ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292750 ครั้ง)

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #180 เมื่อ05-06-2008 22:00:19 »

อ่าน แล้ว มัน เศร้า ยังไงม่ารุ

แต่ ก็

 
รอตอนต่อ ไปนะ


 :bye2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #181 เมื่อ05-06-2008 22:08:09 »

อย่าเศร้ากันน้า  แบบว่าน้องเรนคนแต่งซาดิสม์อ่า  แต่งให้มันเศร้าซึมลึก 5555
แต่ฟ้าหลังฝนย่อมมีใช่มะ  อิอิ

ต่อเลยจ้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ห้วงรักเสน่หา ตอนพิเศษ

หนึ่งหน้าในสมุดบันทึก หน้าที่1 : Douceur memoire (sweet memory)

------------------------------------------------


ทรมานทุกครั้งที่ต้องเก็บความรู้สึกนี้ในอก สายตาสีน้ำตาลมองหน้ากระดาษว่างเปล่า...แค่ได้หลอกตัวเองว่ารัก...แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด...

“ผู้กองภานุมีคู่หมั้นแล้ว คิดจะรักเขามันก็เป็นไปไม่ได้หรอก”

ลุงอรุณบอกขณะขึ้นมาเยี่ยมผู้เป็นหลานชายในวันหนึ่ง ต้นธาราถามถึงเรื่องของผู้กองภานุ ท่านก็ใช้คนสืบประวัติให้ ต้นธาราได้ฟังแล้วรู้สึกใจห่อเหี่ยว ดวงหน้าเหม่อลอยนั่นสะดุ้งโหยงเมื่อหน้ากระดาษว่างเปล่าปลิวปะทะมือที่วางทาบทับ

“อยู่ในช่วงสอบยังเหม่ออีก ใช้ไม่ได้เลยเรา”

ต้นธาราบ่นตัวเอง หยิบหนังสือเคมีเล่มโตเข้ามาใกล้ตัว มองมันไม่มีกะจิตกะใจอ่าน ดวงตามองท้องฟ้าสีใส แดดจ้าจนต้องกระพริบเปลือกตาถี่ๆ ภายในลำคอรู้สึกสากระคาย เตรียมลุกขึ้นไปซื้อน้ำที่ซุ้ม มือคล้ำแดดตั้งไว้ให้ก่อน ต้นธาราไล้ตามองกระป๋องน้ำอัดลมเย็นเฉียบจนกระทั่งเห็นรอยยิ้มของธีรเดช

“คุณหนูธารฟิตอ่านหนังสือแบบนี้คงเหนื่อยแย่ พักสักหน่อยนะครับ?”

ว่าที่คุณหมอทรุดนั่ง ยิ้มให้แก่ธีรเดช ทหารในสังกัดของพ่อ

“ธีมารับกลับบ้านหรือ”

รอยยิ้มนุ่มนวลคลี่ออกเป็นคำตอบ มองเสี้ยวหน้าขาวซีดกับเส้นผมนุ่มสลวยตกระเคลียแก้มด้วยความหลงใหล

“คุณหนูธารอยากลับเลยไหมล่ะ”

ต้นธาราส่ายหน้า ตอนนี้ยังไม่อยากกลับหรอกบ้าน เพราะกลับไปก็พบแต่ความว่างเปล่าชวนให้ใจหนาวยะเยือก

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกลับเองก็ได้ ไม่อยากรบกวนธี...อยากอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย ปีสุดท้ายแล้วอยากฟิตให้ได้เกียรตินิยม”

ดวงตาคู่สวยหรี่ลง ธีรเดชเลื่อนมือมากุมมือบุตรชายคนเดียวของนายพลพิภพ

“คุณหนู...เดี๋ยวได้ล้มป่วยไปอีก”

ต้นธารามองมือของธีรเดชก่อนเป็นฝ่ายชักมืออก

“รู้อยู่หรอกน่า”

ดวงตาของธีรเดชหมองลงเมื่อเห็นต้นธาราทำแบบนั้น ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความรู้สึกนั้นออกจากใจ เหลียวมองไดอารี่ เห็นรูปถ่ายบางส่วนโผล่ออกมา ตั้งใจจะเก็บสอดไว้ในไดอารี่ให้เหมือนเดิม หากต้นธาราตะครุบไว้ทัน มองธีรเดชอย่างไม่พอใจนัก การกระทำของต้นธาราทำให้รูปข้างในหล่นออกมา ธีรเดชเห็นคนในรูปถ่ายถนัดชัดตาก็นิ่งอึ้ง เพราะคนๆนั้นเป็นครูฝึกของเขาเอง ต้นธาราใช้ฝ่ามือปกปิดรูปถ่ายเอาไว้ ขุ่นใจที่ธีรเดชเข้ามายุ่ง

“คุณชอบเขา?”

ร่างสูงหลุดปากถาม ต้นธาราไม่ยอมตอบหากใบหน้าก็แดงระเรื่อยืนยันคำพูดได้ดี

“ธาร...เขามีคู่หมั้นแล้วนะและจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้แล้ว”

ธีรเดชเตือน ต้นธาราผงกหัว...เรื่องนั้นก็รู้อยู่หรอก รู้ด้วยว่าคนรักของภานุคือใคร....แต่เขาไม่อาจห้ามความรู้สึกนี้ได้เลย

“คุณก็ยังคิดที่จะรักเขา?”

ต้นธาราไม่ได้ตอบในตอนนั้น ธีรเดชก็ไม่เซ้าซี้...ปล่อยให้ต้นธาราหล่อเลี้ยงความรักของตัวเองที่มีต่อผู้กองหนุ่ม และธีรเดชก็ได้รู้ในตอนที่สายเกินไปว่าความรู้สึกของต้นธารานั่นลึกซึ้งกว่าที่คาด

------------------------------------------------

ต้นธาราวางกระเป๋าลงบนพื้นสีแดง ศีรษะเปื้อนฝุ่น เหนียวหนึบไปทั่วตัวเพราะอากาศร้อนระอุ เหงื่อไหลท่วมหน้า ทั้งๆที่มีเฮลิคอปเตอร์มาส่งแล้วแท้ๆ แต่ต้นธาราก็ยังรู้สึกปวดมวนในช่องท้อง...ความพยายามของเขาประสบผลแล้ว พอเรียนจบ ก็มีคำสั่งด่วนให้ภานุย้ายตำแหน่งไปช่วยที่ชายแดน ต้นธารารู้ข่าวรีบทำเรื่องขอเป็นแพทย์อาสาทันที เขารอข่าวด้วยใจจดใจจ่อ ตื่นเต้นกลัวความผิดหวัง กลัวทุกๆอย่าง ต้นธาราปาดเหงื่อออกจากหน้า มองนาฬิกาเป็นเวลาบ่ายสองแล้ว เขาถือกระเป๋าเดินเข้าไปในค่ายเงียบสงบ ทหารเฝ้าประตูค่ายเข้ามาถาม ต้นธารายื่นจดหมายให้ ยามรักษาการณ์ผู้นั้นทำความเคารพ ต้นธารายิ้มตอบ ก่อนขอร้องให้นำทางไปพบกับหัวหน้าค่ายเล็กๆแห่งนี้ ธงโบกสะบัด ตัวโรงพยาบาลเล็กๆแทรกตัวกลางขุนเขา ต้นธาราเข้าไปภายในอาคารสร้างจากไม้ทั้งหลัง ภายในนั้นสงบเงียบ เขาทรุดนั่งรอคอยให้ผู้พันมีทรัพย์ทำธุระของท่านให้เสร็จก่อน มองไปรอบๆค่าย ลมพัดเย็นสบาย โต๊ะทำงานก็ไร้ผู้คน ระหว่างนั่งเหม่อว่าจะได้จอผู้กองภานุหรือไม่ เสียงฝีเท้าหนักๆย้ำพื้นไม้ ต้นธาราช้อนสายมอง ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าแย้มยิ้มเป็นมิตรชะงักเมื่อต้นธาราสบสายตาด้วย

“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

ต้นธารามองชายแปลกหน้าแต่งชุดครึ่งท่อน ก่อนยิ้มตอบ

“ผมเป็นหมอคนใหม่ครับที่จะมาประจำที่นี่”

ชายคนนั้นนิ่งไปชั่วขณะเมื่อได้ฟังน้ำเสียงรื่นหู ชายผู้นั้นผงกหัว ดูเก้อเขินขึ้นมาทันใด

“คงรอผู้พันสินะครับ”

ต้นธาราผงกหัว ชายผู้นั้นเดินไปยังเคาน์เตอร์ ก่อนออกมาพร้อมกับแก้วน้ำดื่ม

“เอ่อ...ขอบคุณ แค่นี้เองคงไม่ต้องก็ได้”

ต้นธารารู้สึกเกรงใจที่ให้คนแปลกหน้ามาต้อนรับเช่นนี้

“ดูท่าทางคุณคงเดินทางมาเหนื่อย ดื่มสักนิดเถอะ”

เมื่อถูกคะยั้นคะยอ มือขาวซีดหยิบแก้วน้ำดื่มรวดเดียวจนหมด ชายผู้นั้นยิ้มน้อยๆ

“ผม...ร้อยเอกนาคีครับคุณหมอ...”

ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง ต้นธาราจึงแนะนำตัวเองบ้าง

“ต้นธาราครับ มาเป็นหมอที่ค่ายนี้ คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัว”

ดูเหมือนร้อยเอกนาคีเต็มอกเต็มใจ ยิ้มกว้างมากขึ้น

“คนภายในค่ายนี้ใจดี คุณหมอไม่ต้องห่วง”

“แล้วคุณหมอย้ายมาจากที่ไหนครับ”นาคีชวนคุย

“ก็มาจากกรุงเทพแหละครับแล้ว เอ่อ...ผู้กองล่ะครับ?”ต้นธาราย้อนถามบ้าง

“ผมมาจากเชียงรายครับ มาประจำการอยู่ที่นี่ก็หกเดือนแล้ว”

ระหว่างพูดคุยด้วยความสนุกสนาน เสียงกระแอมดังขึ้น

“เฮ้ย...ไอ้นาคีมันหายหัวไปไหนวะ”

ต้นธาราหันมองน้ำเสียงหงุดหงิดหากต้องตื่นตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความทรงจำเสมอมา เท้าเอว ดูท่าทางโมโห นาคีลุกขึ้นทันที

“แกเรียกอะไรอีกวะไอ้ภานุ เห็นไหมว่าข้ากำลังต้อนรับแขกอยู่นะเว้ย”

ภานุหันมอง ‘แขก’ที่นาคีเอ่ย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ต้นธาราใจเต้นแรง รู้สึกเก้อเขินโดยไม่มีสาเหตุ ไม่รู้จะเเสดงสีหน้าเช่นไรออกไปดี สายตาจริงจังตวัดมองเพื่อนสนิท

“แกอู้ล่ะสิ...หน็อย บอกให้ช่วยขนอาวุธเข้าคลังแสงดันหนีมาเฉย”

ภานุตวาด ใบหน้าดุๆเหน็ดเหนื่อย นาคียิ้มระรื่น

“ก็เอ็งดันโง่เองนี่หว่าถูกข้าตุ๋นจนเปื่อย”

ภานุกำมือแน่น ก่อนจะสงบอารมณ์ขุ่นมัว

“เออ...ถึงเวรแกเมื่อไรก็อย่าเรียกกันแล้วกัน”

นาคีหัวเราะ ลืมสนิทว่ามีใครอีกคนอยู่ภายในห้องนี้ด้วย ต้นธารามองความสัมพันธ์ระหว่าคนทั้งคู่แล้วนึกอิจฉา

“แล้วนั่นใครวะ ญาติข้างไหนของเอ็ง”

ภานุไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย คนที่พยายามฝืนยิ้มทำหน้าจืดๆ

“ผมต้นธาราครับ เป็นหมอที่จะมาประจำอยู่ที่นี่”

นายทหารหนุ่มร้องอ้อ

“ที่ลือๆกันน่ะรึ...คุณเนี่ยนะเป็นหมออาสา”

ภานุถามมองใบหน้าอ่อนวัยอย่างไม่เชื่อถือสักเท่าไร ต้นธารายิ้มเพราะรู้ดีว่าใครๆต้องเข้าใจผิดเรื่องอายุแน่ๆ

“เพิ่งจบใหม่รึ”

ต้นธาราได้แต่สั่นหัว ไม่ยอมชี้แจงอะไร

“เฮ้ย เซ้าซี้อยู่ได้ ปล่อยให้เขาไปพบผู้พันได้แล้ว”

นาคีเตือนเมื่อเห็นผู้พันอ้วนพุงพลุ้ยเดินออกมา

“ผู้พันครับ คุณหมอที่มาประจำค่ายเรามารายงานตัวแล้ว”

นาคีเอ่ยด้วยความเริงร่า ผู้พันมีทรัพย์มองต้นธารา นิ่งไปสักพัก

“คุณน่ะหรือคุณหมอต้นธารา?”น้ำเสียงท่านไม่แน่ใจนัก จนต้นธาราต้องสำทับ

“ครับ...ผมนี่แหละต้นธารา”

ดวงตาของผู้พันมองประวัติสลับกับใบหน้าอ่อนกว่าอายุอย่างอึ้งๆ

“เอ่อ..งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”

ท่าทีของผู้พันเรียกความสนใจของสองหนุ่ม ต้นธาราเดินตามผู้พันไป เมื่ออยู่ตามลำพังผู้พันเอ่ยอย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก

“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นศัลยแพทย์มือดี”

ต้นธารายิ้ม ไม่เสริมอะไรทั้งนั้น

“คุณไม่น่าย้ายตัวเองออกจากงานดีๆมายังค่ายทุรกันดารแห่งนี้เลย”ผู้พันบ่น ไม่เข้าใจกับความคิดและการตัดสินใจ

“ผมไม่ชอบอยู่ในเมือง อีกอย่างทำงานที่นี่สบายใจกว่า”เขาตอบสั้นๆ

ผู้พันก้มเซนต์เอกสารรับทราบการมาถึงของต้นธารา

“น่าเสียดาย...อนาคตของคุณหมอน่าจะไปได้ไกลกว่านี้แท้ๆ”

ถึงไม่บอกต้นธารารู้... แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้วก็คงต้องเดินหน้าต่อไป

“บ้านพักของคุณหมออยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร แล้วที่ทำงานก็อยู่ตรงโน้น”

ผู้พันชี้ไปทางธงวาดกากบาทลงบนพื้นสีขาว ต้นธารามองตาม

“คุณหมอคงเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวให้คนช่วยยกกระเป๋าไปเก็บ”

ผู้พันออกไปเรียกนาคีและภานุช่วยขนของของคุณหมอ ผู้กองแสนร่าเริงยินดีช่วยเต็มที่ ส่วนภานุนั้นติดจะบึ้งๆที่มารับใช้คนอายุดูอ่อนกว่าต้นธาราเดินตามร่างสูงใหญ่ สายตาจับจ้องแผ่นหลังของภานุไม่วางตา

...แผ่นหลังที่เขาคิดถึงเสมอ...

“คุณหมอหน้าตาอ๊อน อ่อน”นาคีเอ่ย ต้นธารายิ้มแหยๆกับคำทักนั้น “คุณหมอเพิ่งจบใช่ไหมครับ”

“เอ่อ...ก็จบได้ปีหนึ่งแล้ว”ต้นธาราตอบคำถามแล้วก็นิ่งเงียบ

“งั้นคุณหมอก็เก่งน่าดูสิ”นาคีชวนคุย ต้นธาราก็ตอบไปด้วยรอยยิ้ม

“ผมก็ฝีมือธรรมดาๆแหละครับ”

ขณะพูดดวงตาคมก็จับจ้องเสมอ

“คุณหมอก็ถ่อมตัวไป”

ทั้งสามเดินไปยังกระท่อมหลังน้อย ฝ่ายนาคีก็จ้อไม่หยุดปาก

“บ้านพักของผู้กองอยู่ที่ไหนครับ”

ต้นธาราถือโอกาสแทรกขึ้น นึกน้อยใจที่ภานุไม่เอื้อยเอ่ยกับเขาเลย

“อ้อ...ผมพักภายในค่ายนี่ล่ะ แต่บ้านก็เจ้าภานุอยู่ตรงชายป่าโน้น”

มองมือของนาคี ต้นธารามองเห็นแต่แมกไม้กับหลังคามุงด้วยสังกะสีปรากฏออกมา

“ตรงนั้นเป็นคลังแสงเอาไว้เก็บอาวุธ บ้านของผมอยู่ถัดไปจากนั้น”

ภานุตอบห้วนๆ ต้นธาราผงกหัวตอบรับคำพูด แอบดีใจเล็กๆที่ชายหนุ่มยอมพูดด้วย

“วางของไว้ไหนดีครับ”

นาคีเข้ามาขัด ต้นธารามองดูห้องของตัวเอง สร้างจากไม้ไผ่ล้วนๆ ชี้ไปบนเตียง เอ่ยขอบคุณ ชายหนุ่มทั้งสองคน

“ไม่เป็นไรคร้าบ ผมเต็มใจช่วยเสมอ”

ต้นธารายิ้มน้อยๆ นาคีมองถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อเจอรอยยิ้มของต้นธารา

“เฮ้ย...เสร็จแล้วก็ลงไป เกะกะคุณหมอเขา”

ภานุไล่เมื่อเห็นเจ้าเพื่อนรักชักจะเล่นหัวกับคุณหมอผู้เพิ่งรู้จักกันไม่นาน

“งั้นก็ขอตัวนะครับ”

นาคีรีบเผ่นลงจากกระท่อม ต้นธาราอยากรั้งไว้หากต้องนิ่ง เก็บอาการเอาไว้

“มีอะไรอีกหรือ?”น้ำสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรครับ”ต้นธารานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ย “ผมคิดว่าผู้กองไม่ชอบใจผมเสียอีก”เล่นถามตรงๆ

ผู้กองหนุ่มอึ้งไป

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างงั้นล่ะ”ภานุถามเรียบๆ

“ก็เห็นท่าทางคุณดูไม่พอใจแถมหงุดหงิด”ต้นธาราอธิบาย รู้สึกขัดเขินเมื่ออยู่กันเเค่สองคน

รอยยิ้มตรงมุมปากผุดขึ้น“มันต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือครับ สำหรับคนรู้จักกันครั้งแรก?”ภานุย้อน

ฝ่ายต้นธารานิ่งเงียบ

“จริงสิ...งั้นผมก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ผู้กองเสียเวลา”ต้นธาราเอ่ยแก้ขวย

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยนี่ คุณหมอไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย”

ภานุตอบเรียบเฉย ดวงตาคมๆ ดุๆ จ้องมองมา ต้นธาราพยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้เเสดงความรู้สึกออกไปจนเกินงาม

“หากไม่มีอะไรขอให้คุณหมอพักตามสบาย เรื่องกับข้าวกับปลาถ้าไม่มีใครเรียกไปกินมากินบ้านผมก็ได้”

พูดจบก็หันหลังก้าวฉับๆลงจากที่พักของต้นธาราไปอีกคน ดวงตาสีน้ำตาลได้แต่มอง

...ตามไปแล้ว ลูกจะได้อะไร พ่อถามหน่อย มันจำลูกได้หรือ แน่ใจแล้วใช่ไหมที่ลูกกล้าทิ้งอนาคตของตัวเองเพื่อความรักที่ไม่เกิดประโยชน์นั่น?...

ต้นธารายกมือกุมหน้าอก...มันคงจะเป็นเหมือนอย่างที่พ่อพูดจริงๆหรือ...เขาคงทำเรื่องโง่เง่ามากสินะ แต่เขาก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกนี้ได้อีกแล้ว ทุกเศษเสี้ยวหัวใจมันบรรจุชายที่ชื่อภานุไว้จนเต็มเปี่ยม....ผูกพันด้วยคำว่ารักแรกพบ

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #182 เมื่อ05-06-2008 22:11:38 »

ตกเย็นคนมาเรียกไปทานข้าวคือผู้กองนาคี ต้นธาราลุกจากเตียงด้วยอาการงัวเงีย รู้สึกถึงมือหนาเกลี่ยเส้นผมสีอ่อน เบามือ...ต้นธาราเพิ่งตื่นจากความฝันละเมอเบาๆ

“อื้ม...ผู้กองภานุ”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลงเมื่อสัมผัสจากมือหนาชะงักไป ลุกขึ้นมองใบหน้าของผู้กองนาคี อึกอักในลำคอ

“เอ่อ...มีธุระอะไรหรือเปล่า ผมนี่ก็แย่หลับเพลินเลย”

พูดไปก็หัวเราะแห้งๆ ผู้กองนาคีเงียบไปก่อนจะยิ้มเหมือนเดิม

“ผมมาเรียกคุณหมอไปทานข้าว”

ท่าทีนาคีดูหงอยๆ ต้นธาราไม่เข้าใจอาการนั่น ลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนเดินตาม แผ่นหลังดูอ้างว้าง ยิ่งสร้างความงุนงงให้แก่ต้นธารา เดินไปยังวงเหล้าตั้งด้วยเหล้าป่าพร้อมอาหารพื้นบ้าน ผู้พันมีทรัพย์บอกว่าเป็นการจัดเลี้ยงต้อนรับคุณหมอคนใหม่ ต้นธารามองทหารทุกคนดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า เสียงอ้อแอ้สรวลเฮฮาดังจากปากเหล่าขี้เมา

ต้นธารานั่งใกล้ผู้กองนาคีที่ทำหน้านิ่งอยู่ตลอด เหล้าเทใส่จอกจนล้นปรี่ ใสเป็นตาตั๊กแตน ต้นธาราพอรู้มาบ้างว่าเหล้าป่ารสร้อนแรง เขาก็พยายามปฏิเสธก็ถูกคะยั้นคะยอ เมื่อไม่อาจต้านทานได้จึงดื่มจนหมดจอกรวดเดียว เสียงปรบมือดังขึ้น พร้อมเสียงเชียร์ ต้นธารารู้สึกร้อนวูบวาบในท้อง ใบหน้าขาวแดงก่ำ

“ผม...พอแล้วครับ ดื่มได้แค่แก้วเดียวเท่านั้น”เสียงเริ่มจะอ้อแอ้ พยายามดันจอกเหล้าห่างจากตัว แทบทนใจอ่อนไม่ได้ รับมาอีกแก้วมือหนายิ้มออกเสียก่อน คนช่วยคือผู้กองนาคี ต้นธารายิ้มหวาน ดวงตาฉ่ำเยิ้ม

“คุณหมอแกทน...”

ยังไม่ทันพูดจบต้นธาราก็ฝุ่บไป สายตาของผู้กองภานุมองอย่างเฉยชา นั่งดื่มต่อ ไม่สนใจคนคออ่อน นาคีถอนใจ

“เดี๋ยวผมพาคุณหมอไปส่งก่อนนะครับ”

พยุงคนเมาลุกขึ้น ต้นธาราครางในลำคอ รู้สึกพะอืดพะอมชอบกล ออกมาพ้นวงสังสรรค์ ต้นธาราล้มแผละ เดินต่อไปไม่ไหว

“อยากอ้วก...”

เสียงแผ่วๆกล่าว มือหนาลูบหลัง

“ใจเย็นครับ รอไปถึงบ้านพักก่อนดีไหม?”

คนเมาผงกหัว รู้สึกว่าโลกทั้งโลกหมุนคว้าง มือหนาสอดเข้าไปใต้เเขนก่อนอุ้มขึ้น

“อา...ไร”

พยายามจะถามแต่รู้สึกอยากจะอ้วกจึงปิดปากแน่น นาคีกระชับร่างต้นธาราแน่น เอามืออ่อนปวกเปียกคล้องคอ ดวงหน้าขาวซุกแผ่นอก กลิ่นเหงื่ออวลจางๆ นาคียิ้มอ่อนๆ ค่อยๆวางร่างของคุณหมอลงบนเตียงแผ่วเบา ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ลุกขึ้นเตรียมผ้าเช็ดตัว เสียงกุกๆกักๆส่งผลให้ต้นธาราลืมตาขึ้น นาคีหันมองยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาพร่ามัว รู้สึกถึงน้ำตาคลอหน่วย

“ผมจะเช็ดตัวให้ คุณหมอจะได้นอนสบาย”

ต้นธาราไม่ตอบ สัมผัสเย็นชืดแตะผิวแก้ม คุณหมอหลับตาพริ้ม ในหัวเบาโหวง

“รู้สึกอยากอาเจียนไหม?”

คุณหมอสั่นหัวไม่ยอมตอบ นาคีแนบริมฝีปากลงบนหน้าผาก สัมผัสแผ่วเบาดุจขนนก ดวงตาหลับพริ้ม รู้สึกเจ็บที่อก...ผู้ที่ขึ้นมาตามหลังมองเห็นทุกๆฉาก ถอยไปเงียบๆ...ซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดขึ้นในใจ

------------------------------------------------

...ฝันหวานเพียงครั้งเดียว หัวใจต้องแลกกับการสูญเสีย...หากย้อนไปได้...ต้นธาราคงเลือกผู้กองนาคี...แทนที่จะเจ็บปวดใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!...


------------------------------------------------


Taurus

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #183 เมื่อ05-06-2008 22:50:50 »

 :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

รักแรกพบเจอ  :o8:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #184 เมื่อ06-06-2008 08:42:34 »

สงสารผู้กองนาคี
กาซิก กาซิก

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #185 เมื่อ06-06-2008 09:29:48 »

ดันนนนนนน สุดแรงเกิด  คึคึ o13

hasuzz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #186 เมื่อ06-06-2008 23:14:58 »

คนที่ตามมาเห็นคือผู้กองภาณุสินะ
เพราะอย่างนี้ถึงเย็นชากับคุณหมอใช่ใหม่

ฮือออออ  :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #187 เมื่อ09-06-2008 21:12:47 »

ห้วงรักเสน่หา ตอนพิเศษ

หนึ่งหน้าในสมุดบันทึก(จบตอนพิเศษ)

L'amour,Le chagrin,La passion

(Love,Sorrowful,Passion)


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2B04GGAPD&Autoplay=1

------------------------------------------------


เพราะได้แต่มอง...เก็บความคำนึงเอาไว้ในใจอยู่เงียบๆ แม้จะเศร้าสักเพียงไหนก็ต้องยิ้ม สำหรับเขาก็คงได้แค่นี้ละมั้ง


ต้นธาราลืมตาตื่นหยาดน้ำตาคลอ ภายในหัวปวดหนึบราวกับมีมีอะไรอยู่ภายใน ได้แต่นอนนิ่งๆ มองเพดานห้องพักด้วยสายตาพร่าพราย กระพริบตาถี่ๆเอี้ยวคอมองเห็นร่างของใครบางคนพิงประตูบ้าน นอนคอพับคออ่อน คุณหมอใหม่หมาดๆรีบลุกทันใด

“ผู้กอง!”

ต้นธาราอุทานเสียงแผ่ว กุมขมับเอาไว้เพราะเวียนศีรษะ ปรับร่างกายสักระยะ ยันกายเพื่อเหวี่ยงตัวเองลงจากเตียง มือข้างหนึ่งลากผ้าห่มกองบนพื้นไม้ คุณหมอไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกขึ้น เสียงดังปลุกให้ผู้กองนาคีลืมตาตื่น ตกใจที่เห็นคุณหมอกองอยู่บนพื้นเสียแล้ว

“คุณหมอนอนดีกว่าครับอย่าเพิ่งลุกเลย”

น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าว ต้นธารายิ้มแห้งๆ มือสั่นระริกยามจับลำแขนชายหนุ่มเป็นตัวพยุงให้ลุกขึ้น

“เมื่อคืนคุณหมอซัดเหล้าแรง ทั้งๆที่คออ่อนแท้ๆ”นาคีบอก

คุณหมอเริ่มจำได้เลาๆแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“ผู้กองพาผมมาหรือครับ”

น้ำเสียงหลุดลอดจากลำคอช่างแหบแห้ง ผู้กองนาคียิ้ม ค่อยๆประคองร่างบอบบางทรุดนั่งขอบเตียง นาคียื่นแก้วน้ำให้คุณหมอ ต้นธาราดื่มจนหมด

“ขอบคุณ ผมทำให้ผู้กองเดือดร้อนจริงๆ”ต้นธาราพึมพำขอโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

รอยยิ้มชวนให้อุ่นใจ ต้นธาราแม้อึดอัดและเกรงใจรู้สึกดีที่ผู้กองอ่อนโยนต่อเขาซึ่งเป็นแพทย์อาสาคนใหม่

“อ่า...ยังไงก็นอนพักนะครับ รุ่งเช้าผมจะเอายาสร่างเมามาให้รับรองกรึ๊บเดียวได้ผล”นาคีบอก

ต้นธาราขอบคุณสำหรับยา ผู้กองมองใบหน้าขาวซีดชั่วครู่อย่างนึกห่วงก่อนตัดใจลงจากเรือนพัก ทิ้งให้ต้นธารากุมหน้าอกแน่น ทุกข์ทรมานอยู่กับอาการเมา คุณหมอผะอืดผะอมทรุดอยู่กับเตียงทันที สิ้นสติไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

------------------------------------------------

รุ่งเช้าต้นธาราตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อย หน้าผากมีผ้าประคบไว้ แถมเสื้อผ้ายังเป็นตัวใหม่ คุณหมอไม่เข้าใจ พยายามระลึกถึงเหตุการณ์ หลังจากที่สลบไปก็นึกอะไรไม่ออก อยากรู้ว่าใครจัดการกันแน่ ตัวเขาเองช่างอ่อนแอเหลือเกิน

“โชคดีจังที่คุณไม่เป็นอะไรมาก”

ต้นธารามองตามเสียง เห็นร่างกายสูงใหญ่ของภานุยืนค้ำร่างเหนือเตียง คุณหมอเบิกตากว้างพยายามฝืนยิ้ม

“เจ้านาคีมันฝากผมดูแลหมอ ตอนนี้มันกำลังเข้าเวรอยู่ เมื่อคืนเจ้านาคีสังหรณ์ใจว่าคุณหมอคงอาการแย่แน่ๆจึงย้อนกลับมาดูอีกครั้ง เห็นคุณสลบอยู่ก็เลย...”ภานุเงียบไป

ต้นธาราทำหน้าเป็นการบอกเข้าใจ ผู้กองหนุ่มก้มมองพิศอยู่นาน ไม่ยอมพูดอะไรจนผู้มองหัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด

“เจ้านาคีคงมาแล้วมั้ง”

ภานุมองนาฬิกา ท่าทางอยากออกไปเสียเต็มประดา ต้นธาราเสียดาย พอภานุพูดจบร่างสูงใหญ่ของนาคีโผล่ขึ้นมาทันใดพร้อมกับถุงกับข้าว

“ขอบใจโว้ยไอ้เพื่อนรักที่อยู่ดูแลคุณหมอให้ชั่วคราว”

นาคีตะโกน ภานุเพียงโคลงศรีษะไปแกนๆ ลงไปข้างล่างเมื่อมีคนมาเปลี่ยนเวรเฝ้า นาคีเข้ามาภายในบ้านพักของต้นธาราราวกับเป็นเจ้าของ รอยยิ้มอ่อนโยนระบายเต็มสีหน้าผิดกับภานุที่บึ้งตึงคล้ายถูกบังคับให้รับผิดชอบงานที่ไม่ต้องการ

“สงสารคุณหมอ แกมาอยู่นี่ไม่รู้อะไรเลย”

ภานุได้แต่รับฟังแล้วเออออด้วย เจ้านาคีชวนกินข้าวด้วยหากชายหนุ่มปฏิเสธไป ร้อยเอกภานุไม่รู้เลยว่าสายตาคู่หนึ่งไล่ตาม นาคีสังเกตเห็นกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากยากเย็น เพราะสายตาที่มองแผ่นหลังแกร่งเป็นสายตา ล้ำลึกและอาลัย!

“คุณหมอ....”

นาคีเรียกเสียงแผ่ว ต้นธาราช้อนสายตามอง ร่างสูงใหญ่ขยับกายเข้าใกล้ทรุดลงข้างๆแตะศีรษะร้อนรุ่มๆด้วยพิษไข้

“แย่เลย....”คุณหมอหมาดๆพูดอุบอิบ วันแรกก็ปฏิบัติงานไม่ได้เสียแล้ว

“ผมแจ้งไปทางโรงพยาบาลแล้วครับ ไม่ต้องห่วง คุณหมอดูแลสุขภาพตัวเองก่อนเถอะครับ”นาคีบอก แกะถุงกับข้าวเทใส่จานที่เตรียมมาให้คุณหมอโดยเฉพาะ

“ทานข้าวเถอะครับ แล้วค่อยทานยา”

ต้นธาราส่ายหน้าบอกว่าไม่อยากทานอะไรทั้งนั้นหากผู้กองนาคีขู่บังคับ คุณหมอคนใหม่จำต้องลุกขึ้นรับถ้วยข้าว หากชายหนุ่มไม่ยอมส่งให้กลับป้อนถึงปาก

“อย่าเลยครับ ผมทานเองดีกว่า แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่”ต้นธาราบอกเสียงอ่อนเบา

นาคีส่งสายตาดุๆ ส่งช้อนตักข้าวป้อนเข้าปากคนป่วย ต้นธาราจำต้องกลืนเพราะสีหน้าของผู้กองฉายถึงความสุข ซึ่งมันสร้างความหนักหน่วงในหัวใจ!

------------------------------------------------

การที่ต้นธาราคุ้นกับค่ายได้ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้กองนาคีช่วยเหลือ คุณหมอตั้งใจทำงานด้วยความขยัน วันเวลาที่ผ่านไปเชื่องช้า...เขาก็ไม่อาจสร้างความสนิทสนมกับคนที่ใจฝันใฝ่ถึงได้...คนนั้นมองเขาเหมือนไม่มีตัวตน...ไม่เห็นค่ารึความสำคัญใดๆ...แม้เขาจะเป็นฝ่ายไล่ตามมาตลอดเวลา

“คุณหมอทำงานเสร็จยังครับ”

ผู้กองนาคีที่มักโผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยครั้ง แม้ต้นธารายินดี แต่ลึกๆแล้วอดคะนึงหาร่างสูงใหญ่ของภานุไม่ได้ รอยยิ้มมอบให้อ่อนโยน นาคีมองเพลิน

“แหม...โผล่มาได้เกือบทุกวันเลยนะคะ”

คุณหมอมาริสากล่าวแซวซึ่งผู้กองนาคีมักหัวเราะแก้เขินทุกครั้งไป

“ผมมาเฝ้าอารักขาเดี๋ยวเกิดเหตุร้ายกับโรงพยาบาลของชุมชนครับ”ชายหนุ่มมักพูดเล่นซึ่งเรียกรอยยิ้มได้เสมอๆ

“ผู้กองมาที่นี่บ่อยๆไม่กระทบถึงงานเหรอครับ”ต้นธาราถาม รวบรวมเอกสารงานลงซองสีน้ำตาล

“ผมทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ อันไหนพอจะฝากเจ้าภานุได้ก็โบ้ยเสีย”

พอพูดถึงชื่อที่ทำให้ใจไหวหวั่น ต้นธาราหรุบตาลงทันใด

“แล้วผู้กองภานุไม่บ่นหรือครับ”

เรียกขานชื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้น้ำเสียงเรียกขานมันเจือความคะนึงหาปานใด ต้นธารารอฟัง นาคีจ้องตาของคุณหมอเนิ่นนาน

“รายนั้นบ้างานยังกับอะไรดี”นาคีบอก ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทมานานจึงทำให้รู้นิสัยกันดี

คุณหมอได้ฟังยิ้มกับตัวตนของภานุ นาคีปวดแปลบเหลือเกิน เหมือนมองภาพบาดตาบาดใจ

“คุณหมอมาริสากับคุณหมอต้นธาราจะกลับเลยไหมครับ ผมจะไปส่ง”

ต้นธารายกมือปฏิเสธบอกว่าตัวเองติดเวรต้องอยู่โยงที่โรงพยาบาล นาคีจึงไปส่งคุณหมอมาริสา คงเหลือแต่ต้นธารานั่งในห้องทำงาน ดึกแล้วทั่วทั้งตึกเล็กๆเงียบสงบจนได้ยินเสียงลานนาฬิกา คุณหมอก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับงานที่ค้างไว้ นานๆทีจะเงยหน้าขึ้นมาสักครั้ง แสงไฟตรงหัวโต๊ะสะท้อนใบหน้าจนดูละมุนตา ต้นธาราทำปากกาตกก้มลงเก็บเงยหน้าขึ้นแล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะร่างของผู้กองภานุเป็นเงาทะมึนกลืนในความมืด

“เดี๋ยวก็ได้สายตาเสีย”ผู้กองหนุ่มว่า

ต้นธารามือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกเลย เมื่อเผชิญหน้า “รักแรกพบ”โดยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ

“เป็นปกติครับ อยู่คนเดียวไม่รู้จะเปิดไฟให้เปลืองงบรัฐบาลทำไม”

คุณหมอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ภานุกอดอก ยกเก้าอี้มานั่งใกล้ๆต้นธารา

“ยังไม่กลับอีกหรือ? ดึกแล้วนะ”ภานุเตือนด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น

ต้นธารารับฟังเงียบๆจดจ่ออยู่กับงานให้มากที่สุด หากความจริง หัวใจมันกลับเต้นผิดจังหวะ

“งานผมเสร็จ ผมก็กลับ”

ไม่รู้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกจะสั่นเครือขนาดไหน ภานุกอดอก มองแผ่นหลังบอบบางตั้งใจทำงาน

“ถึงจะติดเวรขนาดไหนก็ไม่น่าอยู่ดึกป่านนี้ ตอนนี้กำลังมีเรื่องกองโจร ไม่รู้ว่ามันจะบุกมาตอนไหน ทางที่ดีคุณหมอรีบกลับดีกว่า งานเอาไปทำที่บ้านพักก็ได้ ที่นั่นปลอดภัยเพราะใกล้กับค่าย”ภานุเตือน แววตาจริงจัง

ต้นธาราวางปากกาลง ถอดแว่นออกจ้องภานุเขม็ง

“ครับ...แต่คนป่วยก็อาจมาตอนไหนก็ได้ หมอไม่อยู่จะทำอย่างไร?”ย้อนถาม

ภานุไม่ตอบ มองจมูกรั้นๆ แก้มขาวสะท้อนแสงไฟทำให้ดูซีดเผือดกว่าที่เห็น

“ดูเป็นคนดื้อเหลือเกิน”ภานุพึมพำ

คุณหมอขมวดคิ้ว

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรหรือเปล่า?”

ภานุปฏิเสธเสียงสูง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองแผ่นหลังบอบบางทำงานเพลิดเพลิน

“ไม่ต้องรอก็ได้กระมัง”

ต้นธาราหันมาเพราะอึดอัดต่อสายตาคมจับจ้อง หากภานุยังนิ่งเฉย

“ผมไปส่งดีกว่า”

คนดึงดันรั้งจะอยู่ต่อ ต้นธาราวางแฟ้มงานลง เตรียมจัดเก็บ หากขณะเอาแฟ้มเข้าตู้ เสียงร่าเริงของผู้กองนาคีดังแว่วมาก่อนเจ้าตัวจะโผล่หน้ามา

“คุณหมอเสร็จงานยังครับ ผมมารับแล้...”

ชายหนุ่มชะงักเมื่อพบว่าใครอีกคนอยู่ในห้อง ภานุทักทายเพื่อนสนิทโดยการพยักหน้า

“เฮ้ย....ลาดตะเวนเสร็จไม่กลับไปนอนวะไอ้เสือ”

“เห็นไฟในโรงพยาบาลเปิดอยู่เลยมาดู คิดว่าเป็นคุณหมอมาริสาเสียอีก”

คำตอบของภานุส่งผลให้ต้นธารากลืนน้ำลาย มือกำปากกาแน่น

“ไปส่งเธอแล้ว”

นาคีเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของคุณหมอหนุ่ม

“ปกติถ้าหมอมาริสาอยู่เวรดึกพวกผมจะผลัดกันมารับเธอไปส่งที่บ้านพักน่ะครับ เป็นคำสั่งของผู้พัน”

ต้นธาราเข้าใจเพราะคุณหมอมาริสาเป็นแพทย์หญิงเพียงคนเดียวของที่นี่ อีกอย่างการอยู่เวรแต่ละครั้งต้องอยู่ดึกดื่น หากกลับบ้านพักในยามราตรีคงอันตรายน่าดู

“แล้วเอ็งมารับคุณหมอต้นธารารึไอ้เสือ”นาคีหันมาทางภานุ หากเพื่อเกลอลุกขึ้นหนี

“มีคนมารับแล้วกันก็กลับซีวะ บ้านอยู่ไกลกว่าบ้านแกโว้ย”

ภานุตอบ พลางลุกขึ้นมอบหมายหน้าที่ดูแลคุณหมอให้เจ้านาคี พอภานุออกไป ต้นธาราพรูลมหายใจ...ความรู้สึกเหมือนถูกกดดันทางสายตาหายไปเมื่อคนจับจ้องไม่อยู่

“กลัวเจ้าภานุมันเหรอครับ?...” นาคีถามลอยเมื่อเห็นกิริยานั้น ต้นธาราส่ายหัวปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้บอกไปว่าเพราะอะไรถึงมีท่าทีเหมือนอึดอัดต่อการปรากฏตัวของผู้กองภานุ


“งั้นเหรอครับ เจ้าภานุทำอะไรก็จริงจัง ดุดัน ทำหน้าตายังกับโจรแบบนั้น แถมยังเป็นไอ้เสือยิ้มยากอีก ใครเจอมันครั้งแรกก็หวาดๆไปเหมือนกัน”

ต้นธาราหัวเราะเบาๆ

“ทั้งๆที่เป็นเพื่อนสนิทกันแท้ๆ”

ดวงตาของนาคีจับจ้องร่างคุณหมอเนิ่นนาน จนคนมองสะท้านในหัวใจ

“ผมเสร็จงานแล้ว...”

ต้นธาราหันมองงานแทนที่จะสบดวงตาคู่นั้น นาคีช่วยเก็บข้าวของชิดใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ

“คุณหมอจะทำงานที่นี่ตลอดไปไหมครับ?”

ต้นธาราเงยหน้ามองผู้ที่เอ่ยถาม นิ่งไปพักใหญ่ก่อนตอบไป

“ก็อาจจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะถูกเรียกตัวกลับ”

ดวงตาสีน้ำตาลซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้...เหมือนอาวรณ์เมื่อคิดว่าตัวเองจะได้จากไปโดยไม่มี “เงา” ตัวเองประทับในหัวใจของ “คนๆนั้น” มือหนาถือวิสาสะยกแตะแก้มซีดขาวดันขึ้นเล็กน้อย แรกๆคุณหมอขัดขืนทว่านิ่งไปเมื่อสายตาอีกฝ่ายตัดพ้อ

“หน้าคุณหมอซีดตลอดเวลาเลย พักผ่อนบ้างหรือเปล่าครับ”

ต้นธาราเบี่ยงใบหน้าออกจากการเกาะกุม ตอบโดยการหันหน้าไปทางอื่นซ่อนรอยแดงฉานเอาไว้

“ครับ...”

นาคีรู้สึกผิดเมื่อทำให้คุณหมอกลัว ชายหนุ่มจึงเอ่ยขอโทษ ซึ่งต้นธาราไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ผู้กองหนุ่มช่วยเก็บของเดินคู่กันเงียบๆ

“ไม่คาดคิดเลยว่าคนอย่างคุณหมอจะอยู่ที่นี่”นาคีว่า


“ทำไมล่ะครับ”

ต้นธาราย้อน มองท้องฟ้ามืดสนิท แสงดาวพราวระยับ สายลมหนาวพัดโชยจนคุณหมอผู้ไม่คุ้นชินสั่นสะท้าน นาคีปลดเสื้อนอกให้ ต้นธาราตกใจกับการกระทำที่แสนอ่อนโยน เตรียมส่งคืน อีกฝ่ายไม่รับคืน ซ้ำมองด้วยสายตากึ่งบังคับ ต้นธาราจึงยอมรับน้ำใจ

“ก็ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าคุณหมอเหมาะที่จะอยู่ในเมืองมากกว่า”

ต้นธารายิ้มกับคำบอกกล่าว ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเงียบๆ จนคุณหมอเดินสะดุด มืออุ่นๆเกี่ยวกุมมือบางทันทีจนไม่อาจปฏิเสธรึสะบัดออกได้

“ผู้กอง!”ต้นธาราอุทธรณ์

นาคียิ้มเผล่

“เดี๋ยวคุณหมอล้มไป ไม่ดีหรอกครับ”

ต้นธาราพยายามบิดมืออก หากมืออุ่นชวนให้สบายใจ

“มันอาจจะดูแปลกไปบ้าง และคุณหมอได้ฟังอาจตกใจแต่ผมก็อยากคุ้มครองคุณหมอจริงๆ หากคุณหมอทุกข์ใจปรึกษาผมได้เสมอ...”

รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนทอดให้ ต้นธารามอง หากเขาตอบสนองได้ก็คงดี

“บ้านของเจ้าภานุอยู่ฟากนู้น บ้านของไอ้เสือยิ้มยากอันตรายหน่อยนะครับเพราะอยู่นอกเขตเสียด้วย”

ต้นธารามองตาม นาคีเฝ้ามองดวงตาคู่นั้นจึงแสร้งโอบกอดร่างบอบบาง ต้นธาราตัวแข็งกับสัมผัสนุ่มนวล ไออุ่นจากร่างสูงอ่อนโยน สำหรับนาคีแม้รู้สึกพิเศษกับเขาสักเท่าไร ต้นธาราก็ไม่อาจสนองได้

“กลับบ้านเถอะครับ”

อ้อมแขนโอบกอดปล่อยอย่างง่ายดาย ต้นธารามองตามร่างสูง ถึงแม้จะคล้ายคลึงกับผู้กองภานุ หากผู้กองนาคีอ่อนโยนเสมอ เขาน่าจะรู้และเข้าใจ...ต้นธารานิ่งเงียบตลอดเวลา นาคีส่งคุณหมอกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศทางไปบ้านของเพื่อเกลอ ระหว่างทางมืดสนิทแถมยังเงียบเชียบ ชายหนุ่มคุ้นชินทางดีจึงไม่หวาดกลัว ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของคุณหมอและคำละเมอเพ้อพกในตอนที่ดูแล นาคีสังหรณ์ใจว่าคุณหมอต้องแพ้เหล้าหนักจึงกลับมาดูอีกครั้งและเป็นดั่งที่คาด ต้นธาราครางชื่อที่ไม่คาดคิดออกมาซ้ำซาก...เรียกขานราวกับคิดถึง เป็นชื่อเดียวที่สลักลงในห้วงใจ

------------------------------------------------



ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #188 เมื่อ09-06-2008 21:26:30 »

ต้นธารากลับมาถึงบ้านพัก วางงานทั้งหมดลงบนโต๊ะไม้ไผ่ ทรุดนั่งลงข้างเตียงสะทกสะท้อน กับสิ่งที่ผู้กองนาคีทำลง ความฝันที่ฝันตลอดมาเหมือนพังทลายลงเฉกเช่นปราสาททรายถูกน้ำทะเลถล่มลงเรื่อยๆจนราบเรียบไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ ดึงดันที่จะมาเพียงพบกับคนที่หัวใจใฝ่ฝัน ต้นธาราไม่ได้บูชาความรัก หากเป็นเพราะเขาคนนั้น...ความรักเพียงครั้งเดียวที่อยากทุ่มเทสักครั้ง รู้ดีว่าเวลาตัวเองมีไม่มากนัก พอมาเผชิญกับความจริง สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปโดยไม่คาดคิดคือคนที่ตัวเองใฝ่ฝันไม่เหลือบแลสักนิด แม้จะรู้ผลมาก่อนยังอดขื่นขมไม่ได้ ผู้ที่ให้ความสำคัญกลับเป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย...ผู้กองนาคี....ใจดี...อ่อนโยน แม้ช่วงเวลาสั้นๆก็รับรู้ได้ว่า ผู้ชายตัวโตมีจิตใจอ่อนโยนเพียงใด คอยเป็นห่วงแม้ว่าไม่ได้ร้องขอ ยิ่งมาทำเช่นนี้ด้วย ยิ่งหวั่นกับตัวเอง...ตัวเขาสมควรทำเช่นไรดี ต้องหนักแน่นและไม่ทำร้ายหัวใจของผู้กองผู้แสนอ่อนโยนต้องเจ็บปวด บางทีกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก...มันก็ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบรักคนที่ “รัก” เขาไปซะ ทำไมเขาถึง “รัก” คนที่แข็งกระด้าง ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวอ่อนโยนใดๆให้เลย ต้นธาราอึดอัดและกลัวทุกอย่าง...ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้มแข็งแม้แต่น้อย เพียงได้ชิดใกล้ ก็ดีแล้วแท้ๆ เสียงหัวใจครวญคร่ำถึงผู้กองภานุตลอดเวลาแม้ว่าหักห้ามใจไว้แล้วก็ตาม

------------------------------------------------

สิ่งที่นาคีทำเมื่อไม่ถึงบ้านของเพื่อเกลอคือถามถึงความรู้สึกที่ภานุมีต่อคุณหมอคนใหม่ เจ้าภานุทำหน้าสงสัยขณะรินเหล้าให้

“เอ็งมาถามทำไม ข้าจะรู้สึกยังไง มันเกี่ยวกับเอ็งด้วยรึ”

นาคียกเหล้าขาวซดจนเกลี้ยง

“มันไม่เกี่ยวหรอก กันอยากรู้ อยากรู้เลยมาถาม”นาคีพึมพำ

เพื่อนสนิทถอนใจ

“ก็เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแหละ จะให้รู้สึกอะไรไปมากกว่านั้นรึ?”

นาคีมองหาความจริงที่ปรากฏในแววตา ภานุทำหน้าเฉยๆ นาคีอ่อนใจที่จะเซ้าซี้ในเมื่อเพื่อนเกลอพูดมั่นว่าไม่ได้รู้สึกอะไร...คือเรื่องจริง!

“เออ งั้นคิดว่ากันมารบกวนยามวิกาลแล้วกัน”

ภานุผงกหัว นาคีลุกขึ้นโซเซเล็กน้อยอำลาเพื่อนลงจากเรือน หลังจากที่เพื่อนลงไปแล้ว ชายหนุ่มเกาศีรษะ ความรู้สึกเหมือนถูกสายฝนกระหน่ำ ภานุเอนศีรษะพิงผนังบ้าน บางทีถ้าเขาปิดปากเงียบแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคงจะดีต่อเจ้านาคีมันแล้วล่ะ ภานุตัดความรู้สึกทั้งมวลออกจากใจ เมื่อจะหยุดความรู้สึกก็ควรหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าเจ็บปวดจนร้าวราน

------------------------------------------------

นาคีกลับบ้านพักของตัวเอง ชายหนุ่มผิวปาก แต่แล้วต้องชะงักเมื่อประสาทสัมผัสถึงอันตรายได้ ชายหนุ่มก้าวอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งคว้าปืนพกมาถือไว ในความมืดเห็นเงาวูบไหว

“ใคร!?”

เสียงของผู้กองเคร่งเครียด อาจจะรู้สึกไปเอง นาคีบอดตัวเอง ชายหนุ่มกุมปืนไว้แม่นมั่น เตรียมปล่อยกระสุนออกไปได้ทุกเมื่อ รอบกายเงียบกริบ ขณะลดปืนลงถอนใจกับความกังวลของตัวเอง ชายหนุ่มรู้สึกปลายกระบอกปืนจ่อแผ่นหลัง นาคีเกร็ง คำสั่งเป็นภาษาพม่าบอกให้ยอมจำนน ผู้กองหนุ่มไม่กล้าบุ่มบ่าม และอีกคำสั่งก็ตามมาสั่งให้วางปืน มีหรือที่นาคีจะยอม ชายหนุ่มใช้ศอกกระทุ้ง ดันปลายปืนขึ้น ยอมลองเสี่ยงดูสักตั้ง กระทบคางของผู้ลอบทำร้ายเข้าอย่างจัง

“แกเป็นใคร”

นาคีกระชาก พยายามปลดผ้าคลุม คนที่ไม่คาดคิดว่าจะรอดจากปลายกระบอกปืนนิ่งงัน นาคีจ่อปืนที่ขมับของมัน ล๊อคคอเอาไว้แน่น

“พูดมา ใครส่งแกมา!”

คุกเข่าลง มันหอบหายใจแรง นาคีพยายามกระชากผ้าขาวม้าพันใบหน้าเอาไว้ หากถูกต่อต้าน

“แกอยากตายนักรึไง”

ดวงตาอ่อนโยนพลันแข็งกร้าว ร้อยเอกหนุ่มเอะใจกับการลอบเข้ามาของฝ่ายตรงข้าม ว่าเข้ามาถึงเขตทหารได้เช่นไร อีกฝ่ายไม่ยอมพูดยังดิ้นรนหาทางรอด ชายหนุ่มกระชากคอขึ้น

“แสดงว่าอยากตายนักใช่ไหม”

ปืนจ่อขมับแรงขึ้น ดวงตาแจ่มกระจ่างไร้ซึ่งความกริ่งเกรง นาคีจับเตรียมกระชาก อีกฝ่ายดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต ดวงตาแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดฆ่ากันจริงๆ ผ้าขาวม้าเผยให้เห็นดวงตาสุกใส ชั่วครู่หนึ่งทำให้นึกถึงต้นธาราขึ้นมาทันที

“ถ้าบอกดีๆก็จะไม่ฆ่าทิ้ง เพราะอะไรถึงมาที่นี่”

นาคีอ่อนเสียงลง อีกฝ่ายก็ยังขัดขืนอยู่ดี

“เอ้า ดิ้นกันเข้าไป”

ผู้กองจับตัวพวกกองโจรที่ลักลอบขึ้น จังหวะนั้นเอง ร่างนั้นฉวยโอกาสต่อยผู้กองกลับ ถอยหนีอย่างรวดเร็ว

“เราต้องได้เจอกันแน่”

นาคีกำลังจุกจากหมัดหนักหน่วง ลุกไม่ขึ้นไปชั่วครู่ เงาร่างนั้นกลืนหายไปกับความมืดมิด พอหายจุกลุกขึ้นเดินได้ เจ็บใจที่เสียท่า ชายหนุ่มรีบไปรายงานผู้บังคับบัญชาการทันทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ รุ่งเช้าต่างประชุมหารือกันอย่างเคร่งเครียดกับแนวเขตป้องกันละหลวม ท้ายที่สุดแล้วต้องออกลาดตะเวนจนได้พบกับฐานกองกำลังของพวกกองโจรกู้แผ่นดินซึ่งเข้ามารุกรานในอาณาเขต

“เราต้องสืบหาฐานที่มั่นของเจ้าพวกกองโจร แล้วทำลายเสียให้สิ้นซาก”

แผนที่ผู้บังคับบัญชาวางไว้ นาคีและภานุเข้าร่วมประชุมต่างถอนใจยาวกับแผนที่วาดเอาไว้

“งานนี้ท่าจะหนัก ยังกับสนามรบย่อมๆ”

นาคีบอกกับเพื่อนสนิทหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม

“เออ ว่าแต่แกเถอะไปทำอีท่าให้ให้ศัตรูหนีรอดวะ”

ภานุจุดบุหรี่ ไฟแดงวาบพร้อมกับพ่นควันปุ๋ย

“เห็นดวงตาแล้ว...เหมือนคุณหมอน่ะสิ เลยเผลอใจอ่อนไปนิดหน่อย”

นาคีบอกตามตรง ภานุอัดควันเข้าปอดลึกๆเพราะเพื่อนดูท่าว่าจะรักคุณหมอมากมาย

“แกนี่....ตายไปเพราะคนที่แกนึกถึงจะเป็นไงวะ คงน่าสมเพชน่าดู”

นาคีหัวเราะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็ยอมสละชีวิตให้ได้

“เซ็งจริงๆโว้ย ออกไปลาดตะเวนพักได้ไม่เท่าไรต้องกลับมาอีก”

ชายหนุ่มบ่นพึม เจ้าเพื่อนเกลอตบบ่า

“หน้าที่โว้ย หน้าที่”

ภานุทำเสียงขึ้นจมูก

“ชิ....ว่าแต่แกเหอะ ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่คิดถึงคนที่อยู่ในใจเองได้ก่อนเถอะ เดี๋ยวพาลใจอ่อนอีก”

ภานุเลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อตรงๆ นาคีผงกศีรษะ บางทีภานุก็อดอิจฉาเพื่อนไม่ได้ที่แสดงความรู้สึกก็แสดงออกมาได้ตรงๆ เพราะเขาไม่อาจเป็นเช่นได้ กลับจากประชุม ผู้กองภานุเหม่อลอย ชายหนุ่มเห็นคุณหมอยิ้มให้แก่คนไข้ซึ่งเป็นเด็กมากับพ่อและแม่ ความอ่อนโยนประดุจพ่อพระ อ่อนหวานราวกับกลีบดอกไม้ สมแล้วที่มาถึงค่ายใครๆก็ต้อนรับอย่างดีไม่มีนึกชัง ชายหนุ่มได้แต่มองอยู่ห่างๆ ดูเหมือนว่าคุณหมอจะรู้สึกตัว เงยหน้ามองผู้กอง ซึ่งภานุเบือนหน้าหนีคล้ายรังเกียจ ท่าทีของผู้กองหนุ่มได้แต่เป็นตะกอนตกผลึกอยู่ในใจของต้นธารา ทุกๆครั้งที่เห็นภานุต้องฝืน...จนกลายเป็นนึกชังโดยไม่รู้ตัว

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #189 เมื่อ09-06-2008 21:29:26 »

“น่ารำคาญ”

กลับจากลาดตะเวนรอบแรก ผู้กองภานุก็เอาแต่หงุดหงิดถึงแม้ผลลัพธ์งานจะออกมาดี สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หงุดหงิดคงเพราะ “คุณหมอ” ของเจ้าเพื่อนสนิท ต้นธาราเข้ามาทักทายเหมือนไม่รู้ตัวว่าเขาไม่ชอบขี้หน้า พร้อมกับลากไปทำแผลที่บ้านโดยที่ภานุขัดขืนไม่ได้ โชคดีที่เจ้านาคีไม่รู้เรื่องนี้ด้วย ไม่อย่างงั้นคงได้พูดกันยาว ร่างโปร่งทำแผลให้ด้วยความนุ่มนวล ภานุพิศใบหน้าที่ชวนให้หลงใหล คุณหมอเป็นที่รักใคร่ เเต่เขาไม่เข้าใจในเสน่ห์ที่ต้นธารามี มันเหมือนกับสิ่งหลอกลวง แค่สร้างสรรค์ขึ้น สร้างความชิงชังจนในหัวใจกระด้าง คุณหมอทำแผลจนเสร็จยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงาน สุดท้ายคนที่ไม่อยากให้มาก็มาจนได้ เจ้านาคียิ้มเผล่เมื่อเห็นคุณหมอ ภานุถือโอกาสนั้นหลีกหนีหน้าจากคุณหมอเสีย คุยกับเจ้านาคีแทน เจ้าเพื่อนรักดูจะห่วงใยคุณหมอเหลือเกิน ชายหนุ่มถอนใจ สุดท้ายก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

“ผู้พันมีทรัพย์เรียกประชุมด่วนบอกว่าข้าศึกเริ่มเคลื่อนไหวแล้วน่ะสิ"

ผู้กองนาคีกล่าวเมื่อเพื่อเลิกสนใจเรื่องของคุณหมอ บอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

"อื้อ..แล้วมีรายงานอะไรอีกไหม?"ภานุถามด้วยความเฉื่อยชา

"ต้องไปประชุมว่ะถึงรู้"

นายทหารทั้งสองต่างเดินไปยังฐานบังคับบัญชาการและแล้วอีกภารกิจหนึ่งที่ได้รับคือการลาดตะเวน ในแผนการเจาะจงขอแพทย์สนามไปประจำด้วย ร้อยเอกภานุรับคำสั่งในการเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวน ส่วนร้อยเอกนาคีรับคำสั่งเป็นคนคุ้มกันแพทย์สนาม....ต้นธาราถูกคัดชื่อเข้ามาแทนแพทย์ทหารที่ป่วยกะทันหัน... ไม่รู้ว่ามันเป็นความโชคดีรึโชคร้ายที่ในค่ายที่ขาดแคลนและห่างไกลความเจริญนั้นมีแพทย์เปี่ยมศักยภาพแค่สองคนคือ ต้นธาราและมาริสา ซึ่งหญิงสาวถูกคัดชื่ออกโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นผู้หญิง ต้นธาราจึงเป็นแค่ตัวเลือกเดียวในตอนนั้น....ทันทีที่ได้รับคำสั่ง...โศกนาฏกรรมมันก็เริ่มต้นขึ้น หัวใจแต่ละดวงต่างปวดร้าว...ความรักต่างเต็มไปด้วยน้ำตา

------------------------------------------------

“กระจายกองกำลังโอบล้อมไว้ คุ้มกันคุณหมอเร็ว!”

ภานุสั่งในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า ในสภาวะตรึงเครียดเช่นนี้ ชายหนุ่มสั่งงานอย่างรอบคอบ เสียงปืนปะทะดังเป็นตับ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตามสายลม คนที่กลัวมากที่สุดเป็นต้นธารา
เพราะเผชิญกับการสู้รบแลกชีวิตจริงๆด้วยตาตัวเองในฐานะแพทย์สนาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหมอ เราอยู่แนวหลัง” นาคีปลอบอ่อนโยน

มือเกี่ยวเกาะกุมสร้างความอุ่นใจให้เหมือนเช่นเคย ไม่มีอะไรที่น่าหวาดหวั่น ต้นธาราทำตามที่สั่ง มองแผ่นหลังราวกับเป็นที่กำบังภัย ต้นธาราคลายความหวั่นใจไว้ได้

“อย่าเงยหน้าขึ้นมานะครับ”

นาคีสั่งกุมมือเย็นเฉียบเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คอยปลอบประโลม ต้นธาราตั้งสติได้ เขากุมเป้เวชภัณฑ์ไว้แน่น คำนึงถึงหน้าที่และความปลอดภัย

“ตีทางซ้าย!”

เสียงตะโกนโหวกเหวก ต้นธาราลืมตาข้างหนึ่ง เหงื่อไหลท่วมกาย ทั้งๆที่กลัวก็ยังอยากเห็น ภาพการต่อสู้อันดุเดือด การกระจายกำลังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ช่างรวดเร็วยิ่งนัก เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว

“มาทางนี้”

นาคีฉุดร่างที่เหม่อลอยปลิวติดมือ ต้นธาราจำต้องลุกขึ้นตาม ยังทันที่จะเห็นคนล้มเพราะอาวุธร้ายเจาะเข้าร่างกาย พร้อมกับชีวิตที่ปลิดปลิว ต้นธาราถูกกระชากลากถู ในหัวสมองของคุณหมอขาวโพลนเมื่อเห็นความตายอันโหดร้ายยิ่งกว่าในห้องผ่าตัด

“คุณหมอ!”

เสียงเรียกให้ตื่นจากภวังค์ ต้นธารามองหน้านาคี เหงื่อใสๆผุดจากปลายจมูก มือหนาซับออกให้

“อย่ากลัว...”

คำปลอบประโลมพร้อมกับมือกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ มือหนาจะไม่มีวันปล่อยแม้จะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม!

ต้นธาราหยุดเคลื่อนไหว รั้งให้ผู้กองหยุดด้วย สายตาของคุณหมอสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิต กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดท่ามกล่างห่ากระสุน นาคีฉุดรั้งไว้ ทันทีที่เสียงครางดังหลุดรอดจากปาก

“ผมต้องช่วยเขา”

คุณหมอออกปากทันทีด้วยเมตตาธรรม หากนาคีมองสถานการณ์รอบกาย ไม่อนุญาต อีกอย่างคนตรงหน้ามีสิทธิ์ตายมากกว่าจากที่เห็นบาดแผล ต้นธาราสงสารเพราะเห็นเป็นแค่เด็กหนุ่ม...สะเทือนใจลึกๆเมื่อเห็นว่าต้องเกณฑ์กระทั่งเด็กหนุ่มมาออกรบ ถือปืน เข่นฆ่า ทั้งคู่ทุ่มเถียงกันท้ายที่สุดแล้วนาคีต้องจำยอมด้วยความไม่เต็มใจ

“ก็ได้ครับ...ช่วยได้เท่าที่คุณหมอจะช่วยได้เท่านั้นนะครับ”

ชายหนุ่มคุ้มกันคุณหมอ ต้นธาราเปลี่ยนท่าทีจากกลัวสถาณการณ์รอบกาย ใส่จิตวิญญาณแพทย์อาสา ทำแผลให้ หากคนป่วยไม่ยินดีสักเท่า ต้นธารายิ้มอ่อนโยนปลอบประโลม ต้นธาราพยายามช่วยเท่าที่จะช่วยได้ เสียงปืนกระหน่ำไม่ขาดสาย ผู้กองรั้งร่างของต้นธาราขึ้น

"เร็วเถอะครับคุณหมอ"

ต้นธารามองใบหน้าผู้ที่เขาช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งไปกับผู้กอง หากสายไป....เสียงปืนดังกระหน่ำ รัวจนไม่รู้ทิศทาง ต้นธาราถูกผลักจนกระเด็น กระเป๋าเวชภัณฑ์กระจาย ผู้กองนาคีล้มลงทับเขา คุณหมอรู้สึกจุกสัมผัสถึงเลือดที่ไหลรินซึมเข้าไปในเนื้อผ้า หมวกเหล็กกระเด็นไปไกล ภาษาแปลกๆไม่คุ้นเคยดังเข้าหู ความหวาดกลัวแผ่ซ่าน...ไปจนถึงขั้วหัวใจ

"อยู่นิ่งๆครับ"

ต้นธาราดีใจที่ผู้กองนาคียังไม่ตาย น้ำตาจึงไหลออกมา

"อย่าให้มันรู้นะครับว่าคุณหมอไม่เป็นอะไร"

ลำแขนโอบเอวรอบขยับไม่ให้ผิดสังเกตซับน้ำตาให้

"ผู้กองบาดเจ็บ"

ต้นธารากระซิบ ชายหนุ่มยิ้มให้

"เรื่องเล็กครับ ชูว์...พวกมันเข้ามาแล้ว"

เสียงกระซิบแผ่วเบาดังเป็นครั้งสุดท้าย ต้นธาราไม่รู้อะไรทั้งนั้น เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นเพราะเสียงตะโกนของคนที่ถูกเขาช่วยพูดราวกับจะห้าม อยู่บนความลังเล ภานุพากำลังพลกระหน่ำยิงฝ่าวงล้อม ภานุสังหารเจ้าคนที่ยึดปืนพกของผู้กองนาคี ปืนกระเด็นเข้ามาใกล้ ผู้กองนาคีลุกขึ้นฉุดเข้าลุกตาม กระสุนปืนยิงกราดใส่ รัวจนเหมือนข้าวตอกแตก

"ไปหาไอ้ภานุ...มันจะปกป้องคุณด้วยชีวิต!"

ผู้กองนาคีผลักร่างต้นธาราไปสู่อ้อมแขนของภานุ เขาเซล้มเสียก่อน เสียงปืนดังซ้อนๆกัน นึกว่าตัวเองจะตายไปเสียแล้ว แต่ก็เปล่า เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมา ร่างของผู้กองนาคีนอนเคียงข้างเขา ตามลำตัวมีเลือดไหลไม่หยุด คุณหมอช๊อกไปชั่วขณะ ฝ่ายตรงข้ามรีบถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็วเพราะชำนาญพื้นที่กว่า ภานุโผล่ออกมาวิ่งเข้ามาหาคุณหมอที่พยายามช่วยเหลือร่างที่ตายไปแล้วของผู้กองนาคี นายทหารที่ติดตามไปดึงออก แต่คุณหมอก็ดิ้นเร่าๆ

“ผู้กอง...ผู้กองนาคี!”

ผ้าก๊อซและมือชุ่มไปด้วยเลือด ภานุหลับตา เขาไม่คิดฝันว่าเจ้าเพื่อนที่เคยเฮฮาหยอกล้อเมื่อเช้าไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว...ความเสียใจแผ่ทั่วกาย...เศร้าเสียใจ...ไม่อาจเรียกชีวิตเพื่อนกลับคืนได้ ต้นธาราพยายามดิ้นรนจากการกอดรัด ภานุมองอาการนั้น...มองเนิ่นนาน...เวลาที่ไม่อาจหวนกลับได้ผูกมัดคนทั้งสองเอา จนไม่อาจดิ้นหลุด

------------------------------------------------

ร่างของคุณหมอถูกผลักลงบนเตียงเก่าๆมอๆ หลังจากที่ผู้กองหนุ่มกรอกแอลกอฮอล์จนสำลัก ภาพต่างๆที่ผ่านมาไหลผ่านกายราวกับความฝัน เมื่อครู่เขาก็ฝัน...ฝันถึงผู้กองผู้แสนอ่อนโยนตาย หากมันเป็นความฝันก็ดี บางทีคงไม่เจ็บปวดกายไปมากกว่านี้ คนที่สิ้นเรี่ยวแรงขัดขืนมองข้อมือถูกพันธนาการบนเตียง กี่ครั้งกี่คราที่เขาถูกพันธนาการจากชายผู้นี้ เมื่อไรจะได้หลุดพ้นจากวังวนกัน เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากไม่มีสิ้นดี กองอยู่ข้างเตียง คุณหมอที่หมดแรงขัดขืนนอนนิ่งปล่อยให้ภานุจัดกายร่างกายตามอำเภอใจ แก่นกายแกร่งหายไปในช่องทางคับแคบทั้งๆที่ไม่มีความเตรียมพร้อม นิ้วกร้านบีบบี้ยอกอกประทับบนแผ่นอกขาวอย่างเมามัน ไม่ได้เจือความรัก ไม่ได้เจือด้วยตัณหา...

เสียงร้องครางกระเส่าดังจากกระท่อมหลังน้อยซึ่งเป็นที่พักอาศัยของภานุ ร่างที่อยู่ภายใต้การควบคุม ครวญครางร้องไห้อย่างเจ็บปวด ความฝันต่างๆกัดกินจิตใจ จนคิดว่าตัวเองไร้ตัวตน น้ำตาที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายลดความดุดันหลั่งรินเรื่อยๆ

“ร้องทำไม คนอย่างแกไม่สมควรร้องด้วยซ้ำ”

ดวงตาไร้แวว มองผู้ที่รุกรานจนอย่างสิ้นหวัง เรือนผมจิกจนใบหน้าแหงนหงาย เจ็บปวดไปทั่วกายทันทีแก่นกายแข็งขึงขยับเขยื้อน มองใบหน้ากร้าวเปี่ยมด้วยกลิ่นอายความแค้น

“ไอ้นาคีมันพยายามปกป้องคุณเพราะอะไร เพื่อให้คุณฆ่ามันตายไปแบบนั้นหรือ?”

ชายหนุ่มตะคอก วางศีรษะลงอย่างแรง คนที่เหมือนกับตุ๊กตาดิ้นรนขัดขืน สุดท้ายไร้ประโยชน์ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ต้นธาราพยายามบิดมืออกจากเชือกผูกมัด มันเป็นรอยช้ำ แรงกระแทกทำให้ใบหน้าเหยเก สิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการกลับรุกรานเรื่อยๆ ยิ่งลึกยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนระทวย ความกระสันบังคับร่างงอเข้าหากัน

“พอเถอะ...ผมขอโทษ”

เสียงของต้นธาราแผ่ว หากคนหน้ามืดตามัวไม่ได้ยิน กลับรุนแรง ขาเรียวยกขึ้นสูง แรงกระแทกหนักหน่วง ร่างกายอ่อนระทวย มองดูยั่วยวน ดวงตาแกร่งลุกโพลงราวกับมีไฟลุกท่วม สะกดให้หวาดกลัว ยิ่งร่างแกร่งทาบทับมากเท่าไร ยิ่งถูกกดขี่ให้เป็นเบี้ยล่าง ต้นธารายิ่งล่องละลอย หัวใจเหมือนถูกกรีดเฉือนเมื่อถูกกระทำดูถูกราวกับไร้ยางอายเช่นนี้

“ผ..ผม...”

ต้นธาราตั้งตนพูดกลับถูกปิดปากเอาไว้ ภานุเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ต้นธาราเจ็บจนทนไม่ไหว เขากัดมือที่อุดปากทันที กัดเต็มแรงจนชายหนุ่มร้อง มือเป็นรอยฟัน

“ฮึ่ม....”

ชายหนุ่มคำราม ยกมือฟาดใบหน้าสวย คุณหมอหน้าหันแม้เป็นแรงตบเบาะๆมันก็ทำให้ใบหน้าขาวนวลแดงช้ำ ปวดใจจนอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลริน ความเจ็บปวดกระหน่ำในหัวใจจนไม่รู้จะระบายเช่นไรแล้ว....


“ขัดขืนทำไม น่าจะชินแล้วนี้”

คำพูดหยาบโลนกระซิบริมหูจนคนฟังสะท้านด้วยความโกรธ คุณหมอขัดขืนอีกครั้งๆทั้งๆที่สะโพกปวดปร่า แก่นกายอุ่นๆเสียดสีภายใน เหงื่อท่วมกายทั้งคู่ คุณหมอลิ้มรสเลือด มันไหลหลังรินเรื่อยๆ ภานุหยุดการกระทำของตัวเอง มองเห็นดวงตาคู่สวยวาวโรจน์

“คุณมันทุเรศ”

ต้นธาราด่าโดยไม่หวั่นเกรงว่าจะโดนกระทำรุนแรงอีก สำหรับเขา แค่นี้ยากจะเหลือรับ! ภานุเอี้ยวกายหยิบมีดคมกริบตัดเชือดผูกมัดออก รั้งร่างของคุณหมอขึ้น มองแววตาโกรธเคือง สิ้นหวังเคล้าคละกันไป สำหรับเขามีค่าเท่าไรนอกจากเป็นเครื่องมือระบายความชิงชังและอยากทำลายคามือ

“อยากฆ่ากันนักก็ฆ่าเลย ไหนคุณก็ว่าผมทรยศอยู่แล้วนี่”

คุณหมอเอ่ยทั้งๆเจ็บแผลในปาก เขามันงมงายเกินไป ความฝันแตกสลายไม่มีแต่ความรัก มือหนาเอื้อมกุมต้นคอระหงเอาไว้ ออกแรงบีบเพียงนิด ต้นธาราต้องคอหัก! หากภานุไม่ทำ....ยิ่งทำให้ต้นธาราคลั่งแค้น เขาอัปยศมากพอแล้ว อัปยศเกินกว่าที่จะทน เตรียมกัดลิ้น ชายหนุ่มสังเกตได้สอดนิ้วเข้าไปในปาก

“เร็วไปมั้งที่จะตาย!”

เสียงกระซิบเหี้ยมเกรียม บ่าบางถูกขบกัดเป็นรอย ภานุเหมือนอยากฉีกกระชาก ย่ำยี ประทับให้เรือนร่างที่ดูบริสุทธิ์แปดเปื้อน ต้นธาราดิ้น ร่างใหญ่ทาบทับ กดร่างกายท่อนร่างของอีกฝ่ายไว้ จมูกซุกไซ้ลำคอ แก้มขาวซีดถูกไล้เลีย ลิ้นสัมผัสหยาดหยดน้ำตาอุ่นๆ ริมฝีปากแนบประกบ ดูดกลืนด้วยความอ่อนโยนชั่วขณะ ถ้ามันเจือความรักในหัวใจของชายคนนี้สักเศษเสี้ยวก็ดีสิ...บางทีเขาไม่ต้องทุกข์ทนทรมาน ต้นธาราค่อยๆปิดตาลง...บางทีไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงดี หัวใจด้านชาดวงนั้น มีเพียงแค่ความใคร่เพียงเท่านั้นหรือ... ภานุเห็นคุณหมอแน่นิ่ง แม้จิตใจส่วนหนึ่งตกใจ หากสุดท้ายแล้วกลับปล่อยให้นอนทั้งๆสภาพเช่นนั้น ยามถอนแก่นกายออกเห็นเลือดเปรอะปนกับคราบขาวขุ่นติดบนที่นอน ภานุก็คร้านที่จะเอามาใส่ใจ ชายหนุ่มจุดบุหรี่คาบไว้ตรงมุมปาก ดวงตามองเห็นต้นธาราเป็นแค่เศษซากไร้ค่า.....ต้นธารากระพริบตาถี่ๆ น้ำตาเขาเองเหือดแห้งไปนานแล้ว...เพราะหัวใจเขาเองแตกสลาย แหลกยับไปทั้งดวง คล้ายกับกระเบื้องเคลือบแตกร้าว เก็บงำความรู้สึก "รัก"เอาไว้ในมุมหนึ่งหัวใจร้าวราน...บางที....บางที...ในความคาดหวังจากส่วนลึกหัวใจ...ชายคนนี้จะหันกลับมามอง

------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #189 เมื่อ: 09-06-2008 21:29:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #190 เมื่อ09-06-2008 22:24:53 »


ผู้กองนาคี เป็นคนดีมากมาย.. แต่ไม่น่า มาด่วน ตาย เลย แง๊ๆๆๆ 

ตายในหน้าที่ ตายเพื่อนปกป้องคนที่ตัวเองรัก ถึงแม้ คนที่ถูกปกป้อง จะรักอีกคนหมดหัวใจไปแล้วก้อเหอะ

อ๊ากกกกกกกกกส์    :serius2:   

เส้าอ่ะ อ่านตอนนี้อ่ะพิม แง๊ๆๆ คนเขียนใจร้าย  :a6:


ผู้กองภานุ  อารมณ์ เย็นชา  ไม่ชอบแสดงความรู้สึก ..แต่ลึกๆ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่ ชิมิ

แต่ทำไมโหดร้าย ก่าคุนหมอจังเล้ยยยยยยยยย...ย    :m13:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #191 เมื่อ10-06-2008 05:08:24 »

ซินก็ ถ้าผู้กองนาคีไม่ตาย ถึงเค้ามีชีวิตอยู่ก็คงไม่มีความสุข เพราะคุณหมอไม่ได้รัก

แถมจะกลายเป็นรักสี่เส้า  :m31: :m31:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #192 เมื่อ10-06-2008 06:48:45 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม สงสารผู้กองนาคีนะครับ

ทำให้คิดถึงผู้กองนาคีขึ้นมาเลย

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #193 เมื่อ10-06-2008 16:12:20 »

ใครไม่รักผู้กองนาคีก็ช่าง

ผมรักผู้กองนาคีครับ

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #194 เมื่อ10-06-2008 20:45:58 »

ใครไม่รักผู้กองนาคีก็ช่าง

ผมรักผู้กองนาคีครับ


ผู้กองนาคีได้ยินคงซึ้ง ในที่สุดก็มีคนมองแกแล้ว
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม สงสารผู้กองนาคีนะครับ

ทำให้คิดถึงผู้กองนาคีขึ้นมาเลย

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ผู้กองนาคีจะโผล่มาในตอนพิเศษอีกเจ้าค่ะ


ซินก็ ถ้าผู้กองนาคีไม่ตาย ถึงเค้ามีชีวิตอยู่ก็คงไม่มีความสุข เพราะคุณหมอไม่ได้รัก

แถมจะกลายเป็นรักสี่เส้า  :m31: :m31:


ผู้กองนาคี เป็นคนดีมากมาย.. แต่ไม่น่า มาด่วน ตาย เลย แง๊ๆๆๆ 

ตายในหน้าที่ ตายเพื่อนปกป้องคนที่ตัวเองรัก ถึงแม้ คนที่ถูกปกป้อง จะรักอีกคนหมดหัวใจไปแล้วก้อเหอะ

อ๊ากกกกกกกกกส์    :serius2:  

เส้าอ่ะ อ่านตอนนี้อ่ะพิม แง๊ๆๆ คนเขียนใจร้าย  :a6:


ผู้กองภานุ  อารมณ์ เย็นชา  ไม่ชอบแสดงความรู้สึก ..แต่ลึกๆ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่ ชิมิ

แต่ทำไมโหดร้าย ก่าคุนหมอจังเล้ยยยยยยยยย...ย    :m13:


เหอๆๆผู้กองนาคีเป็นม้านอกสายตา อีตาภานุตามสไตล์เฮียแก ปากหนักก็รักจริงน้า

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #195 เมื่อ13-06-2008 14:56:09 »

ห้วงรัก:13 Harmful/เผชิญหน้า


กองไฟมอดลงแล้ว ช้าๆนานๆจะมีใครสักคนผ่อนลมหายใจออกมา แหงนหน้ามองท้องฟ้าราวกับมองดูวันสุดท้ายของชีวิต แสงดาวค่อยๆเลือนหาย ทุกๆคนต่างนอนกอดปืนไว้ไม่ห่างจากตัว ประสาทที่อ่อนล้าตึงเครียด แต่จ่าแม้นยังทำตัวเฉย จ่าชราหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะลืมขึ้นมองกระติกน้ำของตัว แกเขย่ากระติกน้ำสีเขียวหนาหนัก แล้วจ้องมองยังหันหน้าชุดหน่วยลาดตะเวนชายแดน

"ผู้กองครับ ดูเหมือนน้ำท่าเราจะไม่พอกินพอใช้เสียแล้วครับ แล้วพวกมันน่าจะล้อมพวกเราให้อดตายกันเสีย
มากกว่าปะทะ"

เสียงของจ่าแม้นราบเรียบเป็นโทนเดียวกัน ภานุที่ได้รับฟังถึงกับกุมขมับ ลูกน้องภายใต้บังคับบัญชามองหน้ากันเลิกลั่ก ดวงตาแกร่งหันไปทางหมวดอานุภาพ แววตาครุ่นคิดหาวิธีการตั้งรับที่เหมาะสมกว่านี้

"หมวดอานุภาพ วิทยุสามารถใช้งานได้หรือไม่ หากได้ขอให้ติดต่อไปที่ฐานส่งกำลังพลมาช่วยเราด่วน แล้วมีใครในที่นี้พอจะแทรกซึม ฝ่าวงล้อมออกไปได้บ้าง?"

ร้อยตรีอานุภาพรีบทำตามคำสั่ง ภานุกวาดตามองทุกๆคน ไม่มีใครรับ ต่างเงียบกริบ จ่าแม้นเอ่ยเสียงเนิบๆ

"ผู้กองครับ เรายังสืบทราบไม่ได้ว่ากองกำลังมันมีเท่าไร แล้วตั้งโอบเราไว้ตรงไหน พวกมันลึกลับกันเหลือเกิน เกรงว่าหากตีฝ่า ทางเรามีแต่จะเสียเปรียบ"

ผู้กองภานุกัดปากตัวเอง แววตาขุ่นเคืองต่อฝ่ายตรงข้าม

"แล้วน้ำ อาหารมีพอกินกี่วัน พอให้ทุกๆคนกินไหม?"

ชายหนุ่มถามถึงเสบียงกรัง ร้อยเอกรังสรรค์จึงเป็นคนบอก

"น้ำกับอาหารเรามีพอกินกันไปแค่สี่วัน ผมไม่รู้ว่ามันจะล้อมกี่วัน ลงมือวันไหน ผมเกรงว่า มันจะเฝ้าดูเงียบๆแล้วรอให้เราอ่อนล้า ก่อนจะตีกระหน่ำซ้ำ"

ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ย พยายามพูดกันให้เบาที่สุด ธีรเดชมองใบหน้าของทุกๆคน มันสะท้อนแสงไฟวอมแวม
เผยให้เห็นใบหน้าปราศจากความรู้สึกแต่ดวงตาฉายแววหนักใจ

"อย่างงั้นหรือ งั้นสถานการณ์เราก็เข้าขั้นวิกฤต เอาล่ะ ขอผมคิดสักครู่ ก่อนผมจะบอกแผนแก่พวกคุณ วันนี้นอนเอาแรงเถอะ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะลอบยิง เพราะมันคงไม่อยากบอกตำแหน่งให้เรารู้หรอก ผมจะเฝ้ายาม
เองและขอให้ทุกคนทำตัวเป็นปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้แล้วว่าเรารู้ว่ามันล้อมเรา"

ใบหน้าของทุกคนค่อยผ่อนคลายลง จ่าแม้นยกมือขึ้นอาสาอยู่เฝ้า แต่ธีรเดชชิงก่อนเสียแล้ว

"เดี๋ยวจ่าไปนอนเถอะ ผมจะอยู่กับผู้กองเอง"

ครั้นแรกภานุจะทักท้วง แต่ว่าเห็นความตั้งใจจริงจึงไม่เอ่ยอะไร ได้แต่จุดยาสูบไฟแดงวาบ เฝ้ามองลูกน้องหาที่หลับที่นอนแต่ยังไม่คลายจากการกอดปืน เพราะมันเป็นอาวุธที่จะทำให้รอดหากถูกโจมตีกะทันหัน ธีรเดชมานั่งข้างผู้กองภานุอย่างเงียบๆ กลิ่นไม้พุพังอับชื้น น้ำค้างตอนกลางคืนตกเปาะแปะ ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว ลมพัดกรรโชก เสียงใบไม้เอนไหวผสมกับเสียงแห่งพงไพร

"คุณว่าเราจะรอดไหม?"

ธีรเดชถามด้วยความเงียบสงบ เขากระชับผ้าขาวม้า เขี่ยไฟให้กระจาย ภานุมองเสี้ยวใบหน้าที่ซ่อนในความสลัว

"อาจจะ..."

บุหรี่ส่งควันลอยอ้อยอิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร นิ้วแกร่งลูบตัวปืนอย่างใจลอย ธีรเดชจึงไม่ถามต่อ มองไปรอบๆตัวแทน

"หากครั้งสุดท้ายที่คุณตายจาก คุณจะนึกถึงใคร"

ในที่สุดธีรเดชก็ชวนคุยกันต่อ ในคืนเงียบสงบ ดวงดาราเปล่งประกาย ในสายตาคู่แกร่งจะตอบเช่นไร

"สำหรับผมผมคงจะนึกถึงคนที่รักมากที่สุด คือพ่อ แม่ ท่านนายพลที่ผมเคยรับใช้แล้วก็...ธาร"

ปลายไม้ที่ใช้เขี่ยไฟเล่นถูกเผาเป็นสีดำ ธีรเดชหันมาขอคำตอบ ภานุจำต้องตอบขณะที่มือยังไม่หยุดลูบไล้ตัวปืน

"ผมคงจะไม่นึกถึงใครเลยนอกจากตัวเอง เพราะผมก็ไม่มีใครให้นึกถึง คนที่รักก็ตายจากไปแล้ว อีกอย่างคำ
ถามที่คุณถามผม แสดงว่าในตอนนี้ใจคุณกำลังหวั่นไหวกับสิ่งรอบๆตัว เกิดความกลัวจนอยากรอด"

ธีรเดชหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสั่นหัว

"มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ผมไม่ได้กลัว ถูก...ที่ผมจะขลาดเขลาบ้างเพราะผมยังคงเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจ อยากอยู่รอดในสถานการณ์อันตราย แต่สิ่งที่ผมถามผู้กองนั้นก็เพราะว่ามันเป็นบทพิสูจน์ใจของผู้กองไงล่ะ ผู้กองครับ...คุณมีเลือดเนื้อเฉกเช่นเดียวกับผม หากคุณมิพอใจ ผมก็ออกตัวก่อนว่า มิใช่ผมสู่รู้อยากสอนคุณแต่ว่าเวลามันสั้นลงทุกทีๆ สั้นจนน่ากลัว...เขาจะอยู่ในสายตาของผู้กองไหม"

'เขา' คนที่ธีรเดชเอ่ยถึง ภานุรู้ดีว่าหมายถึงใคร ดวงดาวเปล่งแสงวูบ ก่อนชายหนุ่มจะเห็นดาวตกไปทางทิศที่ค่ายตั้งอยู่ ในใจของภานุจะอธิษฐานอะไร?

------------------------------------------------

ต้นธารามองเบื้องนอกที่มืดสนิท ใจของเขาห่วงหาอาวรณ์ต่อผู้กองหนุ่ม จนบิดาตื่นขึ้นมาเห็นเขาพิงหัวเตียงเอาแต่จับจ้องไปข้างนอกแสนนาน ท่านจึงลุกขึ้นจากเตียงที่ทางโรงพยาบาลจัดให้มาเกาะกุมมือลูกชาย

"ธาร เป็นอะไรรึ นัยน์ตาของเจ้าทอแววเศร้า ทุกข์ตรมอะไร"

เขามองมืออันเหี่ยวย่นของบิดา สัมผัสหยาบกร้านยังคงอุบอุ่นเสมอ วันนี้ท่านแต่งตัวด้วยเสื้อโปโลมาเฝ้าบุตรชาย ท่านกลุ้มใจเพราะบุตรทานอาหารน้อย ดูเซื่องซึม ท่านนายพลได้แต่บีบมือแน่น กุมกระชับให้รู้สึกอุ่นใจ
ในที่สุดผู้เป็นบุตรก็เอ่ยขึ้นมา

"ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกหวั่นใจ เกรงว่า..."

ต้นธาราเงียบไป ท่านนายพลพิภพรู้ดีว่ามันหมายถึงใคร ท่านสบดวงตาของบุตรอย่างพินิจ

"พ่อรู้ว่าเจ้าห่วงใยใคร แต่ว่าร้อยเอกภานุนั้นต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน"

ท่านเอ่ย รอยยิ้มผุดจากใบหน้าของบุตรชาย

"ธี ด้วยใช่ไหมครับ ผมห่วงคนที่ไปทั้งหมดแหละ ไม่ได้เจาะจงใครเลย"

คำพูดเอ่ยแผ่วเบา บิดายิ้มตาม

"พ่อก็ห่วง อีกไม่นานภารกิจของพวกเขาก็จะจบ ลูกก็ทำตัวว่าง่ายซะ ทานข้าวเยอะๆบ้าง เจ้ายิ่งไม่สบายอยู่ด้วย"

ต้นธารารู้ดีเขาทำให้บิดาเป็นห่วงมากขนาดไหน ทั้งๆที่หาแต่ความทุกข์ใส่ท่านแท้ๆ ในห้องที่สว่างจ้า เขาอยากลงไปกราบเท้าท่าน เขารู้ว่าทำผิดอะไรไว้บ้าง ดวงตาจึงพร่าเลือน ท่านนายพลลูบศีรษะบุตร

"เจ้ากลัวหรือธาร อายุยังน้อยช่างน่าสงสารนัก หากพ่อช่วยเจ้าได้มันคงดีไม่น้อย"

ท่านว่า เพราะท่านไปตรวจไขกระดูกแล้ว แต่ไม่ตรงกับบุตร หมอบอกท่านว่าถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจใช้ไขกระดูกทดแทนกันได้ก็มี มันทำให้ท่านเคร่งเครียด เกรงว่าจะไร้ความหวัง ต้นธารากล้ำกลืนความเศร้า ข่มน้ำตาไม่ให้รินไหล

"พ่อครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอให้พ่อไปพักเถอะครับ"

บิดาส่ายหัว บอกว่าหากเขาไม่ยอมนอน ท่านก็ไม่ได้ ต้นธาราจึงถอนใจ

"ผมจะนอนแน่ครับ ผมสัญญา แต่ผมขอมองไปนอกหน้าต่างชั่วครู่ชั่วยามเถิด"

เขาก้าวลงจากเตียง บิดาประคับประคอง สายน้ำเกลือถูกห้อยระโยงระยางมาด้วย ต้นธารายกมือแนบผิวกระจกเย็นเฉียบ ไฟนีออนส่องสว่าง ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ซึ่งแสงดาว ต้นธาราหลับตาลง เขาคิดถึงสิ่งที่ได้กระทำลงไปทั้งหมดกับผู้กองภานุ หัวใจมันก็พลันว่างเปล่า นายพลพิภพมองใบหน้าของลูกซึ่งสะท้อนผ่านกระจก แววตาฉายคล้ายกับสัตว์ป่าถูกล่ามให้อยู่ในกรง ไร้ซึ่งความสุข มีแต่ความทุกข์ และแล้ว ต้นธาราก็มองเห็นแสงดาวส่องประกายวาบ หายไปในฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่ท่านนายพลเป็นอย่างมาก ท่านอยากรู้ว่าบุตรของตนคิดอะไรอยู่ ไฉนถึงได้มีสีหน้าเป็นสุขอย่างรวดเร็ว แต่ท่านก็มิซักถาม เพราะบุตรชายทำตามสัญญาของท่านโดยการยอมขึ้นเตียงนอนอย่างว่าง่าย ท่านจึงนั่งอยู่บนเตียงตัวเอง ขัดสมาธิในความเงียบสงบ ท่านอยากรู้ว่าการที่ลูกของท่านมีความรักสิเน่หาให้แก่ผู้กองหนุ่มซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากยศศักดิ์จะตอบแทนอะไรคืนบ้าง ความหงุดหงิดเกิดขึ้นมาโดยใช่เหตุ หากชายผู้นั้นเพียงคิดว่าลูกชายเขาไร้ค่า เขาคงกระอักเลือด โกรธคลั่งแค้นและคงใช้วิธีที่เหี้ยมโหดทำร้ายมันจนตาย ท่านลูบใบหน้าของตนเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แต่หากว่ารักตอบท่านจะทำเช่นไร ให้มันตายเสียดีกว่าที่จะเป็นแบบนั้น ท่านนึกอย่างขุ่นใจ พยายามหาเหตุผลมาหักล้างให้คลายจากความขุนเคือง ความสุขของบุตรคือความสุขของท่าน ท่านมักพึ่งระลึกข้อนี้ไว้ แล้วคลายจากความโกรธที่ทับทม ท่านล้มตัวนอนหลับสนิท จนกระทั่งเช้า เขาเห็นบุตรชายนั่งมองถ้วยเซรามิกสีขาว ข้างเตียงมีท่านนายพลอรุณ คอยส่งน้ำส่งท่าให้หลานชายบุญธรรม พร้อมด้วยนายแพทย์ประกิต

"อรุณสวัสดิ์ครับท่าน"

นายแพทย์ประกิตทัก เขาถือหูฟังไว้ ยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อระบบการเต้นหัวใจของต้นธาราเป็นปกติ ขณะที่ต้นธารานั่งทานซุปเห็ดรสชาติจืดชืดอย่างหงอยเหงา นายพลอรุณทักทายเพื่อนเก่าขณะที่ท่านนายพลพิภพไปล้างหน้า

"ว่าไง ไอ้เสือเฒ่า วันนี้มาแต่ไก่โห่เชียว"

ท่านนายพลทั้งสองทักทายกันอย่างสนิทสนม

"เอ็งนั้นแหละตื่นสาย ข้าพาหนูธารไปเดินเล่นได้สองรอบแล้วโว้ย"

พูดจบท่านนายพลอรุณก็หัวเราะเสียงดัง หันกลับไปดูผู้เป็นหลาน

"อ้าว ลูกตื่นกี่โมงเนี่ย?"

ท่านนายพลพิภพมองนาฬิกาเรือนแพงซึ่งบ่งบอกว่าเกือบแปดโมงแล้ว ต้นธาราพูดอุบอิบในลำคอ

"หกโมงครับ ลุงอรุณพาผมไปเดินเล่นชั่วโมงครึ่ง แล้วขึ้นมาตรวจร่างกายกับนายแพทย์ประกิต"

ท่านนายพลพิภพหันไปทางนายแพทย์ประกิต

"อาการของธารเป็นอย่างไรบ้างครับ?"

นายพลอรุณหันไปทางนายพลพิภพก่อนจะเอ่ยอย่างสบายใจ

"อาการของหนูธารแข็งแรงนี่น่า จริงไหมประกิต"

ท่านให้กำลังใจ นายแพทย์ประกิตยิ้มรับ

"ครับ...อาการของคุณต้นธาราดีขึ้นมากเลยครับ หากทานอาหารให้หมดแล้วละก็จะดีมากเลย"

ถ้วยซุปเห็ดเลื่อนออกห่างจากตัว สายตาที่เฝ้ามองต่างประหลาดใจ เพราะเห็นมันเหลืออยู่เต็ม

"ทำไมไม่ทานเยอะๆล่ะลูก"ลุงอรุณลุกขึ้น ดวงตาทอแววห่วงใย ผู้เป็นบิดาบีบบังคับอีกคน

"เจ้าผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้วรู้ไหม ทานเสียหน่อยเถอะธาร ถ้าธารหายป่วยพ่อจะพาไปเลี้ยงใหญ่เลย"

นายพลพิภพปลอบเขาราวกับเป็นเด็กๆ สายตาของต้นธาราก็ยังคงมองถาดอาหารอย่างซึมกะทือ นายแพทย์ประกิตสบทบอีกคน

"คุณต้นธาราทานเสียหน่อยเถอะ เพื่อร่างกายคุณก็ยังดี ร่างกายคุณจะอ่อนล้ามากเลยนะครับหากไม่ได้ทานอะไร"

ต้นธาราหยิบช้อนขึ้นมา เขาเฝ้ามองช้อนเงินกระทบแสงไฟวับวาวแล้วถามถึงผู้กองนาคี

"อัฐิของผู้กองนาคีตั้งอยู่ที่ไหนหรือครับ? บ้านเกิดเขาอยู่ที่ไหน"

คำถามที่โพล่งขึ้นมากระทันหัน ท่านนายพลทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนท่านนายพลอรุณจะบอกกล่าวความจริงแก่ต้นธารา

"บ้านของนาคีอยู่เชียงราย อ.แม่สายเหนือสุดของประเทศไทย มีอะไรล่ะ"

ต้นธารายังไม่ทานอาหาร

"ผมอยากรู้ว่าหลังจากที่ผู้กองนาคีตายมันจะเป็นอย่างไรบ้างน่ะครับ"

ต้นธารายังไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง นายพลอรุณรับรู้จึงถามอย่างนุ่มนวล

"อยากไปเยี่ยมครอบครัวของผู้กองหรือลูก เฮ้อ...ว่าไงพิภพ?"

ท่านหันไปทางนายพลพิภพ ซึ่งสีหน้าของเขาขรึม

"หากจะไปคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับหมอ?"

นายแพทย์ประกิต มองดูชาร์จรายงานประวัติคนไข้ ก่อนจะบอก

"ไม่เป็นไรครับ ถ้าไปค้างคืนนี้คงได้ไม่เกินสักสองสามคืน เพราะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดผมมีข่าวดีมาบอกครับ ผมได้ติดต่อแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้แล้วครับ"

สีหน้าของท่านนายพลอรุณดีขึ้น ก่อนจะตัดสินใจ

"งั้นเราจะไปเยี่ยมครอบครัวของผู้กองนาคีกัน"

สีหน้าของต้นธาราดีขึ้น เขาจึงทานซุปจนเกือบหมด นายพลทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนท่านนายพลอรุณจะเดินออกไปกับนายแพทย์ประกิต ต้นธาราทานยา เขาอ่อนเพลียจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว ท่านนายพลมองใบหน้าสงบแล้วมองท้องฟ้าสว่างสดใส ก่อนจะสั่งให้ทหารรับใช้ที่นายพลอรุณให้มารับใช้เขาระหว่างที่อยู่ ณ ที่ค่ายใหญ่ไปเก็บเสื้อผ้าและเตรียมตัวไปยังอำเภอแม่สายโดยเร็ว

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #196 เมื่อ13-06-2008 15:00:15 »

เจ้าขิ่นหอบหายใจแฮ่กๆ มันปาดเหงื่ออกจากใบหน้า ขณะที่มันมองไปรอบๆกาย ความมืดปกคลุม เงาตะคุ่มของต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นมายาปีศาจ เจ้าขิ่นล้วงเข้าไปในย่ามที่มันตระเตรียมมา เอาผ้าห่มมาคลุมกาย มันไม่สามารถก่อไฟได้ มันพัดวี่ไล่ยุงที่บินตอมหึ่งๆ คันคะเย่อไปทั้งเนื้อทั้งตัว เสียงตบยุงเปาะแปะดังเบาๆในความมืดมืด เจ้าขิ่นนอนหลับๆตื่นๆ จนกระทั่งมันทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นหาที่นอนใหม่ แต่จู่ๆมันก็ชะงัก จมูกเชิดไปในอากาศ มันได้กลิ่นควันไฟลอยมาตามลม ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก มันจึงรีบเก็บข้าวของขึ้น แล้วเดินอย่างแผ่วเบาไปยังต้นตอของกลิ่น มันก็ได้เห็นกองโจรกระเหรี่ยงกลุ่มใหญ่นั่งซุบซิบ พูดคุยกันอย่างแผ่วเบา เจ้าขิ่นเงี่ยหูฟัง มันแอบลอบมองสำรวจได้ว่าเจ้ากองโจรกลุ่มนี้มีประมาณสี่ยิบคน บ้างก็เป็นเวรยามเดินตรวจตรา มันนึกใจใจและสงสัยว่าเป็นกลุ่มเดียวที่เจ้านายใช้มันมาสำรวจหรือไม่ มันจึงเงี่ยหูฟังต่อไป จับความได้เล่าๆว่าจะล้อมจนฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรง แล้วบุกไปเชือดอย่างง่ายๆสบายๆ มันฟังจนรู้แผนการ แล้วรีบถอยออกมาเพื่อกันไม่ให้ทางฝ่ายนั้นจับได้ แล้วเปลี่ยนทิศทางไปอีกทิศหนึ่งซึ่งเป็นทิศทางที่ไอ้พวกโจรหมู่นั้นเอ่ยถึง

เจ้าขิ่นลอบเข้าไปอย่างเงียบกริบ ใจมันเต้นตุ๊มๆต่อมๆ มันโผล่หน้าออกไปหลังพุ่มหวาย แล้วก็เห็นพวกทหารไทยนอนกันเกลื่อน มีเวรยามเฝ้าสองคน มันนับจำนวนและเห็นได้ว่ามีแค่ห้าคนเท่านั้น เจ้าขิ่นจึงนึกดูถูกแกมสงสารที่พวกนี้รนหาที่ตายกันแท้ๆ แสงไฟสาดส่อง มันมองนายทหารที่เฝ้ายามว่ามียศสูงไม่เบา น่าจะเป็นลูกพี่ แต่อีกคนล่ะ มันมองชายที่มีหน้าตาใจดีกำลังโต้เถียงกับชายที่นั่งหน้าตายอยู่เงียบๆ แต่แล้วมันตกใจเมื่อเห็นผ้าขาวม้าของเจ้านาย มันจำผ้าผืนนั้นได้ เจ้านายมักจะใช้มันพันหน้าพันตาไม่ก็คลุมผมยามออกรบ ไอ้เจ้าคนนั้นมันได้มาได้อย่างไร เจ้าขิ่นกำหมัดแน่น ก่อนจะสำรวจต่อไป ชายที่นั่งหน้าตายจ่อบุหรี่กับกองไฟ ดูดจนแก้มบุ๋ม ดูไม่เหมือนคนสูบจัดเลย แต่นับก้นบุหรี่แล้วนับว่าเยอะพอควร แล้วมันก็รีบถอยออกเมื่อหนึ่งในสมาชิกตื่นขึ้น เป็นทหารอายุอานามห้าสิบกว่า ท่าทางฉลาดเฉลียว เจ้าขิ่นไม่รอช้ารีบบุกป่าฝ่าดงไปรายงานให้นายกิ่งไผ่ฟัง โชคร้ายนักที่มันเหยียบกิ่งไม้หักเปาะ มันตัวแข็งทื่อ นิ่งไม่กระดุกกระดิก หูก็ได้ยินเสียงหยิบปืนและเสียงฝีเท้า เจ้าขิ่นหาทางรอด ก่อนเสียงแก่ๆจะยั้งไว้

"ผู้กองครับ...อย่า...ข้างนอกมันมืด เราไม่รู้ว่ามันเป็นใคร เราไม่ควรเสี่ยง"

เจ้าขิ่นถอนใจ มันรีบจรลีจากก่อนที่จะพรุนเป็นรังผึ้งเพราะกระสุนอาก้า หลบหลีกจากพวกกองโจร จดจำทิศทางเพื่อที่จะรายงานต่อเจ้านายให้ได้

------------------------------------------------

กิ่งไผ่เอาแต่เฝ้ามองผืนป่าเขียวขจี เขาเดินไปมาอย่างกลุ้มใจอยู่เนื่องๆ เจ้าขิ่นออกไปคืนหนึ่งแล้ว วันพรุ่งนี้มันน่าจะเข้ามารายงายงานได้ หรืออีกจะหลายวัน เขาไม่ชอบใจเลยกับการอยู่ใกล้ชิดกับนายกฤษดา คนที่พ่อให้ความไว้วางใจในตอนนี้ เจ้ากฤษดานอนหลับอุตุอยู่บนเรือน กิ่งไผ่นอนไม่หลับจึงลงมานั่งคลายจิตใจให้สงบ เขามองท้องฟ้าสีดำดุจกำมะหยี่ แล้วนึกถึงใบหน้าของชายที่คล้ายกับผู้กองนาคี ยังคิดถึง ยังอาลัย การพบกันตอนสุดท้ายก็ไม่ดีนัก ลมหายใจยาวๆระบายออก กิ่งไผ่ห่อไหล่ ความสุขอยู่ที่ใจ แต่เขาไม่ควรได้รับเลย ตอนนี้ในหัวเขาไร้ซึ่งอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง ดวงตาเหม่อเลื่อนลอย จนนายพลอินคานที่นอนไม่หลับเช่นกันลงจากเรือนพักเงียบๆ เฝ้ามองร่างของผู้เป็นบุตรกลืนไปกับความมืดมิด เส้นผมยาวงดงามปลิวตามลม ดุจเทพีนางไพรแห่งดินแดนอันลี้ลับ แว่วเสียงจักจั่นร้องคลอดุจท่วงทำนองดนตรีขานรับนางแห่งไพรนั้น

...ในตอนนี้เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ลูก...

เสียงท่านนายพลก้องอยู่ในใจ สิ่งใดที่เจ้าคิดอยู่แล้วเจ้าปกปิด ความอ่อนไหวของเจ้ากลืนกินความเข้มแข็งแล้วหรือ วีถีชีวิตเยี่ยงทหาร เจ้ามิพอใจเลยใช่ไหมดวงตาของท่านปิดลง ดวงหน้าแก่ชราขึ้นอีกหลายปี แม้ไร้ซึ่งจิตใจแห่งการต่อสู้แล้วไซร้ ก็ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาไร้ประโยชน์ ความหอมหวานของชีวิต มันช่างสั้นนัก สิ่งที่ลูกต้องการ เขากลับช่วงชิงมาเสีย ทั้งชีวิตมนัสหยาเมียรัก สุดท้ายเขาจะสูญเสียสิ่งใดไปอีก?

------------------------------------------------

รถแล่นไปตามเส้นทางราบเรียบ ต้นธารอยู่ตอนหลังของรถแวน เขานั่งครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านนายพลพิภพกุมมือไว้ตลอด ใบหน้าแม้อ่อนล้า แต่มีแววเสียใจอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อใกล้เขาตัวเมืองเชียงราย ความรู้สึกผิดในใจยิ่งเอ่อล้น เป็นความเจ็บปวดและภาพแห่งอดีตย้อนคืน

------------------------------------------------

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #197 เมื่อ13-06-2008 15:36:39 »

ทหารกะเหรี่ยงรุมล้อมแบบนี้ จะรอดมั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #198 เมื่อ13-06-2008 16:34:48 »

เหอเหอ

พระเอกตายเรื่องก็จบ

ขอเดาเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ชิมิคับ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #199 เมื่อ14-06-2008 05:42:18 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

จากตอนนี้ทำให้ได้รู้ว่าผู้กองธี

พยายามถามผู้กองภานุ ว่ามีใจให้กับธารหรือป่าว

แต่พระเอกของเราก็ไม่ยอมตอบนะครับเนี้ย

ปากแข็งอยู่ได้ อิอิ สงสารผู้กองธีนะครับ

เป็นกำลังใจให้ผ่านเหตุการณ์ไปได้ด้วยดีนะครับ

หวังว่ากิ่งไผ่จะช่วยผู้กองธี นะครับ คิดว่าแบบนั้นนะคับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #199 เมื่อ: 14-06-2008 05:42:18 »





ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #200 เมื่อ14-06-2008 16:16:25 »

เหอเหอ

พระเอกตายเรื่องก็จบ

ขอเดาเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ชิมิคับ

อีกยาวเลยพี่พูห์ เรื่องยาว คึคึ เศร้าอีกยาว  o7


ดันๆอึบๆ  :a1:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #201 เมื่อ14-06-2008 21:45:41 »

อิอิ  พระเอกตายแล้วนายเอกของเราจะไปรันทดกับผู้ใด   เพราะฉะนั้น  พระเอกจงอยู่ต่อไป  55
แต่ตอนนี้ก็กำลังจะทำให้ใครคนนึงไปพบใครคนนึงได้นะ (งงมะ เอิ๊กๆ)

ต่อจ้า 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:14 Absolve/สำนึกแห่งความรู้สึกผิด


รถของท่านนายพลพิภพไปถึงอำเภอแม่สาย ก่อนจะเลี้ยวเข้าตำบลโป่งงาม ต้นธารามองธรรมชาติอันสดสวยผ่านกระจกรถ ท่านนายพลอรุณก็แนะนำแต่ละส่วนแต่ละพื้นที่ให้แก่หลานบุญธรรมของตัวเองฟัง

"รู้ไหมว่าทิศไหนของตำบลโป่งงามติดเขตแดนพม่า?"

ท่านเริ่มตั้งคำถาม ต้นธาราหันมาเอียงคออย่างฉงน พลางคิด นายพลพิภพยิ้ม เพราะนี่เป็นวิธีที่ท่านนายพลอรุณชอบใช้ เวลาจัดการความเครียดของต้นธารา ผู้เป็นหลานพยายามนึกถึงวิชาภูมิศาสตร์ที่ตัวเองเคยเรียน แต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก ดังนั้นนายพลพิภพจึงเข้าช่วยเหลือ

"ทิศตะวันตกไงล่ะ โดยมีแนวถนนแม่ฟ้าหลวง-แม่สายเป็นแนวแบ่งเขต"

ท่านนายพลอรุณตีสีหน้า เรียกเสียงหัวเราะ เสียงครื้นเครงพอควร

"ท่านครับจะให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านถ้ำปลาเลยไหมครับ"

พลทหารที่ทำหน้าที่เป็นพลขับหันมาถาม ขัดความสุขชั่วครู่ชั่วยาม ต้นธารารู้สึกหวาดกลัวทันทีทันใด จนท่านนายพลทั้งสองทำหน้าเคร่งเครียด ร่างของต้นธารากอดอก รู้สึกหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ หลับตาลงราวกับได้ยินเสียงปืนดังกึกก้อง และภาพของผู้กองนาคีล้มทับตัวเขา มันช่างน่าหวาดผวายิ่งนัก นายพลพิภพส่งมือให้ลูกเกาะกุม ท่านไม่เอ่ยอะไรเลย แต่ท่านนายพลอรุณสั่งให้หยุดรถเสียก่อน พลขับทำตาม

"เฮ้ย ไอ้เหลิมลงมากับข้าก่อน"

ท่านเปิดประตูรถตู้ พลทหารเฉลิมปลดเข็มขัดนิรภัยลงจากรถ คงเหลือแต่ต้นธารากับนายพลพิภพ

"ไม่เป็นไรนะลูก?"

ต้นธาราผงกหัว เขายิ้มเซียวๆ บนใบหน้าซีดขาว

"เราจะพักอยู่ที่บ้านของผู้กองนาคีหรือครับ"

ลูกชายถามเสียงแผ่ว สายตามองหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายเป็นย่อมๆ ท่านนายพลพิภพตบหลังมือปลอบใจ ก่อนจะเปิดประตูเรียกให้ท่านนายพลอรุณขึ้นรถ

"เสร็จธุระแล้ว"

ท่านนายพลอรุณก็เรียกเจ้าเหลิมขึ้นรถ มันงุนงงยิ่งนักว่าเพราะเหตุใดท่านนายพลต้องเรียกมันลงจากรถด้วย มันไม่กล้าถามเพราะกลัวโดนท่านนายพลถีบเอา

"เอ้า รีบขับไปไอ้เหลิม "

ท่านเร่ง เจ้าเหลิมรีบออกรถทันที รถแวนสีครีมเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้าน คนในพื้นที่ต่างมองอย่างประหลาดใจ เมื่อมันไปหยุดอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่เอี่ยม แล้วคนที่ลงจากรถที่ประทับตรากองทัพ แต่งชุดเต็มยศก็ยืนอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้น เสียงหมาเห่าขรม ต้นธารายืนเคียงข้างบิดา เกาะขอบรั้วที่มีต้นตำลึงพันเต็ม ชายแก่คนหนึ่งลงจากเรือนทั้งๆที่ไม่สวมใสเสื้อ ผ้าขาวม้าพาดบ่า หลังโก่ง สายตาสีน้ำตาลจับจ้อง ก่อนชายคนนั้นจะยกมือไหว้ ส่งเสียงไล่หมาซึ่งเห่าเสียงดังเมื่อเห็นได้ว่าผู้มาเยือนคือใคร

"เฮ้ย...อีด่าง มึงไปไกลๆ เชิญครับนาย เชิญ"

ชายผู้นั้นร้องเรียก เปิดประตูไม้ให้ ท่านนายพลทั้งสอง และต้นธาราซึ่งเดินเคียงคู่กับพลทหารเฉลิมนั่งตรงแคร่ หญิงอายุสี่สิบปลายๆยกน้ำมาให้ นายพลอรุณยิ้มก่อนจะบอกให้ต้นธาราไหว้ทั้งสองคน

"นี่คือผู้ใหญ่เอี่ยม กับนางมา บิดา มารดาของผู้กองนาคี"

ผู้ใหญ่เอี่ยม และนางมาภรรยารับไหว้ชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียว ในดวงตามีแววประหลาดใจ

"ท่านนายพลมีธุระปะปังอะไรหรือครับ ถึงได้อุตส่าห์มาที่นี่?"

ผู้ใหญ่เอี่ยมถาม

"มีคนอยากเคารพศพของนาคีหน่อยน่ะ นี่คือท่านนายพลพิภพ แล้วนั่นต้นธารา...ลูกชายของนายพลพิภพและหลานฉันเอง"

นายพลพิภพเพียงผงกหัวให้ ผู้ใหญ่เอี่ยมมองใบหน้าของต้นธารา นึกประหลาดใจในรูปลักษณ์ นางมาซึมไปทันทีเมื่อเอ่ยถึงบุตรชาย

"อ้อ ได้ครับได้"

ผู้ใหญ่เอี่ยมบอก แม้จะเศร้าขนาดไหนแต่จำต้องข่มไว้ ดวงตาของร่างโปร่งบางมีแววเศร้า จนน่าแปลกใจ

"ธาร...เป็นแพทย์อาสา คนที่ผู้กองนาคีปกป้องจนถึงแก่ความตายในการลาดตะเวน"

นายพลอรุณบอก ผู้ใหญ่ชะงัก หันมามองดูต้นธาราที่ก้มหน้างุด ร่างโปร่งก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก ถูกความเศร้าค่อยๆกลืนกิน สายตาของผู้ใหญ่เอี่ยมเลื่อนลอยไป นางมาก็เช่นกัน

"ผม...รู้สึกผิดที่ต้องทำให้ผู้กองนาคีสิ้นชีพ"

เสียงสั่นๆเอ่ยออกมา นายพลพิภพมองผู้เป็นบุตรกล่าว น้ำเสียงราวกับมาจากดินแดนแสนไกล

"พ่อหนุ่มเอ้ย พ่อหนุ่มจะมาขอโทษทำไม พ่อหนุ่มไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ลุงกับป้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง รู้ตั้งแต่ที่นาคีขอย้ายไปที่ค่ายนั่น"

ผู้ใหญ่เอี่ยมกุมมือไว้ นางมาเช็ดน้ำตาที่ไหลริน เมื่อผละจากผู้ใหญ่เอี่ยม หันไปทางนางมาที่กอดกระชับ

"ถ้าพ่อหนุ่มกลัวว่าป้าจะต่อว่าก็อย่าได้กังวลไป สิ่งที่ผิดพลาดไม่ได้เริ่มที่ใครเลย มันเป็นชะตาเสียมากกว่า พ่อหนุ่มนี่ใช่ไหมที่เจ้านาคีมันเอ่ยถึงบ่อยๆ?"

นางหันไปถามสามี ระหว่างที่ลูบใบหน้าของต้นธารา ผู้ใหญ่มาผงกหัว

"คงเป็นคนนี้ละมั้งที่เจ้านาคีเอ่ยถึง ตอนกลับมาบ้านว่าเป็นคุณหมอที่ใจดีนัก"

คนที่ได้รับฟังกล้ำกลืนน้ำตา ผู้กองนาคีคิดถึงเขาเพียงนี้เชียวรึ แม้จะอยู่ด้วยกันไม่นานนัก นายพลพิภพมองหน้าของนายพลอรุณซึ่งนั่งเฉย ใบหน้าไม่สื่อถึงอะไรเลย

"ผู้กองนาคีเขา..."

ต้นธาราพูดไม่ออก นางมาและผู้ใหญ่เอี่ยมฉุดให้ต้นธาราลุกขึ้นด้วยกิริยาอันอ่อนโยน

"เขาพูดถึงพ่อหนุ่มประจำแหละ บางทีก็พูดถึงเพื่อนรักของเขาบ้าง นาคีน่ะถ้าไม่ใช่คนที่เคารพ ชอบพอเป็นส่วนตัวล่ะก็ เขาจะไม่พูดถึงหรอกจ้ะ"

"แต่ว่าคุณป้าครับ คุณป้าจะไม่..."

ต้นธาราขืนตัวไว้ นางมารู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้จะกล่าวอะไร มารดาของผู้กองนาคีมองท้องฟ้า

"ป้าจะโกรธไปทำไม ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว ลูกของป้าไม่ได้ตายเสียเปล่า หากแต่เขาตายในหน้าที่ ที่ได้รับ หน้าที่ที่ปกป้องคนสำคัญ ประเทศชาติ"

แล้วชายหนุ่มก็ถูกฉุดขึ้นบ้านจนได้ คงเหลือแต่ผู้ใหญ่เอี่ยม และท่านนายพลอรุณและนายพลพิภพคอยอยู่ข้างล่าง

"ท่านนายพลจะพักอยู่ที่นี่สักคืนไหมครับ ผมจะใช้นางมาเก็บกวาดเช็ดถูหาที่หลับที่นอนให้"

นายพลอรุณบอกขอบใจ นายพลพิภพจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

"นับตั้งแต่ร้อยเอกนาคีตาย ครอบครัวของผู้ใหญ่เป็นไงบ้าง"

ผู้ใหญ่เอี่ยมยิ้มกับนายพลพิภพ

"ผมก็ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญของนาคีเอาไว้กินเอาไว้ใช้แหละครับ"

นายพลอรุณหันมาขยายความ

"ร้อยเอกนาคีได้เลื่อนขั้นถึงยศนายพันนับตั้งแต่เขาได้สิ้นชีพในหน้าที่ ตอนนี้อยู่ในระหว่างทำเรื่องอยู่ครับ"

นายพลพิภพผงกหัวรับรู้ ท่านหยิบกระเป๋าเป้ของลูกชายแล้วหยิบซองสีขาวหนาเป็นปึกขึ้นมาส่งให้แก่ผู้ใหญ่เอี่ยมแต่แกก็ปฏิเสธทันทีที่เห็น

"โอ้ย ผมรับไม่ได้หรอกครับ ผมก็มีเงินบำเหน็จบำนาญให้แล้ว นี่มันเยอะเกินไปอีกอย่างผมก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร มีกันแค่สองตายาย เงินทองก็ไม่ได้ใช้อะไรมากนัก"

ตาเอี่ยมผลักห่อเงินออกห่างจากตัว ท่านนายพลพิภพก็กล่าวคะยั้นคะยอ

"เงินส่วนนี้ อย่าได้คิดว่ามันเป็นเงินช่วยสบทบหรือบริจาคให้เลยครับและไม่ใช่ค่าชีวิตของร้อยเอกนาคีด้วย ขอให้ผมมอบให้ด้วยความจริงใจเถิด"

นายพลพิภพพูดด้วยสายตาจริงจัง ห่อเงินถูกเลื่อนคืน ผู้ใหญ่เอี่ยมมองเงินก้อนนั้นด้วยสีหน้าสงบ

"กระผมขอขอบคุณที่ท่านนายพลได้กรุณา"

"อย่าได้ขอบคุณกันเลย ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณผู้ใหญ่"

รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้า ท้องฟ้าเบื้องนอกเริ่มมืดครึ้ม แสงสว่างค่อยๆเลือนหาย เหลือแต่แสงทองจับขอบฟ้า ช่างงามตระการตาอย่างยิ่ง ความอึดอัดใจค่อยๆมลายหาย กลายเป็นละอองเบาบาง

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #202 เมื่อ14-06-2008 21:49:15 »

ต้นธาราขึ้นเรือนไปกับป้ามา เขานั่งอยู่บนพื้นไม้เย็นเฉียบภายในห้อง สายตาเฝ้ามองดูแสงเทียนและช่อดอกไม้ประดับในแจกันบนหิ้งพระก่อนจะเลื่อนสายมาจับจ้องยังรูปภาพของผู้กองนาคี ที่แต่งชุดทหาร รอยยิ้มยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล โกศที่บรรจุอัฐิของผู้ตายตั้งบนหิ้งไม้ ต้นธาราไหว้ ก่อนจะขอป้ามานั่งเงียบๆภายในห้อง เขาไม่รู้จักผู้กองนาคีลึกซึ้งสักเท่าไร แต่ที่แน่ใจคือผู้กองเป็นคนดี เขาเป็นคนที่ทำให้ผู้กองสิ้นชีพ เป็นคนเริ่มต้นสัมพันธ์แห่งความโกรธแค้น ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆ หากสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป มันจะเป็นเช่นไร? ป้ามาเข้ามาชิดใกล้ ต้นธาราเงยหน้ามองเธอ แววตาดุจอ่อนล้าและหวาดกลัว

"ผมขอดูรูปถ่ายของผู้กองนาคีตอนเด็กๆได้ไหมครับ แล้วช่วยเล่าให้ฟังทีว่าผู้กองทำอะไรบ้างได้ไหมครับ"

ป้ามาทำตามที่ต้นธาราขอ เธอค้นหาของในลิ้นชักห้องนอนของลูก หยิบอัลบั้มเก่าๆ สีมอๆมาให้ ต้นธาราพลิกดูแต่ละรูป เขาหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา แล้วนำไดอารี่สีฟ้ามาตั้งเคียงข้างอัลบั้มภาพ

"ผมขอรูปของผู้กองสักใบได้ไหมครับ จะเก็บไปให้ผู้กองภานุ....เพื่อสนิทของผู้กองนาคี"

ร่างโปร่งโกหก

"เอาเลยลูก อยากได้ภาพไหนนำกลับไปเลย ว่าแต่พ่อภานุสบายดีรึ พ่อหนุ่มรู้จักไหม"

ต้นธาราผงกหัว เขาเก็บภาพในวันติดยศของผู้กองนาคีไว้ในไดอารี่อย่างทะนุถนอม

"รายนั้นเขาสนิทกันมากนัก"

ป้ามานึกราวกับจะย้อนไปสู่อดีต ต้นธารานั่งฟัง เขามองภาพตอนเป็นเด็กของผู้กองนาคี

"เจ้านาคีน่ะ ตอนเล็กๆซนนัก อยู่ไม่สุข ความฝันของเขาคือการเป็นทหาร ป้าก็เลยส่งเสียเขาไปเรียนจนจบ
ทหาร ป้าภูมิใจนักล่ะที่ลูกชายได้รับราชการ ได้รับใช้บ้านเมือง"

ระหว่างที่เล่า ป้ามามีสายตาเป็นประกายเปี่ยมสุข ต้นธารายิ้มตามเธอ แล้วเขาก็ชักถามต่อระหว่างที่มองดูภาพของผู้กองนาคีถ่ายกับผู้กองภานุที่ถ่ายหน้าพระธาตุดอยเวาวัดที่ตั้งอยู่เหนือสุดแดนสยาม

"ผู้กองภานุกับผู้กองนาคีสนิทกันมาตั้งแต่ตอนไหนครับ?"

ต้นธาราวางรูปถ่ายใบนั้นลงบนพื้น ป้ามามอง นางก็ตอบทันทีทันใด

"ตั้งแต่นาคีเขาเรียนที่โรงเรียนทหารแหละจ้ะ สองคนนี้เป็นเพื่อนตายกันเชียวแหละ"

ต้นธาราไล้รูปภาพนั้นอย่างเบามือ รอยยิ้มของผู้กองภานุกับเพื่อนสนิท มันช่างปวดร้าวอะไรเช่นนี้

"เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ"

ป้ามาถาม เมื่อเห็นเขาจับจ้องรูปนั้นเกินปกติ

"ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...แล้วภาพนั้นละครับ"

เขาเห็นภาพการเดินสวนสนามที่ถ่ายไกลๆ ป้ามาหยิบขึ้นมาดูอย่างภูมิใจยิ่ง

"นั่นตอนนาคีเข้าอยู่ในขบวนสวนสนามจ้ะ ถ่ายไกลๆ เห็นไม่ชัดหรอก"

นางหัวเราะ ต้นธารายิ้ม นึกถึงวันที่ได้พบกับผู้กองภานุครั้งแรก เขาเผลอกำไดอารี่แน่น จนกระทั่งลุงเอี่ยมขึ้นมาเรียก

"แม่มาเอ้ย หาห้องหับให้นายเขานอนหน่อย"

ป้ามาเก็บอัลบั้มรูปภาพโดยมีต้นธาราช่วย เขาเห็นบิดาและคุณลุงส่งยิ้มมาแต่ไกล

"วันนี้เราจะพักอยู่ที่นี่คืนหนึ่ง"

นายพลพิภพ เข้ามาในห้องของผู้กองนาคี เขามองดูรูปของผู้ที่ตายจาก

"คนนี้น่ะหรือผู้กองนาคี"

นายพลพิภพถามผู้เป็นบุตร และมองภาพที่ปรากฏแววตากร้าวแกร่งปนด้วยความขี้เล่นและอ่อนโยนของผู้กองนาคี

"ครับ นี่แหละผู้กองนาคี"

คำตอบของผู้เป็นบุตรหนักแน่นและมั่นคง ท่านนายพลนั่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะฉุดให้ลูกชายลุกขึ้น

"มาเถอะ จะได้ทานข้าวกัน"

เสียงทำกับข้าวในครัว หอมกลิ่นแกง ต้นธาราเข้าไปช่วย เขาทรุดนั่งยังพื้นครัวสกปรกอย่างไม่นึกรังเกียจ ช่วยป้ามาทำกับข้าว

"พ่อหนุ่มท่าทางบอบบางนักจะทำงานหนักไหวหรือ?"

นางกล่าวหยอก ระหว่างตำน้ำพริกเพื่อจะแกงฮังเลให้กิน ต้นธาราเพียงยิ้ม เขาหันเนื้อล้างน้ำสะอาด เสียงหัวเราะจากวงเหล้าดังเคล้าสายลมเย็น ป้ามาหันไปมอง ท่านนายพลทั้งสอง รวมทั้งพลทหารนั่งล้อมไฟที่ก่อขึ้น แสงสีส้มลุกเป็นประกายสวยงาม นางหันกลับมาอีกครั้งเห็นต้นธาราเช็ดเหงื่อที่พราวเต็มใบหน้า

"เป็นอะไรไหม?"

ป้ามาถาม ร่างโปร่งรู้สึกตัว ก่อนจะสั่นหัวดิกๆ เลื่อนจานเนื้อให้ ป้ามาส่งผักให้ไปล้าง ต้นธาราลุกขึ้นเซเล็กน้อย เมื่อมาถึงโอ่ง เขากำลังโน้มกายตักน้ำจู่ๆก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน จนกระทั่งเข่าอ่อนทรุดลงบนพื้น ป้ามาร้องเสียงดัง ส่งผลให้ท่านนายพลและลุงเอี่ยมวิ่งขึ้นมาดู

"เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เจ็บตรงไหนไหม?"

หญิงวัยกลางคนประคองร่างโปร่งให้ลุกขึ้น ต้นธาราบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ผู้ที่ขึ้นมาดูจึงคลายใจลง

"ผมแค่ลื่นเท่านั้นเองครับ ไม่เป็นไรจริงๆ"

ต้นธาราพยายามลุกขึ้น จิกนิ้วเข้าที่เนื้อเพื่อข่มความเจ็บ ทุกคนจึงกลับลงไปข้างตาต่อ แล้วชายหนุ่มก็กลับไปช่วยป้ามาทำกับข้าวจนกระทั่งเสร็จสิ้น

------------------------------------------------

ดึกแล้ว สายตาของต้นธารากระพริบด้วยความง่วงหง่าวหาวนอน เขาซบหน้ากับท่อนแขน ร่างโปร่งขอตัวไปนอน ซึ่งป้ามาเป็นคนนำขึ้นไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ ฟูกกับผ้าห่มวางปลายเตียง ต้นธาราเลิกมุ้งสั่งให้เฉลิมวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ปลายฟูก

"จะไปทำอะไรก็ทำเลยนะเหลิม ขอบใจมาก"

ต้นธาราไล่ทหารรับใช้ เฉลิมลงไปสบทบวงน้ำเมาเช่นเคย ต้นธาราถอดเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ อากาศทารุณยิ่ง จนแทบเรียกได้ว่าวิ่งผ่านน้ำมาเลยทีเดียว พอมาถึงต้องหาเสื้ออุ่นๆใส่หลายๆชั้น ป้องกันความเหน็บหนาวแล้วก็หลับสนิท เขาไม่รู้เลยว่าผู้เป็นพ่อและผู้เป็นลุงเข้ามานอนตั้งแต่เมื่อไร ทันทีที่ตื่นขึ้นก็เห็นท่านทั้งสองพับผ้าห่มวางไว้ปลายเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สร่าง ต้นธาราก็นอนต่ออีกสักหน่อย ก่อนจะลุกตาม

"พ่อทำอะไรครับตั้งแต่เช้า?"ต้นธาราถามเสียงงัวเงีย นายพลพิภพหันมายิ้มให้

"อรุณสวัสดิ์ลูก พ่อไม่ได้ทำอะไรกันหรอก คนแก่ก็แบบนี้แหละนอนดึกตื่นเช้า ธารจะหลับต่ออีกสักหน่อยก็ได้"

บิดาตอบ ต้นธาราจึงล้มตัวนอนตามที่บอกแต่หูยังฟังคำที่พ่อเอ่ยกับลุงอรุณ

"วันนี้พาธารเที่ยวก่อนเถอะ ดึกๆค่อยตีรถกลับก็ได้ ผมบอกประกิตไว้แล้ว"

ลุงอรุณเอ่ยเบาๆ แต่พ่อของเขาดูกังวลใจเหลือเกิน

"จะให้ธารอยู่ที่นี่ต่ออีกหรือ? อาการของเขาล่ะ มิแย่รึ"

คนที่ถูกกล่าวถึงพลิกกายเงียบๆ ดึงผ้าห่มคลุมร่าง ในที่สุดฝ่ายที่ทุ่มเถียงจนแพ้คือบิดาของต้นธาราเอง ท่านถอนใจจำยอมคำที่นายพลอรุณแนะ

"หากอยากให้ธารตัดความกังวลใจได้ก็จำเป็นต้องทำล่ะ"

ร่างโปร่งหลับไปจริงๆ เขาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อบิดาปลุกให้ไปอาบน้ำอาบท่า สั่งให้แต่งเนื้อแต่งตัว ต้นธาราก็ไม่ปริถามอะไร เขาแต่งตัวเงียบๆเฝ้ามองบิดาและลุงเอี่ยมขนของขึ้นรถแวน

"เสร็จแล้วครับ"

ต้นธาราลงจากเรือน ลุงอรุณเปิดประตูรถให้ เขามองดูบิดามารดาของผู้กองนาคีผ่านกระจก

"เราไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วหรือครับ"เขาถามลอยๆ บิดาผงกหัว

"ใช่ ก่อนกลับพ่อจะพาเจ้าขึ้นไปไหว้พระที่พระธาตุดอยเวาหน่อย"

พูดถึงชื่อนี้ ต้นธาราสะดุ้งเล็กน้อยนึกถึงภาพถ่ายคู่ของผู้กองภานุและผู้กองนาคี

"ล่ำลาลุงกับป้าเสีย"

ต้นธาราเลื่อนประตูออก ไหว้ลุงเอี่ยมกับป้ามา ท่านทั้งสองให้พร ก่อนรถจะเคลื่อนออกจากหมู่บ้านถ้ำปลา

"ไอ้เหลิมเอ็งขับรถกลับไปแม่สายแล้วแวะเข้าเวียงพางคำด้วยนะ"

พลขับเฉลิมทำตามสั่ง ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจ

"ท่านจะไปชมพระธาตุดอยเวาหรือครับ เป็นพระธาตุที่ตั้งเหนือสุดประเทศไทย สวยงามมากเลยครับ"

เฉลิมเอ่ย ต้นธาราผงกหัวอย่างแกนๆ เขามองข้างนอกกระจก เห็นขุนเขา

"เหม่ออะไรลูก? ที่ๆเราจะไปนะสามารถดูวิวทิวทัศน์ของอีกฝั่งได้ เราจะมองเห็นรัฐฉานของพม่าสวยงามเชียวแหละลูก"

ท่านนายพลกระตุ้นความสนใจ ต้นธารากระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง พอไปถึงยังสถานที่ที่คุณลุงกล่าว เขาก็รีบมองไปทางฝั่งขวาทันที อาณาเขตประเทศพม่า...ผู้กองภานุจะอยู่ ณ ที่หนใดกัน พลทหารเฉลิมพยายามขับรถอย่างระมัดระวังเพราะทางชันและคับแคบจนกระทั่งถึงพระธาตุดอยเวา ขบวนเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยว สีทองของพระธาตุต้องแสงอาทิตย์ระยิบงามจับตานัก ต้นธารายกมือไหว้องค์พระธาตุ ในใจก็ตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้คุ้มครอง ผู้กองภานุ ธีรเดช จ่าแม้น ผู้กองรังสรรค์และหมวดอานุภาพให้ปลอดภัย เขายังขออีกว่า ขอให้ผู้กองภานุกลับมาโดยไว หากนานไป ดูเหมือนว่าก็ยิ่งห่างไกล ...ไปเสียทุกๆที

------------------------------------------------

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #203 เมื่อ14-06-2008 22:23:50 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับที่บอกว่าใครคนหนึ่งจะเจอกับอีกคนหนึ่ง

คนที่ว่านี้คือ ธี กับ กิ่งไผ่ เจอกันใช่ป่าวครับ อิอ รู้นะ

เป็นกำลังใจให้เสมอครับ แล้วเมื่อไร ภานุกับ คุรหมอ จะได้เจอกันอะครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #204 เมื่อ14-06-2008 22:38:15 »

มะเหงครายเจอกะครายเลย

มีแต่หมอธารเจอ พ่อแม่ของผู้กองนาคี

พี่พิมขี้จุ๊

เอิ๊กๆๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #205 เมื่อ15-06-2008 06:39:46 »

พิมเท่ร๊ากก ลงไวจัง ตามเก็บมะทันแล้ว  :laugh: ดันๆอึบๆ


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #206 เมื่อ16-06-2008 12:01:07 »

พ่อแม่ของผู้กองนาคีไม่โกรธอะไร ต้นธาราก็คงเบาใจไปเยอะแน่ๆ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #207 เมื่อ16-06-2008 19:59:56 »

ใครเจอใครหว่า  555  มะบอก แบร่ๆ
เราลงเร็วไปป่าวเอ่ย  อิอิ  เร็วไปช้าไปบอกได้น้า  จะได้ลงให้ช้าลง  

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:15 combat/เสียที

ฝ่ายกิ่งไผ่นั่งเหลาไม้เล่นอย่างใจลอย ได้เวลาที่เจ้าขิ่นควรจะกลับมารายงาน ทำไมมันยังไม่โผล่มานะ กิ่งไผ่ก้มหน้าทำเป็นไม่เห็นเจ้ากฤษดาที่เดินเข้ามาใกล้ นายกฤษดาหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ก้มหน้าซ่อนดวงตาไว้ในเส้นผมยาวสลวย

"ทำอะไรอยู่ครับ"

นายลูกครึ่งทัก กิ่งไผ่แสร้งไม่ได้ยิน กฤษดาจึงเอ่ยเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้ใบหน้าได้รูปเงยขึ้น กิ่งไผ่ถกแขนเสื้อตัวยาว ทำท่ารำคาญ

"ไม่เห็นรึ"

กิ่งไผ่ย้อนเรียบๆ สีหน้านายลูกครึ่งเสียไปนิดก่อนจะหัวเราะแก้เก้อ

"ครับ...ผมเห็น เอ่อ...ไม่ทราบว่าผมขอนั่งข้างคุณได้หรือไม่?"

กิ่งไผ่ไม่ขยับ คันปากยิบๆอยากจะด่าคนที่ไม่ถูกชะตา และก็ไม่อยากให้มันอยู่เคียงข้างด้วย

"ก็นั่งสิ ไม่ได้ห้าม จะถามทำไมว่าให้นั่งหรือไม่ให้นั่ง"

กิ่งไผ่ตีรวน นายกฤษดายิ้ม พลางนั่งชิดใกล้จนกิ่งไผ่ต้องถอยห่าง

"แถวนี้อากาศดีจริงๆ มองเห็นแมกไม้สวยตระการตายิ่ง"

พอมานั่งก็เอาแต่บ่นพล่ามน่ารำคาญ กิ่งไผ่ก็ไล่ไม่ได้เสียด้วยสิ ดังนั้นจึงนั่งฟังคำพล่ามน่าเบื่อหน่าย จนเจ้าขิ่นมีสีหน้าอ่อนเพลียเดินเข้ามาอย่างหมดแรงก็ได้โอกาสที่กิ่งไผ่จะลุกขึ้น

"ขอตัวก่อนนะครับ"

นายกฤษดาที่เอาแต่พูดทำหน้าเหวอที่จู่ๆกิ่งไผ่ก็ลุกขึ้น ชายหนุ่มจะพูดรั้งแต่ทว่าร่างโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีเก่ามอๆกับกางเกงยีนส์สีซีดจาง เรือนผมยาวปลิวไสวตามแรงลมภูเขา หยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีสีหน้าอิดโรย สายตาของกิ่งไผ่มองนายกฤษดาที่ทำตาละห้อยใต้ร่มไม้ ก่อนกิ่งไผ่จะรั้งเจ้าขิ่นให้เดินห่างหายจากสายตาคนอื่น พอมาถึงสถานที่เงียบสงบ กิ่งไผ่ไม่รอช้าเอ่ยถามทันที

"เป็นไงบ้าง ใครกันแน่ที่มาสืบที่อยู่เรา?"

เจ้าขิ่นหอบหายใจอย่างเหนื่อย มันนั่งลงปาดเหงื่อ

"ใจเย็นสิลูกพี่ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง"

เมื่อลูกพี่ได้ยินประโยคนี้จึงสงบปากสงบคำ เจ้าขิ่นพักจนหายเหนื่อยแล้วจึงเอ่ยสิ่งที่ตัวเองสืบมาได้

"ไอ้หน่วยลาดตะเวนนั้นมาจากไทยจริงครับพี่ไผ่ น่าขันแท้มาแค่ห้าคนคิดจะสู้กับพวกโจรกระเหรี่ยงนับสิบ แต่ดูเหมือนพวกมันจะรู้ว่าถูกล้อมแล้ว"

เจ้าขิ่นหยุดไป เมื่อนายของมันทำหน้าราวกับมีคำถาม

"ถูกล้อมงั้นรึ แล้วมีการปะทะไหม พอจะบอกรูปพรรณสัณฐานของคนในหน่วยได้หรือเปล่า?"

เด็กหนุ่มอ้าปากค้างกับคำถามสายฟ้าแลบของเจ้านาย

"ได้ครับลูกพี่...ถ้าปะทะกันล่ะก็เจ้าขิ่นคนนี้ก็ไม่อาจกลับมาได้ร้อยเปอเซ็นต์หรอกครับ พวกโจรกระเหรี่ยงนั้นกะว่าจะล้อมนายทหารเคราะห์ร้ายให้อดตายมากกว่าครับ"

กิ่งไผ่เงียบกริบ เขานั่งฟังคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มอย่างเงียบงันต่อไป

"แล้วรูปพรรณสัญฐาน ผมจำได้ไม่ละเอียดหรอกครับ แต่ถ้าให้บรรยายลักษณะน่ะพอได้ ตำแหน่งยศจำได้รางๆครับแต่คนที่ผมจำแม่นที่สุดคือตัวหัวหน้าหน่วยเป็นชายที่ดึงดัน ดื้อรั้นและเย็นชาพอควร ส่วนอีกคนก็ยศเท่ากัน แต่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ตามมากกว่า น่าแปลกนักที่คนๆนี้มีผ้าขาวม้าของพี่ไผ่ด้วย"

เจ้าขิ่นว่า กิ่งไผ่เบิกตากว้าง

"และก็เป็นคนที่พี่ไผ่วิ่งหนีด้วย"

คำตอบเพียงแค่นี้ กิ่งไผ่ก็หมดความสนใจกับเรื่องของคนอื่นๆทันที เขาเอื้อมมือแตะแขนของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว

"เอ็งแน่ใจนะ เจ้าขิ่น ว่าจำไม่ผิดคน?"

เด็กหนุ่มผงกหัว ครุ่นคิดราวระลึกย้อน

"แน่ใจสิครับ ทีแรกก็ลืมๆแต่มาคิดดูอีกที ใช่จริงๆแหละถึงผมจะเคยเห็นหน้ามันแค่ผาดๆก็เถอะ"

เจ้าขิ่นออกปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพียงเท่านั้นสีหน้าของกิ่งไผ่ก็ซีดเซียวลง...เรื่องใหญ่เสียแล้วสิ

"ขิ่นถ้านายของแกจะขอร้องให้แกร่วมมืออีก แกจะยินดีหรือไม่?"

เจ้าขิ่นทำหน้างุนงง แต่ก็ผงกหัว

"พี่ไผ่มีอะไรให้เจ้าขิ่นคนนี้ช่วย เจ้าขิ่นยินดีทำ บุกป่าฝ่าดงลุยน้ำลุยไฟ ดั้นด้นไปเจ็ดชั่วโครตก็ยอม"

เด็กหนุ่มให้คำมั่น กิ่งไผ่ก้มมองพื้นก่อนจะสั่งการ

"ขิ่นเอ็งไปช่วยทางทหารฝ่ายไทยได้ไหม"

เจ้าขิ่นทำตาโตอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้านายของมันเอ่ยออกมา

"ห๊า เจ้านายเอาจริงหรือครับ"

กิ่งไผ่มีสายตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เป็นการบอกว่า "พูดจริง" มิได้กล่าวเล่นๆ เจ้าขิ่นจึงไม่มีสิทธิ์แย้งอะไรเมื่อเห็นแววตาที่ฉายมา

"สิ่งที่ข้าจะบอกเอ็ง และสิ่งที่เอ็งจะทำอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด"


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #208 เมื่อ16-06-2008 20:03:40 »

แววหน้าครุ่นคิดถึงแผนการ เจ้าขิ่นรับปาก

"แล้วเอ็งอย่าให้มีพิรุธล่ะ"

กิ่งไผ่บอกเจ้าขิ่นให้เข้ามาใกล้ๆ กระซิบใส่หู มันทำหน้าหนักใจก่อนจะยอมรับกับแผนที่นายของมันคิดจะทำ

"อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะขิ่น"

เมื่อกล่าวจบนายของมันก็ผละออกไป เจ้าขิ่นคิดหนัก

"แต่นายครับ แล้วทางท่านนายพลอินคานกับ..."

มันยังพูดไม่จบ กิ่งไผ่ตอบด้วยความเรียบเฉย

"เรื่องนี้แกไม่ต้องไปสนใจ ทำธุระที่ฉันสั่งให้เสร็จก็พอ"

นายของมันว่าอย่างขรึมๆแล้วหันหลังกลับไปหากฤษดา

"ขออภัยครับที่ปล่อยให้คุณกฤษดารอ บังเอิญว่าคนของผมมารายงานข่าวก็เลยต้องไปจัดการเสียหน่อย"

กิ่งไผ่ว่าด้วยสีหน้าเรียบๆ กฤษดาก็ไม่ซักไซ้ไล่เรียงอะไร

"อยู่ที่นี่ไม่เบื่อบ้างรึ" คำถามที่ถามขึ้นอย่างกะทันหัน กิ่งไผ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่

"เบื่อรึ? ก็ไม่หรอก บ้านผมอยู่ที่นี่ ผมจะเบื่อได้ไง"

คำตอบเฉื่อยชา กฤษดารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

"งั้นหรือครับ เห็นว่าคุณไปเรียนที่เวทพอยท์มาเป็นอย่างไรบ้างครับ"

คนถูกถามยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบด้วยใบหน้าเฉยสนิท

"ผมว่าบิดาของผมคงจะเล่าให้คุณฟังแล้วกระมัง?"

กฤษดาหัวเราะ

"โอ้ย ยังหรอกครับ ท่านนายพลอินคานยังไม่เล่าอะไรที่เกี่ยวกับคุณให้ฟังเลย ผมก็อยากรู้จักกับคุณให้
มากกว่านี้ถ้ายังไง..."

กิ่งไผ่ที่นำมีดมาเหลาไม้เล่นอีกรอบยัดลงกระเป๋าเสื้อ เขาตัดบททันที

"เรื่องของผมใช่ว่าจะสนุกหรอกครับ ฟังไปน่าเบื่อเปล่าๆ"

เมื่อไม่เปิดช่องทางให้ กฤษดาก็ไม่รุกต่อ ดวงตาสีเขียวเข้ม รอคอยอย่างอดทน

"อ่า...ครับ...แล้วคุณจะไปไหนหรือเปล่านี่"

กิ่งไผ่เลิกคิ้ว

"คืออยากจะให้แนะนำพื้นที่หน่อยจะได้ไหม?"

กฤษดารอคำตอบ เห็นอีกฝ่ายคิดอยู่นานจนนึกว่าจะปฏิเสธ แต่กิ่งไผ่ตอบตกลง

"ได้ คุณอยากสำรวจพื้นทีไหนล่ะ หรือจะออกไปล่าสัตว์ก็ได้ แถวนี้ถมไป"

ทั้งสองลุกขึ้น เดินคุยกันไปถึงบ้านพัก นายพลอินคานมองแล้วโล่งใจที่กฤษดาและลูกชายเขาเข้ากันได้ดี เพราะมันหมายความว่าต้องร่วมมือกันทำงานในหนทางอันยาวไกลนี้

"ขิ่นล่ะลูก?"

ท่านนายพลเงยหน้าจากหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ กิ่งไผ่ตอบทันใด

"มันคงออกเถลไถลเข้าป่าหาอะไรทำตามประสาเด็กละมั้งครับพ่อ"

กิ่งไผ่รินน้ำใส่แก้ว ดวงตาไม่ปรากฏร่องรอยใดๆให้เป็นที่พิรุธเลย บิดาก็ไม่ซักถามอะไรอีก

"พ่อ วันนี้ผมจะพาคุณกฤษดาออกป่านะครับ"

ท่านนายพลอนุญาตโดยไม่ต้องขบคิด เมื่อกิ่งไผ่ดื่มน้ำเสร็จ เขาก็เตรียมปืน กระสุนแล้วก็ย่ามสัมภาระ

"เดี๋ยวของคุณกฤษดาผมจะให้คนจัดเตรียมให้นะครับ"

กฤษดามองไปรอบๆค่าย เขายิ้มนิดๆ ก่อนจะผงกหัวนั่งรอด้วยความเยือกเย็น

"ท่านประกาศกู้อิสรภาพของบ้านเมืองได้ยังครับ"

ท่านนานพลวางหนังสือลง จ้องมองกฤษดาด้วยแววตาครุ่นคิด

"ก็เห็นอยู่ไม่ใช่รึ"

ในน้ำเสียงของท่านไม่ปรากฏความรู้สึกใด มันเป็นคำพูดที่ชืดชาน่าดู ดวงตาและสีหน้าชราภาพจับจ้องเพดานก่อนจะเอ่ยถึงความรู้สึกออกมา

"ผมน่ะอยู่ที่เวียงนวรัฐะมาทั้งชีวิต มองเห็นความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งของเวียงที่ผมปกครองจนมันล่ม
สลาย ตัวผมเองอาจจะโง่เขลาเกินไปก็ได้ที่ไม่อาจปกป้องเมือง ปกป้องคนที่รักและก็ไม่อาจกู้เอกราชกลับคืน หรือว่าสังขารที่ค่อยๆร่วงโรยกันถึงทำให้เป็นแบบนี้"

ท่านหัวเราะเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง

"แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ผมก็ได้สืบทอดให้แก่จ้าไผ่มันแล้ว หวังว่าเขาจะทำมันได้ดีกว่าที่ผมทำ"

กฤษดาทำหน้าเสียใจตาม ก่อนจะกล่าว

"ผมก็เห็นใจที่เมืองท่านเป็นแบบนี้และผมก็นับถืออุดมการณ์ของท่านนัก ท่านเป็นคนที่แกร่งและก็เก่ง สักวันอำนาจนั้นต้องคืนสู่มือท่านแน่"

คำตอบที่ดูเหมือนจะเอาใจท่านนายพล กิ่งไผ่รู้มันอาจเป็นคำเท็จ แต่เขาเห็นความสุขบนใบหน้าของบิดาก็ไม่อาจจะขัดอะไรได้ เขาออกจากห้องส่งถุงย่ามบรรจุของจำเป็นให้แก่กฤษดา

"ขอบคุณครับ แล้วเราจะไปเลยไหม?"

กฤษดาเงียบไปทันทีหลังหลังกิ่งไผ่เดินออกมา

"พ่อ...เดี๋ยวค่ำๆผมจะกลับ"

กิ่งไผ่เอ่ยเป็นสัญญาณให้กฤษดาเดินตาม ท่านนายพลจับจ้องแผ่นหลังของคนทั้งสอง

...ลูกรักบางครั้งพ่อก็เอาแต่ใจไป พ่อขอโทษ...

ท่านมองด้วยแววตาอ่อนล้า ก่อจะไอออกมาชุดใหญ่...สังขารชราภาพ สักวันมันจะเหลือแต่ซากที่ไร้ค่า เงาอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ผ่านขึ้นมาเป็นเงาเลื่อมพรายแห่งความทรงจำ

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #209 เมื่อ16-06-2008 20:08:39 »

เจ้าขิ่นเมื่อได้รับคำบัญชา มันรีบจัดการเรื่องต่างๆให้เสร็จแล้วลงไปปฏิบัติตามแผนที่นายของมันได้วางเอาไว้ เด็กหนุ่มนั่งหง่าว เฝ้ามองไอ้พวกโจรกระเหรี่ยงที่ล้อมเหล่าทหารผู้โชคร้ายไว้อย่างเงียบๆ มันเห็นว่าสองสามวันที่วันหายไปนั้น นายทหารแต่ละคนอ่อนเพลียตึงเครียด เพราะน้ำท่าไม่มีใช้ ข้าวของก็หร่อยหรอลงเรื่อยๆ มันรอโอกาสที่จะเข้าช่วยเหลือ แต่ไม่มีโอกาสใดปล่อยให้เข้าทำตามแผนได้เลย ขิ่นได้ยินเจ้าพวกโจรกระเหรี่ยงคุยกันถ้าล้อมไม่สำเร็จจะจุดไฟเผาป่า ได้ฟังอย่างนี้เจ้าขิ่นใจหายวาบ เพราะถ้าเจ้าพวกห้าร้อยทำแบบนี้จริงๆล่ะก็ เจ้าพวกทหารที่มาจากไทยมีแต่ตายและก็ตายเพียงอย่างเดียว มันรีบคลานหนี แต่ก็ก่อให้เกิดเสียงดัง เจ้าโจรกระเหรี่ยงเอะอะโวยวาย สาดกระสุนไปส่งเดช เจ้าขิ่นแนบศีรษะกับพื้นแทบไม่ทัน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงด่าเอะอะล้งเล้งระหว่างหมู่โจร มันไม่รอช้าปล่อยให้ไอ้พวกห้าร้อยลงโทษเพื่อนของมันรีบเผ่นไปแจ้งข่าวต่อนายของมันโดยเร็ว เพื่อหาทางแก้ไข

------------------------------------------------

ทางฝ่ายภานุที่ได้ยินเสียงปืนต่างก็พากันตื่นตัว ตั้งรบตามที่ได้วางแผนไว้ รออยู่นานไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องกลับมายังจุดเดิม

"โธ่!เล่นเอาหัวใจแทบวาย"

จ่าแม้นว่า ผู้กองรังสรรค์หัวเราะสียงแห้งๆ

"แต่ถ้ามันล้อเล่นแบบนี้อีกก็ไม่ไหว ผมก็ประสาทเสียเหมือนกัน"

ภานุผู้เป็นหัวหน้าไม่กล่าวอะไรเลย ร้อยเอกธีรเดชกระซิบกับหมวดอานุภาพเบาๆ

"ดูท่ามันจะเอาพวกเราถึงตาย อยากรู้นักว่าใครส่งมันมา"

ธีรเดชซึ่งสงบอยู่เสมอเอ่ยขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะความเครียดที่สั่งสม ทำให้เขาดูร้ายกาจไป

"ผมก็ตอบคุณไม่ได้แต่ว่า..."

ผู้หมวดหนุ่มหันมองเมื่อร้อยเอกภานุเรียก

"ผมสั่งให้คุณติดต่อไปยังค่ายใหญ่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง บอกพิกัดไปหรือยัง"

อานุภาพผงกหัวให้คำตอบ ไม่มีใครเห็นว่าหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนนั้นกำคอปืนแน่นถึงเพียงใด เขากำลังเคร่งเครียดต่อการถูกล้อม หวาดกลัวว่าเหตุการณ์นี้มันซ้ำรอยเหมือนกับเจ้านาคีอีก แต่ไม่มีทางไหนเลยที่จะหาหนทางรอดให้แก่หน่วย

"ผู้กองให้ผมฝ่าไปดูไหมครับว่า ทางฝ่ายนั้นมีกี่คน"

จ่าแม้นอาสา ภานุสั่นศีรษะ

"ไม่ต้อง รออยู่กันที่นี่แหละ ถ้าพวกคุณออกไปก็มีแต่ตายกับตาย หน้าที่นั้นผมจะรับผิดชอบเองในฐานะที่เป็น
หัวหน้าหน่วย"

ทุกคนต่างทำหน้าตกใจ

"แต่..."

จ่าแม้นจะค้าน สายเย็นเฉียบฉายชัด

"พวกคุณฟังคำสั่งของผม หากไม่กลับมา ผมขอให้ร้อยเอกรังสรรค์ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการแทน บางทีการที่
ผมไปลาดตะเวนตรวจดูข้าศึกอาจจะสร้างทางที่ดีให้แก่เราได้ เดี๋ยวผมกลับมา"

ชายหนุ่มฉวยกระติกน้ำ หมวกเหล็ก กระเป๋ายามบรรจุกระสุนและยารักษาโรค ก่อนจะเดินออก ธีรเดชก็ลุกขึ้นขวาง

"ผู้กอง หน้าที่นี้ให้คนอื่นทำแทนเถอะ ผมจะอาสาไปแทนคุณ"

ธีรเดชยังพูดอธิบายไม่จบ ก็ถูกผลักออก

"คุณยังใหม่กับหน่วยเรา แล้วก็ไม่ชำนาญเส้นทาง ปล่อยให้คนที่ชำนาญทำเถอะ"

จ่าแม้นก็ลุกขึ้นอีกคน

"ก็ผมไงผู้กอง"

จ่าอาสา แต่ก็โดนคำปฏิเสธ

"จ่าแม้นไว้นำทางตอนกลับไปยังเขตแดนไทย อย่าห่วงผม เสียส่วนน้อยไปก็ยังดีกว่าเสียส่วนมาก"

เมื่อไม่มีใครทัดทานได้ ผู้กองหนุ่มก็ค่อยๆกลืนหายไปกับพงไพร เสียงฝีเท้าค่อยๆห่างเรื่อยๆ สีหน้าของนายทหารทั้งสี่มีความไม่สบายใจเลยโดยเฉพาะธีรเดช เขาจะทำไงดีล่ะ ถ้าหากผู้กองภานุตายแล้วธารจะรู้สึกอย่างไร เขาจะบอกอย่างไรดี แม้จะหวั่นใจ แต่ในความหวาดหวั่นและสิ้นหวังมักจะแฝงแสงแห่งความหวังหริบหรี่ไว้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าแสงนั้นจะส่องมาเมื่อไร ไม่มีใครรู้ได้เลย

------------------------------------------------

ภานุออกมาลาดตะเวนเพียงลำพัง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเพราะทุกอย่างก้าว หากพลาดคือความตาย ชายหนุ่มสอดนิ้วในไกปืนเตรียมพร้อมเสมอหากเกิดเหตุร้าย สายตาก็สอดส่ายหาความผิดปกติ แต่ทั่วป่าช่างเงียบเชียบนัก เปรียบดั่งหลุมฝั่งศพที่มีแต่ความวังเวง ในที่สุดเขาก็ทรุดนั่ง หยิบกระติกน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะออกเดินต่อเกรงว่าจะคว้าน้ำเหลว ในที่สุดก็ได้กลิ่นกองไฟโชยในอากาศ ชายหนุ่มดีใจยิ่งนัก ค่อยๆเดินย่องไปหาที่หมาย โดยหารู้ไม่ว่ามีคนตามเขามาเช่นกัน ฝีเท้าเงียบแผ่ว มีดปลายแหลมค่อยๆเงื้อขึ้น เงาคมวับวาดลงในอากาศ ก่อนจะแทงข้างหลังของภานุ ชายหนุ่มรู้สึกตัวถึงประกายคมแว๊บ จึงเบี่ยงตัวหลบ ยกแขนขึ้นกั้น มีดปลายแหลมแทงฉึกเข้าไปยังต้นแขนภานุ เขาใช้เท้าถีบท้องไอ้โจรที่เล่นสกปรก

"มึงคิดว่าพวกมึงจะฝ่าวงล้อมของพวกข้าได้รึ มีแต่ห้าคนยังสะเร่อสู้คนเป็นสิบ บอกมาว่าพวกเอ็งอยู่ไหนพวกข้าจะได้ย่างสดเอ็ง"

มีหรือว่าภานุจะบอกให้โง่ เขายอมตายเสียดีกว่าทรยศพวกพ้องและลูกน้องของตนเองเพราะรักชีวิต เสียงสบถสำรากอย่างหยาบคายเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ภานุกำแผลที่ถูกแทงแน่น เขาข่มความอดทน เลือดไหลโชกจนชุดสีเขียวเป็นด่างดวง

"มึงไม่ตอบ อยากตายนักรึ"

มีดคมยาวจะแทงเข้ามาอีกครั้ง แต่มันต้องชะงัก ร่างของไอ้โจรห้าร้อยหงายหลังล้ม เลือดของภานุเริ่มนองพื้น ภานุงุนงง ใครกันที่ยื่นมือเข้าช่วย แต่เขาก็อ่อนเพลียเพราะเสียเลือดมากเกินไป จึงล้มลง ดวงตาพร่าพราย คิดถึงหน้าในความทรงจำ...ธาร...ดวงตาแกร่งค่อยๆปิด ปืนที่อยู่ในมือร่วงหล่นบ่นพื้น เสียงถอนใจอย่างโล่งอกลอดออกมาจากต้นไม้ใหญ่พุ่มดกหนาแห่งหนึ่ง

"ลูกดอกยางน่องใช้ได้ผลดีนี่หว่า"

เจ้าขิ่นโผล่ออกมาดู เห็นแผลฉีกขาดเป็นทางยาว และก็ลึกพอควร มันถอนใจอีกครั้ง เมื่อจำเป็นต้องช่วย ดังนั้นมันจึงล้วงเข้าไปในยามปฐมพยาบาลอย่างว่องไว เพราะกลัวว่าไอ้พวกห้าร้อยมันจะเอะใจเมื่อไม่เห็นเพื่อนมัน พอปฐมพยาบาลตามมีตามเกิดเสร็จมันก็รีบยกร่างใหญ่อย่างทุลักทุเลพาไปส่งฐานที่มั่น ปากยังบ่นพึมไม่หยุด

"ไอ้โง่เอ้ย รนหาที่ตายชัดๆ ยังดีนะที่ข้าเปลี่ยนใจกลับมาก่อน ส่วนไอ้โชคร้ายนั้น มันคงเห็นเจ้านี่เลยคิดจะฆ่า แต่มันก็โชคร้ายเหมือนกัน แต่ถ้านายกิ่งไผ่ไม่บอกให้ช่วย ข้าก็ปล่อยให้เอ็งตายไปนานแล้ว"

เด็กหนุ่มลากเจ้ายักษ์มาด้วยกำลังทั้งหมด ภานุที่เสียเลือดไปมากลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ

...ใคร...ใครเนี่ย...

แต่ไม่มีวันที่จะได้ยิน เจ้าขิ่นรีบวางร่างของภานุลง แล้วเขาก็หาทางส่งข่าวให้คนข้างในรู้ ทหารที่ชราที่สุดในกลุ่มผุดลุกขึ้น

"ผู้กองภานุกลับมาแล้วกระมัง"

จ่าแม้นหยิบปืนรีบวิ่งไปดู แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้กองบาดเจ็บ จ่าแม้นจึงเรียกคนมาช่วย ธีรเดชวิ่งมาอย่างว่องไวแล้วตกใจที่เห็นภานุบาดเจ็บ

"ถูกลอบกัดรึ ผู้กองก็เก่งนักที่ฝ่ามาถึงนี้ได้"

รังสรรค์ว่า แต่อานุภาพก็ชี้ให้ดูผ้าพันแผลเก่าๆมอๆ

"ผู้กองไม่มีวันมาถึงนี่ได้เอง ต้องมีคนพามา มันเป็นศัตรูหรือมิตรกัน"

สายตาทุกคู่ต่างก็แลไปรอบๆ เจ้าขิ่นที่แอบซ่อนตัว อยากตบหัวตัวเอง

...เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่อยากญาติดีกะพวกเอ็งหรอก แต่มันจำเป็น เสียงเอ่ยที่ไม่มีใครได้ยิน และไม่มีวันรู้ว่าจะเป็นเช่นไรต่อ

พอภานุเปิดเปลือกตาขึ้น เขาก็รู้สึกอ่อนเพลียและร่างกายป่วยเป็นไข้จากพิษบาดแผล ผู้ที่เฝ้าพยาบาลทำสีหน้าเครียด ทางเดียวเท่านั้นที่พาภานุไปรักษาตัวได้ นั่นก็คือต้องตีฝ่าออกไป แต่ถ้าทำแบบนี้ ก็จะไม่มีใครเหลือเลย ท้ายที่สุดภานุก็เอ่ยมาได้

"ผมเสียทีมัน แต่พวกคุณไม่ต้องฝ่าวงล้อมเพื่อเอาผมออกไปนะ รอก่อน...รอ"

อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้เขาเอ่ยแบบนั้น แม้จะบาดเจ็บ แม้จะป่วย ภานุก็ยังเป็นภานุคนเดิม ทุกคำสั่งคือความเฉียบขาด เจ้าตัวยิ้มอย่างกล้าหาญ แม้รู้แน่แก่ใจที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อข่มความหวาดกลัวแต่เขาต้องรอด ต้องกลับไปหาใครบางคน... เพราะในช่วงนาทีมรณะเขารู้แล้วว่าใครสำคัญต่อเขา...สายแม่น้ำชโลมใจที่มีนามว่า...ต้นธารา...

------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด