ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292737 ครั้ง)

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #150 เมื่อ28-05-2008 23:28:07 »

โอ้ ต่อยาววววว...จุใจ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #151 เมื่อ29-05-2008 11:25:01 »

นับวันยิ่งเข้มข้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  o13

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #152 เมื่อ30-05-2008 21:36:45 »

เอาไปอีกตอน  จุใจ  อิอิ
++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:11 Tabefaction /โรคที่รักษาไม่หาย

ทันใดที่ท่านนายพลพิภพได้รับฟังคำที่แพทย์บอก ในดวงตาของท่านปรากฏแววแห่งความหวัง ท่านจึงรีบเร่งให้แพทย์ประกิตอธิบายให้ฟังทันที

"ใจเย็นๆครับท่านนายพล"หมอประกิตกล่าว "ผมจะค่อยๆอธิบายเรื่องการรักษาให้เข้าใจก่อนนะครับ"

นายพลพิภพผงกหัว ฝ่ายต้นธาราเอาแต่นั่งซึมกะทือ ไม่รับฟังคำบอกคำกล่าวเลย

"ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันมีเป้าหมายคือต้องการให้โรคอยู่ในระยะสงบ ระยะสงบเป็นระยะที่จำนวนของเซลล์มะเร็งลดลงและเซลล์ปกติมีจำนวนมากขึ้นและทำหน้าที่เหมือนเดิม ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระยะสงบจะอยู่ได้ประมาณ3-9เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จะกลับไปเป็นโรคใหม่ การรักษาเพื่อให้เข้าสู้ระยะสงบนั้นรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดขนาดค่อนข้างสูงเข้าทางเส้นเลือดแต่หลังจากให้ยาแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงคือผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วงและทำให้เม็ดเลือดต่ำลง ทำให้ติดเชื้อง่ายและมีไข้ ในระยะนี้เป็นระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนและเป็นอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาปฏิชีวนะและให้เลือดประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังจากนั้นหากผู้ป่วยไม่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ก็จะฟื้นตัวเข้าสู่ระยะสงบ ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วยจะมีอาการปกติเหมือนตอนก่อนจะป่วย แต่เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะกลับเป็นโรคใหม่ จึงต้องให้การรักษาเพื่อที่จะป้องกันการกลับเป็นโรคใหม่ โดยการให้ยาเคมีบำบัดซ้ำในขนาดสูง "

ยิ่งรับฟัง ท่านนายพลยิ่งทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าลูกชายของตนอาจจะได้รับทุกข์ทรมาน นายแพทย์ประกิตมองอย่างเห็นอกเห็นใจในชะตากรรม

"แล้วมีการรักษาอีกวิธีไหมครับที่ไม่ทำให้ธารทรมานนัก?"

นายแพทย์ประกิตผงกหัว ต้นธาราที่นั่งเงียบกริบมานานสอดขึ้น

"พอเถอะครับพ่อ ยังไงซะผมก็ไม่เข้ารับการรักษาอย่างเด็ดขาด"

ต้นธาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด นายพลพิภพหันขวับ มองลูกชายด้วยความไม่เข้าใจนัก

"ธาร...ทำไมลูกไม่เข้ารับการรักษาล่ะ พ่ออยากให้ลูกหายป่วยนะ ทำไมเจ้าไม่เข้าใจในความห่วงใยของใครๆเลยล่ะ"

บิดาตำหนิ ต้นธาราพยายามจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ได้เพราะบิดาทำเป็นไม่สนใจ

"คุณหมอต้นธาราครับ ผมคิดว่าคุณควรเข้ารับการรักษาตั้งแต่ตอนนี้เสียดีกว่า อายุคุณก็ยังน้อย อนาคตก็ไกล"

แพทย์ประกิตสนับสนุนแต่ก็ไม่เกิดผลหรอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรต้นธาราก็ไม่รับฟังอยู่ดี

"เดี๋ยวผมพูดเรื่องนี้กับเขาเอง คุณช่วยอธิบายต่อเถอะครับ"

ท่านนายพลพิภพว่า นายแพทย์ประกิตจึงอธิบายต่ออย่างกังวลเล็กๆ

"จะมีการรักษาอีกวิธีคือการรักษาโดยปลูกถ่ายไขกระดูกหรือการทำBMTดังนั้นผู้ป่วยต้องได้รับเคมีบำบัดหลายรอบและหลายครั้งโดยทั่วไปประมาณ3-6ครั้งแต่ละครั้ง2-3เดือน แต่ต้องมีความพร้อมของคนป่วยด้วยและอาจจะต้องใช้เวลาถึง1ปีกว่าไขกระดูกที่ได้มาจากการบริจาคจะทำงานเป็นปกติ"

ท่านนายพลเห็นแสงสว่าง

"ครับ ถ้าผมจะให้ธารเข้ารับการรักษาแบบนี้ต้องทำอะไรบ้างครับ?"

นายแพทย์ประกิตกระแอมเล็กน้อยก่อนจะบอกกล่าวต่อ

"การรักษาแบบนี้เราต้องหาไขกระดูกที่ตรงกับคุณหมอต้นธาราครับ และค่าใช้จ่ายมันก็สูงมาก"

ท่านนายพลนิ่งงัน

"ผมช่วยท่านได้เท่านี้จริงๆ ท่านควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีกว่าครับ"

นายแพทย์ประกิตกล่าว ก่อนจะเก็บเอกสารทั้งหมดที่ค้นหามาลงในซอง ปล่อยให้ท่านนายพลได้นั่งคิด

"ครับ...ผมจะให้ลูกชายผมเข้ารับการรักษาเสียเท่าไรก็ยอม ช่วยด้วยนะครับหมอประกิต"

นายแพทย์ประกิตผงกหัวรับก่อนจะว่า

"เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับ ถึงท่านไม่ขอร้องผมก็ยินดีช่วยเต็มที่ กับเรื่องนี้ท่านนายพลอรุณก็สั่งผมไว้เหมือนกันครับ"

นายแพทย์ประกิตอำลาท่านนายพล ชายชราจ้องหน้าบุตรในดวงตาแกร่งมีคำถามมากมาย

"จะเอายังไงธาร เห็นยืนกรานเหลือเกินว่าจะไม่เข้ารับการรักษา เพราะอะไรล่ะธาร?ลองหาเหตุผลมาให้พ่อได้เชื่อถือเจ้าหน่อยสิ"

ท่านตั้งคำถามรุกลูกชาย ต้นธาราเม้มปากสีแดงออกซีด บ่งบอกว่าขึ้งโกรธ

"เป็นเพราะใครกัน"

ฝ่ายผู้เป็นบุตรกลับเบือนหน้าหนี ลุกขึ้นยืนริมหน้าต่าง

"ไม่ใช่เพราะใครหรอกครับพ่อ แต่เป็นเพราะผมเลือกเองต่างหาก...เลือกที่จะตายมากกว่าอยู่ ผมอยากรู้จริงๆ
ว่าการที่อีกคนหนึ่งหายไปจากโลกใบนี้มันจะเป็นเช่นไร"

ท่านนายพลพิภพลุกขึ้นทันที

"ธาร! เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงลูก คิดอะไรอยู่ เจ้าไม่รู้เลยว่าพ่อจะเสียใจแค่ไหนกับการที่เจ้าเลือกแบบนี้ เจ้า...เจ้า...ทำไปเพราะอะไรกันแน่ อยากให้เจ้าผู้กองนั้นสนใจอย่างนั้นรึ"

ต้นธาราหันมาเผชิญกับบิดา สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใดเลย

"...ผมก็ไม่รู้สิครับ ถึงผมจะเป็นใคร เป็นอะไร ทำอย่างไรเขาก็ไม่มีวันมาสนใจหรอก ผม..."

ต้นธาราทรุดนั่งลงกับพื้นเย็นเฉียบ ปิดหน้าตาของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปรากฏหยดหยาดน้ำตา ท่านนายพลถอดใจยาวก่อนจะทรุดนั่งกอดบุตร

"เป็นเพราะอะไรละธาร เล่าให้พ่อฟังสิ ตั้งแต่เด็กจนโตเจ้าก็ไม่เคยมีเรื่องปิดบังพ่อไม่ใช่รึ"

ท่านลูบเส้นผมนุ่มๆของลูกชาย คนที่แข็งแกร่ง มีมาดผู้นำมาตลอดจนได้ชื่อว่าเป็นคนไร้ใจ ปัญหาทุกอย่างท่านจัดการได้อย่างเฉียบขาดแต่มาบัดนี้ ท่านอ่อนโยนเหตุผลเพราะเป็นบุตรชายที่ท่านรักมากที่สุด

"มาตอนนี้เจ้าทำปั่นปึ่งใส่พ่อ พ่อยอมรับว่าผิดที่ในตอนที่เจ้าโตก็ไม่ยอมฟังเจ้าสักเรื่องเลย ขอให้ปัดเรื่องกินแหนงแคลงใจออกไปได้ไหม"

นับตั้งแต่ภรรยาตาย ท่านก็รู้ตัวเองดีว่าได้ทำผิดอะไรลงไปบ้าง ผิดที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของบุตรชายเกี่ยวกับเรื่องของภานุ ท่านรู้เรื่องนี้ในครั้งแรกถึงกับช๊อกและรู้สึกอับอายต่อการกระทำของบุตร...ธารไม่ผิดเพราะบอกท่านตามตรงว่าพึงพอใจใคร ในตอนนั้นท่านจึงนำเรื่องไปปรึกษานายพลอรุณซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมานานและช่วยหาทางออกที่ประนีประนอม ผลสุดท้ายก็เกิดการทะเลาะกันขึ้นและผู้เป็นบุตรทิ้งทุกอย่าง ทั้งยศศักดิ์ เงินทองเพื่อตามหาคนที่ตัวเองรักเพียงคนเดียว ท่านไม่รู้ในเหตุผลนัก...ความรักหนึ่งสามารถสร้างให้เป็นแบบนี้ได้เชียวหรือ?

"ทำไมล่ะธาร ลูกตอบพ่อมาสิทำไมต้องรักคนๆนั้นมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้อะไรเลย"

ท่านแปลกใจที่ลูกชายไม่ตอบคำถามสักคำ กลับปิดปากเงียบ

"ธาร...ลูกรู้ไหมสิ่งที่พ่อภาคภูมิใจที่สุดก็คือเจ้า สิ่งที่พ่อรักมากที่สุดก็คือเจ้า ลูกเป็นลูกชายของพ่อ ขอให้เชื่อใจกันบ้างได้ไหม สิ่งที่ลูกเอ่ยพ่อจะไม่ถือโกรธเลย"

ต้นธาราเอนออกจากอกของบิดา เขามองทั้งๆที่ยังมีหยาดหยดน้ำตาพร่าพราย

"พ่อ..."

น้ำเสียงสั่นเครือ ท่านตบหลังมือให้กำลังใจ

"ผมควรทำอย่างไรดี ในเมื่อผมทำให้คนๆหนึ่งตายไป ถึงแม้ไม่มีใครว่ากล่าวอะไรแต่...แต่ผมก็รู้สึกผิดอยู่ดี มันก่อให้เกิดข้อบาดหมางกับผู้กองภานุ"

ท่านบีบมือพลางปลอบ

"ใจเย็นๆลูก เรื่องของร้อยเอกนาคีใช่ไหม พ่อก็ได้รับรายงานมาเหมือนกัน ไหนบอกสิว่าร้อยเอกนาคีสิ้นชีพเพราะอะไร"

นายพลพิภพส่งผ้าเช็ดหน้าให้ผู้บุตร ต้นธาราซับน้ำตา ก่อนจะกล่าวเสียงสั่นๆ

"เรื่องที่ผู้กองนาคีตาย เป็นเพราะความผิดที่ผมไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้กองเอง วันหนึ่งผมไปเป็นแพทย์สนามในหน่วยลาดตะเวน เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างเหล่ากองโจรกู้แผ่นดินกับฝ่ายขบวนลาดตะเวน ผู้กองนาคีเป็นคนคุ้มกันผม เขาได้กันผมออกจากวงล้อมศัตรูแต่ผมเห็นฝ่ายศัตรูคนหนึ่งบาดเจ็บ ผมก็เลยขอช่วย ครั้งแรกๆผู้กองนาคีก็ค้านบอกให้หนีไปเร็วๆแต่ผมทำไม่ได้ ผมเป็นหมอและเขาก็น่าสงสารเกินไป อายุก็น้อย ผมขอร้องจนกระทั่งผู้กองนาคีใจอ่อน ผมเลยช่วยเขา ผู้กองเห็นว่าฝ่ายศัตรูได้ร่นถอยมาทางผม เขาจึงรีบฉุดผมให้ลุกขึ้น แต่มันก็สายไป ในที่สุดผู้กองก็ถูกยิง เป็นเพราะความดื้อดึงของผมแท้ๆ"

ผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มน้ำตาถูกกำไว้ในมือแน่น ท่านนายพลผงกหัว ก่อนจะฟังลูกชายเล่าต่อ

"พอหน่วยลาดตะเวนเข้ามาช่วยมันก็สายไปแล้ว ผู้กองนาคีเขาผลักให้ผมมีชีวิตรอดโดยการเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก มันไม่คู่ควรเลยสักนิดที่ผู้กองนาคีจะมาตาย แล้ว...พอผมบอกเรื่องนี้กับร้อยเอกภานุเขาก็โกรธผมเพราะผมเป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักของเขาตาย เขา...ถากถางผมต่างๆนานา"

พูดไปพร้อมความสินหวัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสง ดูริบหรี่ ท่านนายพลจับหน้าของลูกชายขึ้นมา ท่านกำลังหาคำเอ่ยที่เหมาะสม เรื่องนี้หากพูดไม่ดีก็จะเป็นการทำลายจิตใจไปทันที

"ธารเรื่องความเป็นตายไม่สามารถกำหนดได้หรอกนะ การที่ร้อยเอกนาคีเสียชีวิตก็เป็นการเสียชีวิตในหน้าที่ ตายเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองห่วงใย ลูกไม่ได้ผลักไสให้ผู้กองนาคีตายเลย...มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายเกินไป เราเลือกไม่ได้หรอกนะ"

ต้นธาราดูเหมือนไม่ยอมรับฟัง ท่านจึงพยายามกล่าวให้เข้าใจ

"แล้วผู้กองนาคีก็ไม่อยากให้ลูกโศกเศร้าเกี่ยวกับการไปของเขาหรอกนะ พ่อเชื่อเช่นนั้น"

ลูกชายพยักหน้าตามคำพูด

"แล้วเรื่องที่ร้อยเอกภานุโกรธขึ้งเจ้าเป็นอย่างไรรึ?"

ท่านเอ่ยถาม ต้นธาราเบือนหน้าหนี บิดารู้ดีว่าลูกชายต้องไม่ยอมตอบคำถามอย่างแน่นอน

"ธารในเมื่อเจ้าพูดออกมาแล้วเจ้าคงต้องพูดให้หมดเถอะ พ่ออยากรู้จริงๆว่าลูกคนนี้ถูกชายคนนั้นทำอะไรบ้าง?"

บิดาบังคับ ต้นธาราปิดปากเงียบ คล้ายกับตัดสินใจว่าสมควรจะเอ่ยหรือเปล่า เขายังกลัวความจริง อ้อมแขนของภานุช่างแข็งแกร่ง บางครั้งก็นุ่มนวล บางครั้งก็น่ากลัว เขากอดอกคล้ายหนาวสั่น กอดแน่นเสียจนบิดามองอย่างสงสัย

"ธาร...เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมลูก"

ต้นธาราส่ายหัว คลายอ้อมแขนเล็กน้อย มองใบหน้าบิดาแล้วสูดลมหายใจลึกๆ

"แรกๆเขาก็ด่าทอ ทำอัปยศแต่ผมก็ไม่ถือหรอกเพราะความจริงแล้วมันก็คือความผิดผมเองแต่พอนานไป...รู้สึกถึงว่าเขาอ่อนโยนขึ้นแม้ว่ามีความเกลียดชังอยู่มากก็ตามแต่"

สายตาของบุตรดูเคลิ้มไป บิดานั่งนิ่งไม่รู้เลยว่าทั้งลูกทั้งร้อยเอกภานุมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ มันไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ท่านทำใจไม่ให้ความดันขึ้นเพราะเครียด

"แต่เขาก็สัญญาแล้วว่าจะพาไปเที่ยว"

ชายหนุ่มนั่งชันเข่าบอกแก่บิดาซึ่งจ้องหน้าบุตรชายอย่างเพ่งพิศ

"เฮ้อ เรื่องของเจ้าระหว่างร้อยเอกภานุเราควรพับไว้ก่อน ที่พ่อมาก็เพราะเรื่องการป่วยของลูก เอาล่ะธาร เจ้าจะเข้ารับการรักษาไหม?"

ท่านกล่าว ต้นธารามองหน้า นายพลพิภพกลั้นใจ เขารู้อยู่แล้วว่าลูกชายจะปฏิเสธแต่ทว่า...

"ผมจะเข้ารับการรักษาครับ"

ท่านยิ้มออกมาได้ สีหน้าของลูกชายมีแววบางอย่าง

"แต่ผมจะไม่เข้ารักษาในช่วงนี้ ผมจะรอให้ 'เขา'กลับมาก่อนครับ ผมจะตัดสินใจอีกครั้ง"

"แต่ธาร จะช้าไม่ได้นะ เรายังต้องจัดการหลายๆอย่างนะธาร"

บิดาพูดให้เหตุผล แต่ต้นธารายังยืนยันคำเดิม จนบิดาต้องจำยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"เจ้าแน่ใจนะ หากถึงเวลานั่นเมื่อไรพ่อไม่ให้เจ้าบิดเบือนอีกแล้วเพราะพ่อกลัวว่าโรคเจ้าจะกำเริบ"

นิ้วหยาบกร้านสัมผัสแก้มอันนุ่มนวล ต้นธาราซึมซับความอบอุ่นที่บิดาถ่ายถอดให้

"ครับ ผมจะรักษาสัญญา"

ชายหนุ่มกล่าว จับมือบิดาไว้ ความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ เขารักบิดายิ่งนัก ความบาดหมางที่มีอยู่ละลายหายไปช้าๆ

"พ่อสัญญากับแม่ของเจ้าแล้วว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เข้าใจไหมลูก"

"อ้าว พิภพมานานแล้วเรอะ"เสียงลุงอรุณทักมาแต่ไกล

คุณลุงอรุณก้าวเข้ามา ชุดทหารรีดจนเรียบ ลงแป้งแข็งสมกับเป็นทหารชั้นสูง ดวงดาวบนอินธนูบ่งบอกยศเทียบเท่าบิดาของต้นธารา ท่านถอดหมวกหนีบออก ยิ้มร่ามาแต่ใกล้ นายพลพิภพลุกขึ้นจับบ่าเพื่อนทักทายอย่างยินดี ต้นธาราเช็ดหน้าเช็ดตาทำหน้าตาให้สดใส ยิ้มแย้มดุจดังดอกไม้อันสวยสด ต้นธารายกมือไหว้ ท่านนายพลอรุณรับไหว้กอดจะกอดด้วยความคิดถึง

"สวัสดีลูก เมื่อกี้สองพ่อลูกทำไมไปนั่งที่พื้นเสียเล่า?"

ท่านถามอย่างอย่างอบอุ่น พลางพาทั้งสองไปนั่งบนโซฟา

"แค่ปรับความเข้าใจกัน"

ต้นธาราตอบ ยิ้มด้วยไมตรีจิต ท่านนายพลอรุณมองหน้าท่านนายพลพิภพ

"แล้วเรื่องอะไรล่ะ เออ ว่าแต่ประกิตมาหาหรือยัง"

นายพลพิภพผงกหัว

"มาแล้ว...อธิบายเรื่องต่างๆให้ฟังหลายๆอย่างเลย "

ท่านนายพลอรุณยิ้มอย่างโล่งอก

"ผมไปนอนก่อนนะครับ"

ต้นธาราลุกขึ้นเมื่อรู้ว่าบิดาและลุงต้องการพูดคุยตามลำพัง นายพลอรุณเข้ามาพยุงหลาน ประคองไปยังเตียง ชายหนุ่มปีนขึ้นเตียงยิ้มให้ลุง

"ขอบคุณครับ"

ผ้าห่มถูกคลุมร่างบาง ต้นธาราหลับตาในไม่ช้า ท่านนายพลจึงไปคุยกับบิดาของหลานบุญธรรม

"เมื่อกี้ปรับความเข้าใจเรื่องอะไรล่ะ? หรือว่าเป็นเรื่องของผู้กองภานุกัน"

พิภพผงกศีรษะ ตอบด้วยความเหนื่อยอ่อน

"ใช่ มันหนักหนากว่าที่คิดนักเรื่องของธารกับเจ้าภานุนั่น"

ท่านว่าอย่างไม่สบอารมณ์นัก นายพลอรุณนิ่งเงียบ

"ทำไมล่ะ หรือว่าไม่พอใจเกี่ยวกับนิสัยของร้อยเอกภานุ?"

ชายชราส่ายหัว ก่อนจะตอบ

"มันก็ไม่ใช่หรอก เราก็ยังไม่รู้จักนิสัยลึกๆของเขาสักเท่าไร"

ท่านนายพลพึมพำ นายพลอรุณยิ้มนิดๆ

"ไม่ได้อ่านรายงานที่ส่งไปให้เรื่อยๆเลยรึ ร้อยเอกภานุ อินทรจันทร์ เป็นคนที่ไว้วางใจได้อยู่ ได้ตำแหน่งร้อยเอกตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตอาจมีสิทธิ์ก้าวถึงขั้นนายพลเลยก็ได้หากไม่หมกตัวอยู่ในป่าเสียก่อน"

"แล้วเหตุใดร้อยเอกภานุถึงไม่เลือกที่จะอยู่ในเมืองเล่า? เพราะเลิกกับคู่หมั้นหรือว่าอะไร"

ท่านนายพลพิภพสอบถาม นายพลอรุณสั่นหัว

"ก็ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงสักเท่าไรหรอก นับตั้งแต่พ่อแม่เขาตาย เขาก็เลือกผันตัวเองมาอยู่ที่นี่แล้ว"

นายพลทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนใจอย่างหนักอกต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

"แล้วเรื่องโรคที่หนูธารเป็นอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง เขายอมเข้ารับการรักษาไหม"

ท่านนายพลพิภพส่ายหัว

"จะบอกว่ายอมก็ยอมแหละนะ จะบอกว่าไม่ยอมก็ไม่ยอม"

ดวงตาของพลเอกอรุณมีรอยสงสัย ก่อนที่จะได้รับการขยายความ

"ธารรอให้ร้อยเอกภานุกลับมาก่อน เขาอยากจะจัดการบางสิ่งบางอย่าง เมื่อสำเร็จแล้วก็จะรับเข้ารักษา"

พลเอกอรุณนิ่วหน้า

"มันจะไม่นานไปหน่อยรึ นายเเพทย์ประกิตบอกผมแล้วนะเกี่ยวกับโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวว่ามันเป็นอย่างไร"

พลเอกพิภพทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ

"ผมก็กลุ้มอยู่เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้ธารเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเข้ารับการรักษาช้าธารอาจมีสิทธิ์...."

ท่านนายพลทั้งสองรู้สึกกลัว แม้จะผ่านสมรภูมิมาเยอะ เห็นความสูญเสียมากมายแต่ท่านก็ยังกลัว...กลัวว่าสิ่งสำคัญจะสูญหาย ทั้งสองท่านหันไปมองร่างที่หลับสนิทอยู่พร้อมกัน

"เราต้องบังคับเขาให้ได้"

ท่านนายพลพิภพว่า พลเอกอรุณพยักหน้าเห็นด้วย

"จุดศูนย์การของธารตอนนี้อยู่ที่ร้อยเอกภานุ เราต้องจัดการกับจุดศูนย์กลางนั่นก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายไป!"

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #153 เมื่อ30-05-2008 21:37:52 »

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง ภายในค่ายพักเล็กๆต่างก็ขมีขมันเก็บอุปกรณ์ต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จ่าแม้นถมกองไฟที่ก่อไว้ เพื่อกลบร่องรอย นายทหารทุกคนต่างเก็บกระเป๋า ร้อยตรีอานุภาพเก็บเต็นท์ ผู้กองภานุกำลังกำหนดทิศทางกับผู้กองรังสรรค์ ทั้งสองจับแผนที่ไว้คนละด้านชี้ให้ดูจุดต่างๆก่อนจะตัดสินใจ ส่วนธีรเดชออกไปสำรวจรอบๆนอกค่ายพักก่อนจะกลับมา

"ทุกคนเตรียมตัวเสร็จหรือยัง"

ภานุมองนาฬิกาซึ่งเข็มชี้เป็นเวลาหกโมงสี่สิบนาที แสงแดดทอประกายอ่อนๆ อากาศยามเช้ายังเย็นเฉียบ

"วันนี้เราจะเดินทางต่อ หากถึงจุดหมายปลายทางที่เรากำหนดเมื่อไร และไม่พบอะไรเราจะกลับค่ายทันที"

ทหารทุกคนต่างรับฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด ก่อนภานุจะสั่งให้ออกเดินทางต่อ

"วันนี้กับเมื่อวานไม่แตกต่างกันเลย"

จ่าแม้นบ่นอุบ ธีรเดชที่เดินตามหลังเลิกคิ้ว

"ทำไมล่ะจ่า?"

จ่าแม้นหันมองแล้วทำหน้ายุ่งยากใจ

"ก็ร่องรอยน่ะสิครับ หายากขึ้นเรื่อยๆเหลือเกิน น่าแปลกก็มันผ่านมาทางนี้ รอยน่าจะยังคงเหลือ หาที่มันพรางก็ไม่เจอเลย"

จ่าแม้นบ่นเป็นหมีกินผึ้ง สายตาก็สอดส่ายหาร่องรอยผิดปกติ

"ยังกับมันมีตาเทวดา เหมือนรู้ว่าเรามาตามมัน"

ชายชราร่างเล็กบอกกล่าว ธีรเดชมองรอบๆกายของตัวเองบ้าง มีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด มองไปทางไหนมีแต่ความเขียวขจี

"แล้วไม่มีหวังเลยรึครับ"ธีรเดชกระซิบกระซาบ

"โอ้ย ไม่สิ้นหวังหรอกครับ จ่าแม้นซะอย่าง ผมเดินแถวนี้มาจนปรุแล้ว"

ชายชราอวด ธีรเดชหัวเราะอย่างรื่นเริง

"ผมขอให้คุณสงบเสียงลงหน่อยเถอะ"

ผู้กองภานุเอ่ย ธีรเดชเงียบกริบไปทันที นับแต่นั้นก็ไม่มีการพูดคุยกับเลยนอกจากบอกร่องรอยหรือพบเห็นสิ่งที่น่าสงสัย จนกระทั่งพักทานข้าวกลางวันริมกอเฟิร์นใบยาวเขียวชะอุ่ม ผู้กองแจกเนื้อไก่และเนื้องูให้แก่ทุกๆคน ไม่มีใครบ่น กินเข้าไปอย่างหน้าตาเฉย ยกเว้นแต่ธีรเดชซึ่งไม่แตะอะไรเลย

"อ้าว...ผู้กองธีไม่ทานหรือครับ เนื้ออร่อยนะครับ ลองทานดู"

จ่าแม้นเงยหน้าขึ้น แล้วคะยั้นคะยอ

"ใช่ครับ อร่อยมากเลยฝีมือของผู้กองภานุ"

ร้อยเอกรังสรรค์ชม ภานุโน้มหัวรับคำชมอย่างเงียบๆก่อนจะจิ้มเนื้อเข้าปาก

"มาอยู่นี่ต้องกินง่ายอยู่ง่ายครับ"

ขนาดร้อยตรีอานุภาพยังว่า ธีรเดชรีๆรอๆเข้าจิ้มส้อมลงไปในเนื้อนุ่มๆ ไม่ได้กลิ่นสาบเลยสักนิด อันที่จริงเขาก็ไม่เรื่องมากเลย ชายหนุ่มมองผู้กองภานุเคี้ยวเนื้อลงท้องอย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงลองชิมดู คำแรกคิดว่าจะมีกลิ่นสาบแต่ไม่ยักจะได้กลิ่นอะไรเลย ธีรเดชจึงกินอย่างไม่รู้สึกอะไรนัก

"จะรับอีกสักชิ้นไหมครับ ในส่วนของคุณไม่มีชิ้นส่วนของเจ้างูหลามหรอก"

ผู้กองภานุลุกขึ้นมา หยิบกระติกน้ำขึ้นดื่มแล้วยื่นให้ธีรเดชที่มองอย่างแปลกๆ

"ไม่ครับ แค่นี้ก็พอแล้ว"

ธีรเดชปฏิเสธอย่างสุภาพ เขารับกระติกน้ำมาตั้งไว้ข้างตัว ผู้กองภานุเช็ดปากด้วยหลังมือ ใบหน้าหล่อเหลาดุดันมีหนวดเคราขึ้นเขียว

"ผมอยากรู้เรื่องของคุณหมอต้นธาราบ้าง"

ผู้กองภานุกระซิบ ร้อยเอกธีรเดชคิดว่าตัวเองจะหูเฝื่อนไปหรือเปล่าพอซ้ำอีกรอบก็ทำหน้างงๆไม่คิดว่าผู้กองภานุจะเอ่ยแบบนี้

"ที่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานมันคืออะไร "ภานุถามซ้ำ

ธีรเดชวางจานลง ยกกระติกน้ำกลั้วคอก่อนจะตอบ

"ทำไม ผู้กองคิดสนใจขึ้นมาหรือไงครับ"

คำพูดที่ต้องทำให้สะกดกลั้นอารมณ์ ผู้กองภานุนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ

"ผมก็อยากรู้เรื่องของเขาบ้าง"ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นคง

"แล้วทำไมคุณไม่ถามต้นธาราเองล่ะครับก็ในเมื่อผม 'ไม่มีสิทธิ์' "

คำตอบยอกย้อน ภานุยิ่งกำหมัดแน่น บีบอัดราวกับจะให้กระดูกแตกสลาย

"หากคุณต้องการรู้อะไร คุณก็ลองถามสิ่งที่คุณทำลงไปกับธารสิแล้วคำตอบทุกอย่างจะปรากฏเอง"

ธีรเดชเอ่ย ก่อนจะลุกขึ้น ทำทีไปนั่งกับจ่าแม้น ฝ่ายผู้กองรังสรรค์ยักไหล่ แล้วบุ้ยให้ภานุมองอานุภาพ ชายผู้
นั้นดูราวกับจะมีอะไรซ่อนไว้ในใจ ภานุที่มีเรื่องว้าวุ่นใจ สั่นหัวไม่ให้พูดเอ่ยอะไร...ภานุจับจ้องใบหน้านั้นก่อนจะถอนใจ...สังหรณ์บางอย่างที่จะต้องเกิดขึ้น บนเส้นทางสายอันตรายแห่งนี้

----------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #154 เมื่อ30-05-2008 23:24:33 »

โดนทรมานยังไม่พอยังมีโรครุมเร้าอีก  o7 o7 รอลุ้นต่อคุงหมอจะตายป่าว  :sad2: :sad2:

nooww

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #155 เมื่อ31-05-2008 12:55:57 »

 o7 มาต่อเร็วนะ รออ่านอยู่ :oni1:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #156 เมื่อ31-05-2008 15:28:43 »

โดนทรมานยังไม่พอยังมีโรครุมเร้าอีก  o7 o7 รอลุ้นต่อคุงหมอจะตายป่าว  :sad2: :sad2:

คุงหมอตาย เรื่องก็จบสิครับ

เอิ๊กๆๆ

 :m14:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #157 เมื่อ31-05-2008 15:57:05 »

เรื่องนี้ไม่ได้มีคู่คุงหมอคู่เดียวนิพี่พูห์   :m14: อาจจะมีพลิกล๊อคก็ได้นะ ว่ามั้ยพิมเท่ร๊ากกกกกกก

ออฟไลน์ Simply Blue

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-3
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #158 เมื่อ31-05-2008 16:00:27 »

ฮื่อ ฮื่อ เสียใจ เป็นถึงคุณหมอที่ต้องเป็นคนที่เป็นคุณค่าของชีวิต คอยช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง โคตะระเศร้าใจ  :sad2:

คุณหมอยังไม่รู้วิธีรักตัวเองเลย แล้วความรักที่มีให้ผู้กองภาณุ มันใช่ความรักแน่เหรอเนี่ย  :o12:

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #159 เมื่อ31-05-2008 16:34:45 »

สงสารคุณหมอง่ะ   :m13: 

เหมือนเจอทุกข์หนักสองด้านเลยเนอะ    :เฮ้อ:

คุณหมอกำลังต่อสู้กับโรคร้าย    :m15:

ฝ่ายผู้กอง ก้อกำลัง ต่อสู้ กับภารกิจ ที่ได้รับมอบหมาย

แต่เอ.. หรือจะต่อสู้กับหัวใจตัวเองหว่า? หุหุ   :a3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #159 เมื่อ: 31-05-2008 16:34:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #160 เมื่อ31-05-2008 19:08:03 »

เข้ามารอ คุณหมอ

คุณหมอสู้ๆๆนะ

 o13

ออฟไลน์ life_fracture

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +518/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #161 เมื่อ31-05-2008 20:45:03 »

โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
มาสมัครเป็นแฟนเรื่องนี้ค่า

เหอ เหอ เหอ
ยอมตีกะน้องเลย
เพื่อที่จะได้อ่านรวดเดียว
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Ferfa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-2
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #162 เมื่อ31-05-2008 22:12:46 »

^
^
^
จิ้มเบ็ต อิอิ :laugh:

 :a12:นอนรอดีก๋า

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #163 เมื่อ31-05-2008 22:19:04 »

หลายคู่นี้คือคู่ธีรเดชกับพม่าใช่ป่ะ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #164 เมื่อ01-06-2008 19:39:42 »

อิอิ  ฟะกับเบตตี้มาอ่านเพิ่มด้วย
เรื่องนี้คู่หลัก คือ คุณหมอกับภานุ  ส่วนอีกคู่ซึ่งจะมาในภาคสอง คือ ธีกับกิ่งไผ่นั่นเอง 

ต่อเลยน้า  เอาไปอีกจุใจๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:12 hack/แผนปะทะ

ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าป่าลึกเรื่อยๆ ขบวนเดินต่างมองแสงแดดที่แผดจ้า อากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลเต็มใบหน้า ทั่วทั้งกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ จ่าแม้นพึมพำไม่หยุดปาก สุดท้ายภานุต้องสั่งให้หยุดและตั้งแค้มป์ขึ้น ทุกคนอ่อนล้าต่างหาน้ำท่าดื่มกันทันทีที่ได้พัก

"ไอ้พวกฉิบหายนั่น ดูท่ามันจะทำรอยลวงเสียแล้ว"จ่าแม้นว่า สายตาของจ่าชรามีรอยโมโห

"ทำไมรึจ่า มีอะไรที่จ่าพลาดไป"

ภานุถาม มองจ่าแม้นที่นั่งเหม่อ สายตาของชายหนุ่มสอดส่ายไปรอบๆ

"ดูท่าจะเหลวเสียแล้วครับผู้กอง เพราะร่องรอยของไอ้พวกห้าร้อยจู่ๆก็หายไปเสียเฉยๆ"

ภานุรับฟังอย่างใจเย็น ชายหนุ่มยังไม่เอ่ยหรือแสดงความเห็นอะไรทั้งนั้น ได้แต่ฟังลูกน้องใต้บังคับบัญชาบ่นพึม

"ฮึ่ม มันน่าเจ็บใจนักจ่าแม้นที่มีชื่อในการสะกดรอยต้องมาดับเพราะอ้ายพวกห้าร้อยนั้น"

คราวนี้ภานุหันกลับมาลูกน้องอย่างจริงจัง

"แล้วจ่ามองดูทั่วแล้วเรอะ?"

จ่าแม้นผงกหัว มองหารอยทั่วแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆมันก็หายไปเหมือนกับฝ่ายนั้นเป็นนกรู้ทราบความเคลื่อนไหวทางฝ่ายลาดตะเวน ชายหนุ่มครุ่นคิดพยายามจะหาทางออกในเรื่องนี้

"เรารีบเร่งไปก็มีแต่จะเสียเปรียบ เอาเป็นว่าถึงเราจะถึงจุดหมายช้าแต่เราก็มั่นใจว่าเราจะสามารถเข้าถึงจุดหมายได้แม่นยำ จ่าแม้นอย่าได้กังวลไปเลย"ผู้กองหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"แล้วก็พักผ่อนตามสบายเถอะนะ"

ชายหนุ่มกล่าวต่อ แต่ละคนก็ทำตามที่บอก ร้อยเอกรังสรรค์หาที่นอนกลางวัน ร้อยตรีอานุภาพก็หลับตาอย่างเหน็ดเหนื่อยพิงขอนไม้ ธีรเดชมองทุกๆคน เขามองขุนเขาไกลลิบ เค้าเมฆฝนดูอึมครึ้ม สายตากังวลกับสภาพอากาศ ไม่พ้นจากการจับจ้องของภานุได้

"คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าฝนมันจะตก ยังคงอีกนานนัก อาจอาทิตย์สองอาทิตย์นี่แหละที่ฤดูฝนจะมาเยี่ยมกราย"

คำบอกเล่าไม่อาจทำลายความกังวลใจของธีรเดชได้ เพราะหากหน้าฝนเข้ามานั้นก็หมายถึงลางร้ายของคุณหมอต้นธารา ผู้กองหนุ่มกระสับกระส่ายจนภานุต้องเอ่ยปากถาม

"คุณมีอะไรอยู่ในใจรึ"

สายตาของธีรเดชจับจ้องยังร้อยเอกภานุ เขาดูเครียด สายตาก็แฝงรอยหวั่นใจ ภานุเดินเข้ามานั่งเคียงข้างรู้ว่าสิ่งที่ร้อยเอกธีรเดชคิดก็คงไม่พ้นเรื่องของต้นธารา

"ถ้าผมเดาก็คงจะเป็นเรื่องของคุณหมอต้นธารารึเปล่า"

ธีรเดชเหลือบมองอย่างเย็นชาแต่ก็ฉุกคิดได้ว่าถ้าเขาทำกิริยาไม่ดีใส่ มันก็ไม่เกิดผลดีอะไร สิ่งที่เขาจะทำได้คือทำให้ต้นธารามีความสุข

"เดี๋ยวนี้หันมาใส่ใจเรื่องของธารแล้วหรือครับ"

ธีรเดชอดแดกดันไม่ได้ ทั้งๆที่เขาคิดว่าจะเป็นคนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างต้นธาราและภานุแท้ๆ ร้อยเอกภานุมองไปบนท้องฟ้าแทนที่จะตอบ

"เอาเถอะครับ สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดผมจะขออโหสิกรรมแล้วกัน ผู้กองรู้รึเปล่าว่าธารน่ะรักคุณขนาดไหน"

ภานุสั่นหัว เขาไม่รู้หรอกว่าต้นธารามีความรู้สึกใดกับเขาบ้าง ทำไมต้องให้คนอื่นบอกด้วยนะ...ชายหนุ่มหลับตาแน่น คิดถึงการกระทำของตัวเอง

"สิ่งที่ธารรู้สึก คุณรู้สึกแบบเดียวกับเขาหรือเปล่าล่ะ"

ธีรเดชถาม ภานุยิ่งปิดปากแน่น

"ธารยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งครอบครัวเพื่อไล่ตามคุณ ยอมทิ้งชีวิตของตัวเอง พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกใช่ไหม? สำหรับคุณ ธารก็เป็นดั่งสายลมที่พัดผ่าน เป็นคนที่คุณไม่อยากนึกถึงแต่ทำไมถึงทำแบบนั้นกับเขา การกระทำของคุณมันทำให้ธารเจ็บที่ต้องฝืนอย่าไปตั้งความหวังให้เขาหากคุณไม่มีความรู้สึกรักอยู่เลย เกลียดก็บอกเกลียดอย่าใช้เขาเป็นที่ระบายอารมณ์ ผมก็รักเขาเช่นกันและไม่อยากให้เขาต้องเป็นฝ่ายที่ต้องไล่ตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์ หมดฤดูฝนแล้ว ธารอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ ขอให้คุณคิดดีๆเพราะผมไม่อาจบังคับใครได้เลย "

ธีรเดชก้มหน้า สายลมอ่อนๆพัดผ่าน ภานุเงียบไป เขาผงกหัวเป็นการบอกจะเก็บไปคิด ก่อนจะลุกขึ้นกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในขณะนี้ เขายังจะสามารถเอ่ยแก้ตัวอะไรได้บ้าง สิ่งที่ได้รับรู้ ก็เป็นความเศร้าสร้อย ภานุกลืนน้ำลาย มองนายทหารทุกคน เขาไม่อาจนำเรื่องไร้สาระมาคิดในขณะปฏิบัติงาน แต่เรื่องนี้มันทำให้จิตใจของเขาพลุกพล่าน ลืมความเป็นภานุคนเก่าที่ดุดัน เข็มแข็ง ภาพของต้นธาราผุดเข้ามาในหัว ร่างโปร่งบางกำลังรอเขาอยู่ เขากำลังคิดถึงสัญญาที่ได้พูดออกไปก่อนจะมาปฏิบัติภารกิจ แล้วชั่ววูบหนึ่งที่เขารู้สึกผิด ทำไมเขาต้องนึกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ได้กระทำร้ายๆต่อต้นธาราด้วย ในเมื่อทุกอย่างที่เขาทำมันถูกต้องเสมอ ชายหนุ่มพยายามไม่คิดอะไรมากเพราะมันทำให้เขาทำงานด้อยประสิทธิภาพลง อีกอย่างที่เขาฝืนใจไม่อาจยอมรับได้เลยก็คือการที่เพื่อนรักต้องตาย มันอาจจะไม่ใช่ความผิดของคุณหมอก็ได้หรือเป็นเพียงแค่ความโชคร้ายของเจ้านาคีกัน ชายหนุ่มพยายามที่จะขบคิดเพื่อหาเหตุผลมาตอบ ครั้นแล้วมันก็ยิ่งทำให้เขาหัวเสียและหวั่นไหว ธีรเดชจ้องมองท่าทีที่ภานุเป็น ภานุจึงเก็บงำอาการไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้แม้แต่หัวใจของเขาเอง !

------------------------------------------------

บ่ายคล้อยแล้ว ทุกคนต่างเดินทางต่อไป คราวนี้ดูร่าเริงขึ้นเยอะจึงได้ยินเสียงร้อยเอกรังสรรค์ รองหัวหน้าหน่วยพูดเล่นหัวท่ามกลางความครื้นเครง ภานุซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไร ชายหนุ่มเดินด้วยท่าทีเงียบขรึมกว่าที่เคย ภานุขบคิดสิ่งที่ธีรเดชได้เอ่ย มันหมายความว่าเขาจะเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไปหรือ โรคที่ต้นธาราเป็น เขาก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอกว่าได้เข้ารักษาหรือเปล่า แล้วเขาคงไม่อาจช่วยอะไรได้ แม้ว่าจะถูกทำร้ายจิตใจ โดนมองข้ามผ่านก็ยังรักอยู่หรือ? เพียงชั่ววูบที่หัวใจลังเล แต่คนใจแข็งอย่างเขาก็เก็บงำไว้ในใจส่วนลึก ถึงคนๆหนึ่งจะตายไปมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเสียหน่อย อยากจะโง่เอง โง่ที่มารักคนอย่างเขาทั้งๆที่รู้ว่าเกลียด อยากทำให้ย่อยยับคามือ...ทำไมเขายังนึกห่วง? นึกเสียใจ เบื้องลึกก็ยังปวดรวดร้าว...แลกความรักกับสิ่งที่คุณอยากทำมันดีแล้วรึ?

ชายหนุ่มนึกถึงวันที่แยกห่างจากคู่หมั้น เธอถามเขาแบบนั้นก่อนที่เขาจะมาประจำยังค่ายแห่งนี้ มันเป็นวันที่ไม่น่าจดจำนัก เขาเป็นคนพาเธอไปทานข้าวเพื่อที่จะบอกเลิก...เธอไม่ได้ผิดอะไรเลย เป็นเขาหากต่างที่ผิด เธอก็รักเขาและเขาก็รักเธอ สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกห่าง ผู้กองหนุ่มยกหลังมือเช็ดหน้าเช็ดตา ความเศร้าคลุมอยู่รอบกายจนคนรอบข้างสังเกตได้

"ผู้กองเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"

จ่าแม้นถาม ภานุหันมา สายตาอันอ่อนแรงหันมา ชั่วครู่หนึ่งที่จ่าแม้นคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือมองผิด จึงมองเข้าไปในดวงตานั้นอีกครั้ง ร่องรอยเมื่อครู่เลือนหายไป

"เรียกฉันทำไม?"

ภานุถามเสียงเอื่อย จ่าแม้นสั่นหัว คิดว่าการที่เขามองนั้นพลาดไป จ่าแม้นทรุดตัวลงชี้ให้ดูรอยที่ถูกซ่อนไว้

"นี่มันพยายามกลบเกลื่อนรอยแต่ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่ามันจะใช้พวกลูกหาบขนของเยอะทีเดียว"

จ่าแม้นรายงาน ภานุเรียกสติตัวเองให้กลับมาก่อนจะถาม

"รอยนี่กี่วันแล้ว มันมีกี่คนแล้วทิศทางที่มันจะไปล่ะ"

ทหารชราลุกขึ้น ตอบคำถามของภานุ

"รอยนี่สี่วันที่แล้วครับ จากรอยเท้ามันก็คงราวๆยี่สิบคน ส่วนมากน่าจะเป็นพวกลูกหาบเสียมากกว่าเพราะดูจากรอยตีนที่ไม่สวมรองเท้าแล้วกะเศษผ้าที่เกี่ยวหนามขาดแล้วทิศทางที่มันไปก็นู่น"

จ่าแม้นชี้ไปทางขุนเขาภานุกำลังคิดว่าจะพาพรรคพวกเดินต่อไปหรือหยุดเพียงแค่นี้ ผู้กองรังสรรค์จึงท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยกำลังตัดสินใจ

"ไปทางเขาลูกนั้น มันไกลจากฐานเรามากนะ แถมเราก็ไม่มีอาวุธครบมือ นอกจากปืนประจำกาย กำลังเราน้อย เสบียงที่ตระเตรียมมาอาจจะไม่พออีกคิดจะไปหรือ"

ร้อยตรีอานุภาพก็กล่าวขึ้นมาด้วยว่า

"ใช่ครับ ถึงเราจะรู้แหล่งกบดานมัน แต่เราก็ไม่อาจลงมือโดยพลการได้หากไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ อีก
อย่างวิทยุที่ผมมีก็ติดต่อสื่อสารไม่ได้ไกลซะด้วยถ้าเราข้ามไปหุบเขานั้นจริงๆ"

ภานุผงกหัว รับฟังไว้ก่อนจะถามจ่าแม้นเกี่ยวกับหุบเขาที่จะไป

"หากผู้กองจะไปที่นั่นจริงๆ อย่างที่ผู้กองรังสรรค์กับหมวดอานุภาพว่าล่ะครับมันไกลมาก อยู่ในเขตแดนพม่า แถมอาหารที่เรามีก็ไม่พอประทังชีพ เกิดเหตุร้ายหรือขอกำลังฉุกเฉินวิทยุก็ลืมไปได้เลย เพราะเราขอความช่วยเหลือใครไม่ได้แล้ว"

"ถ้าเรื่องอาหาร เรายังพอยิงเก้งกวางมาประทังชีวิตได้ หากเกิดเหตุร้ายจริงๆผมจะหาแก้ไขเอง เราต้องไปที่จุดหมายปลายทางให้ได้"

ผู้กองหนุ่มเอ่ยอย่างมุ่งมั่น เพราะเขาอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเสียที คนในหน่วยลาดตะเวนตีหน้าพึลึกกับความคิดของภานุ

"แล้วเรื่องอาวุธล่ะครับ กระสุนเรามีจำกัดนะครับ"

ธีรเดชที่นั่งฟังเงียบๆท้วงขึ้น ภานุกวาดสายตามองทุกๆคน

"หากผู้กองยิงสัตว์เสียงปืนก็จะเป็นตัวบอกตำแหน่งเราโดยไม่รู้ตัว"

ชายหนุ่มทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบ นายทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจึงเงียบกริบ สายตาคมตวัดมองทุกๆคน

"ผมรู้ว่าทุกคนต่างเป็นกังวลกับสิ่งที่ผมคิดและตัดสินใจ หากเราช้าเราอาจจะพลาดเป้าหมาย และอีกอย่างเรื่องที่เรามาเป็นความลับ หากกังวลเรื่องอาหารผมจะบอกว่า เราจะยิงสัตว์แถวนี้ แล่ย่างรมควันเก็บไว้ พอสืบตำแหน่งที่เป้าหมายตั้งอยู่สำเร็จเราก็จะกลับไปรายงานทางค่ายใหญ่เพื่อจะได้ส่งหน่วยสนับสนุนมา สิ่งที่ผมเอ่ยมีใครจะค้านบ้าง?"

สายตาของภานุกวาดไปยังร่างของลูกน้อง ทุกคนต่างเงียบกริบคล้ายกับจะยอมรับความคิดแต่ร้อยเอกธีรเดชก็ยกมือขึ้น

"คุณมีปัญหาข้อใดอยากจะสอบถามหรือผู้กองธี"

ภานุถาม เพราะอย่างไรเสียเขาก็รู้ว่าความคิดของเขาก็ไม่อาจเป็นใหญ่ได้

"ระยะการเดินทางจะรวมเป็นกี่วัน ตามรายทางนั้นไม่คิดบ้างหรือว่าทางฝ่ายตรงข้ามจะไม่สอดแนมเรา?และจ่าแม้นก็คุ้นทางดีพอด้วย"

สิ่งที่ร้อยเอกธีรเดชพูดนั้นน่าคิดทีเดียว ผู้กองภานุพยักพยักเพยิดเรียกจ่าแม้นให้ลุกขึ้น ก่อนจะถาม

"จ่ามั่นใจไหมว่าจะพาพวกเราไปยังหุบเขานั่นได้?"

จ่าแม้นกวาดสายตาไปรอบๆก่อนจะยิ้มแฉ่ง

"สำหรับจ่าแม้นแล้วสบายๆ เพราะผมก็เคยเดินสำรวจทางเทือกเขาแทบนั้นมาแล้วในสมัยหนุ่มๆ"

จ่าแม้นให้ความมั่นใจ คนที่ได้รับฟังพยักหน้ารับทราบ จ่าแม้นกลับไปนั่งที่เดิมภานุจึงเอ่ยต่อ

"เรื่องที่พวกมันรู้ว่าเรามานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ภารกิจนี้ลับที่สุดยกเว้นแต่มีคนไปปูดมันซึ่งผมไว้ใจพวกคุณและอีกอย่างเราได้คนลบรอยชั้นยอดมา อย่าหวั่นใจไป"

ชายหนุ่มเน้นตอนท้าย สบสายตาของทุกๆคนซึ่งมันจ้องตอบกลับ ไร้ความระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน ร้อยเอกรังสรรค์โค้งศีรษะเนิบๆรับคำชม

"จ่าแม้นเราจะเดินทางไปถึงหุบเขานั่นกี่วันกัน"

ชายชรานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ

"ถ้าจะเดินทางไปโดยไม่หยุดก็ราวๆสองอาทิตย์ครับ"

ชายหนุ่มเท้าเอว นำกล้องส่องทางไกลส่องสำรวจ พร้อมกับหยิบแผนที่ที่พับมาคลี่ประกอบ

"สามารถกำหนดได้ไหมว่าถิ่นพวกมันน่าจะอยู่ตรงไหน?"

จ่าแม้นลุกขึ้นมา ช่วยหัวหน้าหน่วยกำหนดระยะทาง ทั้งสองสนทนากันคราวๆก่อนภานุจะบอกแก่ทุกๆคน

"จ่าแม้นกำหนดให้เราแล้วว่าพวกมันน่าจะอยู่แทบนี้ในเขตพม่า เราจะเข้าไปลอบดูสถานที่ ที่มันซ่องสุม ห้ามลงมือถ้าไม่จำเป็นเพราะอาจจะเป็นการขัดแย้งกับรัฐบาลฝ่ายพม่า หากเกิดเหตุร้ายจริงๆต้องฟังคำสั่งผมอย่างเดียวเท่านั้น"

เสียงตอบรับเข้มแข็ง ธีรเดชที่นั่งฟังมาตลอดก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เพียงแค่สองอาทิตย์นี้ สิ่งที่ทำให้เขาทุรนทุรายใจได้ ก็คือเรื่องคุณหมอต้นธารา จากที่ได้ฟังจากปากภานุแล้ว ธีรเดชรู้สึกว่าภานุไม่สนใจต้นธาราเลยแม้แต่น้อย

"เอาล่ะ เราจะเดินไปอีกสักสิบกิโลแล้วเราก็จะตั้งค่ายกัน"

พอเสร็จสิ้นการวางแผน ธีรเดชที่เดินตามหลังจ่าแม้นก็เดินตีคู่กับภานุจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

"มีเรื่องอะไรรึ?"

ภานุถามระหว่างแหวกกอหญ้าคาเพื่อเดินผ่าน

"คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างรึ ธารรอคุณอยู่นะ หากเสียเวลาไปอาจจะ..."

สายตาอันเยียบเย็นจับจ้อง ก่อนภานุจะบอกอย่างไร้ใจว่า

"ผมมาที่นี่เพื่อมาปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง ไม่ใช่มานั่งคิดเรื่องไร้สาระเช่นคุณ"

ธีรเดชสะอึกกับคำต่อว่า ก่อนที่เขาจะโต้

"ผมบอกแล้วว่าเรื่องของธารไม่ใช่เรื่องไร้สาระ!"

ชายหนุ่มตอบโต้กลับด้วยความโกรธสุดขีด ภานุยกมือจุ๊ปาก สายตาบอกให้มองทุกๆคนที่มองพวกเขากระซิบกระซาบกันเพียงสองคน

"ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แล้วผมจะเก็บไปคิดเอง ขอให้คุณกลับไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเคยเถอะ"

ธีรเดชจำต้องกลับไป ผู้กองรังสรรค์สอบถามว่าคุยอะไรกัน แต่ผู้กองธีรเดชกลับบ่ายเบี่ยง

"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่สอบถามเรื่องการเดินทางในครั้งนี้ก็เท่านั้น เพราะผมยังคงหวั่นๆอยู่"

ร้อยตรีอานุภาพยิ้มอยู่ทางเบื้องหลัง

"หวั่นอะไรครับ"

ธีรเดชยิ้ม เขามองสีหน้าผู้กองรังสรรค์ที่ได้ข่าวว่าไม่ถูกกับร้อยตรีอานุภาพ เกรงว่าหากเขาคุยกับร้อยตรี
อานุภาพจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน เนื่องจากเขาอยู่เป็นกลาง แต่ผู้กองรังสรรค์ก็ไม่ว่ากระทบกระเทียบหรือส่งสายตาไม่พอใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังคุยด้วยราวกับสนิทสนมมาเป็นปี

"ผมก็หวั่นว่าจะหลงป่ามั่ง หวั่นอดตายมั่งล่ะครับ"ธีรเดชโต้กลับ อานุภาพหัวเราะ

"จะหวั่นไปทำไมครับ อยู่ในนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องกลัวอดตาย สัตว์ป่าออกจะมีถมไป หลงป่าเราก็มีพรานนำทางแม่นๆอย่างจ่าแม้นอยู่ด้วยจะเกรงอะไรครับ"

ผู้กองธีรเดชได้แต่ยิ้มแหย

"ผู้กองไม่เชื่อมั่นในฝีมือผมหรือครับ"

จ่าแม้นหันมาร่วมวง การพูดคุยกันระหว่างเดินทางไม่ถูกขัดโดยภานุเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ ทั้งผู้กองรังสรรค์และหมวดอานุภาพกับจ่าแม้นก็ไม่ได้ท้วงอะไร ทำตัวตามปกติ มีแต่ธีรเดชเท่านั้นที่รู้สึกถึง เขามองแผ่นหลังและฝีเท้าที่ย้ำสวบสาบภายในป่า ร้อยเอกรังสรรค์ก็ถามขึ้นมา

"ถ้าเกิดหลงป่าผู้กองจะทำไง?"

ภานุเหลียวมอง ดูเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์จนผู้กองรังสรรค์ต้องถามย้ำ

"ทำอย่างไงน่ะรึ..."

ภานุคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบอย่างจืดชืด

"ก็คงไม่ทำอะไร รอให้คนมาช่วยล่ะมั้ง"

พูดจบ ผู้กองก็หันไปตกอยู่ในภวังค์ ทุกๆคนเงียบกริบ จนกระทั่งถึงที่ค้างแรมอีกแห่ง ทุกคนก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับเหมือนเช่นเคย วันนี้อากาศก็ยังเย็น เสียงนกระวังไพรดังคู้ๆ สิงสาราสัตว์ในป่าก็ออกหากิน มีเพียงห้าชีวิตที่นั่งล้อมรอบแสงไฟ เต็นท์ที่กางอย่างง่ายๆโยกไม้ตามสายลมหนาวของขุนเขา หลังจากที่กินข้าวอิ่มทุกคนก็นั่งล้อมวงหาความอบอุ่นใส่ตัว ธีรเดชยังคงเอาผ้าขาวม้ามาพันกายกลิ่นของมันก็ยังคงฟุ้งอยู่ในจมูก หอมหวานบริสุทธิ์ เขาคิดถึงดวงตาคล้ายดาว สีหน้างดงาม แล้วทำสีหน้าดุจเด็กหนุ่มกำลังมีความรัก จนภานุต้องเย้า

"คิดถึงใครหรือครับ เห็นมองผ้าขาวม้าผืนนั้นเสียจริง"

บทสนทนาที่ไร้ท่าทีตึงเครียดที่ภานุเป็นฝ่ายเริ่มส่งผลให้คนอื่นๆสนอกสนใจ

"เห็นเอามานอนกอดตั้งแต่อยู่ค่ายพักนู้นแล้ว แสดงว่ามันเป็นของสาวจริงๆสิครับ"

จ่าแม้นเฮฮากว่าเพื่อน ยื่นฝาบรรจุบรั่นดีให้แก่ทุกๆคนดื่มแก้หนาวธีรเดชยิ้มน้อยๆ

"เห็นผู้กองธีจะจีบลูกสาวตาสาบ้าไม่ใช่รึ"

ภานุว่า ทุกๆคนยิ้มหัว

"ลูกสาวของตาสาที่ใครๆลือว่าเป็นภูตผีน่ะรึครับ"

ภานุผงกหัวเมื่อจ่าแม้นว่า ธีรเดชก้มหน้าคล้ายกับอาย

"ผมก็ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าตาสาอะไรนั่นมีลูกสาวสวยชอบทำตัวลึกลับ นานๆทีจะโผล่มาให้เห็น แต่
ความสวยของลูกสาวแกเหมือนเอื้องป่าหายากเลยนี่ครับ"

รังสรรค์เอ่ยและทำท่าว่าอยากจะเห็นสาวลึกลับที่ชาวบ้านพูดถึงโดยเฉพาะเป็นผู้ชายเล่าลือกัน

"เห็นว่าใครเข้าใกล้เธอ ตามหาเธอแต่ก็ไม่เคยพบเลยนี่ครับ"

ร้อยตรีอานุภาพเติมกาแฟในแก้วของตัวเองเอ่ยบ้าง

"มันก็น่าแปลกอยู่น่า เธอจะเป็นผีรึเปล่า แต่ถ้าผีสวยขนาดนั้นผมก็ยอมตามหา ยอมให้มันหลอกล่ะครับ"

จ่าแม้นหัวเราะ แล้วถามธีรเดชเกี่ยวกับความงาม ชายหนุ่มก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เขาสงสัยว่าเธอผู้มีปริศนาเป็นใคร เธอสามารถลอบเข้าเขตค่ายเพื่อจะเคารพศพของผู้กองนาคีแล้วจู่ๆก็โผล่มาขายของในเมือง ยิ่งมองก็ยิ่งสับสน

"อย่างงี้ไม่มีหวังแล้ว ถ้าผู้กองธีจะมองลูกสาวตาสาบ้าจริงๆ"

เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นเมื่อผู้กองรังสรรค์แซว ธีรเดชได้แต่กำผ้าขาวม้าผืนนั้นแน่น...เธอคือใครกัน...เอื้องคำ....ชื่อที่เขาได้รู้จักและอยากจะพบอีกครั้งหนึ่ง

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #165 เมื่อ01-06-2008 19:42:10 »

กิ่งไผ่เดินไปทั่วลานกว้างของค่ายกองโจรกู้แผ่นดิน เขาพยายามจะหาบิดาคือท่านนายพลอินคาน และแล้วดวงตากลมโตก็เห็นท่านกำลังยืนพูดคุยกับชายหนุ่มอายุอานามสามสิบปี ใบหน้าและลักษณะท่าทางไม่ให้ความรู้สึกไว้วางใจ ท่านยืนคุยหน้าตาเคร่งเครียด กิ่งไผ่หยุดยิ้มให้แก่แขก แขกที่มาเยี่ยมเยือนบิดามองกิ่งไผ่ทันที

"อ้าว...ไผ่ นี่ กฤษดารู้จักกันเสีย"

กิ่งไผ่มองชายนามว่ากฤษดายื่นมืออกไปให้จับ นายกฤษดาก็บีบมือของกิ่งไผ่แน่น จนเขาต้องเป็นฝ่ายถอนออกอย่างสุภาพ เขาสงสัยว่าหนุ่มชาวไทยมาเกี่ยวอะไรด้วย แต่ไม่เอ่ยถามอะไร

"คุณกฤษดาครับ นี่ลูกชายผม "

ท่านนายพลมองรอยยิ้มที่นายกฤษดามองลูกของตน ท่านก็ไม่ชอบใจเช่นกัน ก่อนที่ท่านจะมาอธิบายเป็นภาษาพม่าให้ลูกชายฟัง

"เขามาเป็นแรงหนุนให้กับเรา เห็นว่าทำธุรกิจในพม่า อินโดนีเซียและสเปน เขาสนใจในอุดมการณ์จึงขอเข้าร่วม"

กิ่งไผ่ทำหน้าประหลาดใจ

"ทั้งๆที่เป็นคนไทยน่ะหรือครับ"

กิ่งไผ่ตั้งข้อสังเกต เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาก็ไม่ใช่เป็นสีดำ มันออกสีเขียวเข้มมากกว่า เรือนผมสีดำสนิทเหมือนขนกา ท่านนายพลก็กระซิบบอก

"เขาไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกลูก เขามีเลือดผสมไทยกับสเปนน่ะ"

กิ่งไผ่ยิ้มให้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนึกสงสัย

"แล้วทำไมเขาถึงยอมช่วยเราล่ะครับ"ลูกชายระแวงสงสัย บิดายิ้มกว้าง

"ไผ่ลูกอย่าระแวงสงสัยเขาเลย พ่อสืบประวัติเขามาแล้วเขาเป็นคนสนับสนุนเงินให้แก่เรา และเขายังมาบอกข่าวเราอีกด้วยว่ามีหน่วยลาดตะเวนจะเข้ามาสอดแนมหาทางทำลายที่นี่"

กิ่งไผ่ไม่เข้าใจนัก เขายังคงแปลกใจอยู่ดี

"แล้วข่าวเชื่อได้หรือครับ?"เขาย้อน บิดาผงกหัว

"เชื่อได้สิก็เขามีสายในค่ายคอยบอกความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา"

ดวงตากลมเบิกกว้าง เขาอยากจะรู้ข้อมูลอีกสักนิดแต่บิดาก็พานายกฤษดาเข้าไปในบ้านหาน้ำท่ามาต้อนรับอย่างดี

"เห็นว่านายกฤษดาจะเข้าตีหน่วยลาดตะเวนเมื่อมันเข้ามาในเขตเรา"

ท่านบอกอย่างสบายอกสบายใจ กิ่งไผ่ผงกหัว เขากำลังนึกถึงผู้กองที่เขาพบถึงสองครั้งสองครา

"ไผ่เป็นอะไรหรือเปล่า"

บิดาเห็นผู้เป็นบุตรดูเหม่อลอยไป กิ่งไผ่ สั่นหัวเป็นการบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เขาก็ขอตัวลงไปข้างล่างรู้สึกกังวล เจ้าขิ่นเห็นนายของมันเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาก็ถาม

"พี่ไผ่เป็นอะไรครับ ทำไมเดินหน้าตูมมาอย่างนั้นล่ะครับ?"

เด็กหนุ่มกำลังนอนใต้ร่มเงาไม้ต้นใหญ่ แล้วจึงผุดลุกขึ้น เจ้านายของมันหยุดตรงหน้า ก่อนจะพูด

"ได้ยินข่าวไม่ดีมานิดหน่อยน่ะขิ่น"

กิ่งไผ่นั่งลง ด้วยความทรมานในอก เขาสังหรณ์บางสิ่งบางอย่าง มันจึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้

"ข่าวอะไรครับพี่ไผ่?"

เจ้าขิ่นถาม มันสนใจฟังเต็มที่

"วันนี้มีคนมาหาพ่อ แล้วก็บอกว่ามีหน่วยลาดตะเวนเข้ามาในเขตเราแถมยังจะส่งคนไปกำจัด"

เจ้าขิ่นทำหน้าฉงน

"ก็ดีแล้วนี่ครับ แล้วคนที่มาหาท่านนายพลเป็นใครครับ?"

"เห็นว่ามาจากพม่า ทำธุรกิจอะไรก็ไม่รู้แต่เขาก็เข้ามาสนับสนุนเราทั้งๆที่เป็นคนไทยแท้ๆ"

สายตาของเจ้านายของเด็กหนุ่มดูไม่ชอบใจเลย

"ขิ่นช่วยสืบเรื่องนี้ให้ทีนะ ขอร้องล่ะไปในป่าไปสืบทีสิว่าหน่วยไหนมา"

เจ้าขิ่นยิ่งตีหน้าประหลาดใจต่ออาการของนายน้อย มันจำต้องผงกหัว

"ครับ นายน้อยจะให้เจ้าขิ่นคนนี้ทำอะไรครับ"

กิ่งไผ่ คลายความกังวลลง เขาเหลียวมองรอบๆเมื่อไม่มีใครมาอยู่ใกล้จึงเอ่ยแผนการให้ฟัง

"ขิ่น เอ็งไปจากค่ายเงียบๆนะ อย่าให้ใครรู้ไปสืบว่าหน่วยลาดตะเวนไหนมาแล้วรีบกลับมารายงานฉัน"

เจ้าขิ่นรับคำ มันปฏิบัติตามโดยเร็ว ในวันนั้นกิ่งไผ่มองเจ้าลูกน้องที่จงรักภักดีหายลับเข้าไปในป่า ตื่นเต้นยิ่งนักต่อการรอรับข่าว นายกฤษดายังอยู่กับพ่อของเขา ดูเหมือนว่าจะพักอยู่ที่นี่ กิ่งไผ่จึงเลี่ยงไปนั่งกับพวกลูกน้องจนดึกดื่นและเห็นว่านายกฤษดาหลับไปแล้ว เขาจึงแอบย่องเข้าห้องนอน เดินต่อได้ไม่ทันไร ขาของเขาก็ถูกคว้าหมับ กิ่งไผ่สะดุ้งโหยง

"คุณกฤษดาต้องการอะไร?"

กิ่งไผ่ถามเสียงเย็นชา ขณะชักเท้าออก แต่นิ้วของนายกฤษดาก็ลูบไล้ตรงข้อขา กิ่งไผ่ตัวแข็ง

"ปล่อย! คุณเสียมารยาทมากนะ"

ในที่สุดกิ่งไผ่ก็สลัดแข้งขาออก เดินอย่างรวดเร็วเข้าห้องนึกชิงชังชายชื่อว่ากฤษดาโดยไม่รู้ตัว มันบังอาจทำตัวหยามเหยียดเขา สักวันเขาจะหาโอกาสบอกพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้

------------------------------------------------

ก่อนที่จะเข้าเขตแดนพม่า ภานุกับพรรคพวกก็ออกไปยิงกวางมาหนึ่งตัวเพื่อใช้เป็นอาหารในมื้อต่อๆไป เพราะอาหารกระป๋องที่นำติดตัวมาเริ่มหร่อยหรอทุกที ทุกคนต่างเร่งทำเวลาเพื่อจะได้ไปถึงยังที่พักจุดต่อไปก่อนค่ำ เดินโดยไม่ผ่อนฝีเท้าเลย ไปถึงจุดหมายปลายทางอีกแห่งก็จวนเจียนพลบค่ำ แสงแดดลำสุดท้ายลับหาย ต่างก็ช่วยกันกางเต็นท์ สร้างที่พักกันอย่างรวดเร็ว จ่าแม้นก็รีบก่อไฟหุงข้าว ทุกคนดูเครียดขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาสู่พรมแดนศัตรู เนื้อกวางย่างส่งกลิ่นยั่วยวน ในป่านี้ หูทุกคู่ก็ยังได้ยินเสียงสัตว์ที่หากินยามกลางคืน เสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ ตาทุกคู่ก็สว่างจ้า ไม่มีใครกล้าหลับ ต่างกำอาวุธประจำกายแน่น ราวกับมีสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น ความรื่นเริงเมื่อคืนก่อนจางหายไป คงเหลือแต่ความเงียบสงัด ลมพัดยอดไม้ไหวซู่ซ่ายิ่งประกอบสถานการณ์ให้ตรึงเครียดขึ้น

"ฟังสิผู้กองดูเหมือนเสียงสัตว์จะหยุดไปกระทันหัน ฟัง..."

จ่าแม้นว่าเสียงของแกไม่เกินเสียงกระซิบ ผู้กองรังสรรค์ตรวจสอบลูกกระสุนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ร้อยตรีอานุภาพมีสีหน้าเฉยเมยราวรูปปั้นสลัก ผู้กองภานุขบฟันกรอด ส่วนธีรเดชนั้นรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

"ลงเป็นอีหรอบนี้แสดงว่าทางฝ่ายนั้นรู้ตัวแล้ว!"

จ่าแม้นตีหน้าตายบอกแก่ทุกๆคน ธีรเดชฉงนใจ

"จ่ารู้ได้ไง ในเมื่อภารกิจนี้เป็นความลับ?"

เขาตั้งคำถาม ภานุเป็นฝ่ายตอบเอง

"ต่อไปนี้มันไม่เป็นความลับอีกต่อไป เราต้องระวังเพราะมันยังไม่ลงมือกับเราในตอนนี้ ทางที่อยู่เราได้เปรียบ

อย่าให้มันรู้ตัวได้ว่าฝ่ายเราไหวตัวทันแล้ว"

ชายหนุ่มสั่งอย่างรวดเร็ว ประสาทที่อัดทับทมหลายเรื่องอยู่ในหัว มันแทบระเบิด ภานุตั้งปืนไว้บนพื้น แสงไฟสะท้อนตัวปืนสีดำมะเมื่อมมันปลาบ สายตาแกร่งครุ่นคิดอยู่ทุกวินาที เขาสำรวจชัยภูมิรอบๆแล้ว เหมาะเป็นที่ตั้งรับและเป็นที่รุกได้เป็นอย่างดี เขาก็วางแผนร่วมกับผู้กองรังสรรค์ ในการตั้งรับ ร่นถอยและรุก ซ้อมท่าสัญญาณ จุดนัดพบหากร่นถอย

"วันนี้มันอาจจะยังไม่ลงมือ เพราะมันไม่อยากเสี่ยงแต่ในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ไม่แน่ชีวิตเราอาจจะไม่เหลือ"

จ่าแม้นพึมพำ แกไม่มีท่าทีว่าจะกลัวกลับเอ่ยเหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิต

"ระวังอย่าเป็นเป้านิ่งก็แล้วกัน!"ผู้กองภานุเตือนด้วยเสียงน่ากลัว

------------------------------------------------


ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #166 เมื่อ02-06-2008 00:02:30 »

อ่ะคิดถึงสว...หนุ่มกลิ่นเอื้องอ่ะ :o8:

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #167 เมื่อ02-06-2008 02:26:52 »

แว๊บเข้ามาขอบคุณพี่พิมและทุกท่านที่ช่วยดันกระทู้เจ้าค่ะ ^_^

 :pig4:   :L2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #168 เมื่อ02-06-2008 10:24:19 »

งานนี้ใครเป็นสายให้ศัตรูกันแน่

fc_uk

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #169 เมื่อ02-06-2008 20:43:33 »

แวะมาให้ จขกท.  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #169 เมื่อ: 02-06-2008 20:43:33 »





ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #170 เมื่อ03-06-2008 05:03:04 »

แวะมาให้กำลังใจ คนโพส คนเขียนจ้า  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #171 เมื่อ03-06-2008 13:43:04 »

เกลือเป็นหนองเจงๆ

 :seng2ped:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #172 เมื่อ04-06-2008 20:23:09 »

ขั้นจังหวะด้วยตอนพิเศษกันดีกว่า  ว่าคุณหมอกับผู้กองของเรา  เป็นไงมาไง  ถึงมา.... กันเช่นนี้
น้องเรนผู้น่ารัก แต่งตอนพิเศษมาฝากกัน อิอิ

ตอนพิเศษมีสามตอนด้วยกันนะ  จบตอนพิเศษแล้วจะมาต่อว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อไป 
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน  เม้นต์ แล้วก็ดันค้าบบบ
+++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรักเสน่หา ตอนพิเศษ 1

First Sight:.: Once Day Once Dream

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CAGGFBPA0&Autoplay=1


------------------------------------------------

มันเป็นวันธรรมดาที่ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ การที่ต้องนั่งเท้าคาง เฝ้ามองดูบรรยากาศที่แสนสบาย ท้องฟ้าสีสวย เมฆขาวสะอาดลอยฟุ้ง ได้แต่ปล่อยจิตใจให้ล่องละลอยไป ฟังเสียงอาจารย์นั่งแลคเชอร์ไปเรื่อยๆไม่ใส่อะไรมากนัก บางครั้งก็จะเอนหัวซบกับพื้นโต๊ะจนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นข้างกาย

"ต้นธารา เธอไม่อยากเรียนวิชาของฉันรึ?"

อาจารย์สาวทำตาน่ากลัวใส่ เธอยืนอยู่ข้างโต๊ะของชายหนุ่มที่นั่งตีหน้าแหยๆ เพื่อนๆในห้องต่างหัวเราะคิกคักและรีบหลบหน้าในหนังสือทันทีเมื่อสายตาอันแหลมคมจ้องขวับ

"หลังเลิกเรียนมาพบฉันด้วย"

เสียงเฉียบขาดสั่ง ชายหนุ่มผงกหัวอย่างเนือยๆ ก่อนจะนั่งลงทันทีที่อาจารย์สาวเริ่มสอนต่อ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังสะกิดหลังแอบกระซิบถาม

"เฮ้ย ไอ้ธาร เอ็งกล้าเหม่อคาบของยัย อัญธิมาได้ไงวะ"

ต้นธาราได้แต่ยิ้มที่ดูเหนื่อยหน่าย พอถึงเวลาเลิก ชายหนุ่มต้องเดินคอตกไปพบอาจารย์สาวตามที่นัดไว้ ต้นธาราขึ้นบันไดรู้สึกว่าแต่ละขั้นมันช่างหนักอึ้งหนัก ชายหนุ่มหยุดยกมือเคาะประตูห้องอาจารย์ช้าๆ พอได้ยินเสียงอนุญาตก็เดินเข้าไป ไหว้อาจารย์แล้วนั่งลง ดวงตาของอาจารย์สาวจับจ้องใบหน้านั่นอย่างเพ่งพิศ

"เธอเป็นคนที่ตั้งใจเรียนนะต้นธารา"

อาจารย์สาวเริ่มบทสวด ต้นธาราได้แต่ยิ้มฝืนๆให้เธอ

"เป็นอะไรหรือเปล่า? ดูท่าทางเธอจะไม่ค่อยสบายใจเลยนะ"

ต้นธาราสั่นหัวเป็นการปฏิเสธ บอกเธอว่าไม่เป็นอะไรมากนักด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนอาจารย์สาวต้องขมวดคิ้ว

"นี่เธอแน่ใจนะ? เอาล่ะ อาจารย์จะไม่ว่าอะไรเธอมากนัก ขอให้เธอตั้งใจเรียนเหมือนเคยก็แล้วกัน"

ชายหนุ่มยกมือไหว้ เดินออกจากห้องพักอาจารย์ หลังพิงผนัง ใบหน้ายังคงอ่อนล้าเช่นเคย

"ธาร มีคนมารับแน่ะ"

หญิงสาวซึ่งสวมใส่เสื้อกาวน์ทับเสื้อนิสิตสะกิดชี้ไปทางถนน ต้นธาราหันมองตามที่เธอกล่าว ยิ้มขอบใจ รอยยิ้มสามารถทำให้รุ่นน้องชี้ไม้ชี้มือมาทางเขา

"แหม ยังดังไม่หายเลยนะนับตั้งแต่เป็นเฟรชชี่ก็มีแค่คนกรี๊ด"

ชายหนุ่มยักไหล่ ไอ้เรื่องที่เป็นเฟรชชี่ มันนานนมจนเขาเองก็แทบลืมไปแล้ว ส่วนเรื่องที่สาวๆกรี๊ดหรือว่ามีคนตามจีบนั้น ต้นธาราไม่เคยสนใจเลย เรื่องนั้นไม่อยู่ในหัวสักนิด เขาลงบันได เดินไปหาคนที่มารับซึ่งอยู่ในชุดทหาร ใครๆที่เดินผ่านต้องมองจนเหลียวหลัง ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปลายๆมือไพล่หลัง ยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินมาหาพร้อมกับเพื่อนสาว

"นั่นใครน่ะ?"

หญิงสาวที่เดินมาด้วยกระซิบถามอย่างสนใจทันที ชายหนุ่มแต่งเครื่องแบบค้อมศีรษะให้

"นั่นธีรเดช เขาเป็นคนสนิทของพ่อน่ะ"

คำตอบเรียบเฉย ก่อนชายหนุ่มว่าธีรเดชเปิดประตูให้ มือเรียวบางโบกมืออำลา

"อย่าลืมงานทัศนศึกษาล่ะธาร"

ชายหนุ่มผงกหัวผ่านกระจก รถสีดำคันหรูเคลื่อนออก คนที่นั่งจมเบาะหันมองนอกหน้าต่างพูดขึ้นเมื่อเห็นว่ารถเงียบจนเกินไป

"เปิดเพลงหน่อยสิอยู่เงียบๆน่าเบื่อออก"

ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นพลขับทำตามคำสั่ง ดวงตางามหลับพริ้ม มือประสานหน้าท้อง กระเป๋าเรียนวางไว้ข้างกาย ดูสบายอกสบายใจเมื่อมานั่งรถที่ขับด้วยความระมัดระวัง

"เหนื่อยหรือครับ"

เสียงนุ่มหูถาม ดวงตานั้นลืมนิดหนึ่งก่อนจะส่งเสียงตอบเบาๆ

"อืม ก็นิดหน่อยน่ะ พักสักครู่ก็คงหาย"

เสียงเพลงสบายๆคลอ ริมฝีปากอิ่มตามธรรมชาติร้องคลอเบาๆ

"แล้วเรื่องเรียนละครับ หนักหรือเปล่าผมเห็นคุณนอนดึกทุกวันเลย"

ร่างที่ขยับให้นั่งสบายทอดถอนใจ

"เงียบหน่อยเถอะ ตอนนี้เหนื่อยจริงๆ"

คำขอร้องส่งผลให้ชายหนุ่มนั่งเงียบกริบ มองผ่านกระจกหลังเห็นดวงหน้านั่นนอนหลับสนิท จึงไม่เอ่ยอะไรมาก จนกระทั่งรถเคลื่อนมาถึงบ้านอันร่มรื่น ประตูเปิดอัตโนมัติ รถคันหรูเลื่อนเข้าไปจอด ดับเครื่องรอสักพักจึงค่อยปลุกคนที่นอนหลับใหล

"ตื่นเถอะครับถึงบ้านแล้ว"

ร่างที่นอนหลับสะดุ้งโหยง ลืมตาตื่นงัวเงีย หันมองรอบข้างอย่างงุนงงก่อนจะลูบใบหน้าที่เหนื่อยล้า

"ถึงแล้วรึ..."

ปากอิ่มพึมพำ บิดตัวอย่างเกียจคร้านเก็บกระเป๋าลงจากรถ ประตูเปิดออกกว้างโดยชายหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา

"มีคนสนใจนายด้วยแหละธี"

ต้นธาราว่า ดูสดใสขึ้นมานิดๆ ธีรเดชเลิกคิ้ว

"ใครกันครับ"

คำตอบสุภาพ กระเป๋าสะพายข้างยื่นให้แก่ชายหนุ่ม หัวที่เดินโคลงไปมายิ้มกว้าง

"ก็คนที่มหา'ลัยไงล่ะ มองดูนายเยอะเชียว...แล้วพ่อไปไหนล่ะ"

ต้นธาราโน้มกายถอดรองเท้าเข้าบ้านที่ดูเงียบเหงา ธีรเดชเอ่ย น้ำเสียงจริงจังขึ้น

"ท่านเพิ่งเดินทางไปที่ยุโรปเมื่อเช้านี่เองครับ"

เสียงถอนใจเฮือกดังชัดจนชายหนุ่มแตะบ่าอย่างสุภาพ

"มันเป็นหน้าที่ของท่าน ธารต้องเข้าใจนะ"

ต้นธาราผงกหัว นั่งยังโซฟา กางแขนเหยียดยาว

"แล้วมีอะไรไม่เข้าใจบ้างล่ะ? ผมเข้าใจดีน่า"

คำพูดที่ไม่ได้แฝงความประชดประชันเลย เขาหยิบน้ำดื่มเย็นเฉียบชูขึ้น ก่อนจะจิบ

"นั่งก่อนสิ อยู่เป็นเพื่อนหน่อย"

ธีรเดชรีๆรอๆก่อนจะนั่งลงตามคำชวน ต้นธารารินน้ำเย็นๆใส่แก้วให้

"อยู่เฉยๆก็น่าเบื่อเหมือนกันนะว่าไหม?"

ชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งตัวตรงทำหน้าแปลกใจนิดๆก่อนจะคล้อยตาม

"ครับ ธารเบื่อรึ อยากไปเที่ยวไหมล่ะ? ผมจะได้พาไป"

ร่างบางส่ายหัวดิกๆ

"ม่ายอาวอ่ะ นอนอยู่บ้านนี่แหละ ธีจะไปไหนก็ไปเถอะ"

ต้นธาราเอ่ยเสียงยานคางพร้อมลุกขึ้นอย่างไร้เยื่อใยต่อชายหนุ่มนั่งหน้าหงอยทันที สั่งให้คนรับใช้เก็บแก้วออก

"เย็นๆผมจะเข้ามารับไปทานข้าวนะ"

ร่างบางหันมายิ้มรับ ก่อนจะวิ่งขึ้นห้องของตัวเอง สายตามองบ้านอย่างเศร้าๆ เปิดประตูห้องนั่งลงขอบเตียง หยิบไดอารี่สีฟ้าขึ้นมามองอยู่ชั่วครู่อย่างลังเล ก่อนจะลุกขึ้นหยิบปากกาออกมาจรดลงบนหน้ากระดาษ

....วันนี้ช่างโดดเดี่ยวจริง ท้องฟ้าข้างนอกก็สดสวย เป็นสีฟ้าใสคล้ายกับสีไดอารี่นี่เลย อยากจะโบยบินแต่เราก็ไม่มีปีกนี่นะ ก็ได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ...

เขียนไปได้สักพักก็หยุด ทำหน้าคิด ก่อนจรดปลายปากกาลงอีก ลายมือเป็นระเบียบ สายตาสีอ่อนมองตัวอักษรอย่างเหม่อลอย

...วันที่ไปทัศนศึกษาจะได้เจออะไรบ้างนะ สิ่งที่หัวใจรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในหัวใจลึกๆ มันคืออะไรนะ? คำตอบล่ะ เขาควรหาที่ใด?

นั่นสินะ...คำตอบเขาควรหาที่ใด ต้นธาราถามตัวเอง ปากการ่วงจากมือ ตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2008 20:30:49 โดย มูมู่น้อย »

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #173 เมื่อ04-06-2008 20:25:48 »

ตกดึก ธีรเดชมารับตามคำบอกกล่าว คราวนี้ต้นธาราก็ได้นั่งเบื่อจริงๆ ร่างโปร่งเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในจานเล่น ดูไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างเลยสักนิด

"คิดถึงท่านนายพลรึ?"

ชายหนุ่มกระเซ้า ดวงตานั่นเหลือบมอง หัวเราะน้อยๆไปกับมุขตลก

"คิดว่าเป็นอย่างนั้นรึ น้ำได้ท่วมโลกพอดีน่ะสิ"

คำพูดและน้ำเสียงโกรธเคือง ไม่พอใจ

"ท่านติดงานจริงๆ ไม่อย่างนั้นท่านก็มาทานข้าวกับคุณได้ตามปกติแล้ว"

ปากต้นธาราเอ่ยล้อเลียนตาม ธีรเดชอ่อนอกอ่อนใจ

"ธารก็น่าจะเห็นใจท่านหน่อยนะครับ คราวหน้าเดี๋ยวผมจะเรียนท่านเองว่าธารอยากให้ท่านมาทานข้าวด้วย"

ช้อนวางเคร้งลงบนขอบจาน ใบหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆ

"ใครขอแบบนั้นไม่ได้พูดสักหน่อย"

แขนเรียนกอดอกแน่น ใบหน้าบูดบึ้ง ธีรเดชนิ่งทันที

"ผมขอโทษครับ"

ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา อิ่มข้าวไปชั่วขณะ

"ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจอยู่เสมอ"

ต้นธาราอุบอิบในลำคอ ธีรเดชยิ้มกว้าง

"ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดี"

ชายหนุ่มว่า ตักกับข้าวใส่จานให้อย่างเอาใจ

"คุณก็กินข้าวหน่อยเถอะ ผอมยิ่งกว่ากุ้งแล้ว"

คนถูกว่าตักข้าวเข้าปาก ชายหนุ่มยิ้มใจดีอยู่เช่นเคย

"วันพรุ่งนี้ไปทัศนศึกษาที่ค่ายทหารด้วยล่ะ รู้สึกว่าที่พ่อจะเข้าประจำอยู่ด้วยมั้ง"

ต้นธาราว่า ไม่ตื่นเต้นสักเท่าไร

"ก็แน่ล่ะ เห็นมันตั้งแต่ยังเด็กแล้วนี่"

ต้นธาราพูดต่อ ธีรเดชหัวเราะ

"ครับ งั้นผมจะไปส่งตั้งแต่เช้า"

การทานอาหารมื้อนั้นไม่น่าเบื่อย่างที่คิดไว้ ถึงธีรเดชจะพูดน้อยและออกทึ่มๆแต่ก็ดูแลเขาด้วยดีมาตลอดขณะที่บิดาไม่อยู่ มองๆไปคล้ายกับพี่เลี้ยงเด็กเสียมากกว่า พอเสร็จก็มาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย รุ่งเช้าก็มารับเช่นเคย

"ลำบากแย่เลย"

รอยยิ้ม สดใส นุ่มนวลผิดจากเมื่อคืนวานผุดเต็มใบหน้า

"หน้าที่ที่เต็มใจรับน่ะครับ"

ธีรเดชกล่าวเล่นๆ ก่อนจะไปส่งต้นธาราขึ้นรถ

"จะเจอลุงอรุณไหมธี?"

ต้นธาราสอบถาม ชายหนุ่มตอบโดยไม่เหลียวหลังขณะขับรถ

"เห็นว่าท่านนายพลอรุณจะย้ายไปประจำชายแดนน่ะครับ"

ต้นธาราขมวดคิ้ว

"อะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย พ่อไม่เห็นบอก"ต้นธาราโวย

"ก็ธารสนซะทีไหนล่ะ ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ธารจะให้ผมมารับตอนไหน?"

คนที่กำลังโกรธเพราะคำกล่าว เดินกระแทกเท้าขึ้นรถพร้อมเสียงโห่แซวเล่นๆ

"เจ้าชายมาแล้วโว้ย หลีกทางให้พระองค์เสด็จหน่อยพะย่ะค่ะ"

ต้นธาราถอนใจอย่างเบื่อๆ นั่งข้างกระจก

"คงไม่ถือสานะธาร"

หญิงสาวที่อยู่ด้วยเมื่อวานว่า ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เสียงแซวจึงเงียบหาย รถบัสเคลื่อนตัว ต้นธาราเลือกที่จะหลับตามากกว่าสนทนา

"ธารนี่เงียบเนอะ ไม่รู้เป็นอะไร สมัยก่อนฉันว่าเขาน่ะดูดีจะตาย ยิ้มก็ยิ้มได้น่ารัก"

เสียงกลุ่มผู้หญิงเอ่ยซุบซิบ

"นั่นสิ ระยะนี้ไม่รู้เขาเป็นอะไร พูดน้อยลง ยิ้มก็ไม่ค่อยยิ้มเธอว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?"

อีกคนว่า สามสาวต่างส่ายหัวอย่างท้อแท้ จนหญิงสาวที่นั่งข้างเคียงสะกิดแขนคนที่หลับสนิท

"นี่...เขานินทาเธอใหญ่แล้ว"

ดวงตาสีอ่อนเลิกขึ้น กระพริบปริบๆ

"นินทาอะไรล่ะ"

ต้นธาราถามแล้วอ้าปากหาว ถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

"ก็ว่านายเปลี่ยนไปสิ เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันก็ว่านายแปลกไปนะ"

"อยากรู้นักเรอะ ไปบอกพวกเขาไปว่าฉันแค่อยาก หา 'คู่ชีวิต' "

ต้นธารากล่าวเล่นๆเรียกเสียงหัวเราะคิกๆคักๆจากเพื่อนสาวได้พอควร

"จริงเหรอ"

ก่อนที่จะได้รับคำตอบ รถก็แล่นจอดกลางสนามโล่งๆ แดดร้อนเปรี้ยง สาวๆต่างบ่นอุบ ต้นธารามองนอกกระจก เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังซ้อมเดินสวนสนาม

"ว้า...มาทำไมก็ไม่รู้ แต่ก็ดีหนุ่มๆเยอะ"

เสียงสาวๆว่าแล้วก็กรี๊ดกร๊าด ชี้ให้ดูเหล่าทหารที่กำลังซ้อมเดินสวนสนาม ร่างโปร่งสะพายเป้แน่น ไม่ตื่นเต้นเพราะเคยเห็นจนชินตา ทุกๆคนต่างรวมตัวกัน รอให้ไกด์ทัวร์มารับไปชมส่วนต่างๆของค่าย ระหว่างนั้นต้นธาราก็เงยหน้าขึ้น มองฝ่าไอแดด จนกระทั่งขบวนสวนสนามเข้ามาใกล้ เขาก็ได้เห็นชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึม สั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ใบหน้าดูไม่ค่อยพอใจกับบางสิ่งบางอย่าง มองโดยรวมแล้วไม่มีลักษณะที่เป็นมิตรเอาเสียเลย สายตาสีน้ำตาลอ่อนมองจนกระทั่งต้องเดินตามกลุ่มคณะ เข้าเยี่ยมชมส่วนต่างๆ คนที่ชินแล้วกับเรื่องพวกนี้ได้แต่มองอย่างเบื่อหน่าย พยายามสอดส่ายสายตาหาคนรู้จักเพื่อที่จะได้พ้นจากสภาพทัวร์ที่น่าเบื่อ เพียงแค่หนึ่งวินาที เขาก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้ที่ชอบทำหน้าไม่รับแขก ซับหน้าเดินมาทางกลุ่มนักศึกษาขบวนใหญ่ ต้นธารารีบเดินเบียดกลุ่มเพื่อนออกมา อีกนิดเดียวแท้ๆ จะออกจากฝูงชนที่ยืนเบียดเสียดได้และจะได้ชิดใกล้คนๆนั้น บางอย่างบันดาลให้เขาทำเช่นนั้น จนกระทั่งไดอารี่ที่เขาพกเป็นประจำหล่นไปนอกวง จนชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ชะงัก หยิบไดอารี่มองหน้าปกอย่างงุนงง ในมือถือปากกา มันไม่มีอะไรแท้ๆ ทำไมถึงรู้สึกแปลกไปได้ถึงขนาดนั้นนะ

"เอ่อ อันนั้นของธารนี่"

เพื่อนสาวอุทาน แล้วก็ขอคืน ชายผู้นั้นยิ้มให้ ก่อนจะยื่นคืนแก่หญิงสาว ต้นธาราที่ยืนท่ามกลางฝูงชน ทั้งๆที่อยู่ไม่ไกลเท่าไร แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย ใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุเมื่อเอื้อมหยิบไดอารี่คืนจากเพื่อนสาว สายตาของต้นธาราพยายามมองชื่อที่ติดบนหน้าอก เขามองเห็นแค่ชื่อกับยศเท่านั้น...ภานุ...ชื่อนั้นจดจำซึมซับเข้าไปในใจอย่างรวดเร็ว

"คนเมื่อกี้หน้าตาดีเนอะ"

เพื่อนสาวว่า แล้วก็พูดเล่นกับคนที่ได้พูดคุยแม้เพียงเล็กน้อย สายตาที่มองไล่หลังจนไกลลิบ จู่ๆรอยยิ้มก็ผุดบนริมฝีปากของต้นธารา

"ยิ้มอะไรน่ะธาร"

ต้นธาราสั่นหัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับความคิดทั้งหมดหยุดลง หัวใจที่เต้นแรงนี่อีก...อยากพบอีกสักครั้ง...เขาอยากพบจริงๆ ความมุ่งมั่นหนึ่งบอก เมื่อกลับจากทัศนศึกษา ต้นธาราก็พยายามถามหาคนที่ชื่อภานุและบอกยศแก่ธีรเดชซึ่งแปลกใจต่อคำถามนั่นพอควร

"จะเอาไปทำอะไรรึ?"

ต้นธาราพยายามจะไม่แสดงอะไรมากนักแต่ก็ไม่พ้นสายตาของธีรเดชจนได้

"เขาเป็นครูฝึกผมเองครับ มีชื่อว่าร้อยเอกภานุ อินทรจันทร์ เขานะมีคู่หมั้นแล้ว อีกไม่นานก็คงแต่งงานกัน"

คำพูดที่เป็นดั่งสายฟ้าฟาด ต้นธารานิ่งงัน รู้สึกทั่วร่างเย็นเฉียบ

"แต่เขาจะย้ายไปที่ค่ายในชายแดนประมาณปีหน้า มีอะไรอยากจะทราบไหมครับ"

ศีรษะได้รูปส่ายไปมา ก่อนจะขอตัว รู้สึกปวดหัวใจ....ขอแลกอะไรก็ได้ที่จะได้พบ ขอแค่อยู่ใกล้ก็พอแล้ว มันจะเป็นได้ไหม ได้ยินอย่างนั้นหัวใจมันช่างห่อเหี่ยวนัก ทำไมถึงได้รู้สึกรุนแรงแบบนี้นะ ต้นธาราพยายามคิดหาคำตอบ นอนอยู่ในห้องเงียบๆครุ่นคิดทั้งคืนในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร เพียงแค่การพบเจอกันครั้งเดียว เหมือนบางอย่างผูกพัน


สิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ เป็นแค่ความฝัน หรือว่าคงอยู่ในโลกแห่งความจริงกัน เป็นเพราะอะไรถึงได้มีความผูกพัน เพราะโชคชะตาอย่างนั้นหรือ หรือเพราะจังหวะหัวใจที่เต้นถี่กัน...เราถึงพบกัน

คำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง


------------------------------------------------


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #174 เมื่อ04-06-2008 21:25:28 »

แล้วก็มาดันๆ อึบๆ  :oni2: :oni2: รอฉากหวานๆของคุณหมอกะผู้กอง คงอีกไม่นานนะ  :oni1: :oni1:

hasuzz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #175 เมื่อ05-06-2008 00:03:20 »


ทัน


แล้ว



เย้~!

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #176 เมื่อ05-06-2008 00:36:38 »

กรี๊ดดดดดดดๆๆๆ พิมมาต่อแย้ว 

มีย้อนหลัง สมัยคุณหมอเรียนด้วย ... ที่แท้ หลงรักผู้กองมาตั้งแต่ ตอนนั้นเลย
อย่างนี้เขาเรียก "รักแรกพบ" หรือเปล่า    :o8:

เพลงเพราะ  รักไม่ได้ เกลียดไม่ลง  อึมๆๆ นั่นสินะ



 :กอด1:  กอดพิม

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #177 เมื่อ05-06-2008 08:26:30 »

เพลงเข้ากับตอนนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

kana

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #178 เมื่อ05-06-2008 09:19:47 »

เห็นอดีตแล้วนึกมาถึงปัจจุบัน
เกิดอาการหดหู่เล็กๆน้อยๆถึงปานกลาง :sad2:

เหอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :o12:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #179 เมื่อ05-06-2008 11:30:08 »

เหงา เปล่า เปลี่ยว เดียวดาย

หมอธารนี้คุณหนูตัวจิงนี้หวา

เอิ๊กๆๆ

 :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด