ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292782 ครั้ง)

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #120 เมื่อ16-05-2008 17:45:29 »

ข้อมูลเพียบ

ขอบคุณครับ

 o13

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #121 เมื่อ16-05-2008 17:48:38 »

มาดันให้คนโพสสสส  :oni2: :oni2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #122 เมื่อ19-05-2008 19:53:07 »

ต่อกันเลยน้า  ยินดีต้อนรับ Taurus (ชื่อไรหว่า อิอิ)  
ตอนนี้หื่นแบบโศกๆ  กรี๊ดดดดดดดดดดดด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:7 meet with/พบเจอกันอีกครั้ง

กิ่งไผ่ย่ำเท้าไปตามพื้นดินสีดำ แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ ก่อเกิดเป็นแสงเงาสวยงาม เจ้าขิ่นหอบหายใจ เพราะว่าเจ้านายของเขาเดินโดยที่ไม่ได้พักเลย

"พี่ไผ่พักหน่อยได้ไหม?"

เด็กหนุ่มว่า มันปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เส้นผมของมันเปียกชื้น กิ่งไผ่ไม่ยอมทำตามที่ขอ ชายหนุ่มเดินข้ามขอนไม้ที่มีดอกเห็ดขึ้นเต็ม สายตาจับจ้องยังต้นไทรขนาดใหญ่ที่มีมอสสีเขียวเกาะเต็ม เมื่อไม่ได้รับคำอนุญาต เจ้าขิ่นจึงจำใจเดินต่อไป แม้จะรู้สึกกระหายน้ำเจ้าขิ่นก็ไม่กล้าบอกยามที่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเจ้านาย จึงเดินไปอย่างเงียบๆ ทั่วทั้งป่าเงียบสงบ มือบางยกขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุด เจ้าขิ่นชะงัก

"มีงูอยู่ตรงหน้าเรา"

เด็กหนุ่มชะเง้อมอง เห็นลวดลายเลื่อมระยับก็รู้ว่าเป็นงูพิษ

"งูเห่าใช่ไหมกับพี่ไผ่"

เจ้าขิ่นว่าเมื่อเห็นสีผิว กิ่งไผ่หยิบปืนพกออกมา เตรียมพร้อมหากถูกโจมตี

"ระวังนะครับพี่ไผ่"

เด็กหนุ่มเตือนยามที่มันเริ่มขยับกาย กิ่งไผ่ระวังเสมอ เขาพยายามไม่ให้มันตกใจ รอให้มันเลื้อยหายไปเอง เพราะเขาก็ไม่อยากจะฆ่ามันโดยไม่จำเป็นเหมือนกัน ทั้งสองนิ่งรอให้เจ้าสัตว์เดรัจฉานเลื้อยหนีกิ่งไผ่จึงเก็บปืน ถอนใจอย่างโล่งอก

"เดี๋ยวเราไปพักข้างหน้ากันมันมีลำธารอยู่"

กิ่งไผ่ว่า เจ้าขิ่นจึงมีแรงเดินต่อ พอไปถึงลำธารใสสะอาด สายน้ำใสไหลเอื่อยๆผ่านโขดหิน กอเฟิร์นขึ้นตามริมตลิ่ง เจ้าขิ่นทรุดนั่งใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำขึ้นมาแล้วหันไปทางเจ้านายที่วางกระเป๋าสัมภาระลง ปลดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากตัว นิ้วเรียวกวักน้ำใสๆลูบหน้าลูบตา

"ผมตักน้ำเสร็จแล้วครับ"

กิ่งไผ่ผงกหัว ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ก่อนจะสั่งให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นชุดพื้นเมือง

"ขิ่น เปลี่ยนเครื่องแต่งกายได้แล้วตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เขตชายแดนไทย"

ก่อนที่จะทำตามเจ้าขิ่นจะดื่มน้ำ แต่กิ่งไผ่ก็โยนกระปุกด่างทับทิมให้

"อย่าเพิ่งดื่ม เพราะมันอาจมีเชื้อโรคต่างๆอยู่ในน้ำ ใส่ด่างทับทิมพอเป็นสีม่วงอ่อนๆแล้วทิ้งไว้สิบถึงสิบห้านาทีก่อนค่อยดื่มได้"

เด็กหนุ่มทำตาม กิ่งไผ่ถอดเสื้อผลัดเปลี่ยนด้วยความรวดเร็ว พอเสร็จก็ลุกขึ้นสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง เจ้าขิ่นไปเปลี่ยนเสื้อ หันมาเห็นเจ้านายตัวเองติดกระดุมเสื้อ ผมบางส่วนเคลียบ่า ดวงหน้าสวยงาม ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ช่างดูงดงามหมดจดจนเด็กหนุ่มเผลอใจเต้นแรง กิ่งไผ่หันมาเจ้าขิ่นจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า

"เสร็จหรือยังขิ่น เราต้องเดินไปอีกสองกิโลนะ"

ชายหนุ่มเร่ง ซ่อนปืนในเสื้อตัวโคร่ง มองภายนอก กิ่งไผ่คล้ายกับหญิงสาวพื้นเมือง เขาพาเด็กหนุ่มเดินไปต่อ จนกระทั่งออกมาถึงถนนลูกรังฝุ่นแดงคลุ้ง

"เราจะซ่อนของทั้งหมดไว้ทางนั้นแล้วนำกระบุงใส่ของป่าออกมา ขิ่นต้องเป็นน้องชายของฉันเข้าใจไหม"

เด็กหนุ่มผงกหัว เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับการปลอมตัวเข้าเมืองในครั้งนี้ ร่างของเจ้านายไปยังที่ซ่อนของ หยิบกระบุงขึ้นมาสะพายหลัง ก่อนจะพาเจ้าขิ่นเดินไปตามทางถนนลูกรัง กิ่งไผ่ทำตัวปกติแต่เจ้าขิ่นดูยังกลัวๆกับสภาพรอบๆที่ตัวเองต้องเผชิญ

"อย่าทำตัวตื่นเต้นไป ระวังคนอื่นจะสงสัย"

แต่คำเตือนนั่นไม่ทำให้เจ้าขิ่นสบายใจได้เลย เด็กหนุ่มยังกลัวว่าจะถูกจับได้ เจ้านายของเขาก็ยังเดินด้วยกิริยาที่เป็นปกติ

"แน่ใจหรือครับพี่ไผ่ว่าไม่ถูกจับได้"

กิ่งไผ่ยิ้มเป็นคำตอบ

"แน่สิ เราเป็นลูกของตาสาที่ชอบอาศัยอยู่ในป่าลึกนั่นล่ะข้อมูลที่ชาวบ้านแถวนี้รู้ ตาสาเป็นบ้าไม่มีใครอยากเข้าใกล้ มีลูกสาวกับลูกชายซึ่งนานๆที่จะได้เห็นหน้าค่าตา ลูกสาวสวย กตัญญูต่อบิดา แต่ดูโง่ๆส่วนลูกชายก็ดูเซื่องๆซึมๆ เป็นชีวิตที่น่าสงสารหนุ่มๆที่พยายามจะมาจีบลูกสาวตาสา ขอไปเป็นเมียต้องผิดหวังกันเป็นแถวๆเป็นไงล่ะกับเรื่องที่แต่งขึ้นชาวบ้านแถวนี้เชื่อกันหมด ไม่มีใครกล้ายุ่งเลย"

กิ่งไผ่ว่า เจ้าขิ่นทึ่ง

"แล้วพวกทหารล่ะครับเชื่อหรือเปล่ากับเรื่องนี้?"

กิ่งไผ่หัวเราะเบาๆ

"พวกนั้นจะมาสนอะไรกับชีวิตชาวบ้านล่ะไม่มีใครมานั่งสอบสวนเรื่องนี้ให้เปลืองสมองหรอกขิ่นก็รู้นี้ว่าเรื่องลึกลับเกี่ยวกับภูตผีปีศาจทุกคนในแถบพื้นที่นี้ถือมากเพียงไร"

เจ้าขิ่นผงกหัว เริ่มใจชื้นขึ้น เด็กหนุ่มจึงรีบเดินตีคู่ขึ้น

"แล้วก็แสดงให้สมจริงสมจังหน่อยล่ะ กับบทเซื่องๆซึมๆน่ะ"

สีหน้าของกิ่งไผ่ดูไม่เหมือนกับคนที่เป็นนักฆ่า สายตามองดูเศร้าๆ ใบหน้าที่งดงามดูซื่อๆ จนเจ้าขิ่นประหลาดใจที่เจ้านายสามารถแสดงบท"หญิงสาวที่ดูโง่ๆ"ได้อย่างยอดเยี่ยม

"เราจะพักอยู่ในเมืองสักวันสองวันแล้วกลับฐาน"

กิ่งไผ่เอ่ยระหว่างที่เจอกับถนนลาดยาง เด็กหนุ่มดีใจที่ได้เที่ยว เพราะนอกจากค่ายและในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว เขาไม่เคยข้ามมายังฝั่งไทยเลย กิ่งไผ่ครุ่นคิดอะไรอยู่เงียบๆ เขารอจนกระทั่งมีรถผ่านมาแล้วกิ่งไผ่ก็โบก รถกระบะคันเก่าๆก็จอด

"ขอติดไปในเมืองด้วยได้ไหมจ๊ะ"

ใบหน้าที่ยื่นเข้าไปในหน้าต่างรถที่เปิดกว้าง คนขับเป็นชาวบ้านที่มีฐานะและดูเหมือนจะเป็นนายหน้าจัดซื้อของป่าจากชาวเขาเพราะสายตากระจ่างเห็นรังผึ้ง ว่านต่างๆวางอยู่ท้ายรถ รอยยิ้มที่แย้มอย่างอ่อนหวาน เจ้าขิ่นมองไม่กระพริบตาต่อการแสดงละครของเจ้านาย

"แล้วจะไปไหนล่ะจ๊ะแม่สาว"

ชายหนุ่มอายุสามสิบปีเอ่ย ดูท่าทางเจ้าชู้ เมื่อเห็นใบหน้าของกิ่งไผ่ที่ยื่นเข้ามาก็ตะลึงไป

"ฉันกับน้องอาศัยอยู่ในป่านู้น จะเอาของไปขายในป่าจ้ะ"

กิ่งไผ่โกหกด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ชายผู้นั่นผงกหัวและนึกถึงข่าวลือของชาวบ้านแถบนี้ที่ลือว่าตาแก่บ้า มีลูกสาวที่งดงามแต่ดูโง่ๆ อาจจะเป็นแม่สาวคนนี้ก็ได้

"แล้วแม่สาวชื่ออะไรล่ะจ๊ะ"

ชายหนุ่มเปิดประตูให้ กิ่งไผ่ก็ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มที่สวยงามเช่นเคย

"ฉันชื่อเอื้องคำจ้ะ ส่วนน้องชื่อขิ่น"

พอได้ยินชื่อก็พิศมอง...สมกับชื่อจริงๆ ใบหน้าที่ออกสวยซึ้งปนเศร้า...นี่มันลูกสาวตาสาบ้าจริงๆน่ะหรือ

"เหรอ พี่ชื่อชาติน่ะ ทำมาค้าขายกับชาวบ้านแถวนี้ น้องขึ้นมาสิจ๊ะของวางไว้หลังรถก็ได้"

กิ่งไผ่โล่งใจที่ชายหนุ่มตกหลุม เขาวางกระบุงใส่ของไว้หลังรถ แล้วขึ้นมานั่ง เจ้าขิ่นก็พยายามจะขึ้นมาด้วยแต่ก็ถูกไล่ไปนั่งหลัง แรกๆเจ้าขิ่นไม่ยอม แต่เพราะสายตาของเจ้านายบังคับ มันจึงตัดใจขึ้นไปนั่งหลังรถ คอยมองเจ้านายอย่างเป็นห่วงกลัวเจ้าคนชื่อชาติจะทำอะไรไม่ดีกับนายของตน ภายในรถกิ่งไผ่พยายามเงียบ เขาจะตอบคำถามที่ชายหนุ่มถามเท่านั้น

"น้องสาวอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ แล้วอยู่กับใครเอาอะไรมาขาย?"

ใบหน้าและสายตาที่มองตรงไปยังถนน ตอบด้วยความเขินอาย

"ฉัน...อายุยี่สิบจ้ะ อยู่กับพ่อที่แก่แล้ว พอดีหาสมุนไพรได้ก็เลยจะมาขายเพื่อแลกเงินซื้อข้าวน่ะจ้ะ"

เขายังโกหกต่อ ชายชื่อชาติผงกหัว

"งั้นขายให้พี่หรือเปล่าล่ะ เรียกราคาเท่าไรก็ได้ น้องสาวจะได้ไม่ต้องเข้าเมืองไง"

กิ่งไผ่ส่ายหัว

"ขอบใจพี่มากจ้ะ แต่ฉันมีธุระในเมืองด้วย แค่พี่ให้ติดรถมาเกรงใจจะแย่อยู่แล้ว"

เจ้าขิ่นมองผ่านกระจกรถ เห็นเจ้านายแย้มยิ้มให้ก็รู้สึกโกรธไอ้คนชื่อชาติถึงจะรู้ว่านั้นคือละครก็ตาม เขาเห็นมันพยายามจะจับมือถือแขนก็ยิ่งกำหมัดแน่น เขาก็ต้องอดทนเพื่อไม่ให้แผนแตก กิ่งไผ่เห็นอีกฝ่ายทำรุ่มร่าม ก็ใจเย็นปกป้องตัวเอง แสร้งซื่อใสจนกระทั่งถึงในเมือง เขาก็รีบลงจากรถ เอ่ยขอบคุณแล้วเดินหายไปท่ามกลางฝูงชนทิ้งให้ชายหนุ่มที่ให้อาศัยติดรถมาด้วยนิ่งไปชั่วขณะแล้วก็ยักไหล่กลับไปทำธุระของตัวเองต่อ

------------------------------------------------

หลังจากที่ผู้กองธีรเดชทำงานเสร็จก็มาหาคุณหมอต้นธาราที่อยู่เวร เขายังคงยิ้มให้อยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะได้เห็นความเย็นชาที่ปรากฏอยู่ในสีหน้า

"ผู้กองมาที่นี่บ่อยจังนะคะ"

คุณหมอมาริสารที่มาผลัดเวรกล่าวหยอก ธีรเดชยิ้มให้

"ผมมีธุระกับคุณหมอต้นธาราครับ"

หญิงสาวยิ้มตอบ ก่อนจะกล่าว

"สนิทกับคุณหมอจริงๆนะคะ"

เธอว่า ชายหนุ่มได้แต่เพียงยิ้มเท่านั้น

"ผมก็ไม่ได้สนิทอะไรมากมายหรอกครับ วันนี้ได้ยินผู้พันมีทรัพย์ชวนไปในเมืองก็เลยมาชวนคุณหมอต้นธาราไปด้วยนะครับ คุณหมอมาริสาสนใจไปด้วยไหมครับ?"

"โอ้ย ขอบคุณที่ชวนค่ะ ดิฉันขออยู่ที่ค่ายดีกว่า ไม่กล้าขัดพวกหนุ่มๆหรอกค่ะ"

หญิงสาวเอ่ยติดตลก ธีรเดชหันมาทางต้นธารา เอ่ยถามราวกับไม่สนิทสนม

"คุณหมอต้นธาราสนใจไหมครับ"

แรกๆที่ได้ยินคำชวน คุณหมอหนุ่มจะปฏิเสธแต่พอได้ยินคุณหมอมาริสาพูดขึ้นก็เงียบไว้ก่อน

"แล้วมีใครไปบ้างคะ" คุณหมอมาริสาถาม

"เท่าที่ผมรู้ที่ไปก็มีผู้กองรังสรรค์ ผู้กองภานุน่ะครับ"ชายหนุ่มตอบเธอ

"เป็นการเที่ยวก่อนจะออกไปปฏิบัติภารกิจกันน่ะครับ"

ธีรเดชตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาทางต้นธาราอีกครั้ง

"คุณหมอสนใจจะไปไหมครับ?"

คราวนี้ต้นธาราตอบตกลง ธีรเดชแปลกใจ เขาคิดว่าคุณหมอจะปฏิเสธเสียอีก เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปห้ามได้

"แล้วไปวันไหนกันหรือครับ"

ต้นธาราถามขึ้นมาบ้าง พยายามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด

"เอ่อ...รู้สึกว่าผู้พันบอกว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้น่ะครับ"ชายหนุ่มตอบ ภายในใจรู้สึกนึกอิจฉากับคนที่ต้นธาราใฝ่ถึงตลอด...

ฝ่ายต้นธาราที่เขายอมตกลงไปเพราะไม่อยากให้ภานุไปกับคนอื่น...รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านอยู่ข้างในถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกปวดใจมากก็ตามแต่ ลึกๆแล้วเขาก็ไม่อยากให้ผู้กองภานุอยู่กับเขา ทั้งๆที่ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแต่เขาก็ปรารถนาที่จะฝันถึงความสุขที่แสนหวาน

"ถ้าจะไปแล้วผมจะมาบอกคุณหมอนะครับ"

ต้นธาราตื่นจากภวังค์ผงกหัวรับคำ มาริสาก็อวยพรให้

"เที่ยวให้สนุกนะคะ"

ต้นธาราลุกขึ้น เดินไปกับธีรเดชเมื่อออกจากเวร

"ไม่คิดว่าธารจะตัดสินใจไป ทั้งๆที่รู้ว่ามีเขาอยู่"

ผู้กองธีรเดชเอ่ยอย่างเฉยชาเมื่ออยู่กันสองคน ต้นธาราก็ไม่คาดคิดกับการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน เขาเดินเงียบๆเคียงข้างผู้กองธีรเดช

"แล้วคิดว่าจะทนได้หรือเปล่าล่ะหากเจอกับเขาที่เฉยชา"

ชายหนุ่มยังเอ่ยต่อไม่ใส่ใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนแปลง ต้นธาราหันหน้ามารู้สึกเหนื่อยหัวใจกับคำพูดนั่น

"ผมรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมคุณคิดว่าการตัดสินใจเข้าเมืองในครั้งนี้ต้องเป็นเพราะผู้กองภานุด้วยล่ะ?"

ต้นธาราถาม ธีรเดชตกใจกับคำพูดห้วนๆ

"ผมเข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา ผมรู้ตัวเองดีว่าตัวผมกำลังทำอะไรอยู่และผมรู้สึกอย่างไรกับการกระทำนั่น เข้าใจในความห่วงใยของคุณแต่ขอให้ผมตัดสินใจเองได้ไหมว่าชีวิตผมจะเป็นเช่นไร"

ดวงตาของผู้กองธีรเดชอ่อนลง จ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เจ็บช้ำ

"ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี"

ชายหนุ่มพูดอย่างเสียใจ ต้นธารากัดปากพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากด้วยความเสียใจเหมือนกันที่เอ่ยเช่นนั้นออกไป

"คุณไม่ผิดหรอกธี...ผมต่างหากที่ใช้อารมณ์มากไป ทั้งๆที่คุณเป็นห่วงเป็นใยผมถึงขนาดนี้แท้ๆ"

ต้นธาราเอื้อมมือไปแตะแขนของธีรเดชแล้วกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น ธีรเดชยื่นมือแตะใบหน้าที่ทุกข์ใจของต้นธาราไว้

"ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจในความรู้สึกนั่นดี ผมก็ผิด ทั้งๆที่รู้ว่าน่าจะให้คุณตัดสินเองว่าควรจะทำเช่นไรแต่มันก็อดไม่ได้เพราะกลัวผู้กองภานุทำให้คุณเจ็บอีก ผมไม่อยากเห็นคุณเสียใจ"

เส้นผมสีอ่อนปลิวไปตามลม แม้ว่าจะโดนปฏิเสธ แม้ว่าจะถูกพูดไม่ดีใส่ แต่ความห่วงใยของผู้กองธีรเดชก็ไม่แปรเปลี่ยน

"ผมอยากให้คุณยิ้มอีกครั้ง ยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคยจะได้ไหม?"

ผู้กองหนุ่มขอ ต้นธาราพยายามที่จะสร้างรอยยิ้ม แต่ก็ไม่อาจทำได้

"สิ่งที่สดใสที่สุดในตัวคุณคือรอยยิ้มนะครับได้โปรดยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมได้เห็นเถอะ"

ธีรเดชขอร้อง คุณหมอพยายามที่จะทำให้ เขาปั้นรอยยิ้มขึ้น ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่รอยยิ้มที่แท้จริง เขาไม่อยากฝืนเพราะหวนระลึกถึงคำพูดของชายผู้นั้น...รอยยิ้มที่เสแสร้งเขาก็สร้างได้แค่นั้น

"สักวัน...คุณจะยิ้มได้นะธาร ถ้าคุณบรรเทาความเจ็บปวดอยู่ในใจลงบ้าง"

แม้จะไม่ได้รับรอยยิ้ม ชายหนุ่มก็คอยปลอบประโลม คอยให้ความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับฉวยเอาความสุขของผู้กองธีรเดชมาทั้งหมด

"ทำไมคุณต้องยึดติดกับผมนัก ทั้งๆที่รู้ว่าผมนั้นไม่มีคุณในหัวใจเลย คุณควรจะพบกับคนที่ดีกว่าผม หัวใจของคุณมีค่าที่จะมอบให้แก่คนอื่นมากกว่าผม"

ต้นธาราถาม ธีรเดชถอนหายใจยาวๆ

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมผมถึงยึดติดกับคุณนัก มันเป็นความต้องการของผมเอง ธารรำคาญหรือที่ผมเข้ามาป้วนเปี้ยน กับสิ่งที่คุณถามนั้นผมไม่ได้ทำตามคำสั่งท่านนายพลพิภพเลย ผมบอกแล้วไงว่าจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการก็ตาม"

การอยู่เคียงข้างแม้หัวใจตัวเองจะเจ็บอย่างนั่นหรือ? เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวได้เลย

"ธี...คุณวางมือจากผมเถอะ ผมเข้าใจดีแล้วว่าคุณทำตามความรู้สึกคุณจริงๆไม่ใช่คำสั่งท่านนายพล ผมไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัว กรุณาเข้าใจผมด้วยเถอะครับ ขอบคุณที่คอยปกป้องเสมอยามที่เจ็บปวดแต่มันหมดเวลาแล้วสำหรับการยืมมือคุณคอยโอบอุ้มความเจ็บปวดทั้งหมด"

ต้นธาราจับมือผู้กองธีรเดชลงแต่ชายหนุ่มกลับจับมือเขาไว้แทน

"อย่าได้เอ่ยเช่นนี้ คำพูดนั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดใจยิ่งนัก ให้ผมทำเถอะเพื่อความสุขของตัวผมเอง"

ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตา ต้นธาราตัดสินใจไม่ถูกเลย....หัวใจและความสิ้นหวังอันเลือนรางหนึ่งคำปลอบโยนที่เขาใช้อย่างเห็นแก่ตัว มันช่วยเขาได้ เขาควรจะยอมรับมันตามตรงหรือว่าควรจะปฏิเสธกัน

"นะครับ...ให้ผมอยู่เคียงข้างคุณเถอะ ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นไร แม้ผมจะอิจฉา แม้ความเจ็บปวดนั้นทำให้หัวใจผมด้านชาไป แต่ผมก็ยังอยากอยู่เคียงข้างคุณเสมอ"

พูดจบก็ลดมือลง ต้นธารานิ่งเงียบ

"พักเถอะครับ วันพรุ่งนี้ผมจะมาปลุกตั้งแต่เช้าเอง"

ชายหนุ่มหันหลังเดินไปจากเขา ดูเงียบเหงาเหลือเกิน ต้นธารามองจนกระทั่งแผ่นหลังของผู้กองหนุ่มหายไปจากสายตา เขาก็เดินกลับที่พัก รู้สึกหนาวเหน็บ สายลม...แสงแดดอันสวยงามไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย เขาเดินกลับที่พักของตัวเอง ถอดเสื้อกาวน์สีขาววางพาดเก้าอี้ นั่งมองไดอารี่ของตัวเอง หยิบปากกาออกมาจรดมันลงบนหน้ากระดาษสีขาว

....เหตุผลของคนๆหนึ่งขึ้นอยู่กับอะไร ความสิ้นหวังเกิดเพราะความรู้สึกของตัวเองหรือ การตัดสินใจล่ะควรจะไปยังทิศทางไหน ถึงจะรู้ว่าเจ็บปวดก็ยังกระทำ ช่างน่าแปลกใจนักทำไมกล้าทำให้หัวใจของตัวเองเจ็บปวด....บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจในเหตุผลนั่น ผมโง่เกินไปหรือเปล่าล่ะ สิ่งที่คุณบอกว่าจะลบเลือนความเจ็บทั้งหมดคือการลืม ผมน่ะไม่กล้าถึงขนาดนั้น ไม่ได้มีความสามารถพอที่จะลบทุกอย่างออกจากใจหรอก ถึงจะพูดแบบนั้น ผมก็รู้ว่ายังจะรักเขาต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าสักเศษเสี้ยวหัวใจของเขาจะไม่มีผมเลยก็ตามแต่...

คุณหมอนั่งมองรูปภาพ แสงแดดยามเย็น ก้อนเมฆสีขาวก่อตัวเป็นรูปต่างๆตามจินตนาการไม่มีสิ้นสุดลอยดูเอื่อยๆไปตามสายลมอยู่บนท้องฟ้า ถ้าบินได้ก็คงดี....ล่องลอยไปกับปุยเมฆขาวสะอาด ท้องฟ้าสีน้ำเงิน...เขาก็แค่อยู่กับจิตนาการของตัวเองเท่านั้นเพราะบางครั้งความเป็นจริงก็ดูโหดร้ายเกินไป


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #123 เมื่อ19-05-2008 19:55:31 »

ฟ้าใกล้จะสาง...เสียงไก่ป่าขันตั้งแต่เช้ามืด ต้นธาราสะดุ้งตื่น เขาถอนใจลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา ผู้กองธีรเดชยังคงนอนหลับอยู่กระมัง สายตาของคุณหมอหนุ่มมองไปยังห้องหน้าต่าง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ดาวประกายพรึกและดวงดาวอื่นๆยังส่องสว่าง ข้างนอกอากาศหนาวเย็น คุณหมอล้างหน้าเสร็จรู้สึกถึงความด้านชาของผิวเพราะแช่ในน้ำเย็นๆนานเกินไป ชายหนุ่มนวดมือเตรียมเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยน รอจนกระทั่งแสงอาทิตย์จับขอบฟ้า ไล่เมฆหมอกที่โอบล้อมให้จางหาย ต้นธาราก็ลงมาจากเรือน ออกกำลังกายด้วยท่ากายบริหารพื้นฐาน ลมหายใจเป็นควันขาว รู้สึกปลอดโปร่งจนกระทั่งเห็นร่างของผู้กองภานุที่เดินตรงมา ต้นธาราหันหน้าหนีไปทางอื่น เขารู้ว่าผู้กองหนุ่มแค่ผ่านมาเพื่อไปยังบ้านพักของผู้กองรังสรรค์ที่อยู่ถัดจากเขาไปเท่านั่น แต่เขาก็อดเหลือบมองไม่ได้ เห็นใบหน้าที่คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ามีแต่ความบูดบึ้ง ดวงตาแข็งกร้าวก็รู้สึกถึงลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ

ต้นธารากลับเข้าบ้านพัก คุณหมอรีบเดินขึ้นเรือน ผู้กองภานุเห็นร่างบางแต่ไกลแล้ว เขาทำเป็นไม่สนใจกับการที่คุณหมอหลบขึ้นไปยังบ้านพัก...ไม่จำเป็นแท้ๆ ทำเป็นไม่เห็นเขามันก็แล้วเรื่อง ชายหนุ่มคิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้วแต่พอคิดเช่นนี้ ภานุก็รู้สึกว่าตัวเองนี่ช่างโง่งมนัก ชายหนุ่มพยายามปัดมันออก เดินอย่างรวดเร็วผ่านบ้านคุณหมอต้นธารา ฝ่ายคุณหมอหนุ่มแอบมองร่างใหญ่โตผ่านประตู ทรุดฮวบอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างประตู...อยากจะทักทาย แต่เขาก็ไม่กล้า เขายังกลัว...กลัวกับการเผชิญหน้านั่งพักใจหัวใจหายเต้นไม่เป็นจังหวะสักพัก ธีรเดชก็มาหาร้องเรียกเขาให้ออกมาต้อนรับ ต้นธาราจึงเดินลงจากบ้านมาอย่างเริงร่า

"เมื่อกี้ผมเห็นผู้กองภานุมายังที่นี่ด้วย ธารเห็นเขาไหมครับ?"

ต้นธาราทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะส่ายหัว

"เขาผ่านมาทางนี้เหรอครับแล้วไปทำไมล่ะ?"

ธีรเดชผงกหัวและไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆบนสีหน้าของต้นธารา เขาจึงพาเดินไปยังที่พักของผู้กองรังสรรค์

"ไปบ้านผู้กองรังสรรค์ซึ่งที่นั่นเป็นที่นัดรวมน่ะครับ"

ชายหนุ่มอธิบาย คุณหมอผงกหัว ซึ่งเมื่อไปถึงก็ได้เห็นเหล่าทหารที่จะเข้าเมืองมีอยู่แปดนายซึ่งก็คือผู้กองธีรเดช ผู้กองรังสรรค์ ผู้กองภานุและจ่าแม้นและอีกสี่นายซึ่งต้นธาราไม่คุ้นหน้า

"ผู้กองธีพาคุณหมอมาได้ไงครับ"จ่าแม้นแปลกใจ ธีรเดชยิ้มให้

"ฝีมือน่ะครับ"

ชายหนุ่มว่า ต้นธาราก้มหน้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ

"แบบนี้การเข้าเมืองก็คึกคักสิครับ แหม...เดี๋ยวผมจะอาสาคุณหมอไปเที่ยวหลีหญิงเอง"

ผู้กองรังสรรค์เอ่ยอย่างคึกคะนองเมื่อเห็นคุณหมอที่ดูบริสุทธิ์ติดตามคณะเดินทางไปด้วย คุณหมอหน้าแดงขึ้นทันใด

"ไม่เป็นไรแน่เหรอ"

ผู้กองภานุเอ่ยอย่างขวานผ่าซาก ทุกคนที่ดูเฮฮาเงียบกริบทันที ต้นธาราเงยหน้าสบตา

"จะไหวหรือไม่ไหวก็ลองดูกันครับ"

คำพูดที่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มหวานเฉียบ เล่นเอาแทบหัวใจจะวาย

"แหม...คุณหมอพูดแบบนี้ผมชักอยากจะพาไปในเมืองเร็วๆเสียแล้วสิ"

รังสรรค์เดินมาโอบบ่าพาขึ้นรถจิ๊ปท่ามกลางสายตาที่มองอย่างเขม็งของภานุ รังสรรค์พยายามไม่ใส่ใจ เพราะเขาก็อยากเข้าใกล้คุณหมอที่ดูอ่อนโยนเหมือนกัน ธีรเดชเดินรั้งท้าย เขาพยายามที่ไม่แสดงอะไรออกนอกหน้าเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าเขาและคุณหมอสนิทสนมกันกับฐานะที่แท้จริงด้วย จ่าแม้นให้คุณหมอนั่งข้างหน้าทุกๆคนไปนั่งท้ายรถ แต่ก็ถูกนิ้วดุจคีบเหล็กลากให้ขึ้นมานั่งข้างกาย

"โอ้ย...ผู้กองภานุให้คุณหมอต้นธารานั่งตรงนั้นเดี๋ยวก็ช้ำกันพอดี"

จ่าแม้นว่า แต่ก็ถูกสายตาที่น่ากลัวสะกด ต้นธารายิ้มให้

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมนั่งที่ตรงนี้ได้"

ธีรเดชเข้ามาใกล้ แม้ใบหน้าเขาจะยิ้มแต่แววตาไม่พอใจปรากฏอยู่เต็มเปี่ยม

"ทางไปในเมืองขรุขระพอควร ผู้กองภานุก็รู้นี่ครับขืนคุณหมอไปนั่งตรงนั้นได้หัวโยกหัวคลอนเจ็บตัวกันพอดี มันไม่สบายเหมือนตอนที่คุณหมอนั่งเฮลิคอปเตอร์มาหรอกนะ"

ผู้กองรังสรรค์เตือน แต่ภานุทำหูทวนลม

"ใช่ๆคุณหมอออกเดินทางไปกับถนนนี้ครั้งแรกด้วย ให้ไปนั่งข้างเถอะสบายกว่าเยอะ"

จ่าแม้นสนับสนุน ธีรเดชโล่งอกที่เขาไม่ต้องพูดอะไรมากนัก

"อีกสักหน่อยเดี๋ยวคุณหมอก็ต้องใช้เส้นทางนั่นอยู่แล้ว ฝึกให้ชินดีกว่าไหม?"

ไม่มีใครกล้าค้านคำพูดอีก ต้นธาราลำบากใจที่เรื่องของเขากลายเป็นปัญหา สายตาของภานุที่มองมาบ่งบอกเช่นนั้น ดังนั้นเขาได้แต่นั่งเงียบๆ มองจ่าแม้นและธีรเดชนั่งตอนหน้าของรถ ส่วนเขาก็นั่งอย่างอึดอัดเบียดเสียดอยู่ตอนหลัง ถนนที่รถแล่นผ่านสมดั่งที่ผู้กองรังสรรค์เอ่ยจริงๆ บางตอนเป็นหลุมบ่อ แถมฝุ่นลูกรังก็ฟุ้งกระจายขณะที่รถแล่นผ่าน คุณหมอไอเบาๆ พยายามจะทรงตัวไม่ให้ส่ายไปมา เขานึกโล่งใจที่ไม่ได้เป็นฤดูฝน เพราะเขาทราบมาว่าถนนลูกรังก็จะกลายเป็นทะเลโคลนดูน่ากลัวหากรถติดหล่ม บ่าของเขากระแทกโครงเหล็ก ใบหน้างามนิ่วผู้กองภานุที่คอยมองอยู่ตลอดโอบบ่า ต้นธาราตกใจแต่เขาก็ถูกรั้งให้เข้ามาชิดใกล้

"นั่งนิ่งๆเถอะ"

เสียงกระซิบพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆก้องอยู่ในภายในหู เขาพยายามนั่งนิ่งๆตัวไม่โยกคลอนแล้วเพราะได้ร่างใหญ่นี้คอยจับไว้ จนกระทั่งใกล้ถึงในเมืองเจอถนนลาดยาง ผู้กองหนุ่มจึงค่อยๆชักแขนออก ต้นธาราเสียดายกับวงแขนนั่น แต่เขาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับการเข้ามาในเมืองครั้งแรก ผู้กองรังสรรค์จอดรถไว้ในตลาด ทุกๆคนลงจากรถ บิดตัวไล่ความเมื่อยขบ

"เป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอต้นธารา"จ่าแม้นถาม "นั่งข้างหลังรู้สึกสุดยอดไหมครับ"

ต้นธาราผงกหัว

"แทบตายครับแต่ก็สนุกดี"

ดวงตาสีอ่อนดูอ่อนโยน ธีรเดชเดินเข้ามาใกล้

"ไม่เป็นไรแน่นะครับ"

ธีรเดชถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย ต้นธาราผงกหัว

"ครับ...ไม่เป็นไร"

เขาพยายามจะลืมความเจ็บปวดจากการถูกกระแทก ภานุถอดอกมองดูเขาที่คุยกับธีรเดช

"คุณหมอกับผู้กองธีอยากไปไหนครับ เดี๋ยวผมจะนำทางให้"

รังสรรค์อาสา แต่ภานุกลับกีดกัน

"เรื่องของผู้กองเดี๋ยวผมจัดการเอง ผู้กองสรรค์จะไปเที่ยวหญิงไม่ใช่หรือครับ"

รอยยิ้มที่เป็นต่อปรากฏบนใบหน้า ผู้กองรังสรรค์ยักไหล่ ไม่มีวันชนะชายที่ดูเหมือนกับจะเลือดเย็นได้เลย

"ครับ งั้นเชิญผู้กองกับคุณหมอตามสบายนะครับ เจอกันตรงนี้ตอนเย็นนะครับ เอ้า...แยกย้าย"

ทุกๆคนสลายตัว ทิ้งให้ผู้กองภานุ ผู้กองธีรเดชและคุณหมอหนุ่มยืนรากงอกอยู่ในตลาด บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันทีทันใด

"คุณให้ธารนั่งข้างหลังรถทำไม ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่สบาย"

ธีรเดชเล่นงาน ภานุทำหน้าเฉย ต้นธารารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้จนได้เมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกัน เขาจะเอ่ยปากห้ามแต่ผู้กองภานุสวนขึ้นด้วยความไวกว่า

"เขาก็ยังไม่บุบสลายเสียหน่อย"

พูดจบก็ปล่อยให้ธีรเดชหน้าบึ้ง ต้นธาราปลอบให้ใจเย็น

"อย่าไปถือสาเขาเถอะธี ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ"

มือบางตบบ่า ก่อนจะพากันเดินตามคนนำทางที่ไร้อารมณ์ไปยังร้านกาแฟที่สร้างเป็นเพิงหมาแหงน ทั้งสามทรุดนั่ง อารมณ์ของผู้กองทั้งสองดูฉุนเฉียว

"แล้วคุณไม่ได้นอนกับหญิงที่นัดไว้หรือครับ"

ธีรเดชว่า ภานุชายตามอง เขาไม่ตอบคำถามนั้น คุณหมอหนุ่มก้มหน้าซ่อนมือที่กุมชายเสื้อแน่น

"จะดื่มอะไร?"

ภานุหันมาถามต้นธาราก่อน ธีรเดชจึงเงียบ เขาจะยอมสงบศึกสักพัก คุณหมอเงยหน้าขึ้น

"เอ่อ...มีอะไรบ้างล่ะครับ"

เขามองหม้ออะลูมิเนียมที่ตั้งบนเตาถ่าน พร้อมเห็นถุงกาแฟแช่อยู่ในหม้อชงกาแฟ เสียงเฉื่อยชาตอบคำถามนั่น

"ก็มีปาท่องโก๋ กาแฟโบราณ นมเย็น โอวัลตินแล้วอยากจะดื่มอะไรล่ะ"

อธิบายเสร็จก็ย้อนมาคำถามเดิม

"ผมขอกาแฟที่หนึ่ง"

ธีรเดชบอก ภานุหันไปสั่งกับแม่ค้า ต้นธารายังลังเลว่าจะดื่มอะไรดี เขาก็ดื่มได้แต่นม กาแฟก็ดื่มได้นิดหน่อย ธีรเดชเห็นดังนั้นก็สั่งเครื่องดื่มให้แทน

"ของคุณหมอเป็นโอวัลติลเย็นครับ"

สั่งจบก็หันมายิ้มให้ ภานุถอนใจ ต้นธาราสบตาอย่างขอบคุณ คอยไม่นานนักเครื่องดื่มก็ถูกยกมาให้ เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบเพียงชั่วครู่ เพราะชายหนุ่มทั้งสองต่างนั่งดื่มกาแฟร้อนๆเงียบๆ สายตามองไปยังตลาดที่ผู้คนเริ่มบางตาลง

"ที่นี่ก็ถือว่าคึกคักดีนะครับ"ธีรเดชออกความเห็น ภานุผงกหัว

"อืม...แถวนี้เป็นตลาดที่เรียกได้ว่าคนสองเขตแดนจะเข้ามาซื้อของและของหาขายของป่ากัน"

ผู้กองหน้าเย็นอธิบายให้ฟัง ต้นธารานั่งเป็นฝ่ายฟังเงียบๆแทน สายตาของผู้กองธีรเดชมองดูสภาพผู้คน เขาดื่มกาแฟจนหมด สั่งอีกแก้ว ก่อนร่างๆหนึ่งจะปรากฏแก่สายตา กลิ่นของเอื้องแซะกรุ่นจมูก เรือนผมที่ปลิวไหวตามแรงลม นิ้วเรียวจับสายกระบุงที่บรรจุของป่า ผิวเหลืองเนียนสวย...ผู้หญิงคนนั้น...ผู้กองธีรเดชเห็นเธอเดินผ่านหน้าจึงมองอย่างอึ้งๆจนภานุและคุณหมอที่นั่งมองดูอยู่ถามอย่างแปลกใจ

"มีอะไรหรือเปล่าครับ?"

ต้นธาราถาม ธีรเดชคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปจึงสั่นหัวไล่ภาพลวงตา คงไม่ใช่หญิงสาวคนนั้นแน่เพราะเธอผู้นี้มีเด็กหนุ่มติดตามมาด้วย

"ไม่มีอะไรครับ "

ธีรเดชยังติดใจอยู่ไม่หาย ชายหนุ่มเหลียวหา แล้วก็เจอเธอคนนั้นวางกระบุงในตลาดและนั่งจัดเรียงของ โดยมีเด็กหนุ่มช่วยจัดวางของที่อยู่ในกระบุง

"ชาวบ้านแถวนี้จะเก็บของป่ามาขายน่ะ"

ภานุว่า ก่อนจะคนกาแฟร้อนๆยกขึ้นดื่ม ธีรเดชพยายามจะไม่สนใจและคิดว่าตนอาจจะสับสนก็ได้ เพราะเธอดูเหมือนจะไม่รู้จักเขาเลย

"คนขายก็สวยซะด้วย"

ผู้กองภานุออกความเห็น ต้นธารามองแล้วบีบแก้วแน่น ธีรเดชจ้องเธอไม่วางตา กิริยาของเธองดงามจริงๆ ดวงตากลมโต เรือนผมที่แซมดอกเอื้องแซะไว้ ส่งกลิ่นหอมรื่น เจ้าเด็กหนุ่มนั่งอยู่ข้างๆยิ้มแย้มแจ่มใส เธอไม่ได้มองมาทางนี้เลย

"ดื่มเสร็จยังครับ"

ผู้กองภานุสอบถาม ทั้งผู้กองธีรเดชและคุณหมอต้นธาราต่างผงกหัว ชายร่างยักษ์จ่ายเงินค่าเครื่องดื่มให้ ก่อนจะพาลุกขึ้น

"ขอบคุณนะครับสำหรับค่าเครื่องดื่ม"

ต้นธาราหยุดอยู่ใกล้ๆกับหญิงกลิ่นดอกเอื้อง เขาล้วงเงินคืนภานุแต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธ ต้นธาราลำบากใจจริงๆ

"ปาลาว แล ? "(ราคาเท่าไร)

เสียงถามราคาดังเป็นภาษาพม่า ธีรเดชหันมองอย่างสนใจ เห็นแม่หญิงกลิ่นเอื้องยิ้มให้แก่ชายที่ดูดุดันชี้มายังเปลือกไม้ที่กองไว้

"พวกนี้ได้รับการข้ามเขตอยู่หรือครับ"

ภานุเหลือบมองบ้าง ต้นธารามองราวกับว่าผู้กองภานุจะสนใจเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นแววตาที่บ่งบอกความพึงพอใจเลย

"เป็นปกติของที่นี่ อย่างที่บอกจะเข้ามาทำการซื้อขายกันอยู่ที่นี่ได้ ถ้าไม่ใช่พวกโจรเราก็ไม่ห้ามหรอก"

พูดจบจะพาคุณหมอออกเดิน แต่ธีรเดชก็ถ่วงเวลาไว้ คอยมองดูว่าเธอผู้นั้นจะตอบว่าอะไร ยิ่งพิจเขาก็ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นเคย

"เต๊ะแซ "(30)

พอได้รับคำตอบชายหน้าดุดันก็ล้วงเงินให้ หญิงสาวเอื้อมรับแล้วซุกเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว

"เจ้ สุเตน แต"(ขอบคุณค่ะ)

ชายผู้นั้นเดินจากไปได้ยินอย่างนั้นผู้กองธีรเดชก็ก้าวไปหาเธอราวกับมีแรงดึงดูด ภานุมองก่อนจะกระซิบบอก

"ถ้าคิดจะถามชื่อให้ถามว่าจามา นาแม ม่า นะครับ ถ้าจะทักทายเธอให้พูดว่า มิงกะละบา เพราะดูเหมือนเธอจะมีเชื้อสายพม่าด้วย"

ชายหนุ่มเดาเพราะเห็นว่ามีผิวสีเหลืองที่เกิดเพราะทาขมิ้น นัยน์ตาก็กระจ่าง ธีรเดชขอบคุณก้าวไปหยุดตรงหน้าเธอ กิ่งไผ่ก้มหน้า เจ้าขิ่นยิ้มให้แก่ลูกค้า ต้นธารามอง ผู้กองภานุดูจะเยาะเขากรายๆ

"ดูท่าผู้กองของคุณจะติดใจเธอผู้นั้นเสียแล้วนะครับ"

ต้นธารากอดอก เขาดีใจถ้าผู้กองธีรเดชจะมองดูเธอแทนที่จะเป็นเขา แต่ต้นธาราก็นึกอิจฉาหญิงสาวแสนงามผู้นั้น...เธอผู้มีกลิ่นกายหอมกรุ่น เพราะผู้กองภานุมีเธออยู่ในสายตา ทั้งสองมองดูธีรเดชเข้าไปจีบ

"มิงกะละบา นาแม ม่า?"(สวัสดี น้องสาวชื่ออะไร?)

กิ่งไผ่เงยหน้าขึ้นแล้วนิ่งงัน เพราะคนตรงหน้านั้นเป็นคนที่เคยปะทะด้วย...คนที่คล้ายกับผู้กองนาคี เจ้าขิ่นจะด่า เพราะคิดว่ามาเกาะแกะเจ้านาย แต่กิ่งไผ่ห้ามไว้ ธีรเดชแน่ใจว่าหญิงผู้นี้เขาเคยพบเจอเพราะกลิ่นเอื้อง ดวงตาดำกลับดุจสีรัตติกาลพยายามจะหลบสายตา

"เธอ..."

พอพูดถึงช่วงนี้ กิ่งไผ่ก็รวบผ้าขึ้นโยนใส่กระบุงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วคว้ามือเจ้าขิ่นให้ลุกขึ้น

"เตปิ" (ฉิบหาย)

กิ่งไผ่หลุดอุทาน เจ้าขิ่นงุนงง มันไม่เข้าใจนัก อยากจะถามแต่เจ้านายก็พาวิ่ง ท่ามกลางความงุนของธีรเดชและผู้กองภานุกับคุณหมอที่มองอยู่

"เดี๋ยว..."

ธีรเดชเผลอวิ่งตามเธอ ต้นธาราจะร้องเรียกแต่ก็ถูกรั้งตัวไว้ สายตาอ่อนโยนได้แต่มองดูผู้กองธีรเดชด้วยความเป็นห่วง ธีรเดชวิ่งตามหญิงสาวที่วิ่งว่องไว คล่องแคล่ว พลันคลาดกัน สายตาของผู้กองหนุ่มสอดส่ายหา พอจะตามเหมือนมีอะไรมาขวางกั้น...หรือว่าเธอจะเป็นผีกัน เขาหมดแรง ชายแก่ที่มองดูเขาที่สอดสายตาหาหญิงสาวผู้นั้นก็เอ่ยขึ้น


"พ่อหนุ่มตามหาลูกสาวตาสาเรอะ อย่าไปตามเลย อีเอื้องคำน่ะเป็นลูกของผี ไม่สนใจใครหรอก"

ชายหนุ่มหอบหายใจแรงฟังกล่าวนั้น ถึงจะงงๆและก็ไม่เชื่อแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้

"เธอคนนั้นชื่อเอื้องคำหรือ? เธอพักอยู่ที่ไหนกันครับ?"

ชายหนุ่มถามเพราะต้องการรู้จริงๆว่าเธอเป็นใคร...หญิงที่มีนามว่าเอื้องคำ....

"อีเอื้องอาศัยอยู่บนเขาโน้น อย่าไปตามมันเลย มีผู้ชายเหมือนพ่อหนุ่มตามไปไม่เคยเจอบ้านมันสักคน"

บอกเสร็จก็หันไปเคี้ยวหมากต่อ ปล่อยให้ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง...บ้านที่ไม่เคยเจองั้นรึ...ชักจะประหลาดเสียแล้วสิ ชายหนุ่มคิดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าทิ้งคุณหมอเอาไว้ แต่พอกลับไปก็ไม่เห็นทั้งสองเสียแล้ว พอกลับไปยังจุดนัดพบ ทุกคนก็เดินกลับมาหน้าตามีความสุขสม ธีรเดชก็ถามถึงคุณหมอต้นธาราและผู้กองภานุทันที

"เอ้...ผมก็ไม่เห็นเขานะ เดี๋ยวเราลองไปถามคนแถวนั้นดีกว่า บางทีผู้กองภานุอาจจะพาคุณหมอกลับไปก่อนก็ได้"

จ่าแม้นว่าก่อนจะไปถามชาวบ้านแถวนั้น พอได้ข้อมูลว่า คนที่ผู้กองพามาด้วยนั้นเริ่มหน้าซีด จึงพาไปไหนแล้วไม่รู้ ธีรเดชร้อนใจแต่ผู้กองรังสรรค์ก็คอยปลอบ

"ไว้ใจผู้กองภานุได้ครับ อาจจะพาคุณหมอกลับค่ายไปก่อนก็ได้ เพราะเขาชำนาญพื้นที่แถวนี้ดี เราก็กลับไปดูที่ค่ายกันเถอะ "

ทุกคนต่างพากันขึ้นรถเพราะใกล้ค่ำแล้ว ธีรเดชที่ไม่สบายใจ เขาห่วงว่าอาการโรคลูคีเมียของคุณหมออาจจะกำเริบ กลัวที่จะเป็นแบบนั้น เขาพยายามที่จะคิดไปในทางที่ดี และขอให้ภานุพากลับถึงฐานโดยปลอดภัย ชายหนุ่มลืมเรื่องแม่สาวดอกเอื้องไปชั่วครู่ ใจจดจ่อกับทางไปค่ายโดยไม่สนใจกับคำพูดหรือคำถามของเพื่อนร่วมค่ายแม้แต่นิดเดียว

------------------------------------------------

คุณหมอต้นธาราหลังจากที่แยกจากผู้กองธีรเดช เขาก็ถูกพามายังบ้านหลังหนึ่ง สายตาของคุณหมอมองไปรอบๆ ก่อนจะถาม

"พามาที่นี่ทำไม?"

เขาถามอย่างไม่เข้าใจนักกังวลว่าจะไปไม่ทันที่นัดรวมพล

"คุณมีสีหน้าไม่ดีควรพักผ่อนบ้าง"

ต้นธาราขมวดคิ้ว

"ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย"

ต้นธาราขยับตัวอย่างอึดอัด สายตากังวลใจ

"ป่านนี้พวกนั้นคงกลับค่ายไปแล้ว"

ชายหนุ่มบอก ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง ภานุแสยะยิ้มเมื่อเห็นคุณหมอดูกระสับกระส่าย

"กลัวผมหรือไง"

ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนลงบนที่นอน มองดูตัวที่สั่นเทาของคุณหมอ ต้นธาราส่ายหัว

"มีหรือที่ผมจะกลัวคุณ"

ต้นธาราตอบกลับอย่างเย็นชา ภานุหัวเราะนั่งลงริมเตียงเคียงข้างคุณหมอ

"งั้นหรือครับ ถ้าคุณไม่กลัวผมก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆสิ"

ชายหนุ่มสั่ง คุณหมอหนุ่มนั่งนิ่ง ไม่สนใจในคำกล่าวนั่น

"แสดงว่าคุณก็ยังคงกลัวผมอยู่ดี"

ภานุกล่าวโน้มกายเข้าหา จ้องเข้าไปในสายตาของต้นธารา ที่พยายามหลบ

"อย่าทำแบบนี้เลยครับ"

ต้นธาราเอ่ยห้ามพร้อมเบือนหน้าหนี แต่นิ้วแกร่งก็จับมันมาเผชิญหน้ากันจนได้

"อย่าเบือนหน้าจากผมอีก"

สั่งด้วยความเย็นชา คุณหมอขบริมฝีปากตัวเองแน่น แต่ก็ถูกนิ้วแกร่งเกลี่ยให้เผยออกน้อยๆ ต้นธารากำมือแน่น ยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจบีบคั้นมากเท่านั้น

"จะร้องไห้อีกรึ?"

จากคำพูดที่เย็นชากลับกลายเป็นอ่อนโยน อุ้งมือหนาประคับประคองดวงหน้าสวยไว้ บังคับให้มันเงยหน้าสบตา ภายในดวงตานั่นพยายามจะเข้มแข็ง แต่เขาก็อยู่กับหนทางที่สิ้นหวัง ทั้งๆที่พยายามจะเข็มแข็ง แต่ก็ไม่อาจทำได้เลย ชายหนุ่มเกลี่ยใบหน้า ปัดแก้มนวลเบาๆ ใบหน้าผู้กองหนุ่มก็โน้มเข้าใกล้ ประทับจูบเบาๆบนริมฝีปาก ราวกับปลอบใจ ใบหน้าขาวซีดของคุณหมอหนุ่มซับสีเลือด กลายเป็นสีแดงเข้ม สายตาแกร่งกร้าวของผู้กองหนุ่มมองดูด้วยความหลงใหล

"ป่านนี้แล้วคุณยังจะอายอยู่หรือ?"

คำถามช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ที่เป็นเช่นนี้ เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าเพราะอะไร ดวงตาสีอ่อนสบกับดวงตาแกร่ง คุณหมอยกมือมากุมมือที่จับใบหน้าตัวเองไว้

"เพราะคุณอ่อนโยนไงล่ะ แตกต่างกว่าทุกครั้งที่เราพบเจอกัน"

ภานุลุกขึ้น กอดร่างบาง ก่อความรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ มันช่างเลือนรางจริงๆ คุณหมอกอดตอบแน่น เขาดึงเสื้อเชิ้ตไว้ สูดดมกลิ่นโคโลญจ์ของนายทหารหนุ่ม ต้นธาราผละออก เขาส่ายหน้ากับความรู้สึกของตัวเองไม่อยากจะหลงเข้าไปในความรู้สึกนั่นเลย ผู้กองภานุมองดูร่างที่ดูเหน็ดเหนื่อย ปลอบใจโดยการกุมมือไว้นิ่งๆ....
ความเห็นใจ สิ่งต้องการ นี่มันเป็นความฝันหรือเรื่องจริงกัน เขาอยากสัมผัสกับความอบอุ่นและความรักที่งดงาม เขาจะเลือกได้สักทางไหม หลับตาลงอีกครั้งเมื่อถูกจุมพิตเบาๆที่แก้ม หยดหยาดน้ำตาอยู่ๆก็ไหลลง ชายหนุ่มก็จูบซับไล้เลียให้มันแห้ง ต้นธาราก็ยิ่งดึงร่างของผู้กองมากอดแน่น

"อ่อนโยนกับผมสักครั้งได้ไหม ขอให้ได้รับความรู้สึกนั่นได้หรือเปล่า"

คำตอบได้รับการตอบรับโดยริมฝีปากที่จูบไปทั่ววงหน้าได้ครอบครองริมฝีปากบาง สัมผัสด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนที่สุด

"ขอแค่ตอนนี้ให้มองแค่ผมได้ไหม?"

ต้นธารากระซิบข้างหูผู้กองหนุ่ม ภานุหัวเราะ

"ที่พูดแบบนี้หึงหวงจากแม่หญิงกลิ่นเอื้องรึ"

ต้นธาราไม่ตอบ เขาหลับตาแน่นยามที่ริมฝีปากประทับบนบ่าเปลือยเปล่าที่ชายหนุ่มไล้เสื้อผ้าออก รสจูบร้อนๆนาบลงบนผิวสะอาด

"กลิ่นกายคุณยิ่งกว่ากลิ่นเอื้องนั้นเสียอีก มันหอมหวานและเย้ายวน ขาวสะอาด นุ่มนวลน่าทะนุถนอมยิ่งนัก"

ชายหนุ่มไล้ลิ้นไปบนผิวสวย ต้นธาราที่ได้ฟังสั่นสะท้านราวกับเป็นไข้ หูเขาคงไม่ฝาดไปนะกับคำชมดั่งครีมที่หอมหวาน นิ้วมือที่สัมผัสผิวเนียน พาร่างให้สั่นระริก ภายใต้ค่ำคืนนี้เขาใต้อยู่ภายใต้อ้อมแขนแข็งแรง เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกจนหมด ผิวกระจ่างปรากฏแก่สายตา ทั่วทั้งตัวของต้นธาราราวกับจะมีสีสัน ใบหน้าแดงจัดเมื่อถูกสายตาแกร่งโลมไล้ไปทั่วราวกับจะจดจำประทับตราตรึงไว้ ชายหนุ่มจับมือเรียวขึ้นมา จูบที่ฝ่ามือ ก่อนจะใช้ลิ้นเลียทีละนิ้ว ดูดกลืนจนมันเปียกชุ่ม คุณหมอเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้กองจะเริ่มต้นบทรักด้วยความอ่อนโยน ทั่วทั้งร่างยิ่งสั่นระริก เพราะกำลังถูกฆ่าทางอ้อมด้วยอารมณ์ที่จุดให้คลุ้มคลั่งไปกับความรู้สึกแสนหวาน

พอทั่วทั้งฝ่ามือถูกดูดกลืนราวกับจะกินเข้าไป ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า ก้มหน้ากับส่วนท้องน้อย สัมผัสกับสะดือ ลากไล้มาเรื่อยๆผ่านหน้าขาจนร่างบางสะท้านเฮือก นิ้วเรียวจิกเข้าไปในเส้นผมยามที่ริมฝีปากกลืนกินส่วนต้องห้าม เสียงกรีดร้องเบาๆ ลำตัวบิดเร่าๆ ทุกสัมผัสสร้างความเสียวซ่าน และยิ่งทำให้หลงเข้าไปในห้วงที่ลึกล้ำ ยิ่งกรีดร้องมากขึ้นเท่า สัมผัสก็จะแรงขึ้นมากเท่านั้น ผู้กองหนุ่มถอนริมฝีปากออกเมื่อส่วนที่สัมผัสเริ่มเปียกชื้น ชายหนุ่มใช้นิ้วมือสัมผัสกับตุ่มไตเล็กๆที่อยู่บนแผ่นอกขาว มันแข็งขึงขึ้นยามที่นิ้วแกร่งสัมผัสและลูบไล้มัน ส่วนนิ้วที่วาง แหวกเรียวขาเรียวแยกออกกว้าง แตะไประหว่างขา สอดนิ้วเข้าไปยังช่องทางอันคับแคบ อุ่นชื้น ยิ่งทำให้ร่างของต้นธารากระตุก ใจก็จะขาดรอนๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ ดวงตาสีอ่อนเหมือนกับจะเข้มขึ้นยามที่นิ้วที่สอดแทรกเข้าไปขยับเขยื้อน

"อย่าฆ่ากันแบบนี้เลย"

กระซิบเสียงแหบพร่า จิกฟูกแน่น ร่างกายเคลื่อนไหวไปอย่างอัตโนมัติตามนิ้วที่แทรกสอด ภานุไม่ยอมทำตามที่พูด หลังที่นิ้วมือได้สัมผัสตุ่มไตที่แข็งขึ้น เขาก็ใช้ริมฝีปากดูดกลืนมันทั้งหมด ยิ่งทำให้เสียงครางดังขึ้น พอดูดกลืนจนพอใจแล้ว ก็ไล้ตามคอจนกระทั่งบรรจบกับเรียวปากอิ่มที่เผยอรออยู่แล้ว จูบอย่างดูดดื่ม ฝ่ายต้นธาราก็ตอบสนองดีเสียด้วย ลิ้นที่เกี่ยวพันอยู่ไม่ห่าง เขาเริ่มปรนนิบัติผู้กองบ้าง โดยการใช้มืออุ่นๆปลดกางเกงสอดเข้าไปข้างในสัมผัสส่วนที่แข็งขึง ขยับให้อย่างแผ่วเบา ยิ่งทำให้การจูบเพิ่มระดับความรุนแรง พอริมฝีปากแยกออก ดวงตาสีอ่อนฉ่ำเยิ้มไปตามอารมณ์พิศวาส ชายหนุ่มก็ดึงรั้งมืออก อยากปลดส่วนที่คับตุงออกสู่อิสรภาพ

"คิดจะสัมผัสมันอีกรอบไหม?"

ชายหนุ่มถาม คุณหมอมองส่วนที่พองโตและมีขนาดใหญ่ก็กลืนน้ำลาย แต่ก็ยอมก้มหน้าลง นึกถึงครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเรือนร่างแกร่ง ริมฝีปากบางดูดกลืนอย่างไม่เชี่ยวชาญ ชายหนุ่มส่งเสียงครางอย่างพึ่งพอใจ ดวงหน้าที่ดูอ่อนโยนถอนออกเมื่อสัมผัสถึงรสชาติขื่นของน้ำสีขุ่น ชายหนุ่มผลักร่างของคุณหมอลง ต้นธารายอมอย่างว่าง่าย เขากอดแน่นเมื่อชายหนุ่มสอดแทรกชิ้นส่วนที่แข็งขึงเข้ามาและขยับอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สร้างฝันแสนสวยงามให้ แล้วแล้วมันก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มยังกอดเข้าไว้ ยังทาบทับร่างกายและยังไม่ถอนชิ้นส่วนที่แข็งแรงออกจากช่องทางที่คับแคบ มันสร้างความรู้สึกดีให้อยู่ไม่น้อย

"หวานไปทุกส่วนเลย"

ชายหนุ่มกระซิบ ต้นธาราดันอกไว้ เขาเกรงว่าถ้าอีกรอบ เขากลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหว แต่พอมาเจอคำหวานๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยอมทุกอย่างได้ ชายหนุ่มจับพลิกกายรั้งสะโพกให้สูงขึ้น นำหมอนมารองไว้หน้าท้องก่อนจะเริ่มบทรักอีกรอบ จนเวลาผ่านไปนานเท่าไรต้นธาราไม่รับรู้แล้ว เขารู้แต่เพียงว่าเวลานี้เขามีความสุข จนกระทั่งความเหนื่อยอ่อนเข้าถาโถม ชายหนุ่มก็นอนซ้อนและกอดเขาไว้ กายที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อตระกองกอดซึ่งกันและกันไว้ ความเปียกชื้นไม่ทำให้ต้นธารารำคาญนักเพราะเขามีความสุข หัวใจเต็มเปี่ยม ลืมเลือนความเจ็บปวดที่จะตามมาไปชั่วครู่ แม้ว่าจะผูกพันทางกาย แค่ได้รับกายและอ้อมกอดอันอบอุ่น เขาก็พอใจแล้ว....สัมผัสที่พาใจล่องละลอยอีกครั้ง....ภานุหลับสนิท คุณหมอซุกกายเข้าหานำวงแขนกอดเขาไว้ แม้ว่าพรุ่งนี้เช้ามันจะลงเอยด้วยอารมณ์อันแปรปรวนก็ตาม....
------------------------------------------------


ออฟไลน์ Simply Blue

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-3
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #124 เมื่อ19-05-2008 20:46:00 »

ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า และกดดัน
เฮ้อ เมื่อไรผู้กองภาณุจะรู้ความจริงแล้วเข้าใจคุณหมอสักที  :เฮ้อ:
ความไม่ชัดเจนอาจทำให้คนเดินหลงทางได้เหมือนกัน เป็นห่วงความรู้สึกและร่างกายคุณหมอจริงๆๆ  :sad2:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #125 เมื่อ19-05-2008 21:43:57 »

หวานก็หว้าน หวาน
โหด ก็โคตร โหด

ตอนนี้เชียร์คู่ ผู้กองธี กะ กิ่งไผ่ ดีก่า เฮอๆๆๆ
ท่าจะไม่รันทด
รึเปล่า...

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #126 เมื่อ19-05-2008 22:55:39 »

เข้ามาบวกให้เพือนสาวคนขยัน o13

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #127 เมื่อ19-05-2008 22:58:22 »

สงสารคุณหมอต้นนนนนนนนนนนนนนนน  :o12:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #128 เมื่อ19-05-2008 23:21:40 »

ผู้กองภาณุ แกล้งตลอดเลยนะ แต่ไปพักในเมืองด้วยกัน  :o8:  :o8: 


ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #129 เมื่อ19-05-2008 23:25:43 »

 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับสงสารคุณหมอจังครับผม

แต่ผู้กองภานุก็เริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว

อีกหน่อยก็รักกันดีกันเองครับผมว่านะ

:impress: :impress: :impress:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #129 เมื่อ: 19-05-2008 23:25:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #130 เมื่อ21-05-2008 20:19:41 »

เนอะ  สงสารคุณหมอ 
++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:8 Task/ภารกิจ(Part)1

หลังจากกิ่งไผ่หลบหนีมาได้ ร่างบางกุมหน้าอกด้วยความโล่งใจ ทรุดนั่งกับพื้นซ่อนตัวเองอยู่กระต๊อบร้าง เจ้าขิ่นเหนื่อยหอบไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มสูดลมเข้าปอดลึกๆเพราะเจ้านายพามันวิ่งด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง จนมาถึงที่ซ่อนตัวชั่วคราว

"พี่ไผ่ทำไมต้องวิ่งหนีไอ้หนุ่มคนนั้นด้วยล่ะ เดี๋ยวพวกเราก็ถูกสงสัยหรอก"

อันที่จริงกิ่งไผ่ก็ผิดเอง เขาเพียงตื่นเต้นมากไปหน่อยจนลืมตัว ร่างสูงโปร่งทรุดนั่ง นิ้วแตะใบหน้าที่ดูซีดขาว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง หัวใจในตอนนั้นดูเหมือนกับจะหยุดไป ดวงตาแกร่งที่สบมอง...ไม่อาจจ้องได้นานนัก ชายผู้นั้นจำได้ เด็กหนุ่มมองอาการมองเหม่อลอยของเจ้านาย ก่อนจะโบกไม้โบกมือใส่หน้าเป็นการเรียกสติ

"พี่ไผ่ครับเป็นอะไรหรือเปล่า? แล้วไอ้หนุ่มคนนั้นเป็นใครครับ"

กิ่งไผ่ลุกขึ้น เขาปัดเศษดินออกจากผ้าซิ่น หยิบกระบุงขึ้น

"จะเป็นใครเอ็งก็อย่าสนเถอะ เอาเป็นว่าเราเสร็จสิ้นงานของเราแล้วก็รีบกลับเถอะ"

เจ้าขิ่นมันไม่เข้าใจนักว่าเจ้านายของมันคิดอะไรอยู่ในใจ เด็กหนุ่มได้แต่เดินตามต้อยๆ มองแผ่นหลังที่ซ่อนเรื่องบางอย่างไว้ กิ่งไผ่ไม่หยุดฝีเท้าเลย เขารีบกลับไปยังที่ซ่อนตัวลับๆอีกที พอไปถึงก็รีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อเชิ้ตเก่าๆขาดๆกับกางเกงยีนส์ปะขา ทรุดนั่งมองเงินแบงค์ยี่สิบ เจ้าขิ่นสงสัยว่าธนบัตรใบนั้นมันมีอะไรน่าสนใจหนักหนา มันจึงเอ่ยปากถาม

"นายดูเงินแบงค์ทำไมครับ หรือว่าเป็นแบงค์ปลอม?"

กิ่งไผ่หัวเราะเล็กน้อย เขาไม่ตอบของเด็กหนุ่ม หยิบหมอนสีเหลืองมอๆมารองแผ่นหลัง

"ในนี้บรรจุข้อมูลทางฝั่งไทยไว้"

เจ้าขิ่นตาโต มันไม่อยากจะเชื่อว่าเงินแบงค์ยี่สิบจะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลได้ เจ้านายโยนมันลงในเก๊ะเก็บของ

"มันเก็บอย่างไรครับ"

เด็กหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ แต่เจ้านายก็ไม่ตอบ กลับล้มตัวนอน กลุ่มผมยาวสลวยคลุมซีกหน้าสวยไว้ครึ่งหนึ่ง

"อยากรู้ตื่นขึ้นมาจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ฉันง่วงเหลือเกิน"

ริมฝีปากอิ่มเรียวหาว ร่างบอบบางขดบนเตียงแคบๆ เจ้าขิ่นจดๆจ้องๆนายของมันที่หลับลงอย่างง่ายดาย เปลือกตาปิดสนิท แขนกอดอกเข้าหากันดุจจะเหน็บหนาว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงนำผ้าห่มมาคลุมกายเจ้านาย ก่อนจะไปนั่งเฝ้าที่ประตู มองเก๊ะที่ใช้เก็บเงินแล้วยังสงสัยไม่หาย จึงเดินไปเปิดดูก่อนที่จะได้รับอนุญาต

"คิดจะทำอะไรน่ะขิ่น บอกแล้วไงว่าจะบอกเอง ไปนอนเสีย อากาศดีๆ วันว่างๆแบบนี้หาได้ไม่บ่อยหรอกนะ"

เจ้าขิ่นสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเจ้านายงึมงำทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา มันจึงรีบวางเก๊ะลง แปลกใจทั้งๆที่เจ้านายน่าจะหลับสนิทไปแล้วและมันก็เดินอย่างแผ่วเบาแล้ว เพราะอะไรเจ้านายถึงหูดีนัก

"ขอโทษครับที่ทำแบบนั้น...เอ่อ...อ่า...เห็นว่าพี่ไผ่จบจากโรงเรียนทหาร จบจากที่ไหนเหรอครับ"

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นการรบกวนเวลานอนไหม แต่ปากมันก็พลั้งไปแล้ว รอดูเจ้านายจะต่อว่าอะไรตัวเอง ผลที่ได้คือความเงียบงัน คล้ายกับกิ่งไผ่จะหลับไปเสียดื้อๆ เจ้าขิ่นเงียบงันไปทันที

"เอ็งถามฉันเรอะขิ่น...ฉันจบจากนายร้อยเวสพอยท์ (Westpoint)มา นายพลอินคานเป็นคนส่งฉันไปเอง"

น้ำเสียงเจือความง่วงงุน เจ้าขิ่นตาโต

"โอ้โห...พี่ไผ่จบจากเวสพอยท์เชียวรึครับ"

คนอยู่บนเตียงเงียบไป ระลึกถึงตราอินทรีผงาดเหนือตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน คิดถึงวันที่ได้ฝึกฝนในโรงเรียนนายร้อยอันเกรียงไกร

"อืม รู้แล้วยังเซ้าซี้อีกนะ"

กิ่งไผ่ลืมตาขึ้นมา เจ้าขิ่นทำหน้าเจื่อนไป มันขอโทษผู้เป็นนาย กิ่งไผ่หัวเราะ

"เอาเถอะจะเล่าให้ฟังก็ได้ เพราะถ้าขืนไปบอกไม่เล่าเดี๋ยวเอ็งก็กวนฉันอีก"

นิ้วเรียวหยิบเก๊ะออกมา ก่อนจะชูธนบัตรขึ้น ชี้ไปบนเงินแบงค์

"นี่เป็นธนบัตรปลอม ข้างในจะซ่อนฟิล์มเล็กๆไว้ ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษในการลอกออกมาตัวฟิล์มที่ซ่อนไว้จะได้ไม่เสียหาย มันยากมากกว่าจะได้ข้อมูลแต่ละหน่วย เราต้องเสียเงินไปเยอะและเสี่ยงอันตรายมากแต่มันก็จำเป็นสำหรับเรา "

พูดจบกิ่งไผ่หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา โกยธนบัตรทั้งหมดลงในซอง

"มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ"

ดวงตาที่มองเข้าไปในความงุนงง อ้าปากหาวอีกรอบ ก่อนจะบิดตัวคลายความเกียจคร้าน กิ่งไผ่เสยผมดำสนิทจนมันยุ่งเหยิง นั่งชั่นเข่ากอดแน่น

"อยากรู้ชีวประวัติส่วนไหนของฉันบ้างล่ะ?"

เขาถามเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงทันที กิ่งไผ่จึงหัวเราะร่วน

"เห็นถามฉันซอกแซกจนไม่ได้หลับ แล้วตอนนี้ไม่ถามแล้วรึ?"

เจ้าขิ่นเงยหน้าขึ้น ทำหน้าเหมือนอยากจะถามแต่ก็เกรงๆ

"พี่ไผ่อยู่ที่เวสพอยท์เป็นอย่างไรบ้างครับ?"

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจถาม กิ่งไผ่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย

"ที่เวสพอยท์ก็เปรียบดังโรงเรียนแห่งการรบที่ใครๆต่างเฝ้าฝันอยากจะเข้า ที่นั่นสอนหลายๆอย่างไม่ใช่เป็นแค่โรงเรียนทหารเพียงอย่างเดียวแต่เป็นทั้งมหาวิทยาลัย เป็นทั้งศูนย์กลางต้นแบบวิชาผู้นำทางทหารในสาขาต่างๆ และศูนย์กลางเทคโนโลยีทางเบสิคในการทหาร ที่เวสพอยท์มีทั้งนายร้อยหลายๆสัญชาติเข้ามาเรียนถ้าได้ทำสนธิสัญญากัน"

เจ้าขิ่นพยักหน้า มันยิ่งนึกชื่นชมในความสามารถของเจ้านาย

"แล้วโรงเรียนนายร้อยเวสพอยท์ตั้งอยู่ที่ไหนครับ"

" เวสพอยท์ตั้งอยู่ที่อเมริกา มีสถาบันทางการทหารยอดนิยมอยู่สามแห่งคือ เวสพอยท์ ดันทรูน และแซนเฮิร์ทเป็นสถานที่ๆเน้นพรสวรรค์น่าดู เหนื่อยเหมือนกันที่ไปเรียนอยู่ที่นั่น "

กิ่งไผ่นวดต้นคอ เจ้าขิ่นพูดไม่ออกเลย มันรู้ว่าเจ้านายของมันเก่ง แต่พอได้ฟังประวัติแล้วก็ยิ่งชื่นชม

"พี่ไผ่เก่งจังเลย ผมอยากเป็นอย่างพี่ไผ่บ้าง"

พูดถึงช่วงนี้กิ่งไผ่หัวเราะคล้ายกับจะหยามหยันตนเอง

"อยากเป็นแบบฉันรึขิ่น มันไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอก"

ชายหนุ่มย้อนถึงอดีตอันขื่นขมของตัวเอง นิ้วเรียวกุมเส้นผมยาวสลวย ท่าทีปวดใจจนเจ้าขิ่นตกใจ

"ขอโทษครับนายที่ทำให้นายนึกถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา"

นิ้วเรียวโบกไล่ให้เจ้าขิ่นออกไปข้างนอก เจ้าขิ่นเห็นจึงทำตามแล้วก็ตบปากตัวเองที่ไม่น่าซอกแซกจนเจ้านายนึกถึงเรื่องที่น่าเจ็บปวดขึ้นมาเลย

กิ่งไผ่ซบหน้ากับเตียง พยายามจะลบเลือนภาพอดีตสมัยเด็ก นายพลอินคาน เจ้าเมืองคนปัจจุบันแห่งเวียงนวรัฐะเวียงที่ติดติดลุ่มน้ำอิรวดี อาณาจักรในป่าที่ล่มสลายไป ภาพบ้านเมืองอันแสนสุขต้องล่มจมเพราะสงคราม มารดาของเขา เจ้าหญิงแห่งสิเรียมแต่งงานกับนายพลอินคานซึ่งมีเชื้อสายเป็นลูกหลานเจ้าเมืองพม่า ย้ายไปปกครองเวียงนวรัฐะแทนเจ้าองค์เดิมที่สิ้นพระชนน์ไป ช่วงเวลาที่อยู่เวียงนวรัฐะสำหรับกิ่งไผ่แล้วเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก จนกระทั่งเขาอายุสิบเก้าปี ถูกส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยเวสพอยท์โดยผ่านนายทหารอเมริกาที่เข้ามาสำรวจเทือกเขาปัตไกซึ่งเป็นพรมแดนกั้นระหว่างพม่าและอินเดีย นายทหารสัญชาติอเมริกันก็รับเขาไปอยู่ที่อเมริกาด้วย ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่เหินห่างจากบ้านมา ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ณ เมืองบ้านเกิดไม่เหลือเค้าแห่งความสุขเพราะเกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างเมือง แม่ของเขาถูกวางยาพิษ ส่วนพ่อก็ถูกขับออกจากเวียงนวรัฐะ เมื่อกิ่งไผ่อายุครบยี่สิบปี่ทุกอย่างก็ถึงจุดจบ พ่อที่เคยใจดีกลับแปรเปลี่ยนเคี่ยวเข็ญและทำให้เขาจบจากเวสพอยท์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการกู้บ้านเมือง เขาที่เศร้าใจกับการตายของแม่ไม่เข้าใจนัก...รู้ว่าสงครามมักมีแต่ความสูญเสีย ถึงแม้จะได้ชัยชนะและอำนาจมาก็ตาม พ่อเขากลายมาเป็นนายพลไร้อำนาจต้องรวบรวมผู้คนเพื่อเป็นกำลังในการต่อสู้ กิ่งไผ่ก็จะถูกเสี้ยมสอนให้รักบ้านเมือง ทำเพื่ออุดมคติ เขาเคยเยาะชีวิตกับพ่อว่า บัดนี้ชีวิตก็เป็นได้แต่กองโจรที่รอฝันไปวันๆว่าสักวันอาณาจักรจะฟื้นคืน สุดท้ายเขาก็ถูกท่านนายพลอินคานตบหน้า กิ่งไผ่ในตอนนั้นมีแต่ความโกรธ ชิงชังอยู่เต็ม เขาคิดว่าพ่อไม่ไยดีต่อแม่เลย สุดท้ายท่านนายพลก็กอดเขาไว้และเอ่ยว่า

'ทั้งลูกและทั้งมนัสหยาต่างเป็นสิ่งสำคัญ พ่อเสียใจที่ไม่อาจจะปกป้องแม่ของเจ้าได้ ในตอนนี้ความสุขของพ่อคือเจ้า เจ้าคือสิ่งที่พ่อไม่เจ็บปวดและทรมานยามที่นึกถึงแม่ของเจ้า พ่อเป็นพ่อที่แย่ที่ทำให้เจ้าไม่มีความสุขเลย...ตอนนี้พ่อขอโทษที่ทำให้เจ็บปวด'

อ้อมกอดของบิดาอบอุ่นและอ่อนโยน กิ่งไผ่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะกู้เมืองและนำทุกสิ่งทุกอย่างคืน น้ำตาจึงไหลอาบแก้ม ท่านพ่อที่อยากเห็นบ้านเมืองฟื้นดังเดิม จนแล้วจนรอดก็มีแต่เพียงภาพอากาศ เขานึกถึงมารดาที่ตายจากไปเพราะสงคราม เขาเกลียดการฆ่าฟัน...เกลียดแต่ต้องมากระทำดุจไร้หัวใจ แต่พอบิดาเอ่ยเช่นนี้ หัวใจที่เคยด้านชาก็อบอุ่นและเต็มตื้น บิดาที่เข้มแข็งกลับมาร้องไห้เสียใจ ทุกอย่างมันเลือกไม่ได้เลย มีแต่ความเจ็บปวดอยู่เต็ม...ภาพแห่งความหลัง เวียงนวรัฐะ อากาศค่อนข้างหนาว บิดาที่อ่อนโยนมักจะนำผ้าห่มมาให้เสมอๆยามที่เขากับมารดาออกไปนั่งริมระเบียง มารดาที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจะยิ้มอย่างอ่อนโยน ผมยาวสลวยของมารดาพัดปลิวตามสายลมหนาว ท่านนายพลจะนั่งอยู่เคียงข้าง เฝ้ามองดูป่าเขียวขจีอย่างมีความสุขด้วยกัน ที่เวียงนวรัฐะส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำเหมืองแร่ พ่อของเขาก็เคยมีเหมืองแต่ตอนนี้มันถูกยึดไปแล้ว พอโตขึ้นจวบจนสิบเก้าปีเขาก็ถูกส่งไปยังอเมริกาเพื่อเรียนวิชาทหาร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พ่อบังคับให้กลับไปเรียนต่อทั้งๆที่ไม่เหลืออะไรแล้ว กิ่งไผ่ก็กลับไปโดยที่หัวใจแตกสลาย เพราะเขาไร้ทั้งชาติ บ้านเมืองและสังคม เขามีสองสัญชาติ บิดาให้นายทหารอเมริกันโอนสัญชาติให้

กิ่งไผ่เกลียด เขาไม่อยากมีสัญชาติอื่นใดนอกจากสัญชาติบ้านเกิดตัวเอง เหมือนกับความภาคภูมิใจทั้งหมดทั้งมวลหายไป สิ่งนี้ช่วยระลึกสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่กิ่งไผ่มาทราบเอาทีหลังจากบิดาบุญธรรมว่ามันเป็นการลี้ภัยทางการเมืองทางหนึ่ง พ่อของเขาต้องการให้เขาปลอดภัย ด้ายที่ผูกไม่ให้เห็นด้านอื่นๆจึงคลี่ออกช้าๆ เขาจึงหันมาพยายามเพื่อพ่อทั้งๆที่ในใจมีอคติกับการสู้รบเสมอ...ไม่อาจจะหาสิ่งอื่นใดมาลบเลือนได้จนกระทั่งได้พบกับ 'เขา' คนนั้น เพียงแค่มองครู่เดียว ทุกอย่างก็ดูไร้เหตุผล สายตาของ 'เขา'ดูคับข้องใจ แววตาอ่อนโยน เขามีใครอยู่ในหัวใจหรือยังนะ ร่างโปร่งพลิกกายบนเตียง สายตาแสนเลื่อนลอยคอยๆหลับลงอย่างอ่อนเพลีย...ฝันว่าเขาได้สัมผัสริมฝีปากอุ่นหนาอีกครั้งหนึ่ง สัมผัสอ่อนหวานยามที่นิ้วแกร่งแทรกเข้าไปในเรือนผม พร้อมกับเชยหน้าพิจมอง เหมือนกับเป็นเรื่องจริง แท้จริงแล้วก็แค่ภาพฝันลวงตา

------------------------------------------------

ผู้กองภานุโอบกระชับร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขนแน่น กอดรัดราวกับจะให้หายใจไม่ออก ผิวขาวกระจ่างปรากฏรอยแดงเป็นย่อมๆ ชายหนุ่มจับมันขึ้นมาดูว่าเป็นรอยห้อเลือดหรือรอยอะไรกันแน่ แล้วก็ถอนใจ ใบหน้าแกร่งปรากฏรอยยิ้ม สายตานุ่มนวลจับจ้องร่องรอยเหล่านั้น มองท้องฟ้าที่ใกล้สาง อากาศยามเช้าหนาวเย็น แต่เมื่อรับความอบอุ่นจากร่างบางแล้วก็หายหนาว กลับรู้สึกร้อนรุ่ม เปลือกตาปิดสนิท ซ่อนดวงตาสวยไว้ภายใน ภานุจุมพิตประทับริมฝีปากเบาๆกับริมปากแดงอิ่ม ลืมเสียสนิทว่าวันนี้เขาต้องเข้าประชุมตั้งแต่เช้ากับเรื่องภารกิจ อาจเพราะเขาลุ่มหลงอยู่ในเรือนร่างนี้อยู่ก็ได้ ทำให้เขา 'ลืม' ตัวตนการเป็นภานุคนเก่า ฝ่ามือบีบมือเล็กที่ประกบกับฝ่ามือใหญ่แน่น ผิวสะอาดแนบเบียดชิดแทบชวนคลุ้มคลั่งใจ ภานุลืมความรู้สึกนี่ไปนับตั้งแต่เลิกกับมธุรสคนรักเก่า ภายในใจของเขาก็มีแต่ความเยียบเย็น เขาไม่เคยมองใครเป็นคนรักอีกเลย ไม่มีแม้แต่คำว่าหัวใจเต้นถี่ ดุจจะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่เอาแต่มุมานะทำงาน เมื่อพิจารณาอีกครั้ง เขาก็ผิด...ผิดที่ไม่เคยใส่ใจในคนรักคนเก่า แต่ละวันอยู่กับตัวเอง ดวงตาไม่เคยปรากฏแววอ่อนหวาน คำพูดที่ทำให้ดีใจก็ไม่ได้เอ่ยให้ฟังสักครั้ง จนกระทั่ง เขาตัดสัมพันธ์ เพราะรู้ว่าสักวัน การจากลาต้องมาถึงในเร็ววัน

"ผมน่ะมันเป็นคนไร้ใจ รู้ไหม?"

ชายหนุ่มกระซิบริมหู รั้งสะโพกให้เบียดชิดกับความแข็งแกร่ง อยากจะรู้ว่าตรงส่วนไหนกันที่คุณหมอคนนี้รักเขา น่าประหลาดทั้งๆที่เขามีความเกลียดอยู่เต็มไปหมดหัวใจ ทำไมยังรัก ทำไมยังคิดถึง นิ้วเกลี่ยแก้มที่มีคราบน้ำตาหยาดหยด อยากกอดจนกระทั่งรุ่งสาง แต่คนในอ้อมแขนกระดุกกระดิกพลิกกายหันมาทางภานุเต็มๆ ต้นธาราไม่รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใคร หากลืมตาตื่นเขาต้องดีใจเป็นแน่แท้ เพราะว่ามันเป็นอ้อมแขนของคนที่รักมากที่สุดและเขาก็คิดถึงมากที่สุด แต่ภานุก็ปลดวงแขนออก ห่มผ้าให้แก่ร่างโปร่งที่นอนหลับใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ภานุแต่งตัวช้าๆปรายตาเพ่งพิจใบหน้าที่ชวนรักใคร่ที่สุดแล้วพลันฉุกคิดได้ว่า เขาลืมการประชุมก่อนออกทำภารกิจ ชายหนุ่มหน้าเครียด เพราะเขาเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนในครั้งนี้เสียด้วย แต่เขาก็เลือกที่จะอยู่กับร่างบอบบางนี้ จนกระทั่งดวงตาใสกระจ่างลืมตื่น

"ขอโทษครับ"

ต้นธาราลุกพรวดพราดเมื่อเห็นภานุแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พร้อมโยนเสื้อผ้าให้

"เป็นอะไรล่ะรีบใส่เสื้อผ้าเสียสิ"

สายตาของคุณหมอมองร่างที่เหนียวเหนอะหนะของตัวเอง อยากจะอาบน้ำก่อนสิ่งอื่นใด

"ทำตัวชักช้าอยู่ได้"

เมื่อผู้กองภานุเร่ง ต้นธาราก็มิอาจเอ่ยร้องขออะไรได้อีก เขารีบสวมใส่เสื้อผ้า ท่าทางเงอะๆงะๆจนภานุเห็นแล้วหงุดหงิด

"ผมเสียเวลาแล้วเห็นไหม"

ชายหนุ่มว่า ต้นธาราเงยหน้า นึกฉุนที่พูดแบบนี้ใส่หน้าหลังจากมีอะไรกัน มันเหมือนกับว่าเขาคอยเป็นที่รองรับอารมณ์เท่านั้น คุณหมอเหมือนอยากจะว่ากล่าว แต่ก็พูดไม่ออก พอดีที่ภานุเข้ามาชิดใกล้และสวมใส่เสื้อผ้าให้ เขานิ่งนั่งตัวแข็ง ในสายตาของคุณหมอสังเกตได้ว่าต้องหัวเราะเยาะเขาอยู่เป็นแน่แท้ ดังนั้นแก้มที่ขาวซีดยิ่งแดงเหมือนตอนสัมผัส จูบประทับ

"ขำอะไรครับ"

ต้นธาราว่า เขาเกาะบ่าภานุเป็นหลักให้ตัวเองลุกขึ้น แต่ก็เซเล็กน้อยและรู้สึกว่าตัวเองวูบไป แม้เพียงนิดเดียวภานุก็จับสังเกตได้

"เป็นอะไรหรือเปล่า?"

ต้นธาราส่ายหน้าปฏิเสธ กลบเกลื่อนด้วยการยิ้มซึ่งภานุเกลียดมันที่สุด คุณหมอหนุ่มเดินโซเซเล็กน้อย ดุจฝีเท้าจะไม่มั่นคงตามภานุซึ่งเดินดุ่มๆด้วยความเร็วออกไปนอกบ้าน ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนเลยเหมือนกับมันจะเป็นลมพัด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เขาหยุดแทบไม่ทันเมื่อร่างสูงชะงัก

"คอยอยู่ที่นี่นะ"

ต้นธารามองชายหนุ่มที่เขาไปคุยกับชาวเขาคนหนึ่งที่มีรถเป็นของตัวเอง เจราจาเพียงชั่วครู่ก่อนจะลากต้นธาราให้ติดตามไป คุณหมอหยุดอยู่ตรงหน้าครอบครัวชาวเขาซึ่งภานุส่งภาษาแปลกๆด้วย

"นี่คือครอบครัวจะนะ ชาวเขาเผ่าอาข่า"

สายตาของต้นธารามองเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้ม ศีรษะสวมหมวกแหลมประดับด้วยเหรียญตรา กระดุมเงินลูกเดือย พู่แดงที่ได้จาก ขนไก่ย้อมสี ใบหน้าของผู้สวมก็งดงาม จนรู้สึกน่าอิจฉาที่เธอแย้มยิ้มให้แก่ภานุ หากเป็นเขายิ้มให้ล่ะ มันจะเป็นอย่างไร

"นี่คือลูกสาวของจะนะ คุณสนใจเครื่องประดับเธอเหรอ?"

ภานุหันมาคุยด้วย ต้นธารายิ้มคล้ายกับฝืน

"ก็สนใจครับ เสื้อเธอสวยดี เครื่องประดับก็สวย"

ผู้กองหนุ่มยิ้มอย่างเลือดเย็น

"สาวอาข่าตอนแต่งตัวเต็มยศ ครบเครื่องนั้นจะสวยเพริศแพรวเชียวล่ะ ชุดที่เธอแต่งนี้เรียกว่าชุดอู่โล้อาข่า แถมเธอยังปั่นด้ายเก่งเชียวล่ะ"

ต้นธารารู้ว่าภานุพูดกระทบกระเทียบแต่เขาไม่เขาใจว่าทำไมต้องบอกว่าหญิงคนนี้ปั่นด้ายเก่งด้วย

"แปลกใจสินะสำหรับคุณ...การปั่นด้ายเป็นงานของสาวอาข่าทุกคน เมื่อพวกเธอวางจากงานเธอจะต้องปั่นด้ายไว้เพื่อใช้ทอผ้าให้กับครอบครัวถึงกับมีการจัดแข่งขันว่าใครจะปั่นด้ายเร็วกว่า น่าแต่งเป็นภรรยานะว่าไหม?"

ต้นธาราไม่ตอบคำ เขานิ่งไปกับข้อมูลที่ได้รับรู้ เพราะนับตั้งแต่มาถึงก็ติดอยู่กับโรงพยาบาลเล็กๆตลอด และไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งใดมากนัก

"ผมสนใจเหมือนกัน เธอออกจะสวยขนาดนี้"

เสียงกระซิบดุจซาตาน แผ่ซ่านเข้าไปถึงจิตใจ กัดกร่อนความรู้สึก...ก็แค่คู่นอนชั่วคราวสินะ...ต้นธารายืนทื่อก่อนจะถูกภานุลากขึ้นรถ เขาเป็นฝ่ายนั่งเงียบกริบฟังคำสนทนาที่แปลไม่ออก เหมือนเขาเป็นคนนอก การพูดคุยดูท่าจะสนุกสนาน รื่นเริง ภานุหัวเราะบ่อยครั้ง สีหน้าเคร่งเครียดอยู่เสมอพลันคลายลง ชายชราที่แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตกแต่งด้วยผ้าหลากสีหันมาถาม

"น้อจ้อซะโดเมี๊ยหล่า" (คุณสบายดีหรือเปล่า)

ต้นธาราเงยหน้าขึ้น งุนงงสงสัย ภานุหันมาจากการคุยแม่สาวอย่างเสียมิได้

"เขาถามคุณว่าคุณสบายดีไหม?"

จะนะถามเพราะเห็นต้นธารานั่งเงียบกริบ ไม่พูดไม่คุย จะนะรู้จากผู้กองหนุ่มว่าเป็นคุณหมอคนใหม่ แต่หน้าตาซีดเซียวดุจคนป่วย คุณหมอทำหน้าไม่ถูก ภานุตอบแทนไปว่าสบายดี จะนะจึงผงกหัว ต้นธาราเอ่ยขอบคุณ กลับไปนั่งเงียบๆเฝ้ามองชายหนุ่มแปลคำขอบคุณให้แก่จะนะ ชายหนุ่มก็ทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตนอยู่เช่นเคย จนกระทั่งถึงค่าย ต้นธารารีบลงจากรถ ภานุร่ำลาแม่สาวชาวอาข่า

"หว่อม๊ะเด"(ลาก่อน)

ภานุกล่าวลาก่อนมาสบทบกับต้นธาราที่ทำหน้าตูม

"ครั้งหน้าเธอชวนไปงานขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่วด้วย"

แรกๆคุณหมอทำเหมือนกับไม่ได้สนใจ ภานุก็พูดไปเรื่อยโดยไม่สนใจในอารมณ์ของต้นธาราเช่นกัน

"ประเพณีขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว เกิดขึ้นหลังการอยู่กรรมเผาไฟในไร่ช่วงกลางเดือนเมษายนซึ่งตรงกับเดือนอ่าข่า ขึ่มสึ บาลา" อ่าข่าจะประกอบพิธี "ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว" ขึ่มสึแปลว่า ปีใหม่ ขึ่มมี่แปลว่า คืนของปีเก่า อาเผ่วแปลว่า บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือมีความหมายว่าประเพณีการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่คุณจะไปไหมหลังจากกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจผมจะพาไป เป็นพิธีที่น่าสนใจและสนุกทีเดียว"

ต้นธาราที่ไม่ได้ฟังตั้งแต่ครั้งแรกสะดุดคำพูดประโยคสุดท้าย ภานุนิ่งระหว่างที่กำลังเดินเข้าประตูค่าย

"มีอะไร? ตกลงว่าคุณจะไปงานประเพณีขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว กับผมไหม?"

ดวงตากระพริบปริบๆใส่ใบหน้าของนายทหารหนุ่มที่เลิกคิ้วกับอาการแปลกใจ

"วันนี้...คุณไปปฏิบัติภารกิจไม่ใช่หรือ?"

ภานุทำท่าคิดก่อนจะหัวเราะ

"จริงสินะ ผมก็ลืมเสียนี่"

ชายหนุ่มมีทีท่าสบายๆ เขาจ้องต้นธาราเขม็งสำหรับเรื่องที่เขาพูดให้ฟังแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมฟัง

"แล้วมันจะเป็นอะไรไหม"

น้ำเสียงถามอย่างห่วงใย ต้นธาราหน้าซีดเซียวเดินตาม นายทหารร่างยักษ์เข้าค่ายให้ทัน อีกฝ่ายไม่สนใจในคำห่วงใย ยิ่งทำให้นิ่งงัน

"มันก็เรื่องของผม"

ภานุเอ่ยแค่นั้นก่อนจะทิ้งต้นธาราห่าง คนที่รู้สึกว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันเกือบจะล้ม หากปลุกใจให้เข้มแข็งติดตามภานุไป

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #131 เมื่อ21-05-2008 20:25:47 »

ภายในฐานบังคับบัญชา ทั้งธีรเดช ผู้กองรังสรรค์ จ่าแม้นต่างนั่งหน้าเครียด เหตุผล คุณหมอหน้าสวยกับผู้กองภานุไปได้กลับมาค่ายตามกำหนด ผู้กองธีดูหัวเสียยิ่งนัก ทุกคนก็รู้สึกไม่แตกต่างกันและรู้สึกแย่มากขึ้นเมื่อผู้พันมีทรัพย์ด่ามาว่าไร้ความรับผิดชอบ ทั้งๆที่ภานุเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนแท้ๆ

"ขออภัยครับท่าน"ผู้กองรังสรรค์ได้แต่กล่าวขอโทษ แต่ผู้พันก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว

"อธิบายมาสิ ทำไมผู้กองภานุถึงมาไม่ทันประชุมครั้งสำคัญ ผมก็ให้เวลาเที่ยวกับพวกคุณพอแล้วนะ"

ผู้พันมีทรัพย์ยกมือไขว่หลัง หันมารับคำอธิบาย

"ผมควรจะยกหน้าที่นี้ให้แก่ร้อยตรีอานุภาพดีไหม?"

ท่านว่า หันมาทางรุ่นน้องของผู้กองรังสรรค์ซึ่งนั่งหน้าเคร่ง รังสรรค์รู้สึกไม่ชอบใจร้อยตรีอานุภาพมากนักกับบุคลิคที่ดูเจ้าเล่ห์

"ทางผู้กองเห็นว่าจะมาส่งคุณหมอกลับฐานเพราะป่วย แต่มันอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะครับถึงทำให้กลับค่ายไม่ได้ตอนนี้และไม่ทันการประชุม"

จ่าแม้นว่า ผู้พันมีทรัพย์ถอนใจ

"ถึงจะเร่งด่วนอย่างไรก็ไม่น่าจะทิ้งการประชุมลับเลยนี่ครับ"

ร้อยตรีอานุภาพว่า

"มันเป็นเรื่องฉุกเฉิน คุณหมอไม่สบายและอาจจะคลาดกับพวกเราก็ได้จึงทำให้ต้องอยู่ในเมืองกลับมาไม่ทัน"

ผู้กองรังสรรค์สวน ทำเอาธีรเดชแปลกใจเป็นอย่างมาก จ่าแม้นจึงกระซิบให้ฟัง

"แย่เลยครับการประชุมครั้งนี้เพราะนำคู่กัดสองคนมารวมเข้าด้วยกัน ร้อยตรีอานุภาพไม่ถูกกับผู้กองรังสรรค์ครับ เห็นกันทีไรต้องทำตัวเป็นพังพอนกับงูเห่าทุกที นี่ยังไม่นับผู้กองภานุหัวหน้าหน่วยอีกนะครับ เพราะรายนั้นคงต้องทำตัวเหยียบตาปลาของสองคนนี้แน่ๆ รับรองภารกิจนี้สยอง"

ธีรเดชขมวดคิ้ว

"แล้วอย่างนี้จะรอดหรือครับ"

จ่าแม้นนิ่งก่อนจะตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

"รอดแน่ครับ เพราะนับตั้งแต่ผู้กองนำหน่วยลาดตะเวนมาไม่เคยพลาดสักครั้งยกเว้นแต่ตอนที่...."

จ่าแม้นว่าแล้วหยุดไป ธีรเดชผงกหัวเข้าใจว่าหมายถึงอะไร เพราะหมายถึงเรื่องผู้กองนาคี

"เอาล่ะ ถ้าผมยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ผมก็จะลงโทษพวกคุณที่สะเพร่าไม่ตามเพื่อน"

ใบหน้าของคนในห้องประชุมมีสีหน้าไม่พอใจ แผนที่ทางทหารปลิวตามพัดลมที่หมุนเอื่อยๆ แต่ละคนเริ่มบึ้ง บรรยากาศไม่ดีเลย ผู้กองภานุก็โผล่เข้ามาพร้อมคุณหมอ แต่ละคนจับจ้องยังคนทั้งสอง สายตาดุจเหยี่ยวจ้องมองคุณหมอเป็นพิเศษ เพราะเรือนผมที่ยุ่งเหยิง ริมฝีปากแดงเผยอเพราะหอบ

"คุณไปไหนมาผู้กองภานุ"

ท่านผู้พันถามช้าๆ ภานุโค้งหัวขอโทษผู้พัน ก่อนจะแจงโดยไม่สนใจคนในค่าย พอเขาจะอ้าปากคุณหมอก็สอด

"ผมเกิดเป็นลมขึ้นมากะทันหันครับท่านผู้พัน แล้วเอ่อ...จู่ๆมันก็หน้ามืดรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว ผู้กองที่อยู่ด้วยเลยช่วยนะครับ ผมต้องขอโทษแทนผู้กองด้วยนะครับที่ทำให้เข้าประชุมสาย"

ต้นธาราอธิบายด้วยใบหน้าเสียใจ ผู้พันพิจใบหน้านั่น ดวงตาแหลมคมคล้ายกับจะจ้องให้ทะลุ ทุกคนเงียบกริบ ธีรเดชนึกโทษตัวเองหากเขาไม่สนใจแม่สาวกลิ่นเอื้องเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าเจ้าหัวหมอภานุจะทำอะไรคุณหมอธารผู้น่าสงสารบ้าง แต่พอได้ยินเช่นนี้ ใจเขาก็เหี่ยวแต่...ทำไมเขายังจำดวงตาดำขลับได้นะ

"ครับ ผมเข้าใจดีกับเรื่องที่คุณหมอต้นธาราอธิบาย เรื่องนี้พอลดหย่อนผ่อนโทษกันได้ แต่หากมีคราวหน้าผู้กองภานุต้องถูกสอบวินัยโทษฐานเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่เร่งด่วนช้า เชิญผู้กองไปฟังแผนคร่าวๆจากร้อยเอกรังสรรค์"

ท่านผู้พันว่า ร้อยตรีภานุภาพจ้องอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ก็ไม่พูดอะไร จับจ้องยังร่างโปร่งของคุณหมอรูปงามที่งามสมกับคำลือ...รอยยิ้มอันแสนพิมพ์ใจ...รังสรรค์ที่จ้องภานุภาพนานแล้วก็กัดฟันกรอดเพราะเห็นว่าสานตาของคู่อรินั้นจับจ้องใคร

"ว่าแต่หน้าคุณซีดเหลือเกินมีโรคประจำตัวไหมครับ"

สายตาของรังสรรค์ จ่าแม้น และภานุภาพมองมาที่คุณหมอทันที

"เอ่อ...ผมแค่เหนื่อยน่ะครับ ขอบคุณครับ"

ต้นธาราก้มหน้า หลบสายตาคมของผู้พัน แต่ร่างกายเริ่มเอนไหว ธีรเดชเข้ามาจับ ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

"ผมว่าคุณหมอนั่งก่อนดีกว่าครับวิ่งมาเหนื่อยๆคงแย่"

ต้นธาราทำตามทรุดนั่งยังเก้าอี้ไม้ ธีรเดชนำน้ำดื่มมาให้ ภานุยังฟังผู้กองรังสรรค์อธิบายถึงแผนการ

"เราจะเข้าทางทิศเหนือ แบ่งกำลังเป็นสองส่วน หากเกิดเหตุการณ์คับขันจะตั้งรับ ณ จุดตรงนี้"

น้ำเสียงทุ้มต่ำของรังสรรค์ และท่าทีเคร่งเครียด ต้นธาราจับจ้อง ก่อนจะรู้ว่าไม่ควรสนใจมาก

"คงไม่มีใครทำอะไรคุณนะ คุณหนูธาร?"

ธีรเดชถามทั้งๆที่ยิ้ม ต้นธาราผงกหัว แต่เขาก็เผลอไอออกมา แล้วต้องตกใจเพราะรู้ว่ามีเลือดติดมือแต่เขาก็ยังทำเฉยแอบเช็ดข้างกางเกง

"ผมว่าคุณหมอน่าจะกลับไปค่ายใหญ่นะครับ ดูสิหน้าตาซีดเชียว พักรักษาที่ค่ายใหญ่สักครั้งเถอะ"

ผู้พันว่ายามที่เห็นสีหน้าเหนื่อยๆพร้อมกับดวงตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่

"ผมไปเป็นไรจริงๆครับ"

ต้นธาราตอบด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล ผู้พันมีทรัพย์ขัดไม่ได้เลย

"เฮ้อ...เอ้าเตรียมตัวเสร็จหรือยังอีกครึ่งชั่วโมงไปพร้อมที่จุดนัดพบ"

ทุกคนต่างต้องแยกย้ายไปเก็บสัมภาระ คงเหลือแต่ภานุ คุณหมอหนุ่มและผู้พันมีทรัพย์ ธีรเดชมองตามหลัง ต้นธาราส่งสายตาบอกว่าไม่ต้องห่วงตนแล้วถอนใจ

"คุณหมอนี่ก็ดื้อดึงเอาการนะครับ ไม่สบายแท้ๆยังปากแข็งบอกว่าสบายดี"

ผู้พันมีทรัพย์เอ่ยสัพยอก ต้นธาราหัวเราะไปกับคำสัพยอกนั้น

"ก็ผมไม่เป็นอะไรมากนี่ครับ"

สายตาของผู้พันมีทรัพย์เห็นรอยเลือดแล้ว ท่านจึงอมยิ้ม

"งั้นหรือครับ แล้วเลือดนั่นล่ะ ผมก็ห่วงคุณหมอเหมือนกันนะ ผมว่าคุณหมอควรกลับค่ายใหญ่ดีกว่า เดี๋ยวผมจะเรียกเฮลิคอปเตอร์ของแพทย์ให้"

คุณหมอต้นธารานิ่ง มือกำแน่น สายตาของผู้พันอ่อนโยน

"ผมไม่เป็นไรจริงๆท่านอย่าห่วงเลย"

คำตอบแผ่วเบา ท่านผู้พันส่ายหน้ากับความดื้อดึง ท่านหันมาเห็นหัวหน้าหน่วยไม่เตรียมตัวเสียทีจึงเอ่ยปากไล่

"เมื่อรู้แผนคร่าวๆก็รีบไปเตรียมตัวสิ โอ้เอ้อยู่นั้นแหละ"

ผู้กองภานุค้อมศีรษะให้ เขาเดินออกจากฐาน สายตามองตามร่างของคุณหมอที่นั่งราวกับทำตัวไม่ถูก...อะไรที่อยู่ในใจ คิดจะกลับไปยังค่ายใหญ่แล้วไม่กลับมาอีกอย่างนั้นรึ...ชายหนุ่มคิดก่อนจะหันหลังไปคว้ามือคุณหมอหนุ่มให้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตามองอย่างตกใจของผู้พัน

"เฮ้ย...เอ็งจะพาคุณหมอไปไหนล่ะนั้น"

ภานุหันมาตะโกน พร้อมๆกับเอ่ยโต้

"ผมต้องการคนช่วยเก็บของครับ ต้องขอตัวสักครู่"

ต้นธาราวิ่งตาม ความเหนื่อยหอบปรากฏเต็มสีหน้าที่เริ่มขาวซีด ทั้งคู่วิ่งมาถึงบ้านไม้ ภานุพาคุณหมอขึ้นบ้าน ต้นธาราคล้ายกับจะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นห้องที่ภานุเคยกอดครั้งแรกและครั้งที่สองด้วยอารมณ์โกรธ

"ยืนบื้ออะไรช่วยผมเก็บของสิ"

ต้นธาราตื่นจากอาการเหม่อ เขามองดูเป้ใบใหญ่สีเขียวลายพราง ชุดฝึกรองเท้าคอมแบท ปืนพก.86(ปืน11มม.)และหมวกเหล็กวางทับบนเสื้อ ภานุเปลี่ยนเครื่องแต่งกายต่อหน้าต่อตาคุณหมอ สายตาสีดำสนิมมองแผ่นหลังที่มีรอยข่วนจากฝีมือเขาเองแล้วใจเต้นแรง

"ช่วยหน่อยสิ"

ต้นธาราลุกขึ้น แต่งตัวช่วย ทุกอย่างดูเร่งรีบ ต้นธาราที่ก้มหยิบหมวกเหล็ก กระติกน้ำสีเขียวรู้สึกว่าฝีเท้าจะไม่มั่นคง ซวนเซ

"อีกยี่สิบหน้าที่ผมต้องไปแล้ว"

ภานุว่าขณะมองนาฬิกา เมื่อแต่งตัวเสร็จ รองเท้าแสนหนักถูกนำมาสวมใส่ให้ ต้นธาราจัดปกเสื้อ ตรวจดูความเรียบร้อยทุกส่วนตามที่ภานุสั่ง บัดนี้ผู้กองหนุ่มดูสง่า หล่อเหล่าและเคร่งขรึม ปืนพกใส่ในซองปืนยัดเข้าในอก ต้นธาราหยิบเป้แสนหนักที่ชายหนุ่มจัดไว้ให้เมื่อสะพายขึ้นบ่า ผู้กองหนุ่มจับจ้องใบหน้าที่มองอย่างอบอุ่น

"กลับมาจะพาไปเที่ยวงานประเพณีของอาข่านะ"

คำพูดที่ราวกับสัญญา นิ้วแกร่งแตะใบหน้าสวย รอยยิ้มอ่อนโยนที่เขาเกลียดผุดขึ้นบนใบหน้านั้น

"ครับ...."

ต้นธาราตอบรับ ในตอนนี้รอยยิ้มของคุณหมอไม่ใช่รอยยิ้มปีศาจอีกต่อไปในความคิดของผู้กองภานุ ใบหน้าอันสวยงาม ริมฝีปากที่เคยสัมผัส หัวใจไม่อยากห่างไกลเลย

"คุณเองก็ขอให้ปลอดภัยนะครับ"

ต้นธาราเขย่งตัวประทับจูบข้างแก้มสาก แต่เขาก็ถูกจับให้เงยหน้าริมฝีปากแกร่งประทับลงชิมความหอมหวาน ก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย

"ขอบใจ"

ภานุกล่าวแค่นั้น ก่อนจะลงจากเรือน คุณหมอหนุ่มเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆจนร่างแกร่งหายลับ จึงหันหลังกลับ มองสภาพบ้านคิดจะเก็บให้จึงเดินไปในส่วนที่ทำเป็นครัว คุณหมอนั่งล้างจาน หยิบหม้อขึ้นชั้น เห็นขวดเหล้าเถื่อนกองเต็มจึงเรียงไว้เป็นระเบียบ...ลมหายใจเหมือนจะขัด....ร่างบางกุมหน้าอกไว้ ก่อนจะล้มลงเสียงเคร้งของหม้อหล่นกระทบพื้น คุณหมอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

------------------------------------------------


ฝ่ายภานุที่เข้าป่าเพื่อไปปฏิบัติภารกิจลับ รู้สึกว่าใจหาย ชายหนุ่มเดินนำหน้าขบวน ขมวดคิ้วมุ่นอยู่เสมอ ปืนที่สะพายหลัง ทุกอย่างราวกับจะอึดอัด...ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองทิศทางที่ค่ายตั้งไว้ สายตากังวลจนกระทั่งเหยียบกิ่งไม้หักแล้วจึงสะดุ้ง

"ผู้กองเป็นอะไรครับ"

ผู้กองรังสรรค์ที่เดินตามหลังถาม ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือบอกว่าแค่เหยียบกิ่งไม้หักเท่านั้น ก่อนจะออกเดินด้วยใจที่ไม่มั่นคงนัก สายตาหนึ่งจ้องอย่างมุ่งร้าย การเดินทางทั้งๆที่ในใจคิดถึงร่างบาง...จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ ผู้กองคนเก่งปรายตามองทางค่ายอีกรอบหนึ่ง

------------------------------------------------

ออฟไลน์ Simply Blue

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-3
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #132 เมื่อ21-05-2008 21:27:39 »

เหอ เหอ ข้าพเจ้า งงกะผู้กองภาณุ จริงๆๆๆ  o2

ทำไมมันรู้สึกตะงิดๆๆว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดกับผู้กองคนเก่งหว่า  ขอให้เป็นเรื่องดีๆๆทีเถอะ  สงสารคุณหมอจะแย่แล้ว แล้วยังมีตาร้อยตรีอานุภาพแอบปิ้งคุณหมออีก  อาการคุณหมอก็เริ่มไม่ดีแล้ว ฉานจะบ้า  :serius2: กลุ้ม กลุ้ม

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #133 เมื่อ21-05-2008 21:29:40 »

 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับไม่อยากคิดว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไร

บ่อน้ำตาแตกแน่เลย เดาว่า ตอนที่ผู้กองกลับมา

คุณหมอก็ไม่อยู่แล้วมั้งครับ แบบว่ากลับไปรักษาตัวอะ ใช่ปะครับ

 :impress: :impress: :impress:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #134 เมื่อ21-05-2008 22:55:35 »

ภานุอารมณ์สวิงขึ้นลงมากกกกกกกกกกกกกก ตามไม่ทันจิงๆ

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #135 เมื่อ22-05-2008 10:17:59 »

ดันแรงๆๆ

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #136 เมื่อ23-05-2008 15:28:19 »



:เฮ้อ:  ตามอ่านทันตั้งแต่เมื่อคืน  อ่านไปเสียวสันหลังไป ฝนตกฟ้าร้องครืนๆ

ตอนจะเข้ามาเม้น ฟ้าก้อผ่าเปรี้ยง.... แอร๊ยยยย..เครื่องคอมเสียงซ่าส์ๆเลยอ่ะ

อยู่ไม่ไหว ต้องรีบปิดเครื่อง ยังมิทันได้คอมเม้นเลย    :m15:  (กลัววว)

....................


พอจะมาคอมเม้นใหม่ ลืมซะแล้ว...ฮา  :laugh:

ความเศร้าเคล้าน้ำตา อ่าไป ไหลไปเมื่อคืน หายหมด (ทำไมปลาทองอย่างนี้น่อเรา)

แต่ชอบจัง รักระหว่างรบ เนี่ย... แต่ว่า สุดท้ายแล้ว มันเศร้าอิ๊บอ๋าย นี่จิ   :m13:


เคยอ่านเรื่องประมาณว่า...  แค่คืนเดียว  ที่แบบว่า เจอกันระหว่างรบ แต่อยู่คนล่ะฝ่าย

แล้วก้อรักกันภายในเวลาแค่ชั่วคืน พอฟ้าสาง ต่างคนต่างแยกจาก เพราะหน้าที่

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด..................ด

เรื่องนี้มีสองคู่มาให้ลุ้น ..แต่ดุแล้ว มิเห็นจะมีคู่ไหน ที่จะทำให้ดี๊ด๊าเลย เศร้าๆ ทุกคู่เลยอ่ะ เฮ้อๆๆ  :เฮ้อ:

ว่าละก้อ..........    พิมไม่ยอมม่าต่อซ้าที      :o12: :o12: :o12:

wutwit

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #137 เมื่อ23-05-2008 16:02:35 »

มารออ่านต่อ

จะเกิดอะรายขึ้นอีกม่างเนี่ยยยยยยยยยยย


ชักน่าเป็นห่วง

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #138 เมื่อ23-05-2008 16:20:11 »

 o7 ยังเศร้าไปอีกนาน



อึ๊บๆๆ ดันๆๆ  :laugh: :laugh:

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #139 เมื่อ23-05-2008 20:44:21 »

เหอ เหอ ข้าพเจ้า งงกะผู้กองภาณุ จริงๆๆๆ  o2

ทำไมมันรู้สึกตะงิดๆๆว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดกับผู้กองคนเก่งหว่า  ขอให้เป็นเรื่องดีๆๆทีเถอะ  สงสารคุณหมอจะแย่แล้ว แล้วยังมีตาร้อยตรีอานุภาพแอบปิ้งคุณหมออีก  อาการคุณหมอก็เริ่มไม่ดีแล้ว ฉานจะบ้า  :serius2: กลุ้ม กลุ้ม


ผู้กองแก (มีคนเคยนินทาให้ฟัง ขำกร๊ากหน้าจอคอม)....แกค่อนข้างผีเข้าผีออกเจ้าค่ะ....ใจเย็นไว้เจ้าค่ะ อย่าเพิ่งกลุ้ม  :oni1:


:impress: :impress: :impress:

อ่าครับไม่อยากคิดว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไร

บ่อน้ำตาแตกแน่เลย เดาว่า ตอนที่ผู้กองกลับมา

คุณหมอก็ไม่อยู่แล้วมั้งครับ แบบว่ากลับไปรักษาตัวอะ ใช่ปะครับ

 :impress: :impress: :impress:


เดาถูกได้กึ่งหนึ่งค่ะ หึหึหึ


ภานุอารมณ์สวิงขึ้นลงมากกกกกกกกกกกกกก ตามไม่ทันจิงๆ


อย่างที่บอกไปเจ้าค่ะ...ผู้กองแกค่อนข้างผีเข้าผีออก (นานๆไป อารมณ์แกจะคงที่ขึ้น)

ดันแรงๆๆ

ขอบคุณเจ้าค่าที่มาดันให้เสมอเลย :L2:





:เฮ้อ:  ตามอ่านทันตั้งแต่เมื่อคืน  อ่านไปเสียวสันหลังไป ฝนตกฟ้าร้องครืนๆ

ตอนจะเข้ามาเม้น ฟ้าก้อผ่าเปรี้ยง.... แอร๊ยยยย..เครื่องคอมเสียงซ่าส์ๆเลยอ่ะ

อยู่ไม่ไหว ต้องรีบปิดเครื่อง ยังมิทันได้คอมเม้นเลย    :m15:  (กลัววว)

....................


พอจะมาคอมเม้นใหม่ ลืมซะแล้ว...ฮา  :laugh:

ความเศร้าเคล้าน้ำตา อ่าไป ไหลไปเมื่อคืน หายหมด (ทำไมปลาทองอย่างนี้น่อเรา)

แต่ชอบจัง รักระหว่างรบ เนี่ย... แต่ว่า สุดท้ายแล้ว มันเศร้าอิ๊บอ๋าย นี่จิ   :m13:


เคยอ่านเรื่องประมาณว่า...  แค่คืนเดียว  ที่แบบว่า เจอกันระหว่างรบ แต่อยู่คนล่ะฝ่าย

แล้วก้อรักกันภายในเวลาแค่ชั่วคืน พอฟ้าสาง ต่างคนต่างแยกจาก เพราะหน้าที่

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด..................ด

เรื่องนี้มีสองคู่มาให้ลุ้น ..แต่ดุแล้ว มิเห็นจะมีคู่ไหน ที่จะทำให้ดี๊ด๊าเลย เศร้าๆ ทุกคู่เลยอ่ะ เฮ้อๆๆ  :เฮ้อ:

ว่าละก้อ..........    พิมไม่ยอมม่าต่อซ้าที      :o12: :o12: :o12:



ยังดีนะคะที่ปิดทัน (แอบกลัวแทน แต่นิสัยเสียอย่าง ฝนตกไม่ชอบปิดคอม แม้มันจะเปรี้ยงแค่ไหน...เพราะนิยายมันไม่เสร็จ ปิดที เสียมู๊ด :a6:)

เรื่องลงเร็วรึช้าเนี่ย ต้องอ้อนพี่พิมเจ้าค่ะ (คอมเมนต์กล่อมพี่แกเยอะๆ :oni3:)

มารออ่านต่อ

จะเกิดอะรายขึ้นอีกม่างเนี่ยยยยยยยยยยย


ชักน่าเป็นห่วง

TO BE CONTINUE


o7 ยังเศร้าไปอีกนาน



อึ๊บๆๆ ดันๆๆ  :laugh: :laugh:


ขอบคุณเจ้าค่ะที่ช่วยดัน (เศร้าไปอีกนานไหม...หึหึหึ)




ปล. หลายคนถามมา...จบเศร้าไหม ....-------> (ตอบตรงนี้ไว้ล่วงหน้าเตรียมยาทำใจ ภาคแรก "ห้วงรักเสน่หา" อาจจะเศร้าเล็กน้อย ไปทำใจต่อในภาค "เกียรติยศ กบฏหัวใจ" (ปลล.ถ้าพี่พิมยังอยากลงให้ เรนเต็มใจเจ้าค่า ^^))

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณพี่พิมอีกครั้งนะเจ้าคะ :L2: และขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ :L1: (เผ่นกลับก่อน หนีปาป๊ามาเล่น ค่ำแล้ววว กลับหออาจจะได้ฝอยยาวเจ้าค่ะ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #139 เมื่อ: 23-05-2008 20:44:21 »





ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #140 เมื่อ23-05-2008 21:56:25 »

จะจบยังไงหล่ะนี่...

HeretiC

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #141 เมื่อ23-05-2008 22:17:36 »

 :m15: อ่านแล้วมันจี๊ดที่หัวใจจัง



ป.ล.เชียร์ธีรเดชสุดใจขาดดิ้นเลยค่า :m1:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #142 เมื่อ24-05-2008 13:10:48 »

มาต่อแล้วจ้าทุกคน  ขอโทษที ช่วงนี้ยุ่งไปหน่อย แฮ่ๆ คราวหลังจะมาลงให้อย่างต่อเนื่องเลยนะ 
น่ารักกันจริงๆ ทั้งคอมเม้นต์  ทั้งดัน  ทั้งน้องเรนคนแต่ง  ลงจนจบแน่นอนจ้า  ไม่ต้องห่วงคนแต่งน่ารักขนาดนี้  อิอิ 

เรื่องนี้มันเศร้าๆ หื่นๆ แต่ก็น่าติดตามนะ  ชอบอะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ห้วงรัก:9 Task/ภารกิจ(PART2)

ในป่ารกทึบภานุพาลูกน้องในหน่วยหาจุดพัก ภายในป่าสงบเงียบเชียบ แสงแดดจัดจ้า ทุกคนต่างหาที่พักของตัว ภานุนั่งลงใต้ต้นไทรต้นใหญ่ ผู้กองธีรเดชเข้ามานั่งด้วย ชายหนุ่มหยิบกระติกน้ำดื่มดับกระหาย มองใบหน้าสงบนิ่งของผู้กองภานุ

"ธารเขาเป็นอย่างไรบ้าง?"

จู่ๆผู้กองธีรเดชก็ถามขึ้นมา ภานุไม่ตอบคำใดๆ ฝ่ายธีรเดชก็ไม่เซ้าซี้ขอคำตอบ เขานั่งราวกับจะทำสงครามประสาทกดดัน หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนถอนใจเบาๆหันมองดูลูกน้องในหน่วย

"คุณน่าจะลืมเขาไปสักระยะดีกว่าไหมครับ ขณะนี้คุณออกปฏิบัติภารกิจลับ คุณไม่ควรจะนำเรื่องไร้สาระมาคิด"

ภานุตำหนิ ธีรเดชมองหน้าอย่างอึ้งๆที่โดนว่าเรื่องของต้นธาราเป็นเรื่องไร้สาระ

"ผมห่วงเขาแม้จะมาปฏิบัติภารกิจก็ยังห่วง ผมไม่สนหรอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระหรือไม่ ถ้าไม่ได้รู้ข่าวว่าธารสบายดีและเรื่องของธารสำหรับผมไม่ใช่เรื่อง 'ไร้สาระ' "

ชายหนุ่มตอบกลับเสียงแข็งกร้าว ภานุหรี่ตาที่ลูกน้องในหน่วยไม่เคารพ ท่าทีตึงเครียด ส่งผลให้คนที่เหลือมองดูทั้งสอง

"มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง?"

จ่าแม้นถาม เขานั่งอยู่บนขอนไม้เก่าๆพุพังตั้งปืนไว้บนพื้นดินแข็งๆเกลื่อนไปด้วยใบไม้ทับทม

"ไม่มีอะไรหรอกครับจ่า แค่ผู้กองธีอยากรู้จุดหมายปลายทางของเรา"

ภานุตอบเสียงเย็นชา จ่าแม้นกรอกตา...เฮ้อ...เป็นแบบนี้อีกแล้ว พอเข้าปฏิบัติงานเมื่อไร เมื่อนั้นต้องทำตัวขวางโลกทุกที ผู้กองรังสรรค์ทำหน้าบูดบึ้ง พอๆกับร้อยตรีอานุภาพ จ่าแม้นเกรงเหลือเกินหากถูกฝ่ายศัตรูซุ่มโจมตีจะเป็นเช่นไร ผู้กองภาพุ กับผู้กองรังสรรค์และร้อยตรีอานุภาพไม่เท่าไร เพราะเอาตัวรอดกันได้เนื่องจากชำนาญพื้นที่แต่ผู้กองธีรเดชที่มาใหม่นี่สิ น่าเป็นห่วงจริง คงไม่มีใครช่วยใครแน่ แม้จะอยู่ในหน่วยลาดตะเวนเดียวกันก็เถอะ ผู้พันมีทรัพย์ก็ช่างคิดที่นำเหล่าคน 'ไม่กินเส้นกัน'ร่วมวงไพบูลย์เดียวกัน จ่าแม้มองไปทางอื่นเมื่อภานุจ้องตนเขม็ง

"ผมรู้ว่าคุณห่วงเขา เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากกลับไปหาเขาเร็วๆล่ะก็ผมว่าคุณควรปฏิบัติงานที่ได้รับให้เสร็จดีกว่าครับ คุณอยากรู้อะไร อยากไปหาเขาก็ไปถามเขาเอง"

กล่าวจบผู้กองภานุลุกขึ้น หยิบเข็มทิศออกมา เฝ้าฟังเสียงศัตรูที่เจือในอากาศ ทิ้งให้ธีรเดชนั่งหน้าชา หัวหน้าหน่วยหันมาทางลูกน้องอีกครั้ง

"แล้วทำไมคุณถึงพูดสนิทสนมกับคุณหมอได้ ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร เห็นครั้งแรกไม่ใช่รึ"

ภานุถามอย่างกังขา ผู้กองธีรเดชยิ้มเย็น

"มันก็แค่เรื่อง 'ไร้สาระ'ไม่ใช่หรือครับ ท่านต้องการทราบทำไม?"

พอเจอย้อนแบบนี้ด้วยใบหน้าเฉยชา ผู้กองภานุตอบโต้ไม่ได้เลย ร้อนเอกธีรเดชลุกขึ้นไปนั่งรวมกับทุกคน ภานุไม่พูดอะไร เขาหันมาทางลูกน้อง

"อีกยี่สิบนาทีเราจะออกเดินทาง"

เขาสั่งทุกคนพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน ภานุคิดถึงต้นธารา...คำเรียกสนิทสนม คุณหมองี่เง่านั่นไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไรกัน ความขุ่นมัวก่อขึ้นในใจที่ได้ฟังคำเรียกชื่อเล่นของต้นธาราอย่างสนิทสนมจากปากผู้กองธีรเดช ความสัมพันธ์มันคืออะไร ชายหนุ่มเหม่อจนไม่ได้ยินเสียงของร้อยเอกรังสรรค์เรียก

"ผู้กองครับ...ผู้กอง!"

ภานุสะดุ้งซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก อานุภาพถอนใจหันไปทางหัวหน้าหน่วย

"แค่นี้ก็สะดุ้งเสียแล้ว ผมว่าไปไม่ถึงจุดหมายหรอกครับหน่วยเรา"

ร้อยตรีอานุภาพชายตามองดูผู้กองภานุที่ตีหน้าขรึมทันใด

"จะถึงหรือไม่ถึง จะล้มเหลวหรือสำเร็จร้อยตรีอย่างคุณก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดนะครับ"

ผู้กองรังสรรค์สวนให้ทันที ไม่ได้มีเจตนาปกป้องผู้กองภานุเลย คำพูดที่พลั้งปากออกมา ทุกคนเงียบกริบ ภานุกระแอม

"ผมในฐานะหัวหน้าหน่วยต้องขอโทษร้อยตรีอานุภาพด้วยที่กระทำตนเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนได้ไม่ดีนัก สำหรับคำตำหนิผมจะเก็บมาปรับปรุง ส่วนผู้กองรังสรรค์ คุณกับร้อยตรีอานุภาพร่วมหน่วยเดียวกันแล้ว ต่างมีจุดมุ่งหมายในงานเดียวกันขอให้สามัคคีถึงแม้จะไม่ชอบใจก็ตาม ผมขอพูดกับทุกคน ณ ที่ตรงนี้นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราจะก้าวเข้าสู่ดงข้าศึก สิ่งเดียวที่จะทำให้ทุกคนรอดคือความสามัคคีในหมู่ ผมรู้ว่าทรรศนคติทุกคนต่างแตกต่างกัน ความคิดย่อมขัดแย้ง แต่ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนจงร่วมมือกัน คิดถึงหน้าที่ที่ได้รับเป็นอันดับแรกจงอย่าปล่อยให้ความขัดแย้งเป็นจุดบั่นทอนการปฏิบัติภารกิจ ผมในฐานะหัวหน้าหน่วย เป็นผู้นำของคุณ จากการที่ผู้พันมีทรัพย์แต่งตั้งผมมา ผมรู้ดีว่าอคติของพวกคุณเกี่ยวกับผมเป็นเช่นไร ผม 'ขอร้อง'จงเชื่อฟังคำสั่งของผมหากพวกคุณไม่อยากตาย ร้อยเอกรังสรรค์ในฐานะที่คุณเป็นรองหัวหน้าหน่วยจงอย่าให้อคติหนึ่งมาทำลายหน้าที่ของคุณ ร้อยตรีอานุภาพขณะนี้ฐานะของคุณคือผู้ใต้บังคับบัญชาการถึงแม้คุณจะไม่ชอบใจก็ตามแต่ ผมขอร้องให้ฟังคำสั่งผมและรองหัวหน้าหน่วยด้วย จ่าแม้นคุณจงเป็นตัวห้ามและขอให้พูดเตือนสติทุกคน หากมีการขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะจ่าเข้าใจในลักษณะนิสัยของทุกคนดีที่สุดและคุณ...ร้อยเอกธีรเดช ในฐานะที่เป็นคนใหม่ในหน่วยงานเรา บางครั้งคุณอาจจะไม่เข้าใจในการปฏิบัติงานและข้อขัดแย้งของเราก็ขอให้ปรับตัวและคิดถึงหน้าที่ที่สำคัญให้มาก ส่วนผมจะพยายามไม่ให้เหยียบตาปลาใคร "

เสียงเฉียบขาด ทรงอำนาจ ทุกคนนั่งรับฟังเงียบๆ ภานุมองหน้าทุกๆคน ก่อนน้ำเสียงเป็นปกติจะเอ่ยอีกครั้ง

"ภารกิจครั้งนี้จะใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ในการหาเส้นทางส่งยาเสพติด ซึ่งมีเค้ามูลว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกกองโจรกู้แผ่นดินที่เราปะทะด้วย เราได้ข่าวจากทางการว่ามีการลอบขนส่งยาเสพติดจากพม่าเข้าสู่ไทย หน้าที่ของเราคือการหาเส้นทางที่พวกมันใช้ขนส่งยาข้ามแดนและข่าวเท็จจริงเกี่ยวกับการที่กองโจรกู้แผ่นดินเกี่ยวข้องกับการขนส่งยาเสพติด"

ภานุมองหน้าทุกๆคน หยุดเว้นระยะเผื่อมีใครอยากจะสอบถาม

"มันแหม่งๆน้า...พวกกองโจรกู้แผ่นดินไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้"

จ่าแม้นพึมพำ ธีรเดชตอนนี้คิดถึงแม่หญิงกลิ่นเอื้องทันที...เธอเกี่ยวข้องกันไหม

"ก็ไอ้พวกนี้มันกินอุดมการณ์จะตาย"

จ่าแม้นเสริม ผู้กองรังสรรค์หัวเราะ

"อุดมการณ์ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาหรอก เงินต่างหากที่สามารถบันดาลทุกสิ่ง"

รองผบ.หน่วยกล่าว(ผบ.=ผู้บังคับบัญชาการ)หัวหน้าชุดหน่วยลาดตะเวนชายแดนกระแอม ทั้งจ่าแม้นและร้อยเอกรังสรรค์จึงหันมาสนใจ


"เราจะจัดตั้งชุดสะกดรอยขึ้น จ่าแม้นรับหน้าที่แกะรอย ร้อยเอกธีรเดชรับหน้าที่เป็นคนคุ้มกัน ร้อยตรีอานุภาพรับหน้าที่พลวิทยุ ร้อยเอกรังสรรค์รับหน้าที่เป็นคนระวังหลัง ทุกคนต่างทราบหน้าที่ของตัวเองแล้วก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดและฟังคำสั่งผมซึ่งเป็นผบ.ชุดลาดตะเวนอย่างเคร่งครัด"

เมื่อได้ยินการแจกแจงหน้าที่ ทั้งหมดต่างทำวันทยหัตถ์รับทราบจ่าแม้นหันมายิ้มให้แก่ร้อยเอกธีรเดช

"ผู้กองต้องรับหน้าที่คุ้มกันผมน้า"

การแซวเรียกเสียงหัวเราะเพราะคนคุ้มกันนั้นต้องติดตามคนแกะรอยอยู่ตลอดเวลาและคุ้มกันคนทั้งขบวน

"อาวุธขอให้พร้อมอยู่ตลอดด้วยร้อยเอกธี"

ภานุสั่ง ธีรเดชรับคำเงียบๆ เขาหันไปตรวจดูลูกกระสุนให้พร้อม

"พลวิทยุหากมีกลิ่นผิดปกติและเกิดเหตุการณ์วิกฤตให้ติดต่อกับหน่วยเหนือทันที"

ดวงตาคมจับจ้องยังร้อยตรีอานุภาพซึ่งหยิบวิทยุสนาม*PRC-624ออกจากเป้ ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ครบ ผบ.ชุดสะกดรอยมองร้อยเอกรังสรรค์ซึ่งทำท่ายักไหล่คล้ายบอกว่าหน้าที่เขารับผิดชอบได้ดีอยู่แล้ว


"ร้อยเอกรังสรรค์ ในฐานะที่คุณเป็นรองผบ.หน่วยลาดตะเวนหน้าที่ของคุณสำคัญยิ่งยวด คุณต้องระวังป้องกัน ปฐมพยาบาล กลบเกลื่อนร่องรอยขอให้ทำหน้าที่นี้ให้ดี"

ร้อยเอกรังสรรค์ชูเป้ปฐมพยาบาลขึ้นก่อนจะบอกกับทุกๆคน

"ใครปวดหัว ตัวร้อนมาหาผมนะคร้าบ"

เสียงฮาดังขึ้นทันที ภานุส่ายหัวกับความขี้เล่นของร้อยเอกรังสรรค์

"เอาล่ะเมื่อจัดเตรียมของกันเสร็จแล้ว เราจะออกเดินทางกันต่อ"

ทุกคนลุกขึ้น ดูกระฉับกระเฉงและกลมเกลียวกว่าที่เคย ติดตามภานุไปในป่าลึกเรื่อยๆ

------------------------------------------------

ต้นธาราหลังจากที่สลบอยู่ที่บ้านผู้กองภานุ ตัวเขาน่าจะตายเพราะแรงช๊อกกลับรอดมาได้ เป็นเพราะผู้พันมีทรัพย์ไม่เห็นเขากลับไปเสียทีจึงออกตามหา จนกระทั่งเห็นเขาสลบ ท่านจึงเรียกคุณหมอมาริสามาตรวจ คุณหมอสาวลงความเห็นให้ไปรักษาตัวที่ค่ายใหญ่ ผู้พันจึงเรียกเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยแพทย์มา ผู้พันมีทรัพย์แปลกใจที่เห็นนายพลอรุณผู้บังคับบัญชาสูงสุดในค่ายใหญ่มารับคุณหมอต้นธาราเอง ท่านไม่กล่าวอะไรได้แต่เฝ้ามองร่างต้นธาราถูกนำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ก่อนจะบินออกหายลับจากสายตา

"คุณหมอธารจะเป็นอะไรไหมคะ เพราะชีพจรเต้นอ่อนเหลือเกิน"

คุณหมอมาริสาเป็นกังวล ผู้พันยิ้มปลอบใจ

"คงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ เพราะถ้าไปรักษาตัวทางค่ายใหญ่แล้วก็ไม่น่าเป็นห่วง"

ผู้พันมีทรัพย์ตอบ ในใจเริ่มสงสัย....คุณหมอที่ดูอ่อนโยน ยิ้มแย้มใจดีเป็นใครกัน....กระทั่งผู้บังคับบัญชาการสูงสุดถึงต้องออกโรงสั่งการเอง

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #143 เมื่อ24-05-2008 13:15:09 »

รู้สึกถึงตัวที่เบาหวิว...เขาอยู่ไหนน่ะ? คุณหมอต้นธาราคิด รู้สึกว่าจะหายใจไม่ออก เสียงหนวกหูนี่คืออะไร เขาเป็นอะไรไป ดวงตาอันพร่าเลือนลืมตื่น เห็นภาพต่างๆพร่ามัว เขากำลังนอนอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยแพทย์ทหาร ชุดลายพรางสีเขียวค่อยชัดขึ้น ใบหน้าอวบอูม ใจดี ต้นธารากระพริบตาถี่ๆ ชายชราผู้นั้นก้มหน้ามายามเห็นดวงตาใสกระจ่างลืมตา

"เป็นอย่างไรบ้างล่ะหนูธาร?"

น้ำเสียงอบอุ่น มือเหี่ยวย่นหากแต่หยาบกร้านและแข็งแรงบีบมืออ่อนนุ่ม ต้นธาราอยากจะเอ่ยตอบแต่ก็พูดได้แค่ขมุบขมิบเบาๆในคำคอ

"ถ้าเหนื่อยอยู่ละก็พักก่อนเถอะ"

มือแกร่งลูบผมสีน้ำตาลอ่อน ต้นธาราสบายใจจริงๆ เขาหลับตาลง ชายชราผู้นั้นเปลี่ยนเค้าหน้าอ่อนโยนเป็นความแข็งแกร่งสมชาติทหารทันที หันมาทางชายหนุ่มอายุสามสิบปลายๆอกมีตราแพทย์ประดับ

"อาการของหนูธารเป็นอย่างไรหรือร้อยโทประกิต?"

ชายชราถามเสียงขรึม ร้อยโทประกิตตอบอย่างนอบน้อม

"ไม่เป็นอะไรแล้วครับท่านนายพล เป็นลมเพราะโลหิตจางเท่านั้น"

ท่านนายพลอรุณถอนใจ

"ผมไม่เข้าใจครับทั้งๆที่คุณหมอต้นธาราเป็นลูคีเมียแท้ๆเพราะเหตุใดถึงไม่ยอมรักษา"

สายตาของนายพลอรุณดูว่างเปล่า

"ฉันก็อยากจะรู้"

ท่านตอบเสียงแผ่ว เฝ้ามองคนที่เป็นเหมือนหลานของเขา! ร้อยโทประกิตกล่าวเสริมเกี่ยวกับอาการของคุณหมอต้นธารา

"โรคลูคีเมียที่คุณหมอเป็นเกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวพูดง่ายๆคือไขกระดูกนั่นเอง มันเป็นเนื้อเยื่อแกนกลางของกระดูกมีหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดให้แก่ร่างกายได้แก่เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดซึ่งปกติเม็ดเลือดจะมีอายุของมันอยู่แล้วซึ่งเม็ดเลือดขาวมีอายุ2-3สัปดาห์เท่านั้น หากหมดอายุไป ร่างกายก็จะผลิตใหม่จากเซลล์ต้นกำเนิด ในระยะนี้หากมีความผิดปกติกับการแบ่งตัวของเซลล์จนร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ จำนวนเม็ดเลือดที่ผิดปกติก็จะมากขึ้น ในขณะเดียวกันเม็ดเลือดเหล่านี้ยังเข้าไปรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดปกติทำให้จำนวนเม็ดเลือดดีลดลงส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอจนเกิดภาวะโรคมะเร็งในที่สุด คุณหมอต้นธาราอาจจะอยู่ได้ไม่นานนักถ้าไม่ได้รับการรักษา"

นายพลอรุณลูบใบหน้า

"ฉันรู้ดีว่าหลานฉันเป็นอะไร"

ท่านแตะผิวขาวซีด ร่างกายมองภายนอกอาจจะแข็งแรง มาถึงตอนนี้มันค่อยๆเสื่อมสลาย ร้อยโทประกิตไม่กล่าวต่อ จนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์จอดยังลานบิน ร่างของคุณหมอถูกลำเลียงเข้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว นายพลอรุณตามไป แต่ก็ถูกกั้นออก ท่านรอครึ่งชั่วโมง หมอจึงออกมารายงานผลให้ฟังและบอกว่าเหตุที่เกิดนั้นมาจากอะไร

"ตามที่ได้เช็คประวัติแพทย์ คุณหมอต้นธารามีโรคประจำตัวคือลูคีเมีย มันจึงส่งผลกระทบให้เป็นโรคโลหิตจางหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะถึงแก่ชีวิต"

คุณหมอเจ้าของคนไข้ว่า ท่านนายพลผงกหัว

"ผมทราบครับ ขอให้ผมเข้าไปเยี่ยมได้หรือไม่?"

นายพลขอ คุณหมอไม่ขัด ปล่อยให้ร่างของท่านนายพลเข้าไปยังห้องพักของต้นธารา ท่านนั่งชิดติดริมเตียง สั่งนายทหารคนสนิทโทรตามท่านนายพลพิภพด่วนแต่ก็ได้รับข่าวแจ้งว่านายพลพิภพไปราชการอีกสองวันจึงจะกลับ ท่านนายพลอรุณมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก็ต้องคลายใบหน้านั้น เมื่อเห็นหลานธารตื่นขึ้น

"คุณลุงอรุณ?"

ต้นธาราพึมพำ เขาคิดว่าอยู่ในความฝัน...เขาเห็นเพื่อนของพ่อที่มีฐานะเป็นลุงและพ่อบุญธรรมที่น่าจะอยู่ค่ายใหญ่

"มีอะไรหรือหนูธาร?"

ท่านถามเสียงอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระพริบถี่ๆ

"ผมอยู่ไหน?"

ต้นธาราเค้นเสียงถาม ลำคอแห้งผาก นายพลอรุณเรียกหมอให้เขามาตรวจและขอน้ำ นางพยาบาลป้อนน้ำให้ ต้นธาราถอนใจ เขายังสะลึมสะลือ ตาเลื่อนลอยมองเพดานสีขาว

"ผู้กองล่ะ?...ผู้กองภานุ"

ริมฝีปากอิ่มพึมพำเรียกชื่อผู้กองหนุ่ม ท่านนายพลขบฟันแน่น บีบมือผู้เป็นหลานเบาๆ

"หนูธารไม่ได้อยู่ที่ค่ายแล้ว ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลส่วนผู้กองออกปฏิบัติภารกิจ"

ชายชรากล่าว ต้นธาราเบือนหน้ามา

"ผมอยู่ที่โรงพยาบาลหรือครับ?"

ท่านนายพลผงกหัว แต่แล้วต้นธารากลับปิดเปลือกตาและหลับใหล ลมหายใจสงบ นายท่านพลวางมือบอบบางลง ห่มผ้าให้

...ธาร...เจ้ายังไม่ลืมเขาอีกหรือ....


ท่านนายพลรำลึกถึงครั้งที่ได้รู้ความลับของผู้เป็นหลาน...ต้นธาราหลงรักผู้กองหนุ่ม ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหา ยอมเสี่ยงเพื่อที่จะได้พบเจอ คนที่เป็นคนบอกความลับเป็นนายพลพิภพ บิดาของต้นธารา ท่านทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเด็กๆ เคยจีบแม่ของต้นธาราด้วยกันจนคนที่ชนะใจของแม่ต้นธาราคือนายพลพิภพ นายพลพิภพเอ่ยด้วยความกลุ้มใจที่ลูกชายของตัวยอมทิ้งทุกๆอย่างเพื่อตามหาคนๆหนึ่งกับความรักที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง ตัวเขาที่ได้รับฟังไม่เชื่อจนได้เห็นกับตา ท่านสืบประวัติของร้อยเอกภานุเช่นกัน ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าภานุมีคู่หมั้น เขาก็บอกแก่นายพลพิภพซึ่งเอาคำบอกนี้ไปเอ่ยกับบุตรชาย ต้นธาราก็ยังดื้อดึงไม่ยอมรับ ท่านสงสัยว่าทำไมต้องรักเสียมากมาย ครั้นไม่อาจห้ามได้จึงปล่อยไป เมื่อเรียนจบแพทย์ หลานธารก็ขอบรรจุมาเป็นแพทย์อาสา ณ ค่ายที่ผู้กองภานุทำงานอยู่

'ขอแค่ได้มองเห็นผมก็เป็นสุข แม้ไม่อาจเอื้อม เท่านี้ก็พอใจ'

คำพูดของหลานธาร ในตอนนั้นก้องในความรู้สึก ดวงหน้าประพิมพ์คล้ายมารดา มันช่างสงบและดูสวยงาม มีความรักบริสุทธิ์เปี่ยมล้น จนท่านยอมใจอ่อนช่วยเหลือ เมื่อหลานธารอยู่ในค่ายเล็กๆนั่น ท่านจะเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา...ดูความเปลี่ยนแปลงระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างผู้กองภานุ ท่านได้รับรายงานจากนายทหารในค่ายว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีไม่มีอะไรเปลี่ยน ท่านนายพลอรุณแทบไม่เชื่อคิดว่าเป็นเรื่องโกหกเสียอีกจนกระทั่งถึงวันที่ผู้กองนาคีตายในหน้าที่ ทุกอย่างดูจะเปลี่ยนไปช้าๆ แต่ยังไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้ง นอกจากธีรเดช ท่านคิดจะถามถึงความคืบหน้า แต่ก็ไม่สบช่องเสียที ท่านนายพลลุกขึ้น มองไปนอกประตู...ความสุขที่ได้อยู่ใกล้งั้นรึ นายท่านพลรำพึง หลานชายขยับตัว คราวนี้ตื่นเต็มตา ท่านนายพลจึงหันมาทักทาย

"ตื่นแล้วรึลูก?"

ต้นธาราผงกหัว กระพริบตาสู้แสง ยิ้มเซียวให้แก่คุณลุง

"ผมสลบไปนี่น่า?"

ในดวงตางุนงง ชายชราผงกหัว

"ใช่..."

ท่านว่า ต้นธาราเงียบกริบ สายตาอันเฉียบคมจับจ้องยังหลาน ต้นธาราก้มหน้า

"คิดจะฝืนไปถึงเมื่อไรหรือธาร?"

นายพลอรุณถาม ต้นธาราไม่ตอบคำ

"ทำไมถึงไม่ลืมเขาล่ะ จะปล่อยให้ทันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆหรือ อยู่กับสิ่งลวงตาลวงใจและความเจ็บปวด"

ลมหายใจถอนช้าๆ ต้นธาราหลับตาแน่น

"ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งคุณลุง ทั้งธี ทั้งพ่อถึงพูดแบบนี้ ผมไม่ได้เจ็บปวดเสียหน่อย"

ร่างบางขยับกาย ลืมตาตื่นสบกับดวงตาแกร่ง

"ก็เพราะห่วงเจ้าไง"

ท่านโอบกอดผู้เป็นหลาน ต้นธารานิ่ง

"ผมเข้าใจครับ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกเอง"

นายพลอรุณกระชับวงแขน

"ลุงรู้ แต่ว่า...."ท่านหยุดไป ต้นธารากอดท่านตอบ

"ครับ...ผมรู้ว่าลุงจะเอ่ยอะไร ผมอยากอยู่แบบนี้ ถึงแม้จะตายก็ช่างเถอะ"

ดวงตาสีอ่อนมีรอยหมอง

"ธาร...ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเลยนะที่จะทำเช่นนั้น"

ท่านนายพลขัด ต้นธาราถอนใจ

"ผมก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เวลาผมเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว แม้จะได้รับการรักษาอาจจะไม่หายก็ได้ ผมอยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร แม้ตัวเองจะขมขื่นใจก็ตาม"

รอยยิ้มนุ่มนวลนั้น มีความเข้มแข็งอยู่เต็มเปี่ยม

"ธารอย่าได้พูดไป หลานจะหายแน่ๆถ้าเข้ารับการรักษา"

นายพลอรุณปลอบ ต้นธาราหัวเราะเบาๆ

"นั่นสิครับ...อาจจะหายก็ได้"

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ดวงตาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย

"คนแบบนั้นไม่มีวันเข้าใจในความรู้สึกของหลานหรอก"

ท่านายพลคัดค้าน ผู้เป็นหลานเบือนหน้าหนี

"ผู้กองภานุ...แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็อ่อนโยนนะครับ"

ดวงตาสีอ่อนหลับลง นึกถึงสัมผัสที่ผู้กองภานุได้มอบไว้...สัญญาที่เอ่ยออกมาเขาอยากจะเชื่อเหลือเกินว่าผู้กองภานุไม่ได้เกลียดเขาจริงๆกับเรื่องของผู้กองนาคี

"ยังจะปกป้องมันอีกหรือ คนแบบนั้นน่าจะปลดออก"

ท่านนายพลว่าด้วยแรงอารมณ์ ต้นธาราหันมาแจง

"ผมไม่ได้ปกป้องเขา ผู้กองภานุอ่อนโยนกับผมจริงๆ"

เขาเถียง ตาประสานอย่างไม่ยอมแพ้ ท้ายที่สุดนายพลอรุณใจอ่อนจนได้

"เอาล่ะ ธารเรื่องนี้เราค่อยพูดกัน"นายพลอรุณว่า ท่านลุกขึ้น

"ลุงจะกลับมาใหม่"

ต้นธารารู้ดีว่าคุณลุงไปดับอารมณ์โกรธ ต้นธาราจึงล้มตัวนอน ในใจรู้สึกผิด...สิ่งที่ภานุเป็น ตัวเขาจะมองเห็นเอง

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #144 เมื่อ24-05-2008 13:24:06 »

อ่าครับผมเริ่มสนุกแล้วละซิครับ

มาต่อยาวๆนะครับ จะรออ่านครับผม

ว่าแล้วก็เดาไม่ผิด อิอิ


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #145 เมื่อ28-05-2008 21:05:36 »

ต่อเลยน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:10 h-hour /แผนการโจมตี

แสงแดดที่สาดลอดเงาไม้ บรรยากาศตึงเครียดสายตาของภานุจ้องจ่าแม้นที่สอดสายตาบนพื้นมองหารอยกิ่งไม้หัก พอเจอจ่าแม้นก็รีบปรี่เข้าไปทันที ทุกคนที่ติดตามอยู่ชะงัก

"เป็นอย่างไรบ้างจ่า"

ร้อยเอกภานุถามหลังจากเห็นสีหน้าของจ่าแม้น นักแกะรอยมือหนึ่งของค่ายหยิบกิ่งไม้ที่หักหล่นบนพื้นขึ้นมา

"ผู้กองครับรอยนี้เกิดขึ้นเมื่อสามวันที่แล้วครับ"

ภานุรับกิ่งไม้ ท่อนขนาดกลางที่จ่าแม้นส่งให้ ใช้สายตามองก่อนฟังคำอธิบาย

"มันตัดเพื่อเบิกทางเท่านั้นเองครับ ดูที่ใบไม้สิครับ สีใบเฉาแล้ว ยิ่งเป็นใบอ่อนยิ่งเฉาเร็วถ้าเป็นใบธรรมดาจะอยู่ไม่เกิน3ชั่วโมง"

มือของชายชราใช้มีดพกอันแหลมคมเฉือนเนื้อในเปรียบด้วย จ่าแม้นบอก ภานุพยักหน้าเป็นการรับทราบ สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดยิ่งนัก

"แสดงว่ามันใช้เส้นทางนี้ขนยาสินะ?"

ชายหนุ่มถามจ่าแม้น ซึ่งจ่าแม้นสังเกตรอบๆภูมิทัศน์ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ๆขึ้นบางตา จ่าแม้นก้มๆเงยมองพื้นดิน สำรวจต้นไม้รอบข้างชั่วขณะก่อนจะวิ่งมาตอบ

"ไม่ใช่ครับผู้กองจากรอยที่สังเกตพบบ่งบอกว่าทางฝ่ายนั้นไม่ได้ใช้เส้นทางนี้ในการขนส่ง น่าจะใช้ในการเดินทางเสียมากกว่า อาจจะใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่เขตแดนไทยก็ได้ครับ"

หัวหน้าหน่วยปาดเหงื่อที่หยดย้อย ถอนใจยาวๆก่อนจะออกคำสั่ง

"วันนี้คงยังไม่ได้อะไรหรอกจ่าแม้นหาจุดพักด้วย"

จ่าแม้นผงกหัวชี้ไปทางเนินเขาที่เห็นได้ลิบๆ ท่ามกลางไอแดดเต้นระยิบระยับก่อเป็นเงาพร่ามัว

"ไปอีกหกกิโลครับก็จะถึงที่พักของเราขอให้อดทนกันหน่อย"

จ่าแม้นว่าเพราะแต่ละคนเริ่มอิดโรย เพราะเดินทางมาตลอดทั้งวันโดยไม่ได้หยุดพักเลย พอไปถึงทุกคนก็ต่างกระจัดกระจายทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จ่าแม้นหาฟืนก่อไฟ หมวดอานุภาพกางเต็นท์ ร้อยเอกธีรเดชเป็นเวรยามประจำค่าย ส่วนผู้กองภานุหายเข้าป่าไปยิงสัตว์ มอบหมายหน้าที่ให้รองหัวหน้าหน่วยเป็นผู้รับหน้าที่หัวหน้าหน่วยชั่วคราว

จ่าแม้นเตรียมเชื้อเพลิงได้มากพอก็โยนไม้ลงบนพื้นโครม ชุดทหารเปื้อนดิน ท่อนแขนผอมแห้งแต่แข็งแรงเช็ดเหงื่อไคลออกจากหน้าแล้วนั่งลงก่อไฟ หมวดอานุภาพหยิบผ้าร่มผืนใหญ่ออกมา ขุดหลุมปักเสายึดตัวผ้าร่มทำเต็นท์แบบง่ายๆขึ้นมาก่อนจะรวบรวมแขนงไม้ กิ่งไม้เล็กๆใบไม้มาปูคลุมพื้นที่ได้แผ้วถางออกเพื่อไว้เป็นฉนวนกันความเย็นและความชื้นจากพื้นดินก่อนจะใช้ผ้าร่มอีกผืนคลุมทับ ไฟถูกจุดอย่างรวดเร็วเป็นการไล่แมลงต่างๆรองหัวหน้าหน่วยช่วยเหลือจ่าแม้นหุงหาอาหารโดยเอาไม้ไผ่มาหลามข้าว ธีรเดชก็ช่วยอีกแรงโดยการไปตักน้ำจากลำธารใกล้ๆมาไว้ใช้ เมื่อเสร็จก็ถือพื้นออกตรวจตราระแวดระวังภัยต่อไป ท้องฟ้าก็มืดสนิทจ่าแม้นจึงเรียกให้ผู้กองธีรเดชมาทานข้าวเย็น ดวงจันทร์ส่องแสง ทุกคนก็นั่งล้อมวงรอทานข้าว เสียงคู้ๆของนกกลางคืนฟังดูน่ากลัวยังไม่มีใครแตะต้องอาหารเลยเพราะรอหัวหน้าใหญ่ก่อน ธีรเดชนั่งตบยุงที่บินตอม ผู้กองรังสรรค์หน้าตาดูงัวเงียและอิดโรย จ่าแม้นชะเง้อชะแง้มองไปนอกค่ายพักแรม ส่วนร้อยตรีอานุภาพนั่งเหลาไม้เล่น

"ผู้กองไปไหนครับ"

ธีรเดชกระซิบถาม จ่าแม้นหันมาหน้าตากังวลเช่นกัน

"เห็นว่าไปล่าสัตว์แต่ป่านนี้แล้ว..."

สีหน้าของชายชรากังวล ร้อยตรีอานุภาพยิ้มในความมืด

"ไม่ใช่ถูกเสือขบหัวตายไปแล้วเรอะ เมื่อหัวค่ำก็ได้ยินเสียงร้องกันอยู่ไม่ใช่หรือ"

อานุภาพเอ่ย แทบทำให้ผู้กองรังสรรค์โกรธจนเกือบโผเข้าไปต่อย ถ้าไม่ถูกแขนของจ่าแม้นกั้นไว้ร้อยตรีอานุภาพก็คงโดนต่อย

"ผู้หมวดอานุภาพพอเถอะครับ"

จ่าแม้นว่าน้ำเสียงเคร่งขรึม ผู้กองรังสรรค์นั่งขบเขี้ยวเข่นฟัน เสียงย่ำสวบสาบดังขึ้นทางเบื้องหลังของจ่าแม้นและผู้กองธีรเดชที่มองอย่างหน่ายๆต่อมวยที่เกือบเริ่มขึ้น ทุกคนต่างคว้าอาวุธ แสงไฟสาดต้องร่างของผู้กองภานุ หน้าตาที่ดุดันดูเหน็ดเหนื่อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงมีเศษไม้ไม้ติด ตามท่อนแขนแกร่งมีรอยขีดข่วนเนื่องจากพับแขนเสื้อขึ้น ผู้กองหนุ่มสาวเท้าเข้ามาในที่พักอย่างแผ่วเบา แสงไฟสาดส่องให้เห็นดวงตาวาวๆไร้ชีวิตที่อยู่ในมืออีกข้างของผู้กอง จ่าแม้นลุกขึ้นมารับ

"โอ้โห! ผู้กองไปยิงมาจากไหนครับเนี่ย?"

เมื่อใกล้แสงไฟ ดวงตาทั้งหมดก็จับจ้องยังร่างของไก่ป่าและงูเหลือมขนาดใหญ่ ทั้งร้อยตรีอานุภาพทั้งผู้กองรังสรรค์ดูเฉยๆกับของพวกนี้ แต่ร้อยเอกธีรเดชมองอย่างทึ่งๆ

"เอาไปจัดการซะ ผมขอตัวไปอาบน้ำเสียหน่อย แล้วพวกคุณจะทานข้าวก่อนก็เชิญ"

น้ำเสียงก็ดูเหนื่อยอย่างไรพิกล จ่าแม้นนำซากร่างของสัตว์ที่ตายไปแล้วไปวางในส่วนที่เป็นครัวก่อนล้อมวงทานข้าว

"ผู้กองไปยิงมาจากไหนหรือสัตว์พวกนั้น?แล้วเอามาทำอะไรครับ?"ธีรเดชถามระหว่างทานข้าว

"คงยิงมาจากแถวนี้แหละครับ"

ผู้กองรังสรรค์ตอบ ธีรเดชขมวดคิ้วเพราะไม่ได้ยินเสียงปืนแม้แต่น้อยแต่เขาไม่กล้าถามอะไรต่อ นั่งทานข้าวเงียบๆ

"ผู้กองแกเก่งเรื่องดักสัตว์ครับ ไม่ต้องใช้ปืนก็ได้แต่เนื้อดีๆมากิน"

จ่าแม้นเสริม พอเอ่ยเสร็จผู้กองภานุก็เดินเข้ามา เนื้อตัวเส้นผมยังเปียกชุ่ม ชายหนุ่มนั่งลงหยิบมีดพกแหลมคมขึ้น กิริยานั่นสร้างความสนใจให้แก่ธีรเดชไม่น้อย ชายหนุ่มผละจากวงข้าวไปนั่งดูผู้กองชำแหละงู ฝ่ายภานุเพียงเงยหน้าก่อนจะจัดการงานของตัวเองต่อ มือจับหัวงูไว้แล้วใช้มีดตัดทิ้ง ก่อนจะผ่าท้องควักพวกเครื่องในอันดับสุดท้ายจึงถลกหนังงูออกเหลือแต่เนื้อขาวเป็นล่อนๆ ภานุใช้มีดสับเป็นท่อนๆโยนใส่หม้อสนามเอาเกลือทา ก่อนจะพักไว้แล้วหันไปจัดการกับไก่ป่าต่อ

"คุณช่างฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเก่งเสียจริง"

ธีรเดชแดกดันเบาๆ ภานุสบตาอยู่ชั่วครู่ ในแววตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

"ที่พูดนี่ต้องการอะไร?"

ชายหนุ่มย้อนกลับด้วยคำพูดระมัดระวัง ธีรเดชกลับเงียบไป ภานุไม่รอคำตอบชายหนุ่มตัดคอสัตว์ก่อนจะผ่าช่องท้องล้วงเครื่องในออก ก่อนจะจุ่มน้ำล้างช่องท้องให้สะอาด กลิ่นสาบและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จ่าแม้นหยิบหม้อมาให้ ภานุรับก่อนจะว่า

"ถ้าคุณมีเวลานักล่ะก็ช่วยผมต้มไอ้นี่หน่อยเถอะ"

ภานุโยนหม้อให้ ธีรเดชรับตั้งไฟไว้

"คำถามที่คุณเอ่ย นั่นหมายถึงเรื่องคุณหมอต้นธาราหรือเปล่า"

ผู้กองหนุ่มพูดแผ่วเบา มือคนไก่กำลังเดือดพล่าน จ่าแม้นเดินเข้ามาธีรเดชจึงยังไม่ตอบ

"วันพรุ่งนี้เราก็มีเสบียงเพราะผู้กองแท้ๆ"

จ่าแม้นว่าเขย่ากระติกน้ำอลูมิเนียม ดูแกจะครึ้มใจเป็นพิเศษ ภานุรู้เพราะเห็นกระติกอะลูมิเนียมมันต้องบรรจุบรั่นดีอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ว่ากล่าว เพราะรู้ว่าทุกคนๆรวมทั้งเขาต้องดื่มอยู่แล้ว มันช่วยคลายความเหน็บหนาวให้ได้อย่างเยี่ยมยอดทีเดียว สายลมพัดอู้มาเป็นระยะๆ คำถามที่ภานุเป็นคนถามนั่นธีรเดชเก็บมันไว้ในใจ นั่งฟังการจัดเวรยามด้วยความเงียบสงบ

"ก่อนที่ทุกคนจะเข้าพักผ่อนตาม อัชฌาศัย ขอให้ฟังคำชี้แจงเรื่องการจัดเวรยามกันก่อน ใครจะรับอาสาเป็นเวรแรกคู่กับผม"

ภานุขอคนอาสา ธีรเดชยกมือขึ้น เขาขออยู่เวรคู่กับภานุ ซึ่งหัวหน้าหน่วยก็ต้องยอมรับ

"เราจะอยู่เวรคนละสองชั่วโมง ยามสุดท้ายใครจะอยู่?"

อานุภาพเป็นฝ่ายอาสา เมื่อลงตัวแล้วต่างคนก็ต่างนอนพักผ่อน ยามแรกภานุกับธีรเดชเป็นคนอยู่ยาม ซึ่งชายหนุ่มยกหม้อที่ต้มชิ้นไก่กับงูเหลือมออกจากกองไฟ แล้วใช้ไม้เขี่ยถ่านติดไฟแดงโร่กระจายไปทั่ว ธีรเดชโยนกิ่งไม้แห้งใส่กองไฟ เปลวเพลิงลุกท่วมทันที

"คำถามที่คุณถาม...ผมขอตอบว่าใช่ คุณไปข้องแวะกับธารทำไม? ทั้งๆที่คุณเกลียดเขา"

เมื่ออยู่ตามลำพัง ธีรเดชก็พูดดังพอควร ภานุมองดูนายทหารที่หลับสนิท เขาก็ถอนใจ

"ผมยุ่งหรือไม่ยุ่งกับเขาคุณ 'เกี่ยว'อะไรด้วยไม่ทราบครับ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับเขา แล้วคุณล่ะ
'เกี่ยว'อะไรกับเขา มายุ่งย่ามอะไรด้วยไม่ทราบ?"

ภานุย้อน ธีรเดชยิ้มราวกับเป็นต่อ ชายหนุ่มเห็นแล้วโมโห มันเยาะเขาโดยเฉพาะ เขาเกลียดรอยยิ้มนั่นเสียจริง รู้...ว่าต้นธาราเป็นอย่างไร...รู้...ว่ารอยยิ้มอ่อนหวานนั่นเป็นเช่นไร

"ถ้าเป็นเรื่องของธาร...ผมรู้เรื่องของธารทุกเรื่อง ผมมีสิทธิ์ยุ่มย่ามกับธาร คุณต่างหากที่มาเกี่ยวอะไรกับธารทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย"

ธีรเดชกล่าว ภานุบีบไม้ในมือแน่น

"ผมขอเถอะครับ หากคุณไม่ได้รักธารเลยก็ขอให้ปล่อยธารไปเถอะครับ ธารน่าสงสารที่ต้องไล่ตามให้คุณหันมอง ธารอาจอยู่ได้ไม่นานนัก....คุณอาจจะไม่รู้อะไรเลยว่าธารรักคุณขนาดไหน"

น้ำเสียงวิงวอน ขอร้องภานุนิ่งอึ้งแต่เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเลย หลังจากนั้นก็มีแต่ความเงียบและเสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ เสียงลมหายใจสงบดังมาจากเต็นท์ คนในนั้นนอนหนาวสั่นขดตัวได้ผ้าห่มประจำตัว สองชายหนุ่มไม่รู้ว่าใครคนหนึ่งกำลังแอบฟังคำสนทนาอยู่ สีหน้ามีชัยแล้วก็หลับตาลงปิดสนิท


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #146 เมื่อ28-05-2008 21:09:59 »

เรามาปาดพิมเท่ร๊ากกกก ปะเนี่ย  :laugh: :laugh: ดันๆ อึ๊บๆ หนักวุ้ย

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #147 เมื่อ28-05-2008 21:14:14 »

^
^
ยังโพสไม่จบ  หนึ่งอ่า 
5555
+++++++++++++++++++++++++++++
ต้นธารายังนอนซมอยู่โรงพยาบาล ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าสุขภาพของตนเริ่มแย่ลงแล้ว วันนี้เขาตื่นมาตอนสิบโมง เพราะหมอปลุกฉีดยา เขามองหน้าของนางพยาบาล ริมฝีปากซีดเซียวพยายามยิ้ม อยากจะพูดก็ได้แต่ขมุบขมิบ เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเข็มฉีดยาแทงเข้าเนื้อ

"เป็นยารักษาโรคโลหิตจางครับ"

หมอประกิตเอ่ยในดวงตาคลายความกังวลใช้สายตางัวเงียมองรอบๆห้องสีขาว

"นี่ไม่ใช่ห้องที่ผมเคยพักนี่ครับ แล้วลุงอรุณล่ะไปไหน"

ชายหนุ่มถามแผ่วละโหย หมอประกิตลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง สบดวงหน้างามของคุณหมอ

"ใจเย็นครับคุณต้นธารา ผมมีนามว่านายแพทย์ประกิต เผ่าพงศ์พันธ์ เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลทหารแห่งนี้และเป็นคนที่ท่านนายพลอรุณส่งมาดูแลคุณ"

หมอประกิตกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล ต้นธารากระพริบตาเป็นเชิงรับรู้แต่เขายังเหลียวหาท่านนายพลอรุณอยู่เช่นเดิมจนหมอประกิตต้องกระแอมเรียกความสนใจ

"ถ้าหาท่านนายพลอรุณละก็ ตอนนี้ท่านออกราชการอยู่ครับตอนบ่ายจึงจะกลับครับ"

ต้นธาราจึงหันมาสนใจนายแพทย์ประกิตทันที เขาดึงผ้าห่มมาคลุมถึงคอ ดูจะไม่ยอมรับในตัวนายแพทย์ประกิต สีหน้านั่นบึ้งตึง

"ผมเข้าว่าคุณต้องการคำตอบ แต่นี่คือคำสั่งของท่านนายพลที่ให้ผมมาดูแลคุณจนกว่าท่านนายพลพิภพจะเดินทางมายังที่นี่และท่านนายพลอรุณก็เป็นคนย้ายห้องให้คุณเอง"

หมอประกิตเริ่มใช้น้ำเสียงเคร่งขรึม ต้นธาราถอนใจยาวๆ ลึกๆ เขาไม่พอใจในการกระทำของลุงเลยแต่ก็ต้องจำยอมรับโดยดุษฎี

"แล้วคุณมีอะไรหรือครับคุณหมอประกิต"

เขาถามดูเบื่อหน่ายนิดๆกับการนอนอยู่บนเตียงราวกับคนใกล้ตาย

"ผมไม่เป็นอะไรมาก ทำไมพวกคุณต้องทำเหมือนผมจะตายด้วย ผมก็เป็นหมอเหมือนกันนะ"

ด้วยความที่ไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลในค่ายใหญ่ ต้นธาราจึงเอ่ยเช่นนั้นออกไป หมอประกิตส่ายหัวกับความดื้อดึงของหลานบุญธรรมของท่านนายพลอรุณ

"หมอทุกคนที่กล่าวแบบนี้ตายมาหลายรายแล้วนะครับ แล้วก็ฟังที่ผมพูดสักครั้งเถอะเพื่อชีวิตของตัวคุณเอง"

หมอประกิตว่า ชายหนุ่มขอแฟ้มประวัติของต้นธาราจากนางพยาบาลสาว ก่อนดึงแฟ้มภายในซองสีน้ำตาลออกมาดูก่อนจะอ่านออกเสียง

"นายแพทย์ต้นธารา สกุลพิทักษ์ อายุยี่สิบเจ็ดปีได้ตรวจเลือดในเดือนมิถุนายนของปีก่อน ผลปรากฏว่าเม็ดเลือดเกิดทำงานผิดปกติจนกลายเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวและอาการก็ค่อยๆปรากฏขึ้น...อีกไม่นานนักก็จะไร้คุณหมอนามว่าต้นธารา"

แฟ้มประวัติยื่นส่งให้ต้นธารา คุณหมอหนุ่มหยิบออกมามือมาถือแนบอกยิ้มเย้ยตัวเอง

"แล้วไงครับ? ผมจะต้องตายคุณหรือใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลยนี่"

ศีรษะของนายแพทย์วัยกลางคนส่ายไปมา

"คุณอาจจะไม่ตายหากเขารับการรักษา คุณเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังเพราะเซลล์ปกติยังพอทำงานได้อยู่และการรบกวนกระบวนการสร้างเซลล์มีไม่มากนัก มันจะทำให้คุณมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ตับหรือม้ามอาจจะโตหรือต่อมน้ำเหลืองโตผมว่าคุณควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่าครับ พบแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เผื่อโอกาสหายมีสูง"

เสียงลมพ่นออกจากจมูกเป็นการบ่งบอกว่าไม่พอใจ หันมองหมอประกิตที่นั่งคุยกับตัวเอง

"นายท่านพลจ้างมารึไง?"

แรกๆคุณหมอประกิตดูจะไม่พอใจในคำกล่าว เมื่อระงับอารมณ์ได้จึงเอ่ยใจเย็นขึ้น

"ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่ที่ผมพูดผมก็ไม่อยากให้หมอดีๆอย่างคุณตาย แล้วทำไมถึงดื้อดึงทำลายชีวิตตัวเองแบบนี้?"

ต้นธาราตอบไม่ถูก เขาจึงเป็นฝ่ายไม่พูดอะไร

"ผมขอให้คุณทบทวนการตัดสินใจดีๆก็แล้วกันครับ"

หมอประกิตลุกขึ้นปล่อยให้ต้นธาราอยู่เงียบๆ เขามองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเบื้องนอกสดใส ภายในดวงตาของต้นธาราครุ่นคิดหนัก

....ขอให้ทบทวนการตัดสินใจดีๆอย่างนั้นรึ...

ภายในจิตใจของคุณหมอครุ่นคิด เขายังจะตัดสินอะไรได้ ดวงตาสีน้ำตาลปิดลง...เหนื่อย....ทั้งๆที่รู้ว่าการทำเช่นนี้เท่ากับฆ่าตัวเองทางอ้อม ปล่อยให้ด้วยเองตายเพราะโรคร้ายแล้วเขาจะได้อะไรกลับคืน เขานั่งทบทวนการกระทำของตัวเอง...เขารู้ว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว แต่ละวันที่ผ่านพ้นมันช่างทรมานใจ เขาอยากใช้เวลาที่เหลือเพื่อไล่ตามคนๆนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่ได้มาก็มีแค่ศูนย์ แต่เขาคนนั้นก็ได้สัญญา...ได้ให้ความอบอุ่น ยังมีหวังอยู่ใช่ไหม การกระทำที่บางครั้งก็เดาไม่ได้เลยว่าชายผู้นั้นต้องการทำอะไรกันแน่ จากจุดเริ่มต้นที่ทำให้หัวใจเจ็บปวด มันจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมนะ...ก็แค่คาดหวังกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาย้อนไปถึงวันที่ผู้กองนาคีตาย นับจากวันนั้นทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปช้าๆ เขากอดอกตัวเองไว้เมื่อหวนถึงตอนที่ผู้กองนาคีสิ้นชีพ ปกป้องเขาด้วยชีวิต ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งสำนึกผิด ผู้กอง...เขาย้อนเวลาคืนไปไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ แม้ว่ามันเกิดขึ้นบนความเจ็บปวดและวันหนึ่งมันจะจางหาย เขาจะจดจำไว้

ต้นธาราลุกจากเตียง เดินอย่างเชื่องช้าแตะขอบหน้าต่าง ก่อนจะผลักบานหน้าต่างออก สายลมพัดโชย ต้นธารามองไปยังเบื้องล่าง รถราวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล บรรยากาศดูเงียบเหงาอยู่พอควร เขาปิดหน้าต่างมองห้องพิเศษ มันก็ดูกว้างขวางสบายดีอยู่หรอก แต่สำหรับต้นธาราแล้วที่นี่อึดอัดสิ้นดี เขานึกถึงตอนที่อยู่ในค่ายเล็กๆท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ สายลมพัดโชย สายหมอกยามเช้าและ....ใบหน้าของคนๆนั้นๆ สิ่งที่ต้นธาราอยากจะกลับไปหามากที่สุด เขานั่งบนโซฟานุ่มๆ ตอนที่ไม่มีอะไรให้ทำทำไมเวลามันช่างยาวนานนักนะ ชายหนุ่มหยิบนิตยาสารมาอ่านฆ่าเวลา คิดถึงภารกิจที่ภานุได้รับ หวังว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆกับภานุนะ ต้นธาราอธิฐาน เขาไม่อยากเห็นใครสิ้นชีพอีกแล้ว เขารู้ดีว่าสงครามมีแต่ความสูญเสียแต่จำเป็นต้องกระทำเพื่อความสงบสุขของไพร่ฟ้าประชาชน ชายหนุ่มวางนิตยาสารลงเมื่อประตุเปิดออก คนที่มามันทำให้เขาอึ้งแล้วก็ต้องรีบลุกขึ้น

"พ่อ!"

ต้นธาราอุทาน เมื่อเห็นชายวัยหกสิบหนีบหมวกไว้ในซอกแขน บนบ่ามีดาวสี่ดาวประดับเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนบ่งบอกถึงยศ สีหน้าของท่านเคร่งขรึม เฉียบขาด นายพลพิภพวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ ต้นธาราเดินเข้ามาหาทันที เขายกมือไหว้บิดา ก่อนที่ท่านนายพลจะกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขน

"เป็นไงบ้างละเรา?"

นายพลพิภพถามบุตรชาย ชายชรารั้งบุตรชายดูหน้าตาซีดเซียว สายตาดุจเหยี่ยวสำรวจมองอยู่ชั่วครู่ก่อนท่านจะว่า

"ซูบไปนะเรา อยู่ที่นั้นทำงานหนักรึ?"

ท่านจับมือขาวสะอาดของลูกชาย สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม ต้นธาราพยายามจะยิ้ม

"ไหนลุงอรุณบอกว่าพ่อติดราชการไงครับแล้วนี่..."

เขาสงสัย ท่านนายพลยิ้ม

"ธุระพ่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่ออยากมาหาลูกเร็วๆก็เลยรีบทำ"

ท่านกล่าวพลางลูบศีรษะบุตรชายอย่างรักใคร่ ต้นธารานิ่งเงียบ เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปนึกแปลกใจกับท่าทีของบิดา

"แล้วลูกล่ะ อาการเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้"

ท่านกุมมือบุตรชายไว้แน่น ต้นธาราถอนใจก่อนจะตอบ

"ผมก็ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับแค่เป็นลมไปเท่านั้นเอง ลุงอรุณและใครๆก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต"ท่านนายพลยิ้มกับคำพูดบุตรชาย

"เขาทำไปก็เพราะห่วงลูกทั้งนั้น แล้วอยู่ที่นี่สบายดีไหม ไม่เห็นส่งข่าวคราวให้พ่อรู้สักที"

ต้นธาราจ้องบิดา ก่อนจะว่า

"ผมไม่ส่งไป คนอื่นก็ส่งข่าวไปอยู่ดี มันมีค่าเท่ากันไม่ใช่รึครับ"

คำพูดออกจะห้วน ท่านเงียบไป

"มันก็ใช่ แต่พ่อก็อยากจะรู้ข่าวออกมาจากลูกเหมือนกันนะ ลูกเล่นเงียบหายมันทำให้พ่อห่วงลูกนะ"

นายพลพิภพเอ่ย ท่านจ้องไปรอบๆห้องพักของลูก

"อยู่ที่นี่สบายดีไหม?"

ต้นธาราผงกหัว ก่อนจะเสริม

"ก็สบายดีอยู่หรอกครับ แต่สำหรับผมแล้วอยู่ที่นี่อึดอัด ผมอยากจะกลับไปที่ค่ายมากกว่า"

ใบหน้านั้นบ่งบอกว่าอึดอัดไม่น้อย

"อยู่ที่นี่ก็ดีแล้วใกล้มดใกล้หมอเวลาลูกเป็นอะไรจะได้ดูแลทัน"

ท่านพยายามปลอบ รู้ว่าลูกชายกำลังคิดอะไรอยู่

"แต่ผมก็เป็นหมอเหมือนกัน"เขาว่าอย่างไม่ยอมแพ้

"ใช่...ลูกเป็นหมอ แต่เพราะเป็นหมอนี่แหละทำให้เป็นแบบนี้ อย่าหัวแข็งเลยธาร"

ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ธารยิ้มเจื่อนๆ ท่านนายพลจึงรีบพูด

"ธาร...พ่อรู้ดีว่าลูกคิดอะไรอยู่ แล้วเรื่องของนายภานุเป็นอย่างไรบ้าง?"

ต้นธารายิ่งเงียบขรึม ท่านก็ถอนใจ

"พ่อไม่ชอบใจเลยว่าลูกทำไมถึงต้องทำแบบนี้"

ต้นธารามองอย่างเคืองๆทันที

"สุดท้ายพ่อแค่มาเทศนาผมเท่านั้นหรือครับ?"

ยิ่งพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดเรื่องทะเลาะกัน

"มันไม่ใช่แบบนั้นนะลูก เพียงแต่พ่อเป็นห่วงเรื่องของลูกก็เท่านั้นเอง"

ท่านพยายามจะเกลี่ยกล่อมให้ใจเย็น ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆ เขาพยายามใจเย็นให้ได้

"พ่ออยากฟังเรื่องของลูกกับเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ธารพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหม?"

ท่านวิงวอน ต้นธาราเงียบกริบ

"พ่อน่าจะรู้เรื่องมาจากธีแล้วไม่ใช่หรือครับ"

เขายังเล่นลิ้น บิดาผงกหัว

"แต่ก็ไม่ละเอียดนักหรอก พ่ออยากจะรู้เรื่องจากปากของลูกมากกว่า"

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลง อ่อนแรงไปเมื่อบิดายอมอ่อนให้

"เขาเป็นคนอย่างไรหรือธาร"

บิดาถามเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของภานุอย่างนุ่มนวล ผู้เป็นบุตรยังปิดปากเงียบ

"พ่ออยากรู้เรื่องตั้งแต่ร้อยเอกนาคีตายและความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับร้อยเอกภานุ"

ต้นธารายังไม่ตอบคำ

"เขาอยู่ไหม ถ้าอยู่พ่ออยากพบเขาหน่อย"

ท่านนายพลขอ แต่ก็ได้คำตอบแผ่วเบากลับคืน

"เขาไม่อยู่หรอกครับ ไปปฏิบัติภารกิจอยู่"

ท่านนายพลเงียบ ก่อนจะผงกหัว

"อืม...พ่อก็ลืมไป..."ท่านกล่าวแล้วหลับตาลงชั่วครู่

"ลุงอรุณคงจะบอกอีกสิ"

นายพลพิภพผงกหัวอีกครั้ง ภายในห้องดูอึมครึม นางพยาบาลสาวเปิดประตูออก เธอถือถาดน้ำมารับรองท่านนายพลแห่งกองทัพบก

"น้ำค่ะ"

เธอวางแก้วน้ำเย็นเฉียบ ยิ้มหวานให้แก่ท่านนายพล

"อีกสักครู่นายแพทย์ประกิตจะเข้าพบค่ะ"

เธอบอกก่อนค้อมหัวเดินออกจากห้อง

"ช่างรวดเร็วจริงๆเลยนะครับพ่อ"

ต้นธาราเบือนหน้าหนี หงุดหงิดใจกับสิ่งที่พ่อกระทำกับตัวเอง

"พ่อไม่ได้เป็นคนจัดการเลยนะ"ท่านนายพลแก้ แต่ผู้เป็นบุตรก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

"เฮ้อ...อรุณเป็นคนจัดการเอง พ่อแค่โทรบอกลุงอรุณเท่านั้นว่าพ่อจะมาวันนี้"

ท่านตอบ บุตรชายยิ้มดุจจะเชือดเฉือน ท่านนายพลก็อ่อนอกอ่อนใจกับลูกชายคนเดียว

"เอาเป็นว่าที่พ่อมาในวันนี้ก็เพื่อมาดูเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ได้มาจัดการกับเรื่องของใครทั้งนั้น"

ท่านยืนยัน ต้นธารานั่งฟังจนกระทั่งนายแพทย์ประกิตเดินเข้ามา

"สวัสดีครับท่านนายพลพิภพ"

นายแพทย์ประกิตทัก ท่านนายพลพยักหน้ารับ นายแพทย์ประกิตนั่งลง

"สวัสดีนายแพทย์ประกิต"ท่านกล่าวตอบสั้นๆ

"อาการของธารเป็นอย่างไรบ้าง"

ท่านนายพลรีบถาม นายแพทย์ประกิตหยิบแฟ้มประวัติให้นายพลพิภพดูก่อนจะกล่าวอธิบายให้ฟัง

"นี่เป็นผลตรวจของคุณหมอต้นธาราครับ เป็นผลวินิจฉัยจากการตรวจ CBC ทำให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว"

นายแพทย์ประกิตยื่นแผ่นฟิล์ม ที่ถ่ายภาพสไลด์ให้ ก่อนจะอธิบายให้ฟัง ท่านนายพลรับฟังอย่างเงียบงัน

"การเกิดมะเร็งของคุณหมออาจจะเกิดจากการได้รับสารเคมีจำพวกสารระเหย ยา หรือไวรัสบางชนิด จึงทำให้เซลล์เม็ดเลือดทำงานผิดปกติ"

"แล้วมีวิธีรักษาไหมครับ"

ท่านเอ่ยเมื่อฟังคำอธิบายจบ นายแพทย์ประกิตผงกหัว

"ครับ มีการรักษาหลายวิธีแล้วแต่ชนิดของมะเร็งและสภาพของผู้ป่วยแต่ละคนโดยหากเป็นมะเร็งชนิดเรื้อรังก็จะให้ยาแบบเคมีบำบัดแบบรับประทานให้เม็ดเลือดที่ผิดปกติลดลงและขนาดของตับและม้ามลดลงและการให้รับประทานยาอาจมีการปรับขนาดยาบ้างตามจำนวนเม็ดเลือดขาวแต่จะให้ยาไปเรื่อยๆแม้ว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรังอาจจะมีอาการไม่มากแต่ก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว"

นายพลพิภพนิ่งมองดูหน้าของบุตร

"แบบที่ธารเป็นคือแบบเรื้อรังใช่ไหมครับแล้วมีวิธีไหนที่รักษาให้หายขาดบ้าง?"

ท่านถามอย่างร้อนใจ แต่ต้นธารากลับนั่งนิ่งเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้รับฟัง

"ใช่ครับ แบบที่คุณหมอต้นธาราเป็นคือมะเร็งชนิดเรื้อรัง และการรักษาแบบหายขาดและได้ผลดีก็มีครับคือการปลูกถ่ายกระดูกแต่คุณหมอก็เป็นมะเร็งที่อยู่ในระยะเฉียบพลันด้วยคือการเกิดมะเร็งอย่างรวดเร็วและเป็นมานาน"

คำอธิบายที่น่ากลัว ต้นธารากลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลย เขาจะเป็นอะไรในตอนนี้ก็ไม่สำคัญเลย ฝ่ายที่วิตกกังวลกลับเป็นบิดาของเขาเอง คล้ายกับฝันยาวนาน...ในตอนนี้เขาคิดเพียงอย่างเดียวคืออยากกลับไปยังค่ายเล็กๆ อยากกลับไปหาอ้อมกอดแข็งแรง เพียงตอนนี้เขาได้แค่คิดเท่านั้น

------------------------------------------------

ธีรเดชและภานุลุกขึ้นเมื่อเวรยามต่อไปมาผลัดเปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างไม่พูดไม่เอ่ยอะไร นอนหลับที่ใครที่มันเงียบๆ ยามสองเป็นของจ่าแม้น ซึ่งจ่าแม้นก็ใช้ผ้าพัดโบกไล่ยุง ชายชรามองดูผู้กองธีรเดชค้นหาบางสิ่งบางอย่างจากเป้สนาม ซึ่งเป็นผ้าขาวม้า

"เอามาห่มหรือครับ?"

จ่าแม้นถามพลางสุมไฟให้แรงขึ้นกว่าเดิม ธีรเดชยิ้ม

"ครับ"

เขาเอาผ้าขาวม้าผืนนั้นมาคลุมกาย

"มันทำให้อุ่นน่าดู"

ธีรเดชบอกเป็นปริศนา ก่อนจะล้มตัวนอน หลับสนิททันที จ่าแม้นหมดเพื่อนคุยก็อ้าปากหาว จ่าแม้นเฝ้าเวร
ยามจนกระทั่งถึงยามสุดท้าย ผู้กองรังสรรค์ที่นั่งโงกอยู่หน้ากองไฟลุกขึ้นไปปลุกร้อยตรีอานุภาพ

"หมวดอานุภาพถึงเวรคุณแล้ว"

หมวดอานุภาพสะลึมสะลือเลิกผ้าห่มขึ้น

"ขอบคุณที่ปลุกครับผู้กอง"

ร้อยตรีอานุภาพลุกขึ้นจากที่นอน นั่งเฝ้าเวรยาม สายตาของชายหนุ่มมองไปรอบๆ ร้อยเอกรังสรรค์ที่หลับไปแล้วนั้นเขาก็ลุกขึ้นสังเกตทุกๆคนที่นอนหลับลมหายใจสม่ำเสมอ ผู้หมวดหนุ่มหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา ก่อนจะกดปุ่มติดต่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง รายงานบางอย่างเป็นรหัสลับ พอเสร็จสิ้นก็กดปุ่มปิดสัญญาณ นั่งมองท้องฟ้าเกลื่อนดาว สายลมยังคงพัดอู้ เสียงหวีดหวิว ในดวงตาคู่นั่นกำลังคิดถึงเรื่องบางอย่าง...

------------------------------------------------
Ps.
* h-hour เป็นศัพท์ทางทหารแปลว่าเวลาโจมตี


ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #148 เมื่อ28-05-2008 21:26:51 »

ดันด้วยคน

อิอิ

 o13 o13

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #149 เมื่อ28-05-2008 22:47:51 »

+1 ให้พิมเท่ร๊ากก ขอโทษ ค๊าบบบบบบบบ  o1 o1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด