้วน่ารักง่อววว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
พี่ปุ่นน่ารัก คือรู้จุดอ่อนที่เต็มไม่ชอบให้ท้าก็ท้า

เป็นแฟนกันแล้ว ถึงขั้นทดลองก็เถอะ

เต็มฟ้าแค่ไม่รู้ตัวว่าชอบพี่ปุ่นหรือเปล่า

อาจเพราะอยู่ด้วยกันบ่อย เจอกันบ่อยเลยไม่รู้ตัว

เชียร์พี่ปุ่นสุดใจจ้า ขอให้ได้ขอให้โดน อุ๊บ ผิด ฮิฮิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
พี่ปุ่นนนน 555555555
ขอหัวเราะก่อน~

คนที่จะปราบเต็มได้ก็มีแต่พี่ปุ่นนี่แหละ
รู้ทางเต็มแล้วนี่
ถึงขั้นเนียน ๆ เป็นแฟน
เนียน ๆ จะขอจับมือ
เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะยะ

ขอบคุณมาก ๆ ค่าาา +1

+++++++++++++++

 :กอด1:

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
หวั่นไหวแล้วล่ะสิ ใช่มะ~  :-[

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
ชักอยากจะให้คุณนายยุพามาเจอกับเต็มฟ้าเร็วๆจังเลย อิอิ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่ปุ่นทำคะแนนใหญ่เลยนะ
ชอบอ่ะพี่ปุ่นจริงใจมาก

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
รุกฆาตเลยปุ่น เชียร์สุดใจ
น้องตามเป็นกามเทพตัวน้อยๆ ให้พี่ๆ เค้าด้วยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เต็มจะทนไหวเหรอจ๊ะ พี่ปุ่นเขามาเต็มเลย อิอิ :laugh:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
พี่ปุ่นนี่ ดูทำอะไรเป็นจริงเป็นจัง ตลอดและก็ทำเนียน ..... :z2:
รอดูว่า พี่ปุ่นจะมีทีเด็ดอะไร ที่จะทำให้ น้องเต็มฟ้า รับรัก :z1:
+1 ให้เป็นกำลังใจ ครับ
ปล. กลัวคนเกียจคุณยาย รีบสปอยไว้ก่อน  :m20: งั้นจะรอดูว่า ฮาขนาดไหน  :mew1:

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
พี่ปุ่นก็ช่างคิดได้ มีการเขียนสัญญาไว้อีกแน่ะ

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
เอ๋!!แปลกๆนะ

ชื่อตอนเปลี่ยนแล้วนิ:hao4: :hao4:

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
ชื่อตอนมา เนื้อเรื่องไม่มา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เธออยู่ไหน รู้ไหมฉันรออยู่~~~

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
หูยยยยยยย!!!! อุตส่าห์แอบมาอัพ ยังมีคนตามมาส่อง

ขอโทษนะคะ พอดีแก้ชื่อตอนแล้วย้อนกลับไปเขียนเติมอีกหน่อยเลยยังไม่ได้โพสต์ค่ะ


....


ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย


เต็มฟ้าขมวดคิ้วมองเจ้าของใบหน้าระรื่นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะถัดไปด้วยสายตาขุ่น ๆ ทั้งที่เพิ่งแยกย้ายกันไปเมื่อคืนตอนเกือบสี่ทุ่มนับมาถึงตอนนี้ยังไม่ครบสิบสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็เสนอหน้าหล่อ ๆ มาให้เห็นตั้งแต่เช้า มาก่อนหมูอ้วนกับยะหยาที่วันนี้นัดกันว่าจะมาลงสีเซรามิกที่ปั้นไว้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสียอีก

   
“พี่เต็มคะ ทำไมแก้วของยะหยามันถึงเป็นสีนี้ล่ะคะ เมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังเป็นสีดำ ๆ อยู่เลย” เด็กหญิงจ้องมองทรงกระบอกมีหูเบี้ยว ๆ ที่เธอให้นิยามมันว่า ‘แก้ว’ ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากสีดินดำกลายเป็นสีนวลแบบเปลือกไข่ไก่ไปแล้ว


“ก็พี่เอาไปตากแดดให้แห้งแล้วก็เข้าเตาเผาไง มันก็เลยออกมาเป็นสีนี้” ชายหนุ่มที่กำลังผสมสีให้เด็ก ๆ ที่ล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงอธิบาย


“แล้วถ้าเราระบายสีทับลงไปแล้วมันจะเป็นมัน ๆ เงา ๆ เหมือนตุ๊กตาที่พี่ชลเอาไปขายที่ถนนคนเดินหรือเปล่าครับ” เด็กชายตุ้ยนุ้ยถามพลางยื่นหน้ามามองสีข้น ๆ ในถาด


“สีเนี่ยเขาเรียกว่าสีเคลือบ ตอนระบายลงไปสีมันก็จะยังซีด ๆ อยู่ พี่จะเอาเข้าเตาเผาเคลือบให้อีกที ทีนี้แหละก็จะออกมาเหมือนตุ๊กตาที่พี่ชลขายเลย”


“ว้าว!! ยะหยาอยากเห็นตอนเผาเสร็จแล้วจัง”


“อาทิตย์หน้าก็น่าจะเรียบร้อยแล้วพี่จะฝากตามไปให้นะ”


“อิจฉาตามจัง มีพี่เต็มคอยสอนให้ทำงานศิลปะด้วย” เด็กหญิงผมเปียกล่าวพลางหันไปพูดกับเด็กชายที่เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ กัน


“ยะหยาอยากเรียนอะไรล่ะ ให้พี่เต็มสอนให้ก็ได้” พูดไปแบบนั้นเพราะลืมตัว มานึกได้ทีหลังว่ายังไม่ได้ถามความเห็นของคนสอน ตามตะวันจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตาถามพี่ชาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ค่อยยิ้มออก


“ได้เหรอคะพี่เต็ม”


“ได้สิ ยะหยาอยากเรียนอะไรบอกพี่ได้เลย”


“ยะหยาอยากให้พี่เต็มสอนวาดรูป ระบายสี แล้วก็สอนปั้นดินแบบนี้ค่ะ”


“สบายมาก”


“หมูอ้วนเรียนด้วย ๆ” เด็กชายแก้มยุ้ยละล่ำละลัก 


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เรียนกันหมดนี่แหละ อาทิตย์ไหนอยากเรียนอะไรก็บอกกับตามมาก็แล้วกัน พี่จะได้เตรียมอุปกรณ์ไว้รอ”


“เย้ๆ ๆๆๆ ๆ” เมื่อได้ฟังคุณครูใจดีพูดแบบนั้น เด็ก ๆ ก็พากันร้องดีใจจนบรรดาแขกต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียวจนหัวหน้าแก๊งเด็กต้องปราม


“เอาละ ลงมือระบายสีกันดีกว่า” ริมฝีปากบางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนถาดที่ผสมสีเอาไว้แล้วไปที่กลางโต๊ะพร้อมกับแจกพู่กันให้เหล่าหนู ๆ


ทั้งหมูอ้วน ยะหยาและตามะวันต่างก็ลงมือระบายสีผลงานของตัวเองเงียบ ๆ หมูอ้วนใช้พู่กันจุ่มสีฟ้าระบายลงบนจานรูปหมูน้อยของตัวเองที่ตั้งใจว่าจะเอาไปให้แม่ใช้ใส่อาหารเช้าจะได้กินข้าวอร่อยขึ้น ส่วนยะหยาก็ระบายสีแก้วน้ำด้วยสีชมพูแบบที่เธอชอบ


“ของตามรูปอะไร” ร่างสูงที่เดินมาชะโงกหน้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยที่เงียบที่สุดในกลุ่มเริ่มลงมือระบายบนภาชนะครึ่งวงกลมที่มีรูปปั้นนูนต่ำยื่นออกมา


“ตามปั้นชามข้าวให้เจ้าแข็งแรงฮะ” ตามตะวันกล่าวพลางยกชามที่ว่าขึ้น ชี้ไปที่รูปทรงนูนต่ำพร้อมกับอธิบาย “นี่ตามปั้นเจ้าแข็งแรง ส่วนนี่คือพี่เต็ม ตาม แล้วก็พี่ปุ่น”


คนฟังฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกว่าตัวเองก็มีความสำคัญสำหรับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ก็หยุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อระบบเบรกเอบีเอสเริ่มทำงาน


“หึ ภูมิใจเนอะ ถูกจารึกชื่อไว้บนชามข้าวหมา”


“หมูอ้วนว่าแข็งแรงต้องเจริญอาหารแน่ ๆ เลย”


“นั่นน่ะสิ พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บสีลงในกล่อง แต่ถึงจะพยายามแค่ไหนแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อก็ไม่รอดพ้นสายตาต่อสายตาของคนที่กำลังเฝ้ามองอยู่ 


ศิธาพัฒน์เดินมานั่งลงข้าง ๆ คนช่างเหน็บก่อนจะพูดลอย ๆ ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “เห็นนะว่าแอบยิ้ม....” พูดจบก็หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นหน้าง้ำงอของคนอายุน้อยกว่าที่พยายามสงบปากสงบคำไม่แสดงร่างจริงต่อหน้าเด็ก ๆ


“หิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย”


คำพูดเอาแต่ใจทำเอาคนฟังหันขวับ มือบางเอื้อมคว้ากระดาษกับปากกาที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยื่นให้ “อยากกินอะไรก็เขียนมา เดี๋ยวเต็มให้แม่ครัวทำให้”


“ไม่เอา” ผู้ใหญ่เอาแต่ใจตัวเองขมวดคิ้วน้อย ๆ “...อยากกินฝีมือเต็มนี่นา” คำพูดตอนท้าย ๆ นั้นมันช่างบางเบาราวกับปุยนุ่นที่ลอยฟุ้งในอากาศและค่อย ๆ ลอยต่ำลงจนกระทั่งมาคลอเคลียอยู่กับข้างแก้ม


“เรื่องเยอะอีก” เต็มฟ้าพึมพำ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอาหารกลางวันพอดีจึงหันไปถามเด็ก ๆ ว่าอยากทานอะไร แต่ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ชิงตอบให้คันหัวใจเล่นหน้าตาเฉย


“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่”


เมื่อได้ฟังดังนั้นสามหนูน้อยที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการระบายสีก็เลยพร้อมใจกันสั่งตามบ้างจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิด


“ทานแบบพี่ศิธาไม่ได้หรอก เป็นเด็กเป็นเล็กต้องทานผักด้วย” คุณครูที่กำลังจะสลัดคราบมาเป็นพ่อครัวกล่าวก่อนจะลุกขึ้น แต่คำถามของเจ้าหนูจำไมอย่างยะหยาก็ทำให้ต้องชะงัก


“ทำไมพี่เต็มไม่รียกพี่ปุ่นว่าพี่ปุ่นล่ะคะ ทำไมถึงเรียกว่าพี่ศิธา”


ง่ายมาก....คนถูกถามนึกในใจ “ก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน เรียกแบบนี้ก็พอแล้ว”


ศิธาพัฒน์มองริมฝีปากสีส้มที่กำลังเผยอยิ้มน้อย ๆ นั่นแล้วให้รู้สึกอยากจะคว้าแขนมา....


....ตีมือเสียให้เข็ด


ไม่เข้าใจว่าปากบาง ๆ ที่ท่าทางจะนุ่มนิ่มนั่น ทำไมช่างพูดคำที่มันทำร้ายจิตใจคนฟังได้มากมายขนาดนี้


เต็มฟ้าหายเข้าไปในครัวพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับจานข้าวผัดร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายสี่จาน
เมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟกิจกรรมทุกอย่างก็หยุดลงชั่วขณะ เด็ก ๆ พากันเดินชักแถวไปล้างมือตามคำสั่งของรองหัวหน้าแก๊ง จากนั้นก็กลับมานั่งประจำที่จ้องมองข้สวผัดหน้าตาน่ากินในจาน


“สับเสียละเอียดเชียวนะ” คนไม่กินหอมใหญ่บ่นพลางโครงศีรษะไปมา มือก็หยิบช้อนเขี่ยข้าวผัดในจานไปด้วย นอกจากมีหอมใหญ่ซอยละเอียดแล้วยังมีใบคะน้าสีเขียวกับมะเขือเทศสีแดงสดผสมมาด้วยราวกับจะหลอกล่อให้เด็กไม่กินผักยอมกินผักในคราวนี้


“ช่วยไม่ได้” พ่อครัวดีเด่นตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะนั่งลง บอกให้เด็ก ๆ เริ่มทานอาหาร แต่ก็ไม่วายหันมามองผู้ใหญ่ที่ยังคงนั่งเขี่ยผัก “ระวังแพ้เด็กนะ”


“ระดับนี้” พูดจบคนถูกท้าทายก็คุ้นมะเขือเทศที่อยู่ใต้ข้าวขึ้นมาจัดการส่งเข้าปาก กะว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมแพ้เหลือผักเอาไว้ให้อีกคนเหน็บแนมแน่ ๆ


“เด็ก ๆ เคยเห็นมังกรพ่นไฟไหม”


หนูน้อยสามคนพากันส่ายหน้าก่อนที่มังกรที่ว่าจะส่งเสียง “ฮ่า!!!” ศิธาพัฒน์อ้าปากกว้างจนเห็นไอร้อนจากมะเขือเทศชิ้นหนาที่เพิ่งตักเข้าปากลอยออกมา เพราะไม่อยากขายหน้าก็เลยไม่ทันเป่าให้หายร้อนเสียก่อน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตักเข้าปากไปแล้วทำเอาชิ้นชาไปหมด จะคายก็ไม่ได้เพราะคนทำตักคอไว้เสียก่อน


“ห้ามคายนะ เต็มอุตส่าห์ทำ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคนโดนแกล้งจึงจำใจต้องเคี้ยวมะเขือเทศร้อน ๆ ที่อยู่ในปากก่อนจะกลืนลงคอในที่สุดพร้อมกับตั้งใจว่ายังไงก็ต้องเอาคืนให้ได้


‘ไอ้ตัวแสบ’



หลังจากเด็ก ๆ รับประทานอาหารกลางวันแล้วก็ลงมือระบายสีกันต่อกระทั่งบ่ายคล้อยทุกอย่างจึงเสร็จเรียบร้อย ศิธาพัฒน์อาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งหมูอ้วนและยะหยาที่บ้านแทนการที่พ่อและแม่ของแต่ละคนต้องละจากงงานที่ทำอยู่มารับลูก ๆ ของตนเอง เมื่อส่งเพื่อน ๆ ที่หน้าบ้านแล้วตามตะวันก็กลับเข้ามาเล่นกับเจ้าแข็งแรงซึ่งกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่สนามหญ้าด้วยความดีใจราวกับเก็บกดมานาน นั่นอาจเป็นเพราะว่าวันนี้เด็ก ๆ ต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับผลงานของตัวเองจึงไม่มีใครสนใจเล่นกันมันเลย เจ้าขนยาวจึงต้องนอนหลบมุมอยู่เงียบ ๆ เกือบตลอดทั้งวัน เต็มฟ้ายืนมองน้องชายและเจ้าหมาน้อยจากด้านหนึ่งก่อนจะเดินไปเก็บอุปกรณ์ทั้งพู่กันและถาดผสมสีที่เด็ก ๆ ช่วยกันล้างตากเอาไว้มาใส่ลงกล่องแล้วจึงเดินไปเก็บที่ท้ายรถ  จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการจัดของให้เข้าที่เพราะเกรงว่างานของเด็ก ๆ จะได้รับความเสียหายระหว่างนำกลับไปเผาเคลือบที่โรงงาน เต็มฟ้ายืดตัวขึ้นตรวจดูวามเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือปิดฝากระโปรง ทันใดนั้นมือของใครคนหนึ่งก็วางลงข้าง ๆ กัน เพียงปลายจมูกสัมผัสน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นศิธาพัฒน์ไม่ผิดแน่ เมื่อฝากระโปรงปิดลงชายหนุ่มเจ้าของรถก็ได้ทำเพียงสบตาอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนที่ปรากฏอยู่บนกระจกติดฟิล์มทึบ ภาวนาว่าอย่าให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่านี้เลย ไม่เช่นนั้นคงจะได้ยินเสียงรัวกลองใต้อกเสื้อด้านซ้ายแน่ ๆ




ศิธาพัฒน์หันข้างพิงท้ายรถใช้มือเท้าเข้ากับฝากระโปรง นัยน์ตาคมมองแก้มเนียนของเจ้าของมือบางซึ่งกำลังขยับออกห่างจากสัมผัสที่แตะกันอยู่เพียงบางเบา


"นึกว่าพี่ศิธาจะกลับเลยเสียอีก"


เมื่อประโยคนั้นลอยหายไปในอากาศ ลมหายใจอุ่น ๆ ของคนถูกขัดใจก็ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกลดลงบนต้นคอระหงตามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ


"เมื่อไรจะเลิกเรียกแบบนี้สักทีนะ"


"เรียกแบบไหน”


“ก็เรียกว่าพี่ศิธาไง สงสัยจริง ๆ ว่าใครกันที่สอนให้เรียกแบบนี้ ไม่ชอบเลย”


เต็มฟ้ามุ่นคิ้วพร้อมกับสำรวจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก แน่ใจว่าตรงแก้มที่กำลังรู้สึกวูบวาบอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เปลี่ยนสีจนคนอยู่ใกล้สังเกตได้ เพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าเจ้าของชื่อไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ แต่จะไปสนใจทำไมกันว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบในเมื่อตัวเขาเองพอใจแบบนี้


“เรียกแบบนี้แล้วทำไม ลุงเดชกับป้าบัวก็เรียก" พูดจบเจ้าของริมฝีปากบางก็หันมาสบตาคนฟังเป็นครั้งแรก ในขณะที่ศิธาพัฒน์นั้นได้แต่โครงศีรษะอย่างเหนื่อยใจกับคนที่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยคนนี้


"ไม่เหมือนกันสักนิด"


"ไม่เหมือนกันยังไง"


"ก็ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว ถึงจะระยะทดลองก็เถอะ"


เงื่อนไขนี้เล่นเอาคนเต็มฟ้าต้องรีบเบือนหน้าหนีแต่ร่างสูงก็ยิ่งขยับเข้าใกล้พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาชวนมองที่สะท้อนอยู่บนกระจก จมูกโด่งสูบกลิ่นหอมจากตัวของคนที่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่เพียงน้องชายร่วมโลก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าสมองไม่อาจแสดงอำนาจเหนือหัวใจได้


...ยิ่งใกล้มากกันเท่าไรก็ยิ่งห้ามหัวใจตนเองไม่ได้เท่านั้น...


ในขณะที่คนหนึ่งไม่อยากใกล้ แต่อีกคนหนึ่งกลับใกล้เข้ามาจนยากจะหลบลี้ ปากอิ่มเลื่อนไปที่ข้างหูของคนที่กำลังยืนนิ่ง ดวงตาสองคู่ยังคงไม่ละออกจากกันเลยแม้แต่สักวินาที 


"เมื่อไรรู้สึกว่าสนิทแล้วละก็ ช่วยเรียกพี่ปุ่นให้ชื่นใจหน่อยนะ"


หากการพ่ายแพ้คือความรู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งใบหน้า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและตัวเบาหวิวเหมือนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศแล้วละก็ เต็มฟ้าก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือตอนนี้เขากำลังพ่ายแพ้ให้เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นอย่างราบคาบ




‘ไม่มีทาง’



(มีต่อค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-07-2014 10:23:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองสองมือที่กำลังประคองก้อนดินเย็นเฉียบในที่กำลังหมุนอยู่บนแท่นโลหะสำหรับขึ้นรูป เรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาไม่นานยังคงวนกลับมาให้คิด รอยยิ้มของใครบางคนยังคงตามหลอกหลอนจนบางครั้งก็พาให้ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นหอมยังคงอบอวลราวกับติดอยู่ที่ปลายจมูกจนชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันคือกลิ่นของน้ำหอมหรือกลิ่นของ...


‘ความรัก’



....พยามยามจะคิดในใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้...



“เก่งจัง”



มันจะเบาเท่ากับเสียงที่ดังอยู่ข้างหูในตอนนี้ไหมนะ?


เต็มฟ้าหรี่ตามองหน้าคมที่กำลังยื่นข้ามบ่าของตนเองก่อนจะขยับตัวเบี่ยงออกถือโอกาสมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ  ดวงตาทอประกายคู่นั้นจ้องไปที่ดินสีดำที่กำลังเปลี่ยนรูปร่างเป็นแจกันทรงสูงราวกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทั้งที่ก็เห็นอยู่ทุกวัน? ไม่ผิดแน่...เพราะตั้งแต่วันที่ทำสนธิสัญญาระยะทดลองนั่นก็ยังไม่มีวันไหนเลยที่ผู้ชายคนนี้จะไม่เสนอหน้ามาให้เห็น ขนาดอุตส่าห์หนีมาหมกตัวอยู่ที่โรงงานเซรามิกท้ายไร่ก็ยังตามมาให้ต้องคันหัวใจอยู่ทุกเย็น


ศิธาพัฒน์ลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ มองดูตุ๊กตารูปสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่วางเรียงรายอยู่ในถาดด้วยความสนใจก่อนจะหยิบเจ้าเต่าน้อยที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพลิกไปมา


“รูเล็ก ๆ นี่เอาไว้ทำอะไรเหรอ”


เต็มฟ้าละสายตาจากดินก้อนใหม่ที่เพิ่งวางแหมะลงไปบนแท่นหมุนมองสิ่งที่อยู่ในมือของคนถาม ที่ท้องของตุ๊กตารูปเต่ามีรูเล็ก ๆ ซึ่งก็เหมือนกับตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ในถาด “เวลาที่เอาดินเข้าเตาเผาน่ะ ดินจะคลายความชื้นออกมา เพราะฉะนั้นขนาดของงานแต่ละชิ้นก็จะลดลงไปจากเดิมประมาณสิบห้าเปอร์เซนต์ เราก็เลยต้องเจาะรูให้ชิ้นงานที่มีความหนามาก ๆ เพื่อมันจะได้มีช่องทางระบายจะได้ไม่แตกหักเวลาอยู่ในเตา”


“อย่างนี้นี่เอง” หน้าเนียนขยับขึ้นลงแสดงความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ก่อนจะลองหยิบตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ขึ้นมาดูแล้วก็พบว่าแต่ละตัวก็ถูกเจาะรูเล็ก ๆ เอาไว้เช่นกัน


“เลิกงานแล้วไม่อยากกลับบ้านไปพักผ่อนบ้างหรือไง มาทำไมกันทุกเย็น ทำยังกับอยู่ใกล้ ๆ” ริมฝีปากบางบ่นพึมพำขณะใช้มือประคองเพื่อขึ้นรูปดินเป็นทรงกระบอก


“เป็นห่วงเหรอ”


“ใครว่าล่ะ เต็มยังไม่ได้พูดสักคำ”


“ก็เห็นอยู่”


“เห็น?”


“อื้อ...สายตามันฟ้องว่าเป็นห่วง”


“มองออกขนาดนั้น?”


“ใช่ ไม่เคยได้ยินหรือไงที่เขาบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ”


“แล้วขี้ตาล่ะ” คนถามยักคิ้วกวน ๆ แต่ก็โดนอีกฝ่ายสวนขึ้นทันควัน


“ก็เป็นบันไดเอาไว้ปีนขึ้นหน้าต่างมั้ง ถามมาได้” ศิธาพัฒน์เลิกคิ้วหัวเราะชอบใจที่สามารถทำแต้มขึ้นนำไปก่อน เล่นเอาเต็มฟ้าถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ไปดีกว่า” พูดจบคนหน้าหงิกก็ถอนใจก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็เดินไปที่อ่างล้างมือซึ่งอยู่ด้านในสุด จัดการเปิดก๊อกล้างเศษดินที่ติดมือออก


“จะกลับแล้วเหรอ”


“ยังหรอก ว่าจะเอางานเข้าเตาก่อน” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองถังน้ำดินที่เอาไว้สำหรับทำเป็นกาวประสานชิ้นส่วนต่าง ๆ ของงานปั้น ปลายนิ้วเรียวจุ่มลงไปในถังซึ่งมีดินเหลวเละอยู่เต็มถังก่อนจะปาดเข้าที่แก้มของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


“เฮ้ย!” ศิธาพัฒน์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวโวยวาย เหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติที่สมองสั่งให้เอาคืนด้วยวิธีการแบบเดียวกันบ้างแต่ก็ต้องชะงักเพียงเพราะคำพูดธรรมดา ๆ ของอีกฝ่าย


“หยุดเลย คนเป็นแฟนกันเขาต้องให้อภัยกันสิ ถึงจะแค่ระยะทดลองก็เถอะ”


เมื่อโดนย้อนเข้าบ้างก็ให้รู้สึกจี๊ดในใจ ร่างสูงขมวดคิ้วมองสำรวจหน้าตัวเองในกระจกที่ตอนนี้มอมแมมไปหมดไม่ต่างกับเจ้าแข็งแรงเวลาที่มันได้ออกไปวิ่งเล่นในแปลงผักเลย


“เช็ดให้เลย” คนออกคำสั่งมองด้วยสายตาเอาเรื่องแต่มีหรือที่คนดื้ออย่างเต็มฟ้าจะยอมทำตามง่าย ๆ นั่นยิ่งทำให้เจ้าของแก้มเนียนท้าทายกลับด้วยการล้างมือไปผิวปากไปอย่างสบายอารมณ์เสียด้วยซ้ำ


“เช็ดเองสิ มือก็มี”


“ใครเป็นคนทำก็ต้องรับผิดชอบสิ”


“เชื่อก็กลัว” ไอ้ตัวแสบยังคงลอยหน้าลอยตา “ถ้าไม่ล้างออกเองก็หน้าเป็นแมวกลับบ้านแบบนี้ก็แล้วกัน” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีแต่มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กเอาไว้ได้ทัน


“เดี๋ยวสิ รอก่อน” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางเปิดก๊อกล้างคราบดินด้วยมือที่เหลืออยู่ ตาคมเหลือบมองคนข้าง ๆ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์จนคนถูกล็อกเอาไว้เริ่มใจคอไม่ดี


“อย่าได้คิดทำเด็ดขาด” เต็มฟ้าปรามเสียงเข้ม


“รู้เหรอว่าจะทำอะไร”


“ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัว...จะ...” ยังพูดทันจะจบประโยคคนฟังก็วักน้ำสาดใส่เต็มหน้าเข้าตาเข้าปากจนสำลักแต่เพราะข้อมือยังคงถูกตรึงเอาไว้ดังนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้มือข้างที่เหลือวักน้ำจากก๊อกสาดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา สงครามย่อม ๆ จึงเริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของคนสองคนที่ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายก็เปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำทั้งคู่


เพียงแค่ศิธาพัฒน์กระตุกข้อมือเบา ๆ ร่างบางที่ไม่ทันระวังตัวก็โผเข้าหาอย่างง่ายดาย คนตัวสูงประคองเอวคอดของคนตรงหน้าที่ยังคงอยู่ในอารามตกใจ รู้สึกได้ถึงแรงต้านจากมือเล็กของอีกฝ่ายที่กำลังยันแผงอกของตนเองเอาไว้เพื่อให้เหลือระยะห่าง


“กลับเถอะ” เต็มฟ้ากล่าวทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด


“ยังไม่อยากกลับเลย ไม่เจอเกือบทั้งวัน เห็นหน้าแป๊บเดียวยังไม่ทันหายคิดถึง”


คนฟังก้มหน้างุด ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมเวลาได้ยินสุ้มเสียงและคำพูดแบบนี้ใจมันถึงได้สั่นทุกครั้ง


“เต็ม..” ร่างสูงกล่าวอย่างแผ่วเบาพลางเลื่อนมือขึ้นหนึ่งเชยคางเจ้าของชื่อที่กำลังพยายามหลบสายตาให้เงยหน้าขึ้นมามองกันบ้าง ทันทีที่ได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กเล็กก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมสันที่ปรารถนาเพียงการได้มีตัวตนอยู่ในสายตาคู่นี้บ้าง


“อย่าฝืนใจตัวเองนักเลย”


เต็มฟ้าเบือนหน้าหนีเมื่อใบหน้านั้นขยับใกล้เข้ามาทุกที ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างริมฝีปากอิ่มนั่นก็คงไม่ปล่อยให้เขาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำโต้แย้งใด ๆ อีก


หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นเสียงดังจนยากจะควบคุมให้เป็นปกติได้ ความอ่อนไหวดูเหมือนจะซึมไปทั่วทุกอณูของความรู้สึก



....นี่เขากำลังจะพ่ายแพ้ใช่ไหม?




‘ยังไงก็จะไม่ยอมเสียน้ำตาให้กับความรักอีกแน่ ไม่อยากถูกทิ้งอีกแล้ว’




ในที่สุดคำถามหนึ่งก็ลอดผ่านริมฝีปากบาง “หนะ...ไหนบอกว่า...จะไม่ทำให้ลำบากใจไง”


ทั้งที่ฟังแผ่วเบาเหลือเกินแต่กลับสร้างความหนักอึ้งขึ้นในภายใจคนฟัง ศิธาพัฒน์คลายมือออกเมื่อคำพูดนั้นทำให้รู้สึกตัวว่าการทำตามใจตนเองของเขากำลังทำให้อีกคนต้องอึดอัดใจ ร่างสูงถอยห่างออกมาช้า ๆ ก่อนจะกล่าวขอโทษกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป


“ขอโทษนะที่ทำให้ต้องอึดอัด” พูดจบก็หันหลังให้แล้วเดินจากไปโดยไม่หันมามองกันอีกเลย


เพียงแค่นี้ก็ทำเอาคนมองตามใจหาย....



....


เย็นวันต่อมาพ่อเลี้ยงตรัยที่กำลังเดินตรวจความเรียบร้อยของเซรามิกที่เพิ่งเอาออกจากเตามองลูกชายคนโตที่ยังคงเอาแต่นั่งทอดถอนใจอยู่หน้าแท่นหมุนที่สงบนิ่ง  มือไม้เต็มไปด้วยเศษดินแห้งกรัง แม้จะเลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้วแต่นายน้อยแห่งไร่แสงดาวก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมผู้เป็นพ่อถึงต้องถึงต้องมาที่นี่ อาการเหม่อลอยของลูกชายทำให้อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ อีกเรื่องที่น่าแปลกก็คือทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของพนักงานไปรษณีย์หนุ่มรูปหล่อที่พักนี้มักจะมาป้วนเปี้ยนให้เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ


“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ทำไมวันนี้ไม่เห็นปุ่นมาที่นี่”


“เปล่านี่พ่อ” คนถูกถามลุกขึ้นเดินไปล้างมือในขณะที่ปากก็ยังคงพึมพำเบา ๆ “ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรของเขา”


“ถ้าอยากรู้ทำไมไม่ไปถามเขาล่ะ มาถามเอากับอ่างล้างมือแล้วแกจะรู้ไหม”


“โธ่..พ่อ” เต็มฟ้ามุ่นคิ้วเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของพ่อในกระจก


ตรัยยิ้มให้ลูกชายก่อนจะวางมือลงบนบ่าพร้อมกับออกแรงบีบเบา ๆ “แกไม่จำเป็นต้องแข็งขืนให้ตัวเองได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะในทุก ๆ เรื่องก็ได้นะไอ้ลูกชาย  เพราะบางเรื่องมันก็ไม่มีการคนชนะหรือคนแพ้ อาจจะมีแค่คนสองคนที่พร้อมจะเดินข้างกันเสมอ”


“หือ...ค้มคม”


“อ้าว! ไอ้แสบ นี่พ่อพูดจริงจังยังจะมาแซว”


ลูกชายคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อมือของพ่อย้ายตำแหน่งจากบ่ามาวางบนศีรษะพร้อมกับโยกเบา ๆ ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนทุกครั้งแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด


“แล้วตกลงจะไปถามไหมว่าเขาเป็นอะไร ถ้าจะไปก็เอารถออก เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน”


“ไม่เด็ดขาด!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เต็มไปหาแข็งแรงดีกว่า”


คำตอบของเต็มฟ้าทำเอาคนเป็นพ่ออย่างตรัยต้องส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจให้กับความดื้อด้านและฟอร์มเยอะ แม้จะเป็นพ่อลูกกันก็ตามแต่ก็นึกเอาใจช่วยศิธาพัฒน์ให้ปราบพยศไอ้ตัวแสบนี่ให้ได้อยู่เหมือนกัน
   

....



เจ้าหมาขนยาวที่นอนพาดคางไปตามแนวยาวของขั้นบันไดกระดิกหางอย่างเกียจคร้านเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อตัวเองที่หน้าบ้าน มันยืดคอมองหาต้นเสียงก่อนจะกระโดดแผล็ววิ่งตรงไปที่ประตูรั้วทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังยืนรอมันอยู่ แม้จะสี่ขาจะเยื้องย่างด้วยท่าทางอันสง่างามสมกับเป็นสุนัขพันธุ์ดี แต่กลิ่นหอมของหมูปิ้งก็ทำให้น้ำลายของสุภาพสตรีหยดติ๋ง เจ้าแข็งแรงกระดิกหางแทบหลุดด้วยความดีใจก่อนจะนั่งลงครางหงิง ๆ ใช้ขาหน้าเขี่ยประตูราวกับกำลังขอร้องเจ้านายให้รีบส่งอาหารอันโอชะในมือนั่นมาเสียที   


เต็มฟ้าอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตลก ๆ ของนังหนูผู้เติบโตมาด้วยพลังหมูปิ้ง ร่างสูงย่อตัวลงนั่งพลางส่งไม้เสียบหมูปิ้งในมือผ่านช่องประตูให้เจ้าหมาน้อย ปากใหญ่รีบงับชิ้นหมูเคี้ยวไม่กี่ทีก็กลืนลงคอเหมือนใครจะแย่งเพียงไม่กี่วินาทีก็เหลือแต่ไม้


“ให้มันกินแบบนี้น่ะทำให้มันเสียนิสัยรู้ไหม” เจ้าของบ้านที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ๆ “เดี๋ยวอีกหน่อยใครส่งอะไรให้มันก็กินหมด คงโดนวางยาเข้าสักวัน”


“ขี้บ่นไม่มีใครเกินเลยน้า....แข็งแรง” เต็มฟ้าเปรยขึ้นขณะส่งหมูปิ้งไม้ที่สองให้เจ้าหมาน้อยที่นั่งน้ำลายไหลทำตาปริบ ๆ


“ถ้าอยากพูดด้วยก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกันตรง ๆ ไม่ต้องพูดฝากหมามาก็ได้หรอกมั้ง” ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอกอดอกมองเจ้าของแก้มเนียนที่ตอนนี้เริ่มขึ้นสีชมพูจาง ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าร่างกายมันไม่ได้ให้ความร่วมมือกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว


“กลับดีกว่า ขี้เกียจฟัง” พูดจบมือเรียวก็แขวนถุงหมูปิ้งเอาไว้กับรั้วก่อนจะหันหลังเดินไปที่รถโดยไม่รอฟังคำทักท้วงของเจ้าบ้าน


“อะไรกัน มาถึงก็จะกลับ ยังไม่ได้เข้าบ้านเลยนะ” ศิธาพัฒน์ที่รีบเปิดประตูออกมาเอ่ยขึ้นขณะเดินตามมาที่รถ


“เต็มมาแค่นี้แหละ”


“อุตส่าห์ขับรถมาจากไร่เพื่อเอาหมูปิ้งมาให้แข็งแรงเนี่ยน่ะเหรอ แหม...น่าอิจฉาหมาจัง”


“ก็เห็นว่ามันไม่ได้ไปที่ไร่ตั้งหลายวัน เลยแวะมาดู”


“ห่วงแต่หมา ไม่ห่วงคนเลี้ยงหมาบ้างเหรอ ไม่เห็นถามกันสักคำว่าทำไมวันนี้ไม่ไปที่ไร่”


“อยากไปก็ไปไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ไม่มีใครว่าอะไรพี่ศิธาหรอก”


“สงสัยจังว่าปากบาง ๆ แบบนี้ทำไมถึงสรรหาคำมาพูดให้คนอื่นเขาน้อยใจเก่งจัง”


เต็มฟ้าหลบหนีสายตาแฝงความหมายของอีกฝ่าย เตรียมจะหันไปกดรีโมตปลดล็อกรถ แต่มือของอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้


“หายคิดถึงพี่แล้วเหรอถึงได้รีบกลับนัก”


ฟังแล้วให้รู้สึกคันในหัวใจ ‘ใครกัน ใครคิดถึงใคร อย่าทึกทักไปเองแบบนั้นสิครับคุณพนักงานไปรษณีย์’ ทั้งที่ในใจนึกเถียงแต่กลับไม่มีคำใด ๆ หลุดออกจากปาก


“ทำไมไม่เถียงล่ะ หรือว่าจริงตามที่พี่พูด เต็มก็เลยเถียงไม่ออก หืม?”


เจ้าของแก้มแดงไม่ได้พูดอะไรได้แต่พยายามแกะมือของอีกฝ่ายออก ได้ยินเสียหัวเราะในลำคอนั่นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้จนต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาถึง รอยยิ้มของศิธาพัฒน์ยังคงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเห็นในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทดลองเป็นแฟนกันตามสนธิสัญญาประหลาดนั่น นอกจากจะทำให้ใจเต้นแปลก ๆ แล้วมันยังทำให้รู้สึกวูบไหวสูญเสียความเป็นตัวเองในทุกครั้งที่ได้เห็น


“ยิ้มอะไร มีอะไรตลกหรือไง” เต็มฟ้าขมวดคิ้วพยามยามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ


“ไม่มีอะไรตลก แต่แค่ดีใจต่างหากที่เต็มมา นึกว่าจะไม่สนใจกันเสียแล้ว” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางรั้งอีกฝ่ายให้เข้ามายืนใกล้กัน อันที่จริงวันนี้เขาก็ตั้งใจจะไปที่ไร่แสงดาวเหมือนอยู่แล้ว ก็วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการระยะทดลองเป็นแฟนกันตามสัญญาที่ตัวเขาเป็นคนคิดขึ้นแล้วจะไม่ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าได้อย่างไรกัน แต่เพราะต้องช่วยงานที่สำนักงานไปรษณีย์ก็เลยทำให้เพิ่งจะได้กลับบ้านเอาเมื่อตอนใกล้ค่ำ เมื่อเตรียมตัวจะไปจู่ ๆ อีกฝ่ายก็โผล่หน้าชวนมองมาให้หายคิดถึงเสียก่อน


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)



เต็มฟ้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงตามองดูนาฬิกาที่บอกเวลาอีกยี่สิบนาทีจะเข้าสู่วันใหม่สลับกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือ ‘สนธิสัญญาว่าด้วยการปฏิบัติตัวในระยะทดลองเป็นแฟน’ อีกไม่กี่นาทีมันก็จะกลายเป็นเพียงกระดาษที่ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป เสียงครืดคราดทำให้ต้องผุดลุกขึ้นเดินไปคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือมากดรับสาย ไม่ได้พูดอะไรจนคนที่ปลายสายต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้น


‘ยังไม่หลับอีกเหรอ’


“อืม”


‘พี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน’ พูดจบก็เงียบไปได้ยืนเพียงลมหายที่แสดงว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้วางสาย ‘อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะผ่านวันนี้ไปแล้วเนอะ’


ฟังดูเหมือนเป็นคำถามแต่เต็มฟ้าก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไร


‘ออกมาดูดาวกันไหม’


ประโยคนี้ต่างหากที่ทำให้คนฟังคงต้องพูดอะไรสักอย่าง....



ศิธาพัฒน์ยืนพิงมอเตอร์ไซค์มองคนที่กำลังเปิดประตูรั้วออกมายืนอยู่ตรงหน้าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือที่เหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีจะเข้าสู่วันใหม่


“นึกยังไงชวนดูดาวตอนนี้”


“ก็นอนไม่หลับ ไม่อยากทิ้งเวลาไปเปล่า ๆ เหลืออีกตั้งสิบห้านาทีกว่าจะหมดวัน ขึ้นรถเถอะ” เจ้าของมอเตอร์ไซค์คลาสิกกล่าวพลางขึ้นนั่งประจำที่ของตัวเองในขณะที่คนถูกชวนก็ยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข


แม้ผู้คนจะเริ่มบางตาแต่บนถนนคนเดินก็ยังเต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มทยอยเก็บข้าวของกลับบ้าน  ศิธาพัฒน์จึงขี่มอเตอร์ไซค์อ้อมไปอีกทางโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สะพานโค้งสีขาวที่ทอดข้ามแม่น้ำวัง ดวงตาสีเข้มของเต็มฟ้าทอดมองสองข้างทางที่มีเพียงไฟถนนสีนวลให้ความสว่าง ลมแรงปะทะเข้ามาจนหน้าชาไปหมดแม้ซุกหน้าหลบหลังคนขับแล้วก็ตาม อากาศในค่ำคืนนี้ช่างหนาวเย็นจับใจจนมือเรียวที่วางอยู่บนหน้าขาเย็นเฉียบไปหมด   


“อีกแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีแล้วนะ ใจคอจะนั่งห่างกันอย่างนี้น่ะเหรอ” เสียงนั้นดังแทรกขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บพร้อมกับเอื้อมดึงมือของคนนั่งซ้อนท้ายมากุมเอาไว้


“มือเย็นเฉียบเลยนี่นา” พูดจบก็จับมือบางสอดลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาวของตนเอง ทำแบบนี้ทั้งสองข้างจนกลายเป็นว่าตอนนี้เต็มฟ้ากำลังกอดเขาอยู่


“กอดได้นะ พี่ไม่ลำบากใจหรอก” คนขับกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางมองเงาสะท้อนของแก้มเนียนในกระจกมองข้าง ใบหน้านั้นยังคงนิ่งเฉยปราศจากความรู้สึกยินดียินร้ายใด ๆ ครู่หนึ่งศิธาพัฒน์ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังยุกยิกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อท่อนแขนเล็กของคนซ้อนกระชับเข้ากับเอวของเขาพร้อมกับแก้มอุ่น ๆ ที่แนบลงกับแผ่นหลัง


“ไปให้ถึงวัดพระธาตุลำปางหลวงเลยดีไหมจะได้อยู่แบบนี้นาน ๆ”


“อย่าเยอะ แค่สะพานขาวก็พอแล้ว” เสียงบ่นอู้อี้ของคนนั่งซ้อนท้ายเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้อีกครั้ง เพียงไม่นานมอเตอร์ไซค์สีฟ้าทรงโบราณก็มาจอดนิ่งอยู่ที่เชิงสะพานรัษฎาภิเศก จากตรงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งน้ำแม่วังได้อย่างชัดเจน เกสต์เฮาส์ที่ตั้งอยู่ริมน้ำยังคงประดับไฟระยิบระยับแข่งกับแสงของดวงดาวที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้าให้ความรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในความฝัน


หรือนี่จะเป็นเพียงฝัน...


ดวงตาสะท้อนแสงไฟเหลือบมองคนที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ กัน เขาเท้าแขนกับราวสะพานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เส้นผมสีดำขลับปลิวไสวไปกับสายลมหนาวจนต้องยกมือขึ้นเสยผมเป็นระยะ ๆ ในที่สุดก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่แสดงให้รู้ว่าเวลาของวันนี้เหลืออีกเพียงอีกห้านาทีเท่านั้น


“เจ็ดวันที่ผ่านมามันเหมือนฝันเลยเนอะ”


“ฝันร้ายน่ะเหรอ” เต็มฟ้าหัวเราะพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเจ็ดวัน มันคล้ายกับมีบางอย่างเข้ามาแทรกตัวกลมกลืนจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากพ้นจากวันนี้ไปจะรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไปหรือไม่ ทั้งที่พยายามสรรหาวิธีการเพื่อจะทำให้อีกฝ่าย ‘ถอดใจ’ เลิกพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีบัญญัติศัพท์นี้อยู่ในพจนานุกรมของศิธาพัฒน์ ขณะเดียวกันแท่งศิลาภายในใจของตัวเขาเองกลับมีคำว่า ‘หวั่นไหว’ สลักไว้เต็มไปหมด


“ฝันดีต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตื่นได้แล้ว” พูดจบมือบางก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกระดาษโน้ตยับยู่ยี่ออกมากางออก อีกเพียงไม่กี่นาทีทั้งตัวเขาและเจ้าของสัญญานี้ก็จะได้ตื่นจากความฝันกันเสียที


“ไม่รู้ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วจะเป็นยังไงบ้างเนอะ”


“ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นในแบบที่มันควรจะเป็นไง” เต็มฟ้ากล่าวพลางก้มมองกระดาษโน้ตแผ่นเล็กในมือสลับกับเข็มวินาทีที่กำลังเดินเข้าใกล้เลขสิบสอง


“ตื่นเสียทีนะ” เจ้าของริมฝีปากบางกล่าวกับตัวเอง ขณะที่กำลังจะฉีกกระดาษแผ่นนั้นสายลมแห่งฤดูหนาวก็ปะทะเข้ากับร่างพร้อมกับพัดเอากระใบน้อยที่อยู่ในมือปลิดปลิวไปในอากาศ ทั้งเต็มฟ้าและศิธาพัฒน์ต่างก็หันกลับไปมองหาว่ามันปลิวไปทางใดแต่ก็ไม่เห็นเสียแล้ว


“แย่จัง หาไม่เจอแล้ว” ร่างสูงกล่าวพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ


“ช่างเถอะน่า ยังไงก็หมดวันพอดีเท่านี้สนธิสัญญาอะไรนั่นของพี่ศิธาก็ยุติแล้ว”


รอยยิ้มกับสายตาน่าสงสัยของศิธาพัฒน์ทำให้เต็มฟ้าชักไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองพูดออกมาเสียแล้ว ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่ายสักเท่าไร ชายหนุ่มหรี่ตามองคนที่ยังคงทอดสายตามองไปตามแนวยาวของลำน้ำอดรนทนไม่ไหวจึงต้องถามให้หายสงสัย


“พี่ศิธายิ้มอะไร”


คำถามนั้นยิ่งทำให้ศิธาพัฒน์ยิ้มกว้างขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ยกมือขึ้นถูต้นคอตัวเองไปมา หากไฟบนสะพานสว่างพอคงทำให้เต็มฟ้าได้เห็นใบหน้าที่เจือด้วยสีชมพูจาง ๆ ของเขาได้ไม่ยาก


“เต็มถามว่ายิ้มอะไรไง”


“บอกแล้วอย่าโกรธนะ”


“เรื่องอะไรเนี่ยถึงคิดว่าถ้าบอกแล้วเต็มจะโกรธ”


“ก็สัญญานั่นน่ะ มันจะยุติตอนเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันอาทิตย์และที่สำคัญก็คือ เต็มต้องฉีกมันทิ้ง”


“หมะ...หมายความว่า...”


“ก็หมายความว่าทุกอย่างยังจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าเต็มจะหากระดาษใบนั้นเจอน่ะสิ”


“ล้อเล่นกันอีกแล้วใช่ไหม”


“พี่พูดจริง ๆ จะโกหกเต็มทำไม” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะทำเอาคนฟังเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทั้งหมดมันเป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้หรือไม่


“พี่ศิธามันพวกเจ้าแผนการ เต็มไม่อยากจะเชื่ออะไรแล้ว” เต็มฟ้ากล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะหันหลังเดินหนี


“เดี๋ยวก่อนสิ” คนถูกต่อว่ารู้ดีว่าคำพูดเพียงอย่างเดียวไม่อาจยื้อคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โมโหเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ไปไหน


“ถ้าไม่ทำแบบนี้ เต็มจะยอมตกลงเป็นแฟนกับพี่เหรอ”


“ใครตกลงด้วย พี่ศิธาพูดเองเออเองอยู่คนเดียว” เต็มฟ้ากล่าวเสียงแข็ง รู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อยแต่พอเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้วกลับพูดอะไรไม่ออก


ศิธาพัฒน์สบตาคนตรงหน้าก่อนจะกระตุกข้อมมือเบา ๆ ดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “แล้วเต็มล่ะ ทำอะไรแบบที่ไม่ฝืนใจตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง อยากเอาชนะพี่มากขนาดนั้นเลยเหรอ”
ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนเกินกว่าที่เต็มฟ้าจะทนสู้สบประสานอยู่ได้ ใบหน้าชวนมองเบือนหนีโดยไม่ได้โต้กลับด้วยวาจาอย่างที่เคยทำ นึกตำหนิตัวเองที่ทำปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ขณะที่กำลังคิดทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมือหนาของอีกฝ่ายจับเข้าที่ปลายคางก่อนจะรั้งเบา ๆ ให้หันกลับมาสบตากันอีกครั้ง


“หรือจริง ๆ แล้วเต็มเกลียดพี่ หืม?” ศิธาพัฒน์พูดพลางประคองสองแก้มเย็นเฉียบเอาไว้


“มะ..ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น” คนฟังรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้เกลียด”


“ไม่เกลียดแล้วทำไมไม่ยอมมองหน้ากัน หรือว่าเขิน”


เต็มฟ้าถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย “พี่ศิธาไม่คิดบ้างเหรอว่าสุดท้ายคำตอบที่ได้จากเต็มมันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่พี่ศิธาอยากจะได้ก็ได้”


“ในส่วนของเต็มพี่ไม่รู้ พี่เองก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกัน แต่ใส่วนของพี่ พี่ตั้งใจว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด ยังไงพี่ก็จะทำให้เต็มยอมรับในตัวพี่ให้ได้”


“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?”


“ถ้าเป็นเกี่ยวกับตัวพี่เอง พี่มั่นใจว่าพี่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ แต่เกี่ยวกับเต็ม...พี่ไม่มั่นใจเลย จริง ๆ กลัวเสียด้วยซ้ำ”


“กลัวเหรอ ขนาดนี้แล้วพี่ศิธายังมีอะไรต้องกลัวอีก”


“กลัวว่าเต็มไม่คิดเหมือนกัน แต่พอเห็นหน้าเต็มวันนี้ถึงได้รู้...”


“รู้อะไร”


“ก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้วน่ะสิ เต็มล่ะจะเลิกฝืนใจแล้วยอมรับในความรู้สึกของตัวเองได้ไหม” ร่างสูงกล่าวพลางสัมผัสปลายนิ้วชี้ที่หน้าอกข้างซ้ายของคนตรงหน้า เพียงเท่านั้นก็ทำเอาหัวใจเต็มฟ้าเต้นรัวอีกครั้ง “ยอมรับเสียทีว่าข้างในนี้มีพี่แอบซ่อนอยู่”



พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนโน้มตัวลงกระซิบ “ได้ไหมครับ”



เต็มฟ้าจ้องหน้าคนตัวสูงด้วยแววตาเอาเรื่องเหมือนลูกแมวจ้องจะเอาคืนคนที่แหย่ให้มันรำคาญ “ตอบคำถามเต็มมาก่อน”


ศิธาพัฒน์ถอยออกมาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “อยากรู้อะไรถามมาได้เลย”



“ชอบเต็มตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมถึงชอบ”


“อืม..ชอบตั้งแต่ตอนไหนน่ะเหรอ ตอบยากแฮะ รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว”


“ทั้ง ๆ ที่เต็มทำตัวไม่ดี กวนประสาทพี่เนี่ยนะ”


“ใช่ ทำไมล่ะ น่ารักดีออก”


“ประสาท”


“หมดคำถามแล้วหรือยัง”


“ยังมีอีกข้อ”


ศิธาพัฒน์ยังคงยิ้มให้ อยากรู้อะไรก็ถามมาให้หมดเขาจะได้ถามคำถามที่เขาอยากรู้บ้าง


“พี่ศิธาใช้วิธีมัดมือชกแบบนี้กับทุกคน.....เต็มหมายถึงทุกคนที่คิดจะจีบหรือเปล่า”


“วิธีนี้คงใช้กับเต็มฟ้า ตติยพัฒน์คนเดียวนี่แหละ เพราะคงไม่มีใครดื้อ ขี้เก๊ก แล้วก็ฟอร์มเยอะแบบนี้อีกแล้ว” พูดจบมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นบีบจมูกโด่งรั้นของเจ้าของคำถามอย่างหยอกเย้าจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนี


“เป็นอะไรไป เขินเหรอ”


“พี่ศิธา!” เจ้าของแก้มขึ้นสีมุ่นคิ้วพร้อมกับทุบเต็มแรงที่อกแกร่งให้รางวัลคนช่างพูดจี้ใจดำ


“โอ๊ย! เต็ม...ทุบมาได้ พี่เจ็บนะเนี่ย” ร่างสูงกล่าวพลางจับมือที่กำหลวม ๆ ของคนตรงหน้ามาแนบอกตัวเองพร้อมกับถามย้ำคำเดิม “เขินใช่ไหม หืม?”


“เลิกถามได้แล้ว”


“เอาล่ะ ๆ ไม่ถามคำถามนี้แล้วก็ได้ ถามคำถามอื่นแทนดีกว่า”


“จะถามอะไรเต็ม”


“พี่อยากรู้ว่า....” นัยน์คมจ้องมองลงไปในดวงตาที่กำลังสะท้อนเงาของเขาราวกับจะอาศัยช่องทางนี้เข้าไปค้นหาคำตอบให้ถึงในใจของอีกฝ่าย  “พอตื่นมาตอนเช้าเราจะเป็นอะไรกัน จะเป็นแฟนกันต่อไหม”
คนถูกถามทำหน้าง้ำ ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร ทำไมศิธาพัฒน์ถึงได้เจ้าเล่ห์แสนกลขนาดนี้ นึกแล้วอยากจะเขกหัวตัวเองแรง ๆ ที่ใจร้อนไปรับคำท้านี้เข้า


“ว่ายังไงล่ะครับ”


“อีกตั้งนานกว่าจะเช้า เดี๋ยวเช้าค่อยมาตอบก็แล้วกัน”


ศิธาพัฒน์โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ นึกไม่ถึงว่าไอ้ตัวแสบจะตอบคำถามของเขาแบบนี้ แต่มีหรือที่จะยอมแพ้ ริมฝีปากอิ่มเผยอยิ้มรั้งเอวสอบเข้ามาใกล้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน


“ได้ ถ้าอย่างนั้นพี่จะมารอฟังคำตอบแต่เช้าเลยดีไหม ตีห้าครึ่ง หกโมง หรือเจ็ดโมงเช้าดีนะ”


“เหอะ บางทีพี่ศิธาก็เหมือนคนโรคจิตเนอะ มีใครเขาทำกันบ้างขอเป็นแฟนด้วยวิธีการแบบนี้ แทนที่จะขอกันดี ๆ”


“ก็เต็มไม่เหมือนคนอื่นนี่นา ถ้าขอดี ๆ จะยอมเหรอ”


“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง” ไอ้ตัวแสบยักคิ้วกวน ๆ


“เอางั้นเหรอ” คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนเอาคืนยิ้มเขิน ๆ ดวงตายังคงจดจ้องอยู่กับหน้าชวนมองที่กำลังพยักหน้าให้ โดนย้อนเข้าให้แบบนี้ถึงกับไปไม่ถูกเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนที่ตั้งใจว่าจะจีบไอ้แสบนี่ก็แทบจะลืมไปเลยว่าความโรแมนติกมันคืออะไร ศิธาพัฒน์ผ่อนลมหายใจรวบรวมความกล้าทำในสิ่งที่เขาควรจะทำเสียที


“ตะ..เต็ม เต็มจ๋า...แบบนี้พอไหวไหม”


“เอาพอดี ๆ พี่ศิธา ฟังแล้วจั๊กจี้ว่ะ”


“โธ่! อย่าเพิ่งขัดสิ” ศิธาพัฒน์ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ในขณะที่เต็มฟ้าได้แต่โคลงศีรษะมองคนอายุมากกว่าที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหน้าอย่างเอ็นดู เวลาที่เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมันก็น่ารักเหมือนกันนะ



“เป็นแฟนกับพี่นะ”




“นะครับ”




เมื่อถึงวินาทีนี้เต็มฟ้ายากจะปฏิเสธได้ว่าความอยากเอาชนะที่เคยพุ่งพล่านกลับเหือดแห้งราวกับไอน้ำที่ระเหยไปในอากาศ ส่วนแท่งหินหนักอึ้งที่ล้อมกรอบหัวใจก็ถูกกัดกร่อนด้วยความรู้สึกหวั่นไหวจนแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี  ยากที่จะนำมาประกอบกันเป็นกำแพงปิดกั้นตัวเองได้อีกต่อไป



ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชายใจดีก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ เป็นคำตอบที่ไม่มีเสียง...แต่คนสองคนกลับรู้สึกว่ามันดังยิ่งกว่าเสียงของหัวใจสองดวงที่แนบชิดและเต้นสอดประสานกันอยู่ในตอนนี้เสียอีก


....


เพิ่งเขียนเสร็จ อาจจะมีคำผิดเยอะหน่อยต้องขออภัยนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2014 15:21:17 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด