“สวัสดีครับคุณทัตพล ทำไมวันนี้ถึงแวะมาได้ล่ะครับ” ภูวดลยกมือขึ้นไหว้ เมื่อเห็นทัตพลเดินเข้ามาภายในร้าน
“ฉันว่างน่ะ ถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว”
เขาพูดยิ้ม ๆ ท่าทางทีเล่นทีจริงจนภูวดลต้องเผลอมองอย่างแปลกใจ ทัตพลเดินดูภาพวาดที่เขาสนใจช้า ๆ ขณะที่ฝ่ายเจ้าของบ้านเข้าไปจัดเตรียมน้ำท่าและผลไม้ออกมาให้
“ภาพนี้สวยนะ มาครั้งที่แล้วฉันยังไม่เห็นเลย”
ภาพหมู่เกาะของท้องทะเลแห่งหนึ่ง ทัตพลมองแวบเดียวก็สงสัยว่าน่าจะเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่เขาเคยพาวารินขับเรือไปชมเล่น
“ครับ เพิ่งวาดเสร็จสองวันที่แล้วเลยลองเอาใส่กรอบขึ้นโชว์ เป็นภาพที่ทรายส่งรูปมาให้เห็นบอกว่าชอบรูปนี้ผมเลยลองวาดดูครับ”
ภูวดลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ในแววตาแฝงความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยมเมื่อเอ่ยถึงน้องชายคนเดียวของเขา ทัตพลพยักหน้ารับเบา ๆ เขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ
“เธอคงจะรักทรายมากสินะซี เขาเป็นยังไงบ้างไปดูแลเจ้านายอยู่ที่โน่น กลับมาบ้างรึเปล่า”
ทัตพลเดินมานั่งลงที่โต๊ะกระจกเล็กสำหรับรับรองแขก ภูวดลที่เพิ่งวางจานผลไม้ลงถึงกับหันมองมองคนถามทันที พลางคิดว่าทัตพลรู้ได้อย่างไรเรื่องที่วารินไปดูอยู่ดูแลภัครจิราที่บ้าน
“ครับก็เขาเป็นน้องชายคนเดียวของผม แล้ว..ทรายเพิ่งกลับมาเมื่อวานแต่ก็กลับไปเมื่อวานอีกเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก เขาคงไม่เล่าเรื่องที่ธาราธารมาตามวารินดึกดื่นถึงที่นี่แน่ ๆ
“เขาต้องลำบากเพราะฉัน” ทัตพลพึมพำในลำคอเบา ๆ รู้สึกผิดทั้งต่อทั้งสองคนพี่น้อง แต่ภูวดลได้ยินไม่ค่อยชัดจึงจับใจความไม่ได้ว่าทัตพลพูดถึงเรื่องอะไร
“คุณทัตพลมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเล่าให้ผมฟังได้นะครับ” ภูวดลนั่งลงข้าง ๆ เมื่อเห็นอีกคนมีสีหน้าลำบากใจภูวดลก็แค่อยากจะปลอบ เขาไม่เคยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างวารินกับทัตพล และเขาไม่เคยรู้ด้วยว่าทัตพลเป็นพ่อแท้ ๆ ของธาราธาร
“นี่ฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยสินะ” เขาหันมายิ้มบางทว่าแฝงไปด้วยความอบอุ่นส่งให้
“เรียกฉันว่า ‘พี่ทัต’ สิ เธอเป็นรุ่นน้องฉันไม่ใช่หรือซี”
“ผ...ผมไม่กล้าหรอกครับคุณทัตพลเป็นถึงคุณพ่อของชนาธิปแล้วยัง....”
“จะเกรงใจอะไรล่ะ ไหนบอกฉันมีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้เล่าให้เธอฟังได้ แต่เธอเรียกฉันเสียห่างเหินแบบนี้ ฉันยังจะกล้าเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้เธอฟังได้หรือ”
ภูวดลอึกอักไม่รู้จะต่อบทสนทนาไปในทางไหน เมื่อทัตพลเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนั้นของอีกฝ่ายก็อดจะขำพรืดออกมาไม่ได้ ทำเอาเขานึกไปถึงหน้าตาตลกๆของวาริน และคิดไปว่าพี่น้องสองคนนี้ช่างเหมือนกันจริง ๆ เวลาทำสีหน้าลำบากใจหน้าจะมู่ทู่แปลกๆ
“เอาล่ะๆ ถ้าไม่อยากเรียก ‘พี่ทัต’ ก็เรียกฉัน ‘คุณทัต’ เหมือนที่ทรายเขาเรียกได้ไหม อย่าเรียกชื่อเต็มเลยมันดูห่างเหินยังไงไม่รู้น่ะ”
ภูวดลค่อยโล่งอกส่งยิ้มให้เขา ทัตพลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลาและเอ่ยปากขออยู่ทานขาวเย็นที่นี่ด้วย ภูวดลถึงกับแสดงสีหน้าแปลกใจ
“บอกแล้วไงฉันถูกไล่ออกจากที่ทำงานแล้ว แม้แต่บ้านก็ไม่มีให้กลับ ขอฝากท้องกับเธอสักมื้อเถอะนะ ฉันทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากหรอก”
ภูวดลงงไปนิดหน่อยพูดไม่ออกแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่แล้วจู่ ๆ เขาพูดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นอีกภูวดลถึงกับอึ้งไป
“ถ้าฉันจะขอค้างที่นี่สักคืนจะได้รึเปล่า”
“ ถ้ากลับตอนนี้ฉันก็มีแต่ต้องอยู่คนเดียว มันเหงาน่ะ เธอก็รู้ใช่ไหมเวลาคนเหงามันก็คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ฉันรบกวนเธอมากไปใช่ไหม...ฉัน....”
ดวงตาคมกริบของเขาเหม่อมองไปอย่างไม่มีจุดหมายขณะพูดถึงเรื่องความเหงา ภูวดลนึกสงสารเขาขึ้นมาเพราะตัวเองก็รู้ดีว่าความเหงามันกัดกินใจใจแค่ไหนและคิดว่าเขาคงจะมีเรื่องไม่สบายใจมากมายจริง ๆ
“ไม่รบกวนหรอกครับ คุณทัตค้างที่นี่สักคืน มีอะไรไม่สบายใจถ้าอยากระบายค่อยๆเล่าให้ผมฟังได้ ผมอาจไม่ใช่นักแก้ปัญหาที่เก่งนัก ขนาดเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอดแต่ผมก็เป็นนักฟังที่ดีนะครับ”
“ขอบใจนะซีเธอกับทรายเป็นเด็กดีมากจริงๆ”
ครั้งหนึ่งวารินเองก็เคยพูดประโยคทำนองเดียวกันนี้กับเขา ทัตพลได้แต่คิดเรื่องราวในใจถ้าหากไม่เกิดเรื่องคืนนั้นระหว่างเขากับวาริน วารินคงจะกลายเป็นน้องชายคนสำคัญของเขาไปแล้วเพราะเขารู้สึกถูกชะตามากแต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะมีหน้าให้เขาไปใกล้ชิดสนิทสนมกับวารินมันยิ่งจะดูไม่เข้าท่า ซ้ำร้ายธาราธารลูกชายของเขาท่าทางจะคิดกับวารินมากกว่าคำว่าพี่แล้วแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นรึเปล่าที่เขาอยากมาที่นี่อยากใกล้ชิดภูวดลเพราะมันเหมือนกับว่าเขาได้ทำอะไรไถ่โทษให้กับวารินบ้าง เพราะว่าเขาเองที่ทำให้วารินต้องระหกระเหินไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วปล่อยให้ภูวดลต้องเหงาอยู่ที่นี่คนเดียว
“ทานข้าวเถอะครับ มีแค่แกงจืดไข่เจียวกับผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นไม่รู้ว่าคุณจะทานได้รึเปล่า” ภูวดลตักข้าวสวยร้อนๆแล้ววางลงที่โต๊ะ ทัตพลมองอาหารแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นเป็นอาหารที่เขาโปรดปรานมากช่างบังเอิญจริง ๆ ที่ภูวดลทำให้ทานในวันนี้
“ทานล่ะนะไม่ต้องเกรงใจใช่ไหม” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามคนตรงข้ามยิ้ม ๆ ภูวดลพยักหน้าหงึกๆส่งไป ทั้งสองคนต่างนั่งทานข้าวกันเงียบๆ
“ซีกับทรายนี่ไม่เหมือนกันเลยนะ ถึงจะนิสัยคล้ายกันแต่หน้าตาออกไปคนละแนวเลย ตั้งแต่เด็กเลยนี่” ทัตพลมองเห็นกรอบรูปที่ใสภาพครอบครัวตั้งอยู่ที่ชั้นใกล้ ๆ จึงพูดขึ้นอย่างไม่คิดอะไร ภูวดลให้ความรู้สึกเหมือนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ในขณะที่วารินดูเป็นเด็กที่แตกต่างออกไปคล้ายเด็กญี่ปุ่นมาก
“โทษทีนะ ฉันคงพูดเรื่องไม่เข้าท่าออกไป ทานกันต่อดีกว่า” เมื่อภูวดลหน้าเจื่อนลง ทัตพลที่สังเกตเห็นได้จึงรีบขอโทษขอโพยเพราะดูท่าว่าตัวเขาพูดเรื่องไม่สมควรออกมาเสียแล้ว
“เปล่าครับ ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังหรอกครับ ความจริงแล้วผมกับทรายไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆหรอก เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กถึงทรายจะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของคุณพ่อกับคุณแม่แต่ท่านสองคนก็รักทรายไม่ต่างไปจากผมเลย เรามีกันแค่สองคนพี่น้องทรายคือคนสำคัญที่สุดของผมครับ
ทัตพลพยักหน้ารับเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงความจริงใจเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง เขาเองก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดอีก
“ความจริงฉันกับภรรยา เรามีปัญหากันไม่ใช่น้อยเลย ฉันตัดสินใจจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้นแล้วเดินออกมา ความผิดบางอย่างมันก็เกินจะให้อภัยกันได้ คนรอบข้างเดือดร้อนกันไปหมด ต้นเหตุมาจากฉันทั้งนั้น”
ภูวดลเงยหน้ามองเขาทันที ทัตพลรวบช้อนเข้าด้วยกันแล้วพูดต่อ
“ถ้าเป็นเธอจะรู้สึกยังไง??..... ยี่สิบปีที่แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งต้องทอดทิ้งลูกเมียที่ตัวเองรักออกมาใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงอีกคน เฝ้าเลี้ยงดูเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ๆมาโดยตลอด จะป้อนขนมจะอุ้มเขาแต่ละทีก็คิดถึงแต่ลูกตัวเองที่ไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะได้บอกว่าตัวเองคือคุณพ่อ”
น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจพล่างพรูออกมา ดวงตาคมแฝงไว้ด้วยความเศร้าภูวดลพอได้ฟังเรื่องของเขาแล้วพลันสงสารขึ้นมาจับใจ เขาคงมีเหตุผลสำคัญจริงๆ ไม่เช่นนั้นใครกันจะทิ้งคนที่ตนเองรักได้ลงคอทั้งภรรยาทั้งลูก เรื่องราวของเขามันหนักหนาขนาดนี้?
“ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้มาตลอด....ทุกข์...”
ยี่สิบปี...คงจะทดแทนกันหมดแล้วสำหรับบุญคุณที่ติดค้างกันไว้ ถึงเวลาที่เขาจะเดินออกมาจากกรงนั้นได้เสียที เขามองหน้าภูวดลนิ่งไม่รู้ทำไมถึงได้พรั่งพลูเรื่องราวเหล่านี้ออกมาให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานฟังอย่างหมดเปลือกแบบนี้
“ฉันพูดอย่างไม่อายเลยว่า คนที่ทำให้ภัครจิราเจ้านายของทรายต้องนอนป่วยอยู่แบบนี้ก็คือภรรยาของฉัน เพราะความเข้าใจผิด หึงหวงหน้ามืด ทำอะไรเลวร้ายโดยไม่ไตร่ตรองเรื่องราวให้ดี กลับทำให้หลายคนต้องจมอยู่ในห้วงทุกข์”
ใบหน้าคนฟังแปะไปด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ภูวดลไม่ได้เอ่ยปากถามออกมาสักคำ เขาช่างเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ในเมื่ออีกฝ่ายอยากระบายเขาก็ปล่อยให้ระบายออกมาได้เต็มที่ แต่มันติดอยู่ที่ว่า...ทำไมทัตพลคนนี้จึงเกี่ยวข้องกับภัครจิราเจ้านายของวารินได้
“ใช่แล้ว เรื่องจริงก็คือชนาธิปไม่ใช่ลูกของฉันหรอก ลูกชายคนเดียวของฉันก็คือธาราธาร เด็กคนที่วารินน้องชายของเธอดูแลอยู่”
!!!!!!!
ภูวดลเบิกตาขึ้นทันที ความรู้สึกคือตกใจคาดไม่ถึง ถ้าทัตพลเป็นคุณพ่อของธาราธาร อย่างนั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นสามีเก่าของภัครจิราคนที่วารินเคยพูดถึงมาตลอด ผู้ชายคนที่ทอดทิ้งครอบครัว เพื่อไปแต่งงานอยู่กินกับลูกคนใหม่และผู้หญิงอีกคน
“คนที่เลวแสนเลวก็คือฉัน ฉันคนนี้”
มือเรียวยาวเลื่อนเข้าไปเกาะกุมที่หลังมือของทัตพลไว้อย่างปลอบใจ ภูวดลไม่รู้ว่าทำไมร่างกายเขาทำไปเองโดยอัตโนมัติ เขารู้แต่ว่าไม่อยากเห็นคนตรงหน้าโทษตัวเองและจมอยู่ในความเศร้านานเกินไป เขาไม่รู้เรื่องราวลึกๆแต่เท่าที่อีกฝ่ายเล่ามา ยี่สิบปีมันนานเกินไปจริง ๆ ที่คนๆหนึ่งจะจมอยู่กับความทุกข์ทรมานขนาดนั้น
.
.
“นายนี่มันตัวเรื่องมากจริง ๆ ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ”
ธาราธารถอนใจเฮือกใหญ่ เขากำลังหัวเสียอย่างที่สุด หลังจากตื่นขึ้นมาชนาธิปดันนอนขดตัวอยู่ข้าง ๆ พอรู้สึกตัวได้แทนที่จะรีบกลับไป ดันรบเร้าให้เขาพามาทำธุระกว่าเขาจะรู้ว่าธุระเรื่องอะไรรถก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังคุ้นเคยซึ่งเขาเพิ่งมาล่าสุดก็เมื่อคืนนี้เอง
แกลลอรี่หลังเล็กที่มีลั่นทมต้นใหญ่เป็นเอกลักษณ์.... บ้านของวารินและภูวดล
“ก็พี่ซีเขาวาดรูปสวยนี่ ธิปชอบสะสมภาพวาดเลยใช้บริการเขาอยู่บ่อย ๆ ธารลงไปด้วยกันไหม” ชนาธิปไม่รู้เรื่องที่ว่าธาราธารรู้จักทั้งภูวดลทั้งวาริน
“อ้าวรถคุณพ่อนี่นา” คนตัวเล็กเอ่ยเมื่อเปิดประตูลงไป ธาราธารยังนั่งเฉยมีหรือที่เขาจะลงแค่พามานี่ก็เหนือความคาดหมายแล้ว แต่ทว่าชนาธิปเดินมาเคาะกระจกเรียก
“ธาร คุณพ่อธิปท่านมาที่นี่ด้วย ธารลงไปไหว้ท่านหน่อยนะ” ชนาธิปทำสีหน้าขอร้องธาราธารจึงตัดสินใจเดินตามเข้าไปด้วยอย่างจำใจ
“ธาร!”
ทัตพลอุทานขึ้นทันทีที่เห็นผู้ที่ก้าวเข้ามา เขากำลังช่วยภูวดลเลื่อนกระถางต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน หลังทานอาหารเย็นกันเสร็จทัตพลอาสารดน้ำต้นไม้พร้อมทั้งเคลื่อนย้ายกระถางนิดหน่อยเพื่อตอบแทนน้ำใจของภูวดล เนื้อตัวเหนียวเหนอะมอมแมมไปหมด
ธาราธารชะงักเท้าสีหน้าเขาเครียดขึงอย่างเห็นได้ชัดแต่ชนาธิปที่ไม่ได้รู้เรื่องเพราะเดินนำอยู่ด้านหน้าตรงดิ่งเข้าหาทัตพลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณพ่อมาทำอะไรที่นี่ครับ” สิ้นคำพูดของชนาธิปเท่านั้นธาราธารที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับหยุดชะงักจ้องหน้าเขานิ่ง และในที่สุดเขาเหยียดริมฝีปากอย่างขมขื่น
“..หึ..”
...คุณพ่ออย่างนั้นหรือ...คนที่มีสิทธิ์จะเรียก ‘คุณพ่อ’ ได้เต็มปากสินะ...
เขาหมุนตัวกลับแล้วรีบสาวเท้าออกทันที ทัตพลผลุนผลันหลีกจากชนาธิปเดินตามมาขวางเขาไว้
“เดี๋ยวธาร คุยกับ พ่....กับฉันก่อนได้ไหม” อยากจะเอ่ยคำว่าพ่อแต่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะอย่างไรคงไม่ยอมรับเขาจึงเปลี่ยนเป็นคำอื่นแทน
“หลีกไปผมไม่มีอะไรจะต้องคุยกับคุณ” เขาพูดห้วน ๆ โดยไม่หยุดก้าวเดิน ทัตพลที่ตัวสูงใหญ่พอๆกับเขาจึงเดินเข้าขวางหน้าแบบไม่ให้หนีไปไหนได้อีก
“ต้องการอะไร? อยากได้อะไรจากผมอีก สิ่งที่คุณพรากไปมันยังไม่พออีกหรือยังไง”
แววตาของเขาจ้องมองคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่ออย่างตัดพ้อจนถึงที่สุด ผู้ชายที่ไม่เคยเลี้ยงดู ผู้ชายที่นอกใจแม่เขา ทอดทิ้งแม่เขาไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน และสุดท้ายยังมาพรากคุณแม่ของเขาให้ตายทั้งเป็น โดยการเป็นชู้กับคนที่คุณแม่เขาไว้ใจที่สุด และคนๆนั้นยังเป็นคนที่เขาเคยเอ่ยคำว่ารักให้อย่างสุดหัวใจอีกด้วย
...มีอะไรที่จะชอกช้ำไปมากกว่านี้อีกไหม..
“คุณพ่อ!” เสียงใสจากชนาธิปดังขึ้นจึงดึงให้เขาตื่นจากห้วงความคิดทั้งหมด
“คุณพ่อกับธารรู้จักกันด้วยหรือครับ”
ภูวดลเองก็เดินตามออกมาด้วยเขามองทัตพลด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะดูท่าทางธาราธารหัวเสียอยู่มาก ทัตพลหันไปมองชนาธิป ก่อนจะบอกเขาว่าขอคุยธุระเป็นการส่วนตัวกับธาราธาร ภูวดลจึงพาชนาธิปเลี่ยงเข้าไปด้านใน ปล่อยให้สองคนคุยกัน
“ผมไม่มีอะไรต้องคุย”
“คนเราจะหนีกันไปตลอดไม่ได้หรอกนะธาร สักวันหนึ่งเรา.....”
“อย่ามาเรียกชื่อผม! คุณมีสิทธิ์?” เขาสวนขึ้นทันที กัดฟันถามอย่างเครียดขึง
“ฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ด้วยตัวเอง แบบนี้มีสิทธิ์มากพอรึยัง” ทัตพลมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังอดกลั้นจนถึงที่สุด สองมือนั้นกำแน่นกรามได้รูปถูกบดจนนูนเป็นสันไม่ยอมหันหน้ามามองเขาอีก
พอได้เห็นกันใกล้ขนาดนี้เขาถึงได้รู้ว่าธาราธารตัวสูงพอๆกับเขากระทั่งรูปร่างผิวพรรณและหน้าตา เหมือนกันมากจนน่าประหลาด
... ‘ภัคร’ คุณเลี้ยงดูลูกของเราได้เติบโตขนาดนี้เชียวหรือ...
“พ่ออยากคุยกับลูกเรื่องของแม่และวาริน”
“หยุดนะ! คุณไม่มีสิทธิ์เรียกผมว่า ‘ลูก’ และยิ่งไม่มีสิทธิ์แทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ ไม่อายตัวเองก็อายผมบ้างเถอะ”
ธาราธารตวาดขึ้นเสียงดัง กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อทั้งภัครจิราทั้งวาริน ภาพในวีดีโอนั่นประดังประเดเข้ามาอีก ทัตพลที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าเข้าหาความเป็นจริงเอ่ยเรียกธาราธารว่าลูกครั้งแรกและแทนตัวเองว่าพ่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่ต้องแยกจากกันเกือบยี่สิบปี
“แล้วลูกจะหนีความจริงไปได้อย่างไร ในเมื่อลูกคือลูกของพ่อ ความจริงก็คือเราเป็นพ่อลูกกัน!”
“ผมบอกให้หยุด! หุบปากของคุณเดี๋ยวนี้!” เขาเดินเข้าผลักไหล่ทัตพลอย่างขึงขัง
“จำเอาไว้นะ ความผิดที่คุณทำไม่ว่าจะลบล้างมันอย่างไรผมก็ไม่มีทางจะยกโทษให้คุณได้หรอก คนอย่างคุณมันมักมากเสียจนคว้าเอาแม้กระทั่ง.....” เขากลืนคำพูดที่เหลือลงคออย่างขมขื่น คำพูดที่อยากจะพูดต่อแต่ไม่ได้พูดไปก็คือ
...แม้กระทั่งคนรักของลูกตัวเอง..
ใบหน้าคมแหงนเงยมองท้องฟ้าที่ดำมืดเพื่อกลั้นหยาดหยดน้ำตาไม่ให้ไหลย้อนกลับออกมาจากจิตใจ
“ธาร พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่ลูกกำลังเข้าใจผิด เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ ระหว่างพ่อกับทราย....”
“เงียบนะ! อย่าพูดอีกอย่าพูดชื่อนี้ให้ผมได้ยิน ห้ามคุณเอ่ยชื่อนี้ออกมาเด็ดขาด ผมไม่มีอะไรต้องฟังอีกแล้ว” เขารีบเดินหนีทันทีขณะที่ทัตพลรีบคว้าจับ ใช้สายตาจับใบหน้าของเขาไว้
“แต่ลูกต้องฟัง! ลูกจะเข้าใจพ่อกับทรายผิดๆแบบนั้นไม่ได้”
“เข้าใจผิดอะไร?! มีอะไรไม่ถูกต้องบ้างล่ะ คุณกับเขานอนด้วยกันมาจริง ๆ หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ไหนบอกผมมาสิ ดีใจมากไหมที่ได้นอนกับ...”
“เงียบนะธาร! ซีเขาไม่รู้เรื่องอย่าเสียงดังจนทำให้ทรายต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”
เป็นครั้งแรกที่ทัตพลตะคอกเสียงใส่เขา ธาราธารหยุดนิ่งทันที รอยยิ้มขมขื่นปรากฏออกมาจากริมฝีปากเขาอีกครั้งเมื่อทัตพลปกป้องวารินจนออกหน้า
“ห่วงกันมากหรือไง? กลัวเขาเจ็บปวดมากหรือ? ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมคนนี้แหละที่จะทำให้คนที่คุณห่วงนักห่วงหนาต้องเจ็บเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยคุณคอย......”
“พ่อกับทรายเราโดนวางยา ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเลย ลูกต้องฟัง!” ทัตพลโพล่งขึ้นก่อนที่เขาพูดจบ
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”
“ธุระอะไรของพวกคุณกัน ถึงต้องถ่อไปกันไกลถึงพังงา แล้วใครหน้าไหนที่มันเป็นคนวางยาพวกคุณแบบนั้น” เขาถามเสียงเครียดจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ
“เรื่องนั้นพ่อคงบอกให้เรารู้ไม่ได้จริง ๆ แต่พ่อสัญญานะ เมื่อทุกอย่างลงตัวและถึงเวลาของมัน พ่อจะบอกเรื่องราวทุกๆอย่างให้ลูกได้ฟังเป็นคนแรกเลยธาร”
เป็นคำถามที่ทัตพลไม่สามารถให้รายละเอียดได้จริง ๆ แต่เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วเมื่อเวลาที่รอคอยมาถึงเขาจะสารภาพและบอกเล่าเรื่องราวทุกๆอย่างให้กับลูกชายคนเดียวของเขาได้ฟัง ไม่ว่าเขาจะได้รับการให้อภัยหรือไม่ก็ตาม
“พ่อรู้ว่าลูกคงทำใจให้อภัยพ่อกับทรายไม่ได้ แม่ก็ต้องมาล้มป่วยลงแบบนั้น แต่ทรายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย เขาเป็นแค่เหยื่อที่โดนลากเข้ามา อย่าโกรธทราย อย่าแค้นเขา พ่อเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น คนผิดจะต้องได้รับผลกรรมที่เขาได้ทำเอาไว้แน่ สำหรับเรื่องภัครถ้าหากธารไม่ว่าอะไรพ่ออยากจะขอเข้าไปดู.....”
“ไม่จำเป็น! ไม่ต้องมายุ่ง คุณออกไปจากชีวิตพวกผมตั้งยี่สิบปีแล้วจำเป็นอะไรถึงอยากจะกลับเข้ามาตอนนี้ ถามตัวเองให้ดีที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ของผมยังเรียกว่าเป็นความรักได้อยู่ไหม หรือคุณแค่รู้สึกผิดแค่อยากจะมาชดเชยให้ แม่ผมๆดูแลได้ ไม่รบกวนคุณหรอก”
“....ธาร....”
ท้องถนนที่ทอดยาว แสงจากเสาไฟสีส้มเรียงรายทอดยาวโค้งไปตลอดทั้งแนว คืนนั้นเขาขับรถกลับบ้านทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว คำพูดของทัตพลยังกึกก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงความคิด
“ธารกำลังเข้าใจผิดนะ เรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ ระหว่างพ่อกับทราย....”
“พ่อกับทรายเราโดนวางยา”
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเชื่อยาก แต่พ่อพาทรายเขาไปทำธุระที่พังงา เราค้างที่นั่นกันสองคืนแล้วคืนที่สองมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา นี่คือเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นธารจะเชื่อหรือไม่พ่อคงไปห้ามความคิดลูกไม่ได้แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับทรายเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกันแบบนั้น”
เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปอีกครั้งตั้งสติกับถนนหนทางข้างหน้า เบนซ์สีขาวคันเดิมจอดรออยู่ไม่นานประตูรั้วแบบอัตโนมัติก็เปิดกว้างรอให้รถหรูขับเคลื่อนเข้าไปจอดตัวลงที่ด้านใน
Tbc.
*เรื่องค่อยดำเนินไป อ่านให้สนุกนะ..อย่าไปคิดอะไรมากมันเป็นแค่นิยาย อ่านแล้วก็แล้วกันไป ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ดีๆๆๆๆที่ให้กำลังใจกันมาตลอดเน๊ะ* 