ปฏิญญาที่ ๑๘
สุขยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยมี
ยามลูกนี่ยิ้มให้อย่างเริงรื่น
คู่ชีวิตโอบประคองใช่ใครอื่น
ทุกคนตื่นเต้นกับบุตรน้อยในครรภ์
ผ่านมานับเดือนที่เจ้าจันทรกับสู่มาตุภูมิ บ้านเกิดเมืองนอนของตน ทุกวันช่างเปี่ยมสุข ข้างซ้ายมีพระเชษฐาที่เทิดทูล ข้างขวามีองค์ชายที่ตามกันมาจากเมืองใหญ่ผู้เป็นที่รัก
และในวันนี้... เป็นวันที่รานีแห่งวสุนธรา ผู้เป็นพระมารดาจะเสด็จมาหา แม้ว่ามิทราบถึงข้ออ้างที่องค์สุริเยนทร์ชักมาทูลหลอกล่อต่อองค์เจ้าหลวงให้องค์รานีเสด็จออกนอกพระราชวังมาได้ แต่เรื่องนั้นมิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดเท่ากับการที่ตนจะได้พบหน้าแม่อีกครา
“ภาสวร เราจะออกไปรอพบเสด็จแม่ที่ชายป่า ท่านจะไปกับเราไหม”ศศินเอ่ยถามคนรักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับบุตรชายที่เริ่มเจริญวัย “มาสไปรอเสด็จยายกับแม่ไหม หืมม”
“ศศิน เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ ไม่ต้องออกไปไกลหรอก อย่างไรเสด็จแม่ของเจ้าก็ต้องเสร็จมาที่นี่”สุริยภาสวรตรัสห้ามทันทีเมื่อได้รับฟังคำของคนข้างกาย “กว่าเจ้าจะออกไปถึง เสด็จแม่เจ้าก็ทรงมาถึงที่นี่ก่อนกระมัง”
“แต่...”องค์ภาสวรทรงปล่อยองค์ชายน้อยลงให้เดินเล่น แล้วหันมาโอบร่างอวบอ้วนของชายาที่อุ้มครรภ์เกือบแปดเดือนเอาไว้แทน
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วคลอดก่อนกำหนดจะทำอย่างไรล่ะ หืม”สุริยาแห่งเมืองใหญ่ลูบไล้ท้องที่นูนโตเบา ๆ แม้นว่าจะไม่ใช่บุตรของเขาแท้ ๆ แต่ความรักที่มอบให้จะไม่น้อยไปกว่าที่มอบให้กับสุริยมาสเป็นแน่ “เพียงแค่ตัวยาคราที่แล้ว หมอหลวงก็บอกข้าไว้ว่าลูกอาจจะเกิดมาไม่ปกตินัก ถ้าเป็นอะไรไปอีก จะทำอย่างไรเล่า คนดีของข้า”
“...”ศศินคคนานต์หมดคำเอ่ย ใช่... ยาขับเลือดคราวที่แล้ว ถึงแม้ว่าจะถอนฤทธิ์ของมันได้ทัน แต่ก็กระเทือนต่อบุตรในครรภ์ไม่น้อย และจากที่ผ่าน ๆ มาที่หมอหลวงได้เปิดตำราที่จดเกี่ยวกับการรักษาเอาไว้ บ่งว่าเด็กที่เกิดมามักจะไม่สมบูรณ์เช่นเด็กคนอื่น ๆ
“ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นอย่างไร พ่อจะเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่เองนะลูก”เสียงทุ้มกระซิบเบา ๆ รอยยิ้มอ่อนโยนฉาบทับบนดวงพักตร์
“มาสจะดูแลน้อง มาสจะดูแลน้อง”องค์ชายสุริยมาสเดินเตาะแตะเข้ามาหาพระมารดาของพระองค์ มือเล็ก ๆ ลูบเบา ๆ ที่ท้องของผู้เป็นแม่ “มาสจะปกป้องน้องเอง”
องค์ชายน้อยนับว่าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด และมีพัฒนาการที่เกินวัยไปไม่น้อยเลย เพียงขวยเศษก็สามารถพูด และเข้าใจสิ่งง่าย ๆ ได้แล้ว อาจจะยังพูดประโยคยาว ๆ มิได้แต่ก็นับว่าเก่งกาจไม่น้อยทีเดียว
“ใช่แล้ว มาสจะต้องดูแลน้อง รักน้องรู้ไหม”ภาสวดยิ้มกว้างให้กับบุตรชาย หัตถ์หนายื่นมาขยี้หัวทุย ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว “มาสจะต้องปกป้องน้องตลอดไปนะ”
“มาสจะปกป้องน้องเอง”
เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้านหลังน้อย รอยยิ้มและความสุขแผ่ขยายออกไปจนข้าราชบริพารที่ตามเสด็จมานั้นต่างรับรู้ได้ และยินดีไปด้วย
น้อยมองเจ้านายของนางด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น ตั้งแต่มาที่นี่นางอาจจะลำบากขึ้นบ้าง ต้องออกไปซื้ออาหาร ทำความสะอาด และซักเสื้อผ้าเองอย่างที่อยู่ในวังของอุษณกรไม่เคยต้องทำ แต่แลกกับความสุขของผู้เป็นนาย แลกกับรอยยิ้มที่ฉายชัดให้นางได้เห็น ถือว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
ลำบากกว่านี้นางก็พร้อมที่จะทำ
“ทั้งสองพระองค์ทรงดูพระเกษมสำราญยิ่ง เจ้าว่าไหม น้อย”กัลยากระซิบถามเพื่อนนางกำนัลเบา ๆ อย่างมีความสุข “ต่างจากตอนอยู่ที่วังลิบลับเลย”
“เป็นเช่นนั้นล่ะ กัลยา ข้าหวังจริง ๆ ว่าความสุขนี้จะยืนยง อยู่กับทั้งสองพระองค์ไปตราบนานเท่านาน”น้อยตอบกลับด้วยเสียงที่เบาไม่แพ้กัน “พอกันทีกับความทุกข์ที่ทั้งสองพระองค์ต้องแบกรับ ข้าไม่อยากเห็นอีกแล้ว”
“ข้าก็เช่นกัน”
ยังไม่ทันที่สองสาวนางกำนัลจากอุษณกรจะได้พูดคุยกันต่อ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาอยากเต็มที่
“ศศิน ศศินคคนานต์”เสียงหวานเอื้อนเอ่ยชื่อของบุคคลที่ทรงคะนึงหามาตลอด “ลูกแม่ ลูกแม่ เป็นอย่างไรบ้างลูก แม่คิดถึงลูกจริง ๆ”
วรกายบางถลาเข้ากอดโอรสองค์เล็กของพระนาง หัตถ์เรียวเล็กลูบไล้กายของบุตรชายอย่างอ่อนโยน อีกทั้งยังพลิกไปมาราวกับต้องการตรวจดูว่าโอรสของพระนางมีส่วนใดที่บุบสลายหรือไม่
“เสด็จแม่ เสด็จแม่”ทำนบที่ตั้งไว้พังทลายลง หยาดอัลสุชลหลั่งไหล เมื่อได้เห็นพระมารดาของตนอยู่ตรงหน้า “ลูกสบายดี ลูกกลับมาหาพระองค์แล้ว เสด็จแม่”
เสียงที่เอ่ยนั้นสั่นเครือยิ่ง สองแม่ลูกกอดกันกลมด้วยความคิดถึงและห่วงหาอาลัยนัก
สุริยภาสวรที่นั่งนิ่งอยู่นานยันกายลุกขึ้น พร้อมกับอุ้มพระโอรสของตนออกไปนอกบ้านอย่างเงียบเชียบ ให้ผู้ที่พลัดพรากจากกันไปนานได้รำลึกถึงความหลังกันสองคน
บางครา นับตั้งแต่เสด็จมาถึงที่แห่งนี้ ก็ทรงอดรู้สึกมิได้ว่าเป็นส่วนเกินยิ่งนัก พี่น้องได้พบหน้า แม่ลูกได้พบกัน เจ้าจันทรามีความสุข มีรอยยิ้ม
แล้วพระองค์เล่า...
เจ้าชายพลัดถิ่น หนีออกจากวัง มายังดินแดนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยมา พี่น้องก็มิได้ติดต่อ ข่าวคราวจากญาติมิตรก็มิอาจได้รับ มีแต่ต้องฟังข่าวจากองค์ชายเจ้าถิ่น และข่าวโคมตามตลาดที่พูดกันไป
คิดถึง... พี่น้องที่คอยพูดคุย คอยหยอกล้อกัน หรือจะเรียกว่าทรงรู้สึกเหงาและหว้าเหว่ก็คงไม่ผิด... ในเมื่อที่แห่งนี้ราวกบมิมีที่ให้พระองค์ยืนเลย...
แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิเคยนึกเสียใจที่จากมาเช่นนี้... การที่ได้เห็นรอยยิ้มของชายาอันเป็นที่รักนั้น นับว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ยอมเสียไปแล้วจริง ๆ
“เหม่ออะไรอยู่หรือท่านภาสวร”เสียงที่เริ่มคุ้นชินเอ่ยถามจากทางด้านหลัง เรียกความสนใจของพระองค์ “ท่านพอจะมีเวลาพูดคุยกับเราไหม”
“ได้สิ”พระองค์ตอบรับง่าย ๆ ก่อนจะหันไปหานางกำนัลพี่เลี้ยงที่เดินออกมา “กัลยา พาสุริยมาสไปวิ่งเล่นก่อน”
“เพคะ องค์ชาย”กัลยาเข้ามารับองค์ชายน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของพระบิดาอย่างรวดเร็ว และพาไปยังอีกฝั่งนึง โดยที่ยังอยู่ในสายพระเนตรของผู้เป็นนาย
“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือ องค์ชาย”องค์ภาสวรหันมาหาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่เขยของพระองค์พร้อมตรัสถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ก็มิได้มีอะไร... เพียงแต่เราเห็นว่าท่านดูไม่มีความสุขเท่าที่ควร”เสียงนุ่ม ๆ ตอบกลับมาอย่างเนิบ ๆ ดวงตาสีน้ำเงินเช่นเดียวกับผู้เป็นน้องนั้นทอดมองคนข้าง ๆ อย่างอ่อนโยน “ท่านมีอะไรอยู่ในใจใช่ไหม เล่าให้เราฟังก็ได้ ถือเสียว่าเราเป็นพระเชษฐาของท่านคนนึง... ไม่สิ เราเป็นเชษฐาของท่านอยู่แล้วนิ”
“...”พระองค์สบพระเนตรกับองค์ชายแห่งวสุนธราอย่างงงงวย ด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าจะสื่อออกมา
“ก็ท่านเป็นสวามีของอนุชาเรา เป็นพระเทวันของเรา เป็นครอบครัวเดียวกับเราแล้วมิใช่หรือ”หัตถ์เรียวยื่นมาลูบพระเกศาขององค์ชายต่างแดนเบา ๆ “ดูแล้วท่านคงมิได้สูงวัยกว่าเราหรอก เพราะอย่างนั้นเราเป็นพี่ท่านก็ถูกแล้ว”
“ท่านใจดีเหมือนน้องชายท่านเสียจริง”สุริยภาสวรอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ ครั้งที่อยู่ในอุษณกร ศศินเองก็ใจดีกับข้ารับใช้ทุกคน จนพวกเขารักและเทิดทูล มาที่นี่ มาเจอคนพี่ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าครอบครัวของพระองค์นั้นทำร้านผู้เป็นน้องของเขาไว้ไม่น้อย แต่ก็ยังมีใจที่จะเอาใจใส่พระองค์อีก
“แน่อยู่แล้ว เราเลี้ยงเจ้าน้องศศินมากับมือของเราเองเลยนะ”สุริเยนทร์ไทวะเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้าง “แม้ว่าหลัง ๆ เราจะไม่ค่อยได้ดูแลเขาเท่าไหร่ก็ตามที... แต่ตอนยังเล็กเราคอยสั่งสอน คอยดูแลเขามาตลอดเลย... เอาเถอะ เรากลับเข้าเรื่องกันดีกว่า ท่านมีอะไรในใจหรือ ถึงได้ดูไม่ยิ้มแย้มเช่นนี้”
“ก็มิได้มีอะไร...”สุริยาต่างแดนหลบตาเจ้าถิ่น มิให้เห็นความรู้สึกวูบไหวที่ฉายชัด “คงจะ... เหงากระมัง อยู่ที่นี่ข้ามิรู้จักใคร อยู่ที่นี่นอกจากศศินข้าก็ไม่รู้จะพูดกับใคร จะออกไปเดินท่องภายนอกก็มิได้ จะส่งข่าวให้เสด็จพี่ก็มิควร... จนตอนนี้ ผ่านมาก็พักใหญ่แล้ว มิรู้ว่าที่พระนครจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้คนในตำหนักวสันตมาลีจะเป็นเช่นไร แล้วยังท่านหมอที่ตกกระไดพลอยโจรต้องมารับรู้และช่วยเหลือพวกเราอีก...”
ถ้อยคำที่แถลงออกมานั้นสร้างรอยยิ้มบางให้กับผู้รับฟัง องค์ชายใหญ่แห่งเมืองลูกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ฟังความในที่เอื้อนเอ่ย
“เสด็จแม่ก็มิรู้ว่าจะกริ้วสักแค่ไหนที่ข้าหนีออกมาโดยมิเอ่ยคำลา ไม่แม้แต่จะวางจดหมายเอาไว้ พระองค์ยิ่งมิแข็งแรงเท่าไรนักด้วย”
“ท่านต่างจากที่เราเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมาไม่น้อยเลยนะ สุริยภาสวร”เจ้าชายสุริเยนทร์เปรยขึ้น ขณะที่เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนตั่งใกล้ ๆ “ไม่สิ ต้องเรียกว่าท่านเปลี่ยนไปมากเสียคงจะถูกต้องมากกว่ากระมัง”
“ท่านเคยได้ยินมาว่าข้าเป็นอย่างไรกับเล่า”
“ที่ข้ารับรู้มานั้น ท่านเป็นคนไม่มิยอมใคร มิเห็นใครในสายตา มิเคยแม้แต่จะเอ่ยปากชมผู้ใดนอกจากสาวงามที่ให้ความสุขท่านบนแท่นบรรทม”รอยยิ้มยังคงพร่างพรายบนใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายเมืองลูก “ท่านเปลี่ยนไปจากที่ข้ารับรู้จริง ๆ”
“คงจะเป็นเช่นนั้น...”พระองค์ยอมรับแต่โดยดี ไม่เถียงและไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น... ใช่ พระองค์เป็นคนเช่นนั้นจริง ความจริงที่มิอาจจะปฏิเสธได้เลย “จนกระทั่งได้พบอนุชาของท่าน ข้าถึงเปลี่ยนไป เปลี่ยน... มาเป็นข้าในทุกวันนี้”
“น้องเราคงมิอิทธิพลต่อใจของท่านไม่น้อยเลย”สุริเยนทร์ไทวะมองลึกเข้าไปในดวงตาขององค์ชายตรงหน้า “ท่านน้อยใจที่น้องเรามิได้มีแต่ท่าน มองแต่ท่าน อยู่กับท่านตลอดเหมือนครั้งที่ยังอยู่ในนครของท่านใช่ไหม ภาสวร”
“ท่านช่างรู้ดีเสียจริง”ภาสวรแค่นยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง นับว่าเป็นคนที่ต้องระวังไม่น้อย เจ้าชายผู้นี้รับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้างได้เก่งนัก... ทั้งที่แม้แต่เสด็จพี่ของพระองค์เองยังมิเคยล่วงรู้ความใจของพระองค์เลยแท้ ๆ “เป็นคนแรกเลยนะ ที่จับความรู้สึกของข้าได้”
“ไม่หรอก... เราเชื่อว่าน้องเรารับรู้ความรู้สึกของท่านดี แต่มิเอ่ยออกมา”เจ้าชายองค์โตยังคงยิ้มพราย ประกายในดวงเนตรดูสดใสเมื่อได้พูดถึงอนุชา “ศศินเป็นเด็กที่รู้ทุกอย่าง แต่มิเคยปริปากพูดอะไรเลย ถ้ามิมีใครเอ่ยกับเขาก่อน ไม่เคยเรียกร้องอันใด... นั่นทำให้น้องเราสูญเสียความสุขไปไม่น้อย นับว่ายังดีที่ได้พบกันท่าน น้องเราได้มีความสุขของตนเองเสียที มิต้องทนทุกข์อีก การที่เขายอมให้ท่านล่วงล้ำเข้าไปในความเป็นส่วนตัวของเขา แสดงว่าเขารักท่านมากจริง ๆ”
“ข้าทราบดี ศศินเป็นคนที่เข้าใจ และรักข้า... แต่ถึงกระนั้นในบางเวลาข้าก็อดน้อยใจในสิ่งที่เป็นอยู่มิได้... ในอาณาจักรแห่งนี้ ข้าโดดเดี่ยวยิ่ง คนรู้จักหรือก็ไม่ถึงหยิบมือ ที่ทางหรือก็ไม่รู้อะไร ข้าเหมือนเช่นคนตาบอด ข้ามิรู้จะเดินไปทางไหน ในบางคราข้าก็คิดว่าตัวข้านั้นจะอยู่เพื่ออะไร... นอกเสียจาก...”เนตรคมทอดมองไปยังลูกน้อยที่อยู่กับพระพี่เลี้ยงด้วยความรักที่มากล้น “เขา ที่เป็นแก้วตาดวงใจของข้า”
ความอุ่นวาบแผ่ซ่านขึ้นมาเบื้องหลัง พร้อมกันความรู้สึกโอบกระชับที่เอวหนา พระองค์รับรู้ได้ถึงลมหายใจที่รดหลังอย่างแผ่วเบา และหัวใจที่เต้นอย่างรัวเร็ว
“เรามิได้อยากทำให้ท่านรู้สึกว้าเหว่เช่นนี้... เรา... เราแค่ดีใจที่ได้พบกับเจ้าพี่ กับเจ้าแม่อีกครา... มิได้ตั้งใจจะให้ท่านโดดเดี่ยวเลย”เสียงที่เอ่ยออกมาช่างสั่นเครือยิ่งนัก ทำเอาใจของผู้ที่ได้รับฟังนั้นปวดลึก
“เจ้าได้ยินตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ...”สุริยภาสวรถามกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา พระองค์มิได้อยากให้คนรักรับรู้เรื่องราวพวกนี้ มิอยากให้ต้องเก็บไปคิดเลย... “อย่าได้ใส่ใจเลย ศศิน มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราวของข้า... เพียงแค่นั้น”
“ไม่... ท่านดูไม่มีความสุข จะให้เรานิ่งเฉยได้อย่างไร”แขนที่โอบรัดยิ่งแน่นเข้าไปอีก เมื่อนึกถึงคำของพระสวามี “ท่านยอมละทิ้งทุกอย่าง ยอมออกมาจากวังที่แสนสุขสบาย มิทอดทิ้งเรา ให้เรามีความสุข... แต่ท่านกลับมีความทุกข์ เราจะนิ่งเฉยได้อย่างไรกัน ภาสวร”
องค์ชายต่างถิ่นดึงแขนเรียวออก ก่อนที่จะหมุนกายไปกอดรัดร่างอวบของว่าที่พระมารดาลูกสองไว้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มบางคลี่ให้จากใจ
“ใครว่าข้าไม่มีความสุขกัน... เพียงแค่มีเจ้า ข้าก็สุขจนมิรู้จะเอาความสุขนั้นไประบายที่ใดแล้ว”นาสิกโด่งสูดดมความหอมจากแก้มนุ่ม ๆ นั้นเบา ๆ “ข้าอาจจะเหงาไปบ้าง รู้สึกโดดเดี่ยวในบางเวลา แต่ข้าก็มีความสุขทึกคราที่ได้อยู่กับเจ้า ได้พูดคุย ได้หยอกล้อ... รู้ไหม ศศินของข้า”
“แต่...”
“เจ้าเป็นแสงจันทร์ส่องนำทางข้า
ชี้ชีวานี้ให้สุขสดใส
มอบรักที่งดงามเปี่ยมล้นในใจ
อย่างที่ใครก็มิอาจทำแทน”เสียงนุ่มกระซิบในกรรณเล็กเบา ๆ บอกถึงความนัยน์ทั้งมวลที่มีอยู่ภายในหัวใจที่เคยมีกำแพงสูงตระหง่าน “หัวใจของข้าเป็นของเจ้า กายของข้าเป็นของเจ้า ลมหายใจข้างข้าก็เป็นของเจ้า เพียงเจ้ามีความสุข ข้าก็มีความสุขเช่นกัน ถึงเวลานี้ ข้ายังมิอาจปรับตัวได้ แต่อีกไม่นาน ข้าจะกลับมายิ้มดังเดิม”
“ท่านมิศร้าใจหรือ ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา ต้องจากครอบครัวที่เป็นที่รักเช่นนี้”คำถามที่คาใจเจ้าจันทราอยู่เสมอ นับตั้งแต่วันที่เดินทางจากเมืองแม่มา “มีผู้คนมากมายรอท่านกลับไปอยู่มิใช่หรือ...”
“ข้าไม่เคยนักเสียใจที่จากมา”นิ้มเรียวปาดหยาดน้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นขึ้นมาจากดวงตาคู่สวยอย่างทะนุถนอม “บ้านเกิดของข้าคืออุษณกร แต่เมืองนอนของข้าคือทุกหนแห่งที่ข้ามีเจ้า”
ทั้งสองกอดกันแนบแน่นท่างกลางสายลมที่พัดอย่างอ่อนโยน โอบล้อมกายของทั้งคู่เอาไว้ ทำให้ผู้ที่คอยเฝ้ามองทั้งหลายต่างมีรอยยิ้มไปด้วย
เจ้าหญิงศรวิษฐายังคงส่งข่าวมาเป็นระยะ บอกถึงความเป็นไปในอุษณกรให้กับทุกคนได้รับรู้... และเรื่องน่ายินดีก็ได้ส่งมาถึง ในวันที่แสนจะน่ายินดี
องค์ชายศศินคคนานต์ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สอง พร้อมกับข่าวที่ถูกส่งมาว่าพระชายานลินประไพนั้นทรงตั้งพระครรภ์แล้ว นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
และที่น่ายินดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือ ผู้นำสารมาส่งในครานี้คือนพคุณ ที่ใช้ข้ออ้างในการมาเยือนว่าออกมาดูความเป็นไปของชายแดน เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มิให้ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวได้สงสัยอะไร
“องค์ชายน้อยตัวเล็กจังเลยนะพะยะค่ะ”นพคุณที่อุ้มทารกน้อยเอาไว้มองด้วยความรู้สึกแปลกใจ “ข้าพระองค์เคยอุ้มเด็กมาหลายคน ล้วนแต่มีร่างกายที่ใหญ่กว่านี้...”
“ทินสิริถือกำเนิดก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังเกิดเรื่องมากมาย จะเป็นเช่นนี้ก็คงมิแปลกกระมัง”รานีแห่งวสุนธราเป็นผู้ชี้แจ้งข้าสงสัยอย่างอาทร “น่าสงสารยิ่งนัก มิรู้ว่าหลายยายจะเติบใหญ่ขึ้นเป็นอย่างไร”
ทุกชีวิตตกอยู่ในความเงียบงัน... ใช่ เด็กที่เกิดก่อนเวลา อีกทั้งยังเคยผ่านวิกฤตที่เคยเกือบจะตายมาแล้ว น้อยคนนักจะรอดออกมาเป็นเด็กที่สมบูรณ์พร้อม อย่างตัวของศศินเองก็ยังมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงดังเช่นพระเชษฐา หรือพระภคินี ครั้งเมื่อตอนยังเยาว์วัย ก็ป่วยออด ๆ แอด ๆ มา ตลอด เพิ่งจะมาแข็งแรงเอาตอนที่เจริญวัยแล้ว
“ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร แม่ก็จะดูแล และรักลูกนะ ทินสิริของแม่”ศศินเอ่ยกับลูกน้อยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอาดูร แม้ว่าจะมิใช่บุตรที่เกิดกับคนที่เขารักก็ตามที
“มาส มาสต้องดูแลน้องรู้ไหม มาสห้ามทิ้งน้องไปไหน สัญญากับพ่อนะ”องค์ภาสวรตรัสกับโอรสของตนด้วยเสียงที่มั่นคง “จำไว้นะลูก ดูแลน้อง อย่ารังแกน้องนะ”
“มาสจะดูแลน้อง ไม่ทิ้งน้องตลอดไป มาสสัญญา”เด็กน้อยเกี่ยวก้อยกับพระบิดาด้วยรอยยิ้มกว้าง ทุก ๆ คนมองภาพตรงหน้าอย่างเอ็นดู หัวเราะในคำพูดของเด็กตัวเล็ก ๆ และไม่ยึดอะไรเป็นจริง เป็นจังนัก ด้วยตัวองค์ชายยังมิเจริญวัย ยังมิรู้เรื่องอะไรนัก และยังคงไม่รู้ถึงความหมายของสิ่งที่ได้เอ่ยออกมา
แต่ใครจะรู้... ว่าองค์ชายสุริยมาสผู้นี้จะยึดมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้เป็นพ่อมากยิ่งนัก... มากถึงขนาดที่ยอมแลกได้แม้แต่ชีวิตของตนเพื่อปกป้องน้องน้อยต่างบิดาคนนี้
ครอบครัวสุขสันต์ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รอยยิ้มแห่งความสุขแผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณ ตั้งแต่ผู้เป็นนาย จนถึงข้ารับใช้ ถึงนายทหารที่อยู่ไกลออกไป
และทุกคน... ก็หวังว่าความสุขในวันนี้จะยืนยงต่อไปตราบนานเท่านาน
++++++++++++++++++++++++++
มาต่อแล้วค้า ขอโทษที่มาช้านะคะ TT วิกฤตชีวิตเบา ๆ ในช่วงนี้ คุณแม่ทำบอลลูนเสร็จไปสองเส้น ดวงตาข้างหนึ่งของคนเขียนก็ดันมาอักเสบเบา ๆ (ตอนนี้ใกล้จะหายเป็นปกติแล้วค่ะ) แล้วคุณตา(น้องของคุณยาย) ก็มาเสียไปมื่อวันจันทร์อีก...
ตอนนี้อาจจะมึน ๆ หน่อย ไว้มีโอกาสจะมาแก้ไขนะคะ
อีกสองตอนจะจบแล้ววว