ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 292815 ครั้ง)

ออฟไลน์ momo_2007

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #210 เมื่อ16-06-2008 23:18:34 »

โอย เครียดครับ เครียด รออ่านต่อไปๆๆๆๆ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #211 เมื่อ17-06-2008 03:32:43 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับแล้วเมื่อไร่กิ่งไผ่กับผู้กองธีจะได้เจอกันอะครับ

ลุ้นๆๆ อยากให้เจอกัน แล้วอยากให้ภานุรอดออกไป

ไปเจอกับคุณหมอเร็วๆๆ ดีจังตอนนี้ผู้กองภานุนึกถึงคุณหมอมาบ้างแล้ว อิอิ


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #212 เมื่อ18-06-2008 18:09:32 »

เย่ๆๆๆ

ตามอ่านทันแล้ว

ขอนับถือคุณหมอธารคนแรกเลย

ผู้กอง  อย่าเพิ่งเป็นไรน้า

แอบลุ้นคู่กิ่งไผ่อ่ะ  อิอิ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #213 เมื่อ19-06-2008 22:47:28 »

อิอิ  ต่อเลยน้า  ตามให้ทันเน้อ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:16/risk/ฝ่าวงล้อม


การที่หัวหน้าหน่วยบาดเจ็บสร้างความหวั่นใจให้แก่ทุกคนในหน่วยเป็นอันมาก เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมา ธีรเดชที่คอยปฐมพยาบาลผู้กองภานุทำหน้ากังวล เพราะบาดแผลของผู้กองเริ่มอักเสบ ส่วนผู้กองรังสรรค์ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาการแทนนั้น ย่นหน้าเมื่อเห็นน้ำกับอาหารไม่เพียงพอต่อการประทังชีพ

“จะเอาไงดีครับผู้กอง จะให้จ่าแม้นออกไปหาอาหารไหมครับ”

จ่าแม้นที่นั่งเงียบกริบมานานเสนอ แต่ผู้กองรังสรรค์ส่ายหน้า

“มันเสี่ยงเกินไป ผมไม่อยากให้ทางฝ่ายเราเสียทีทางฝ่ายนั้นอีกแล้ว”

หมวดอานุภาพคว้าปืนทำหน้าจริงจัง

“แล้วจะปล่อยให้เราทั้งหมดอดหรือครับ หากอ่อนแรงเราจะเอาอะไรไปสู้อีกฝ่าย เป็นอย่างนี้ก็ตายหมู่สิครับ ให้ผมกับจ่าออกไปเถอะ”

ชายหนุ่มบ่นพึม สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏเต็มสีหน้า ก่อนที่จะตัดสินใจลงไป ผู้กองรังสรรค์ขอเวลาขบคิดสักเล็กน้อย เจ้าขิ่นที่คอยแอบเฝ้ามอง มันบ่นพึมพำว่าทางฝ่ายทหารไทยโง่ เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิ เฝ้ามองทิวไม้เขียวชอุ่มบนคาคบไม้มะค่า มันเอนหลังนอนอย่างสบายใจเฉิบ วางกล้องส่องทางไกลลงบนอก รอเวลาเข้าไปช่วยเหลือ เด็กหนุ่มคิดถึงพี่ไผ่ ปานนี้จะเป็นไงบ้างนะ คิดพลางหลับตา จนกระทั่งยามเย็นเข้ามาเยี่ยมกราย เจ้าขิ่นลงจากคาคบไม้ด้วยความว่องไวดุจลิง มันซุ่มอยู่รอบนอกฐานของพวกโจรกะเรี่ยง ศพของเจ้าเคราะห์ร้ายยังอืด อีกฝ่ายยังไม่สงสัยโชคดีไปสำหรับเจ้าขิ่น เด็กหนุ่มหอบกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำมาสามกระบอก รักษาฝีเท้าไม่ให้ลำไผ่กระทบกัน มันค่อยๆเลาะตามแนวที่เจ้าพวกโจรไม่ค่อยรักษาความปลอดภัยแอบหลังพุ่มไม้เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“ทำไมคนของเราหายไปหนึ่งคน มึงไปตามมันสิ”

เสียงค้านอย่างเบื่อหน่ายก็ดังขึ้น

“ช่างหัวมันประไรเล่า มันคงถูกเสือขบหัวตายแล้วมั้ง เห็นมันออกไปหาของป่า เออ หรือไม่ก็ทะเลอทะร่าถูกไอ้ทหารไทยฆ่าตายแล้วมั้ง”

เสียงหัวเราะร่วน เห็นเป็นเรื่องตลก หูของเด็กหนุ่มได้ยินเสียงดังผลัวะชัดเจน ไอ้คนที่ปากหมาคงถูกต่อยแน่ๆ

“กูไม่ได้ใช้ให้พวกมึงมาพูดเล่น ไอ้ห่ะ มึงออกไปตามมันมา มึงรู้ไหมถ้าหากมึงทำงานไม่เสร็จ พวกมึงจะถูกฆ่าทิ้ง”

เจ้าคนที่พูดเล่นเงียบกริบ รีบลนลานออกมา เจ้าขิ่นเห็นท่าไม่ดี เด็กหนุ่มจึงรีบออกจากที่ซ่อน แล้วมาทางค่ายของเหล่าทหารไทยที่นั่งหมดอาลัยตายอยากเพราะทางหัวหน้ารองไม่อนุมัติคำสั่ง จ่าแม้นเขี่ยไฟที่เริ่มราเชื้อ ผู้กองธีรเดชนำผ้าเปื้อนเลือดแช่น้ำ สีหน้าของผู้กองหนุ่มอิดโรย หมวดอานุภาพนั่งเคี้ยวต้นหญ้าหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ผู้กองรังสรรค์ลุกขึ้น

“เรื่องนี้ขอให้ผู้กองตัดสินใจดีๆเถิดครับ”

จ่าแม้นกล่าวอีกครั้ง แต่ผู้กองรังสรรค์ก็ปฏิเสธเช่นเคย

“บอกแล้วผมไม่อยากเสี่ยง”

เสียงพูดคุยลอยไปถึงหูเจ้าขิ่น เด็กหนุ่มรู้สึกเห็นใจอยู่หรอก แต่ทำไงได้ล่ะ มันวางกระบอกน้ำไว้ตรงคาคบไม้ พอให้เจ้าพวกทหารไทยมองเห็นได้ แล้วรอฟังสถานการณ์ต่อไป เสียงก็จ่าชราก็ดังขึ้นอีก เจ้าขิ่นสนใจฟัง มันลืมไปว่า ทางเจ้าโจรกะเรี่ยงส่งคนให้มาดูเพื่อนของมัน ขณะนี้มันเดินมาทางเด็กหนุ่ม เจ้าขิ่นมัวแต่ฟังทางเหล่าทหารไทยคุยกัน จนกระทั่งเสียงย่ำใบไม้ดังกรอบแกรบ เจ้าขิ่นหันไปมอง แล้วหน้าเสีย

...ชิ เข้ามาขัดจนได้....

เสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบสะท้อนในความเงียบ เหล่าทหารไทยหันมองล่อกแลก เจ้าขิ่นถอนใจฮึดฮัด เป็นมันที่ต้องจัดการเจ้าตัวยุ่งยากอีกแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มก็หลบหายไปเงียบๆ

“ผู้กองครับ เสียงนั้นอาจจะเป็น...”

หมวดอานุภาพว่า รังสรรค์กางแขนกั้น ชายหนุ่มหยิบปืนพกขึ้นมา ตรวจดูลูกกระสุน

“อย่าเพิ่งกะโตกกะตากไป...เงียบ...ผมจะออกไปดูเอง”

ชายหนุ่ม เดินช้าๆ สายตาเหลือบมองทั่วทิศ ค้นหาตนตอ แล้วต้องประหลาดใจเมื่อเห็นกระบอกน้ำ เขานั่งลงมองรอยเท้าที่ลบเลือนหาย จ่าแม้นอดทนไม่ไหวลุกขึ้นมาดู

“นี่มันน้ำนี่ครับ”

จ่าชรากล่าวอย่างดีอกดีใจ กำลังจะหยิบขึ้นมาดูด้วยความลืมตัว แต่รังสรรค์ก็ห้ามไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งแตะต้องครับจ่า อาจจะมียาพิษเจือปน”

จ่าแม้นชะงักมือ แล้วถอนใจอย่างเสียดาย

“โธ่เอ้ย อุตส่าห์มีน้ำต่อชีวิตแท้ๆ แล้วใครนำมาให้ล่ะ”

จ่าชราตั้งคำถาม ผู้กองหนุ่มส่ายหน้า

“ผมก็ตอบไม่ได้ เดี๋ยวผู้กองได้ยินเสียงอะไรไหม?”

ทั้งสองเงี่ยหูฟัง ดวงตาอ่อนล้าของจ่าแม้นมองใบหน้าของผู้กองหนุ่ม

“ได้ยินครับ มันดังจากทางนั้น เดี๋ยวผมไปดูเองครับ”

จ่าแม้นไม่รั้งรอ ชายชราวิ่งเหยาะๆไปทางที่เกิดเสียงแล้วต้องผงะ เมื่อเห็นซากศพสองร่าง อีกร่างหนึ่งเริ่มเน่าเฟะส่งกลิ่นอวล ส่วนอีกร่างดูเหมือนเพิ่งตายหมาดๆ ลำคอถูกมีดปาดเหวอะหวะ เสียงของชายชราทำให้ผู้กองหนุ่มวิ่งไปดู แล้วงงเป็นไก่ตาแตก เหลียวมองรอบๆตัว

“นี่มันคืออะไร ใครเป็นคนจัดการพวกนี้ จ่ารึ”

จ่าแม้นส่ายหน้านิ้วแกร่งชี้มาทางศพที่เริ่มเน่า

“อันนี้ยังพอให้คำตอบได้ แต่ศพนี่สิ ประหลาดจริงๆ”

คนที่ฆ่าเจ้าโจรกะเรี่ยงเคราะห์ร้ายซุ่มเงียบๆ มือของเจ้าขิ่นชุ่มไปด้วยเลือด มันปาดเหงื่อ เกือบไปแล้วเชียว เด็กหนุ่มซุ่มดูบุคคลทั้งสองสนทนากัน

“นั่นสิครับ ไอ้เจ้าเคราะห์ร้ายนี้คงถูกผู้กองภานุฆ่าทิ้ง แต่ว่าเจ้านี่ มันยังไงกัน จ่าว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องน้ำนั้นไหมครับ ”

จ่าแม้นส่ายหน้า ดวงตาปรากฏความไม่เข้าใจอยู่เต็ม

“ผมก็ไม่ทราบ ผมว่าเรากลับไปคุยที่ค่ายเถอะครับ ปล่อยไอ้โชคร้ายสองตัวนี้ไว้เถอะครับ”

ทั้งสองต่างรีบเร่งกลับฐาน จมูกยังได้กลิ่นซากศพอยู่ไม่คลาย พอทหารไทยกลับไป เจ้าขิ่นก็ออกจากที่ซ่อน รู้ดีว่าหากอยู่นานไป อาจจะซวยแทนได้ ดังนั้นมันจึงหลบไปยังที่ซ่อนเดิม ภารกิจหนึ่งมันทำสำเร็จแล้ว มันจึงค่อยมั่นใจขึ้นมาบ้าง


---------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #214 เมื่อ19-06-2008 22:49:37 »

ทางฝ่ายผู้กองรังสรรค์และจ่าแม้น เมื่อกลับถึงฐานก็เล่าเรื่องที่ประสบพบเจอให้ฟัง ธีรเดชนั่งเงียบกริบ เขาสงสัยเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับสายลมแห่งความโชคดีได้พัดผ่านเข้ามา

“มีเรื่องอะไรกันรึ”

ภานุตื่นจากการหลับใหลเพราะเสียงกระซิบกระซาบ

“เห็นผู้กองรังสรรค์กับจ่าแม้รายงานว่าเจอศพของฝ่ายตรงข้ามที่ชายป่าครับ แล้วอีกอย่างมีใครบางคนที่คอยช่วยเรา”

หมวดอานุภาพรายงาน ภานุยันกายลุกขึ้นข่มความเจ็บปวดทั้งหมด ฟังคำรายงานจากปากรองผู้บังคับบัญชา พอฟังเรื่องเล่าทั้งหมดจบก็นิ่วหน้า

“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ผมออกไปลาดตะเวนตรวจดูข้าศึกแล้วเสียทีพลาดพลั้งมัน เหมือนกับมีคนมาช่วยจริงๆ เสียดายที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร”

ภานุพึมพำ ธีรเดชโพลงออกมา

“จะเป็นไปได้อย่างไรครับก็ในเมื่อแทบนี้เป็นเขตแดนของ...”

ธีรเดชยังพูดไม่จบก็เงียบไปเพราะฉุกคิดได้ว่าอาจจะเป็นหญิงคนนั้นก็ได้ หญิงสาวปริศนา แต่มันจะเกี่ยวข้องกันหรือ แล้วเธอรู้ได้อย่างไรกัน คิ้วของธีรเดชขมวดมุ่นจนจ่าแม้นต้องถาม

“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กองธี เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหลือเกิน”

ธีรเดชเงยหน้าขึ้นรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

ชายหนุ่มเก็บงำเรื่องที่เป็นปมเงื่อนไว้ในใจเงียบๆ ไม่มีใครขบคิดได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร กับการช่วยเหลือที่ไม่ได้คาดหมาย ส่วนอานุภาพกัดปากแน่น

“รอดูไปเรื่อยๆก่อน ไม่แน่เราอาจจะกลับเข้าเขตไทยได้ หมวดอานุภาพคุณติดต่อทางค่ายหรือยัง”

ผู้หมวดหนุ่มที่เหม่อไปอีกคนผงกหัวเมื่อหัวหน้าหน่วยถาม

“งั้นก็ดี...ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาดเราจะพากันตีฝ่าวงล้อมหลบหนีไป”

ภานุเอ่ย สายตาของทุกคนแจ่มใสขึ้นมาทันที

------------------------------------------------

กิ่งไผ่พาเจ้ากฤษดามาเดินป่า เขาเหลียวมองทิศทางที่ผู้กองหนุ่มชาวไทยถูกล้อมไว้ ในใจของกิ่งไผ่ภาวนาขอให้เจ้าขิ่นจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยไวเถอะ ขณะก้มตามรอยเท้ากวางด้วยใจที่เหม่อลอยนั้น กิ่งไผ่ไม่ได้ระวังเจ้ากฤษดาเลย ชายหนุ่มเข้าใกล้ จนกระทั่งปลุกตื่นจากภวังค์

“เหม่ออะไรครับ ระวังจะเกิดอุบัติเหตุนะครับ”

ลมหายใจของอีกฝ่ายแทบปะทะแก้ม กิ่งไผ่เบือนหน้าไปทางอื่น จนกฤษดาต้องยื่นมือจับคางให้หันมาสบตาสีประหลาด

“ทำไมคุณต้องหลบหน้าผมทุกทีเนี่ย”

ชายหนุ่มถามอย่างข้องใจ กิ่งไผ่เชิดหน้าขึ้นปัดมือของอีกฝ่ายออก

“ผมไม่ให้หลบหน้าเสียหน่อย ขอเถิดเถอะครับช่วยมีมารยาทหน่อย”

กิ่งไผ่กล่าวอย่างเหลืออดเหลือทน มีหรือที่นายกฤษดาจะยอมทำตาม เหมือนอีกฝ่ายจะรุกเร้า กิ่งไผ่หยิบปืนพกขึ้นมาจ่ออก

“ผมไม่ใช่ผู้หญิง อย่ามาดูถูกกันแบบนี้ ผมเริ่มหมดความอดทนแล้วนะครับ คุณเป็นแขกของพ่อผม ผมจึงให้เกียรติคุณหาไม่แล้ว...”

แทนคำพูดทั้งหมด กิ่งไผ่เหนี่ยวไกปืนยิงลูกมะม่วงป่ากระเด็นหล่นแบบไม่ต้องเล็ง นายกฤษดาชะงัก แก้มสัมผัสความร้อนที่เฉียดผิวเนื้อไป

“ผมก็แค่ล้อเล่น เห็นคุณกิ่งไผ่ดูเครียดเท่านั้นเอง”

ชายหนุ่มผละออกจากตัว กิ่งไผ่ยิ้มเย็นตอบกลับ

“ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องล้อเล่นเสียด้วยสิ”

รอยยิ้มของชายหนุ่มลูกครึ่งผุดขึ้น

“ผมก็ไม่ชอบเรื่องล้อเล่นเช่นกัน สักวันคุณจะมากองแบบเท้าผมโดยที่ปืนกระบอกนี้ไม่ช่วยอะไรคุณได้เลย”

กฤษดาพูดใส่หน้า มันทำให้กิ่งไผ่กำหมัดแน่น สายตาสีประหลาดไม่มีร่องรอยว่าจะกลัวเขาสักนิดเดียว

“เอาล่ะ...ผมว่าเราเดินทางกันต่อดีกว่า”

กฤษดาเดินนำหน้าลิ่วๆ ปล่อยคนทระนงในตัวเองอย่างกิ่งไผ่ต้องกัดฟันกรอด จำต้องเดินตามกลับค่าย พอไปถึงสีหน้ากิริยาของกฤษดาก็เปลี่ยนไป พูดคุยกับท่านนายพลอินคานอย่างสนิทสนม ร่างโปร่งมองด้วยหางตาอย่างอาฆาตมาดร้าย

“เป็นอะไรละลูกไผ่?”

บิดาถาม กิ่งไผ่สะดุ้งขึ้น ก่อนยิ้มตอบ

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

กิ่งไผ่วางปืน ปลดกระดุมข้อมือ นายกฤษดาส่งสายตาอย่างมีความหมายมาให้ ร่างโปร่งรู้สึกเบื่อหน่าย จึงเดินหนีแทน

...ไม่ยักรู้ว่าคนๆนี้จะคิดกับเขาในเชิงชู้สาว...

นิ้วเรียวแตะหน้าของตน ใบหน้านี้มันทำให้เขาปฏิบัติงานสำเร็จมากนักต่อนัก ถึงจะชิงชังมัน แต่มันก็เป็นเค้าโครงหน้าของมารดา เขานั่งเหม่อจนไม่รู้ว่าท่านอินคานโผล่มาทางเบื้องหลังอย่างเงียบกริบ

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสียงอ่อนๆถาม กิ่งไผ่เหลียวมองก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่เป็นอะไรครับพ่อ ผมแค่เหนื่อยเท่านั้น”

นายพลอินคานนั่งข้างบุตรชาย ท่านมองดูสีหน้าอิดโรย หนักใจก่อนชายชราจะนำหลังมืออังหน้าผากผู้เป็นบุตร

“เจ้าเหนื่อยก็พักเสียเถอะ เดี๋ยวให้คนอื่นจัดการงานแทนเจ้าก็ได้”

กิ่งไผ่ส่ายหน้า เขายิ้มเข้มแข็ง

“ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อต่างหากที่ควรพัก ดูสีหน้าของพ่อไม่ดียิ่งกว่าผมอีก”

สายตาของบุตรชายจ้องเขม็ง

“ผมโตแล้วนะครับ อีกอย่างงานที่พ่อให้ทำผมทำได้ทุกอย่างแล้วด้วย ไม่ต้องห่วงผม”

นายพลอินคานยิ้ม

“พ่อไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น พ่อเกรงว่าเจ้าไม่สบายต่างหากถึงพูดแบบนี้ ไหนเจ้าขิ่นล่ะ มันชอบมาอยู่ข้างๆลูกไม่ใช่รึ”

สายตาของท่านสอดส่ายหาสหายของบุตรชาย กิ่งไผ่หลบตา

“ผมใช้มันไปทำงานอื่นอยู่ครับ ผมว่าพ่อไปพักก่อนเถอะ”

กิ่งไผ่ประคองชายชรา เข้าไปยังห้องนอน สายตามองนายกฤษดาที่ทำตัวสบายอกสบายใจยามที่สองพ่อลูกเดินผ่าน พอประคองบิดาให้พักผ่อน กิ่งไผ่ก็ลงมาข้างล่าง เขาพบคนของเขาและพบว่าดูแปลกไป

“มีอะไรหรือเปล่า”

กิ่งไผ่ถามลูกน้องของพ่อ ซึ่งเอาแต่หลบตา ชายหนุ่มถอนใจ ไม่ได้คำตอบเขาก็ไม่เซ้าซี้ เดินตรวจค่ายสักพักจึงกลับไปดูบิดา แล้วเห็นท่านนายพลกุมอก กิ่งไผ่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ร่างโปร่งก้มลงมองบิดาแล้วถามละล่ำละลัก

“เป็นอะไรครับ”

สายตากลมโตเหลือบมองยาลดความดัน เขารีบคว้ายามาเทให้ท่านนายพล รีบให้ท่านดื่มน้ำ นายกฤษดาเห็นเอะอะจึงเข้ามาดู ท่านนายพลยิ้มสมกับเป็นทหาร

“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ความดันขึ้นเท่านั้นเอง”

กฤษดามองอย่างเป็นห่วง หากแต่ดวงตาเบื้องลึกซ่อนแววบางอย่างไว้

“ท่านไม่เป็นอะไรแน่หรือครับ”

นายพลอินคานพยักหน้า

“แน่สิ คุณกฤษดาอย่าห่วงเลย”

นายกฤษดารั้งรออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปิดประตูให้ กิ่งไผ่มองหน้าบิดา

“พ่อครับ พ่อไม่เป็นอะไรจริงนะเหรอครับ ผมรู้สึกว่า...”

ท่านนายพลจุ๊ปาก

“ฮึ่ม เจ้าไม่รู้รึว่าพ่อของเจ้าแข็งแรงจะตาย แค่โรคของคนแก่ พ่อทนได้”

ชายหนุ่มยังไม่คลายแววตาเป็นห่วงเป็นใย

“เจ้าออกไปดูหุ้นส่วนสำคัญเถอะ อย่าให้เขาว่ากล่าวติเตียนเราได้”

กิ่งไผ่ไม่ยอม เขานั่งอยู่บนพื้นเคียงบิดาจนท่านนายพลต้องกล่าวด้วยความเฉียบขาดนั้นแหละ จึงทำให้กิ่งไผ่ลุกขึ้น ก่อนจะออกจากห้อง เขามองบิดาแล้วพูดเสียงแผ่ว

“พ่อครับ ผมไม่ถูกชะตากับแขกที่พ่อเชิญมารวมอุดมการณ์เลย ชายคนนั้นดูเหมือน...”

กิ่งไผ่หยุดไป นายพลยิ้มคานยิ้มนิดๆ

“พ่อเข้าใจ เอาล่ะเจ้าออกไปดูแขกเสียที”

พูดจบ ประตูห้องก็ปิดลง ท่านนายพลกุมหน้าอกแล้วนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ท่านรู้สึกว่าหัวใจของตนจะย่ำแย่ แต่ท่านมิอาจจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ชายชราล้มตัวนอน คิดถึงมนัสหยา คิดถึงอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ เมฆมืดมัวราวกับจะพัดผ่าน รอยยิ้มของภรรยารัก เหตุไฉนช่างห่างไกลนัก น้ำตาไหลหยดจากหางตา...ความว่างเปล่า...สิ่งที่ท่านจะได้รับก็คือสิ่งนี้ ท่านนอนคิดอย่างเดียวดาย ห่วงแต่ลูกกิ่งไผ่ หากอยู่ตัวคนเดียวจะเป็นเช่นไร ใครจะดูแลได้ ดวงตาอ่อนล้าก็ปิดลง

------------------------------------------------

กิ่งไผ่ออกจากห้อง เขาพิงประตูแล้วตีสีหน้าเมื่อเห็นสายตาของคนที่เขาไม่ชอบใจจ้องมา

“หวังว่าคงไม่ต้องส่งท่านนายพลกลับไปในเมืองนะครับ ถ้าหากส่งไปล่ะก็ โทษทัณฑ์ทั้งหมดทั้งมวลจะมีผลลงโทษทันที”

กิ่งไผ่รับฟังเงียบๆ แล้วย้อนถามเรียบๆ

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ ในเมื่อผมกับทางของคุณก็เป็นหุ้นส่วนกัน”

คำถามที่ตรงไปตรงมา กฤษดาหัวเราะเบาๆ

“ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ ปากร้าย แต่ผมก็เป็นคนใจดีนะ”

พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ แม้กิ่งไผ่จะไม่ชอบใจ เขาก็ต้องสงบเอาไว้

“งั้นหรือครับ ผมว่าถ้าคุณเก็บปากเก็บคำมากกว่านี้ก็คงดี”

ร่างโปร่งทิ้งท้ายก่อนลงจากเรือน สายตาดั่งพญาเสือเข้มขึ้น รอยยิ้มแสยะออกดูชั่วช้า

“อีกไม่ช้า คุณก็ต้องตกเป็นของผมอยู่ดี”

นายกฤษดาจุดบุหรี่สูบอย่างอารมณ์ดี ร่างโปร่งที่ถูกกวนโทสะหงุดหงิดยิ่งนัก ทั้งความเครียดที่ต้องรอคอยผลจากเจ้าขิ่นว่าจะช่วยทางทหารไทยสำเร็จไหม ทั้งเรื่องบิดาล้มป่วย มันปะดังปะเดเข้ามาพร้อมๆกันจนแทบรับไม่ไหว หากต้องอดทน เขาต้องเข็มแข็ง เหมือนตอนอยู่โรงเรียนทหาร เขาต้องรอ ชีวิตเขาคือการรอคอย กิ่งไผ่สงบอารมณ์ได้แล้วขึ้นไปบนเรือน แต่ต้องชะงักเมื่อนายกฤษดาขวางประตูไว้ ดูเหมือนจะเย้าหยอกมากกว่า เขาเดินผ่านช่องที่เบี่ยงไว้ เส้นผมยาวสลวยปลิวใส่หน้า อีกฝ่ายสูดดมกลิ่นหอมสะอาดอย่างฉกฉวย ประตูห้องปิดโครม เสียงถอนใจดังจากปากนายกฤษดา เมื่อรู้ว่าต้องชนะ จึงนั่งลงอย่างสบายใจ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่กิ่งไผ่ทำแค่การลวงเท่านั้นเอง ร่างโปร่งกำลังวางเบี้ย ปล่อยให้เหยื่อติดกับแล้วจัดการเชือดทีหลัง วิธีที่แสนง่ายดายแต่ใช้ได้ผลนัก!

------------------------------------------------

หลังจากกลับมาจากแม่สาย ต้นธาราดูเหมือนจะคลายความพยศลงมาครึ่งหนึ่ง ยอมทำทุกอย่างตามที่แพทย์บอก ท่านนายพลพิภพใจชื้นขึ้นเมื่อต้นธารายอมพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคมะเร็งโดยไม่รอภานุกลับมา

“พ่อดีใจที่ลูกรักชีวิตตัวเอง”

ต้นธารายิ้ม

“ผมอยากมีชีวิตอยู่ครับ ผู้กองนาคีคงคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

ผู้เป็นบุตรตอบกลับ บิดากุมมือบอบบางไว้

“ธาร ลูกรับการเข้ารักษาแบบคีโมได้ใช่ไหม? พ่อคุยกับแพทย์ไว้ก่อนแล้ว ถ้าลูกจะเข้ารับการรักษา ลูกต้องเข้ารับคีโมเพราะวิธีนั้นก็เป็นการรักษาที่ดีที่สุด”

ท่านเจ็บปวดใจที่จะเห็นผู้เป็นบุตรทุกข์ทรมาน ท่านกล่าว่าตัวเองอยู่เสมอที่ไม่อาจมอบความสุขให้แก่บุตรแทนภรรยาได้

“ผมรู้ครับพ่อ”

ต้นธาราบีบมือท่านเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นว่าจะรับเข้ารักษา

“พ่อก็อยากให้เจ้าหายขาดโดยไม่ต้องทรมานจริงๆ รู้ไหมธารหากเจ้ารับการคีโมมันจะเป็นอย่างไร พ่อไร้ความสามารถจริงๆที่ไม่อาจหาไขกระดูกที่ตรงกับเจ้ามาให้ได้”

ต้นธารายิ้มเซียวๆ

“โธ่!พ่อครับผมก็เป็นหมอนะ รู้ดีน่าว่าการคีโมเป็นอย่างไรแล้วอีกอย่างไม่ต้องหาคนที่มีไขกระดูกตรงกับผมก็ได้ ”

ต้นธาราว่า ท่านนายพลมองหน้าบุตร

“แล้วทำไมลูกถึงตัดสินใจแบบนั้นล่ะ”

ท่านถาม ลูกชายตอบทันใด

“ผมไม่อยากให้พ่อเสียใจ เพราะผมทำให้พ่อเสียใจมากพอแล้วครับ”

ท่านนายพลยิ้ม

“พ่อรักเจ้านะธาร”

นายพลพิภพกอดลูกชายเอาไว้แน่น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

“ลุงก็เหมือนกัน”

นายพลอรุณก้าวเข้ามาในห้อง ท่านวางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะ

“เฮ้อ กว่าจะเสร็จงานแล้วมาเยี่ยมหนูธารได้นี่ มันเหนื่อยจริงๆ ดั๊นมาเห็นภาพพ่อลูกรักกันเสียจนน่าอิจฉา”

ท่านนายพลหัวเราะยามที่เอ่ย ต้นธารายิ้ม

“คุณลุงก็พูดไป ผมก็รักคุณลุงเหมือนกันนะครับ ลุงเหมือนเป็นพ่อคนที่สองของผม คอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งยังรับฟังความเอาแต่ใจของผมด้วย”

ดวงตาสีน้ำตาลมั่นคง นายพลอรุนนิ่งไป

“ธารพูดแบบนี้ลุงก็ใจเสียสิ เหมือนกับว่า...”

บรรยากาศที่เคยอบอุ่นมลายไป ต้นธาราสบตาชายชราทั้งสอง

“ผมจะหายครับ”

ต้นธาราเอ่ยแบบนั้น จนท่านนายพลอรุณและนายพลพิภพงุนงง

“ดีแล้ว...”

ท่านนายพลอรุณอรุณกล่าวแค่นั้น ก่อนจะลากเพื่อนสนิทตั้งแต่ยังหนุ่มมาคุยด้วย โดยชำเลืองมองต้นธาราหลานสุดที่รักอยู่ตลอดเวลา

“ทำไมหนูธารถึงเปลี่ยนใจเข้ารักษาก่อนภานุจะกลับมาล่ะ?”

นายพลพิภพก็ตอบไม่ได้ ท่านหันมอง ดวงตาแสนมั่นคง สมัยก่อนมันดูเลื่อนลอยกว่านี้

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจเพราะลบล้างสำนึกที่คิดว่าฆ่าร้อยเอกนาคีตายไปได้แล้วกระมัง”

ท่านตอบ เหตุผลที่แท้จริง ที่ปิดเงียบไว้

...ผู้กองนาคีครับ ครั้งหนึ่งที่ผมคิดจะตาย เป็นเพราะคุณผมจึงอยู่ ผมมันเห็นแก่ตัวไปไหม ที่ได้มองดูโลกที่สวยงาม...

สายตาของต้นธารามองดูรูปภาพที่ขอมาจากบิดามารดาของผู้กองนาคี ภาพในเครื่องแบบที่เก็บถนอมไว้ ผู้กองช่วยตอบทีได้ไหมครับ ทำอย่างไรที่จะลบเลือนความเกลียดชัง ขอแค่ยืดเวลาไปอีกสักนิด ขอแก้ไขความเข้าใจผิดแล้วผมก็จะตามผู้กองไป....ทำอย่างไรที่จะเรียกความเชื่อใจของผู้กองภานุคืนมา....

------------------------------------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #215 เมื่อ20-06-2008 00:07:39 »

ดันๆ อึ๊บๆ  :laugh:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #216 เมื่อ20-06-2008 07:14:35 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ดันๆๆให้อีกคน ชอบมากครับผม

ยังเป็นกำลังใจให้อยู่ครับผม

แล้วเมื่อไรครับที่ผู้กองธี กับ กิ่งไผ่จะได้เจอกันอะ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #217 เมื่อ20-06-2008 10:01:55 »

ขอให้ผู้กองและคณะปลอดภัย :sad2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #218 เมื่อ20-06-2008 13:51:59 »

เศร้าเป็นที่สุด

ฮืออออออออออออออออ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #219 เมื่อ23-06-2008 21:00:18 »

ต่อค้าบบบ  อิอิ
ขอโทษทีหายนานไปหน่อย
+++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก17 lacerated/หัวใจที่แสนทรมาน

ฝ่ายกองโจรกระเหรี่ยงเอะใจที่ลูกน้องในค่ายหายไปสองคน มันก็คือไอ้คนที่หัวหน้ากลุ่มใช้ไปตามเพื่อน พวกมันจึงตื่นตัวมากยิ่งขึ้น

“ทำไมมันยังไม่กลับอีกล่ะลูกพี่”

ลูกน้องเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มโจร มันทำหน้าสงสัย

“หรือว่าจะโดนไอ้พวกทหารไทยปาดคอเอาแล้ว”

เสียงหนึ่งเอ่ยโพลงอย่างหวาดหวั่น แต่มันก็โดนตบกะโหลกทันที

“มึงพูดหมาๆแบบนี้กูจะฆ่ามึงทิ้ง มันจะเป็นไปได้ยังไง ไอ้ฝ่ายทหารไทยมีแค่ห้าคนเท่านั้นเอง แล้วพวกมึงก็มีเป็นฝูงแถมล้อมมันไว้แบบนี้ มันจะทำอะไรมึงได้”

ผู้ที่ถูกด่าสั่นแล้วรีบคลานหลบตีนที่ประเคนลงมาเต็มๆ

“เฮ้ย มึงไปหามัน หาไม่เจอมึงไม่ต้องกลับมา”

เจ้าคนเคราะห์ร้ายหน้าซีดกับหน้าที่ที่ยัดเยียดมาให้

“แต่ว่าลูกพี่....”

มันพยายามอุทธรณ์เพราะหวาดกลัวว่าถ้าหากออกไป มันคงไม่ได้กลับมาอีกเหมือนกับเพื่อนมันแน่

“มึงจะไปหรือไม่ไป?”

คำถามที่ตั้งขึ้นมา ทำให้แววตาของมันสั่นเล็กน้อย แล้วมันก็รีบยกมือไหว้ปะหลกๆ

“ผมไม่อยากไปครับ...ลูกพี่ผมกลัวว่า...”

มันไม่ทันพูดจบ ลูกพี่ของมันชักปืนออกมา จ่อตรงหน้าผากของมัน แล้วสอดมือเข้าไปในโกร่งไกปืน ก่อนจะขู่ด้วยความเย็นชา

“มึงอยากจะให้ไอ้ทหารไทยฆ่า หรือมึงอยากให้กูยิงมึงสมองไหล มึงเลือกเอา”

เจ้าลูกน้องตัวสั่นริกๆ เหงื่อไหลเต็มใบหน้าด้วยความขลาดกลัวอย่างรุนแรง

“ผ...ผม ป...ไปก็ ได้ครับ”

มันพูดตะกุกตะกัก เพราะไม่มีทางเลือกแล้ว ลูกพี่ของมันยิ้มอย่างพออกพอใจ กับคำตอบที่ได้รับ

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว มึงก็ไปเก็บปืนเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางเสีย ถ้ามึงไม่กลับมา กูก็จะสวดมนตร์ส่งถึงสวรรค์ไปให้ โชคดีนะ”

ลูกพี่ของมันเดินหันหลัง เจ้าคนเคราะห์ร้ายกำมือแน่น มันเดินคอตกหมดหวังหยิบย่าม บรรจุของตามที่เจ้านายสั่ง ก่อนจะเดินออกจากนอกค่าย เหล่าเพื่อนพ้องได้แต่มองอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ขอให้มึงตามหาไอ้สองตัวนั้นเจอล่ะ”

------------------------------------------------

เหล่าทหารไทยที่ได้รับน้ำดื่มเพิ่มขึ้นพร้อมกับอาหารจากผู้ไม่ประสงค์ปรากฏตัว รู้สึกมีขวัญกำลังใจขึ้น และการที่ผู้กองภานุฟื้นจากอาการเจ็บก็เป็นนิมิตหมายดีที่จะให้เหล่าผู้กล้าวางแผนหาทางออก

“จ่าแม้นว่าเปอร์เซ็นต์ที่เราจะรอดมีเท่าไร?”

ผู้กองรังสรรค์ถาม ระหว่างที่กางแผนที่ออกกว้าง จ่าชราเกาคาง ทำหน้าตอบไม่ถูก

“...ก็ห้าสิบ-ห้าสิบล่ะครับ”

จ่าแม้นเอ่ย ผู้หมวดอานุภาพเหมือนกับจะมีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ ธีรเดชที่เพิ่งผละจากการรักษาผู้กองภานุก็มานั่งใกล้ๆแล้วก็ยิ้ม

“เป็นอะไรไหมครับ เห็นหมวดดูไม่สดชื่นเลย”

หมวดอานุภาพสะดุ้งโหยง หันมาเอ่ยผู้กองคนใหม่

“เอ่อ...ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แล้วอาการของผู้กองภานุเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ร้อยตรีอานุภาพพยายามปฏิเสธ ธีรเดชหันไปดูผู้กองภานุซึ่งนอนหลับไปเพราะพิษไข้

“ก็อาการดีขึ้นแล้วน่ะครับ ค่อยยังชั่วที่แผลไม่อักเสบ เพราะหากติดเชื้อแล้วล่ะก็....ผู้กองภานุอาจจะไม่มีสิทธิ์รอดเลย”

ผู้กองธีรเดชตอบเสียงแผ่ว แหงนหน้ามองเงาสีเขียวที่แซมกับขอบฟ้าสีฟ้าคราม

“แล้วเราก็ตายตามผู้กองไปด้วย...”

ผู้หมวดอานุภาพว่า ร้อยเอกธีรเดชหัวเราะ

“ผมว่าเราจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก หากว่าเราร่วมมือร่วมใจกันเราต้องฝ่าวิกฤตนี้ไปได้แน่”

คนทั้งคู่ชะงักการสนทนาเพราะร้อยเอกรังสรรค์ที่รั้งตำแหน่งหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแทนผู้กองภานุกวักมือเรียกคนทั้งสอง

“เรากำหนดแผนคร่าวๆได้แล้วว่า เราทั้งสี่คนจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มนั้นจะนำผู้กองภานุที่บาดเจ็บรออยู่ข้างหลัง แล้วอีกสองคนที่เหลือจะเป็นคนฝ่าวงล้อมไป หากเกิดการผิดพลาด เราก็ยังมีคนเหลือ แต่ขัดตรงที่ว่า ใครจะรับอาสาทำหน้าที่นี้”

สายตาของผู้รักษาการแทนหัวหน้าหน่วยจับจ้องทุกๆคน

“ผมจะอาสาเป็นคนตีฝ่าคนหนึ่ง ขออาสาสมัคร แต่เราจะเก็บจ่าแม้นไว้ พวกคุณสองคนใครจะทำ”

ผู้หมวดอานุภาพมองหน้าธีรเดช

“ผมรู้ว่าหน้าที่นี้อันตรายยิ่ง และเปอร์เซ็นต์ในการรอดนั้นแทบเป็นศูนย์ แต่ถ้าเราไม่ทำ คนทั้งหมดก็ต้องตาย”

ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ยแค่นั้น ผู้หมวดอานุภาพเตรียมจะยกมือแต่ร้อยเอกธีรเดชก็ยกมือขัดก่อน

“ผมจะอาสาเองครับ ให้หมวดอานุภาพไปกับจ่าแม้นดีกว่า เพราะเขาเก่งการใช้วิทยุสื่อสารซึ่งต่างจากผม ถ้าหากทางค่ายใหญ่ติดต่อมาก็จะง่ายยิ่งขึ้นแล้วอีกอย่างถึงผมจะไม่ชำนาญพื้นที่ แต่ผมก็ถนัดรบนะครับ”

ผู้กองธีรเดชลงท้ายด้วยการเอ่ยเล่นหัว เมื่อไม่มีใครขัด และหน้าที่ทุกอย่างลงตัว ต่างก็นั่งฟังแผนการซึ่งจะปฏิบัติภายในคืนวันพรุ่งนี้ หากตีฝ่าออกไปได้เร็วเท่าไร ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แม้ทุกคนจะฟังอย่างหวั่นๆและรักตัวกลัวตาย แต่ก็ยังเข้มแข็ง ไม่ปรากฏสีหน้าอันหวาดผวาเลย ทันทีที่ประชุมเสร็จ ทุกคนก็แยกพักผ่อนตามปกติ ผู้กองธีรเดชหันไปมองร่างที่กำลังนอนหลับสนิท มีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบ แล้วก็นั่งนึกถึงเรื่องของต้นธารา

...ธาร ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้ผมจะได้กลับไปไหม หากผมตายคุณจะเศร้าใจเท่าๆกับการที่คุณสูญเสียผู้กองที่คุณรักไปไหม?...ผมคาดหวังอะไรได้หรือเปล่า...ชายหนุ่มจับจ้องสมาชิกในทีม ในเมื่อเลือกแล้ว เขาก็ไม่ควรหันกลับไป สิ่งที่เขาให้ต้นธาราได้ก็มีแต่ชีวิตของภานุเท่านั้น ความขมขื่นพลันเกาะกุมจิตใจ เขาเพียงแต่หวังให้ผู้กองที่อยู่ในใจต้นธาราได้กลับคืนโดยปลอดภัย เพื่อหนึ่งความสุขที่ยังหลงเหลืออยู่กับชายหนุ่มเอง

------------------------------------------------



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #219 เมื่อ: 23-06-2008 21:00:18 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #220 เมื่อ23-06-2008 21:56:37 »

นายกองโจรทหารกระเหรี่ยง เดินผ่านต้นมะค่า จมูกของมันก็ได้กลิ่นสาบสางลอยอวลมาตามกระแสลม มันรีบกระชับปืนในมือแน่น วิ่งไปตรงต้นตอของกลิ่นแล้วชะงักเพราะเห็นซากศพสองศพขึ้นอืด ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ยิ่งอีกศพ ยิ่งเกิดอาการสะอิดสะเอียน หนอนสีขาวชอนไชซากร่างไร้วิญญาน ใบหน้าเละ เน่าเฟะ มันจึงใช้ผ้าปิดจมูกเดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ ตกใจจนขวัญหาย เพราะจากลักษณะเสื้อผ้า เป็นทหารฝ่ายมันชัดๆ มันมองรอบๆตัวแล้วกำมือแน่น ดวงตาเหลียวมองล่อกแล่ก บรรยากาศรอบกายสงบ มันก็ไม่อยากจะอยู่นานนักเพราะรักตัวกลัวตาย เจ้ากองโจรกะเหรี่ยงจึงรีบกลับไปยังฐานเพื่อแจ้งข่าวร้ายให้แก่พรรคพวกของมัน พอไปถึง มันก็เข่าอ่อน ล้มลงอย่างอ่อนแรง

“อะไร มึงกลับมาเร็วจังวะ ไปยังไม่ถึงสามชั่วโมงเลย”

เพื่อนในทีมถาม เจ้าคนสอดแนมหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เรียก...ลูกพี่มาที”

มันละลักละล่ำ พูดจาหายใจหายคอแทบไม่ทัน เพื่อนของมันแปลกใจ

“เอ็งมีอะไรวะ”

ลูกพี่ของมันมาตามคำเรียก นิ้วของเจ้าคนสอดแนมชี้ไปทางป่าที่มันจากมา แล้วก็ตะกุกตะกัก

“พวกของเราตายไปสองแล้วครับ ไม่รู้ใครฆ่ามัน”

พอได้ฟังคำตอบจากลูกน้องมันก็หน้าเคร่งเครียดขึ้น

“เอ็งแน่ใจนะว่าดูไม่ผิด?”

มันผงกหัว ยืนยันชัด

“แน่ครับลูกพี่ เครื่องแต่งกายเป็นฝ่ายเราจริงๆ”

เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเป็นฝ่ายของมันที่สูญเสีย เจ้าหัวหน้ากองตาลุกวาว

“ระยำ ไอ้โง่สองตัวนั่นมันพลาดท่ายังไง”

ท่าทีร้อนรนฉายชัด ลูกน้องทั้งหมดต่างมองดูลูกพี่เป็นตาเดียวกัน

“ไม่ได้การล่ะ มันเล่นเราแบบนี้ เราต้องชิงทำลายมันก่อน ”

เจ้าหัวหน้าร้อนรนใจเกินเหตุ ใจมันขลาดเขลา เพราะว่าพวกมันมีเป็นสิบอีกฝ่ายแค่ห้าคนเท่านั้น พวกนั้นยังดิ้นกระเสือกกระสนรอดได้จนทุกวันนี้ ทางเดียวที่จะทำได้คือตัดไฟแต่ต้นลมให้เร็วที่สุด!

“แล้วลูกพี่จะทำยังไงต่อไปครับ”เจ้าลูกน้องถาม

“จะทำยังไง...บอกว่าจะทำยังไงงั้นรึ?”ตัวหัวหน้าเกาคาง

“กูก็บอกพวกมึงตั้งแต่แรกนี่น่าว่าจะเผามัน มึงเตรียมตัวไว้ได้เลย”

สีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือปรากฏ แผนการที่จะทำลายล้างอีกฝ่ายให้สิ้นซากแล้วพวกมันจะได้กลับไปรับรางวัลเสียที

------------------------------------------------

เจ้าลูกป่านั่งๆนอนๆ จนเบื่อก็แอบมาสำรวจทั้งทหารฝ่ายไทยและเจ้ากองโจรกระเรี่ยง มันยิ้มเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว และนึกพนันอยู่ในใจว่าฝ่ายไหนจะชนะศึกในครั้งนี้ แต่สำหรับมันแล้ว ใครแพ้ชนะไม่สำคัญ มันขอแค่งานของมันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็พอแล้ว เจ้าขิ่นกระทำตนดุจดั่งเทวดาพิทักษ์คนยาก มันรอ...รอคอย บางสิ่งต้องใช้เวลาเพื่อให้กระทำบางสิ่ง สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มันจึงใจเย็นนั่งเฝ้าพวกโจรโง่ว่าจะทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มชาวพม่าหลับตาลง ค่อยๆคิดถึงแผนการต่อไป เด็กหนุ่มกังวลใจเหลือเกินกับแผนที่เจ้าพวกโจรกระเหรี่ยงคิดขึ้นมา มันอาจจะทำให้ทหารไทยไม่รอดชีวิตเลยสักคนเดียว มันคิดถึงพี่ไผ่ ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ช่วงนี้พี่ไผ่ตอนนี้ก็เลื่อนๆลอยๆเหลือเกิน...เลื่อนลอยจนน่านึกห่วง มันลุกจากที่พิงหลัง จะไปหาก็ไม่ได้ จะกลับคืนก็ไม่ได้อีก มีเพียงทางเดียวที่จะทำคือการเดินหน้า ในเมื่อสิ่งที่พี่ไผ่เลือกไว้ เขาก็ควรปฏิบัติตาม เจ้าขิ่นลุกขึ้น มันไม่มีเวลามาพักผ่อนแล้ว เด็กหนุ่มเก็บข้าวของยัดลงย่าม กระโดดลงจากคาคบไม้ ลัดเลาะตามสบทบพุ่มไม้ หลบหลีกซอกซอนอย่างรู้ทางเป็นอย่างดี หลังจากนั้นคอยให้ยามค่ำคืนเข้ามาเยือน เพื่อจะได้อาศัยความมืดแฝงกายซ่อนตัวเพื่อเข้าปิดเกมส์นี้

------------------------------------------------

ค่ำแล้ว ทางฝ่ายทหารไทยต่างนั่งตาสว่าง สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏให้เห็นชัดจากทุกๆฝ่ายที่นั่งล้อมวงประชุมเป็นครั้งสุดท้าย

“ในเมื่อทุกคนทราบแผนการคร่าวๆแล้วก็ขอให้ปฏิบัติตามนี้นะครับ”

ร้อยเอกรังสรรค์กล่าว ทุกคนพยักหน้าตอบ ก่อนรักษาการหัวหน้าจะเอ่ยเสริมอีกเป็นการปิดท้าย

“การจับคู่ก็ครบสมบูรณ์แล้ว ขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่กันให้ดีที่สุด เข้าใจนะ”

แทนคำตอบ ลูกทีมต่างแยกย้ายเก็บข้าวของ จ่าแม้นและร้อยตรีอานุภาพนั่งลงเคียงข้างผู้กองภานุ

------------------------------------------------

ผู้กองภานุมองลูกทีมทั้งสอง หน้าตาซีดเซียว นึกสงสัยว่าทำไมลูกทีมของตัวเองถึงมานั่งอยู่ข้างตน แล้วรองหัวหน้าหน่วยกับผู้กองธีรเดชก็หายไป ยิ่งนึกก็ยิ่งแปลกใจ

“รังสรรค์กับธีรเดชหายไปไหน”

ภานุที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้รุ่มเร้า ถามด้วยความเหนื่อยอ่อน จ่าแม้นและร้อยตรีอานุภาพก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครอยากจะตอบคำถามหัวหน้าทีมซักเท่าไร จนภานุโมโหที่ลูกน้องนิ่งงันราวกับไม่อยากตอบ

“ผมสั่งในพวกคุณพูด ว่าสองคนนั้นหายไปไหน”

นายทหารหนุ่มมองหน้าบุคคลทั้งสอง คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ บุคคลทั้งสองจ้องหน้ากัน จ่าแม้นพยักเพยิดให้ร้อยตรีอานุภาพเป็นคนเอ่ย ร้อยตรีหนุ่มจำต้องเป็นคนตอบคำถามของหัวหน้าทีม

“ผู้กองธีรเดชกับผู้กองรังสรรค์ เอ่อ...พวกเขา เอ่อ...”

ยิ่งอึกๆอักๆตอบชักช้ายืดยาด ร่างสูงที่นอนซมยิ่งตีสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกเขาเป็นอะไร”

ชายหนุ่มใส่อารมณ์ลงไปในน้ำเสียง ยันกายขึ้นจากที่นอน ไหล่ปวดแปลบจนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด

“ผู้กองรังสรรค์กับผู้กองธีรเดช ทั้งคู่ออกไปอาสาลอบโจมตีเพื่อเปิดทางให้เราครับ”

ผู้กองหนุ่มเบิกตากว้าง ร้อยตรีอานุภาพก้มหน้า มือแกร่งทุบพื้นดิน โมโหที่ลูกน้องไม่เชื่อฟัง

“ผมสั่งให้พวกคุณทำอะไร...ทำไมถึงขัดคำสั่ง ฟังคำสั่งผมไม่ออกรึไง”

ชายหนุ่มพูดอย่างเหลืออด จ่าแม้นและผู้หมวดหนุ่มต่างนิ่งเป็นตอไม้

“ออกไปอาสาลอบโจมตีรึ พวกคุณคิดว่ามีกำลังเท่าไรกัน ผมบอกให้พวกคุณรอ ทำไมไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง”

จ่าแม้นเงยหน้าขึ้นมาโต้ผู้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าเรียบๆ

“เรารอคำสั่งจากผู้กองไม่ได้ครับ พวกเราต้องรีบอพยพออกจากพื้นที่นี้ ให้เร็วเท่ายิ่งดี อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผู้กองกำลังบาดเจ็บอยู่ บาดแผลอักเสบของผู้กอง อาจทำให้ผู้กองเสียชีวิตได้ เราจึงต้องลงมือกันครับ ขออภัยด้วยครับ”

ภานุเบือนหน้าหนีราวกับตัวเองเป็นต้นเหตุของความคิด

“แต่พวกคุณก็ไม่ควรทำเช่นนี้”

จ่าแม้นก้มหน้าตอบเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกจากน้ำเสียงพลิ้วเบา

“พวกผมตัดสินใจกันดีแล้วครับ”

หมวดอานุภาพกล่าวบ้าง ภานุพูดอะไรไม่ออกเลยเมื่อเห็นสีหน้าประดับรอยยิ้มของลูกน้อง

“แล้วพวกคุณวางแผนอะไรกัน”

ภานุตัดความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจออกถามอย่างเฉียบขาด

“ผู้กองรังสรรค์วางแผนว่าจะอาสาตีฝ่าข้าศึก แล้วให้พวกเราตามไปทีหลังครับ”

จ่าแม้นอธิบายให้ฟัง ผู้กองภานุมองเข้าไปในป่าแล้วหันมามองหน้าชายชรา

“ทั้งคู่ออกไปนานหรือยัง”

จ่าแม้นมองนาฬิกาข้อมือคำนวณเวลาสักพักก่อนจะตอบ

“ก็ประมาณสองชั่วโมงแล้วครับ ผู้กองรังสรรค์บอกว่าถ้าตีสองแล้ว แผนการยังไม่ลุล่วงก็ขอให้อยู่ ณ จุดเดิม รอจนกระทั่งรุ่งสางพอเห็นทางก็ให้ฝ่าออกไปทางทิศตะวันออกครับ”

ผู้กองหนุ่มหรี่ตากับแผนการคร่าวๆ การบุกฝ่าในครั้งนี้หนักหนาสาหัสจริงๆ หากพลาดทั้งหน่วยอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปเลย

“มีสิทธิ์จะตามสองคนนั้นกลับมาทันไหม”

ไม่มีใครเสนอความคิดเห็น สายตากร้าวจึงกวาดมอง เพียงแค่นั้นคำตอบที่น่าหวั่นใจก็หลุดออกจากปากของจ่าแม้น

“ไม่มีสิทธิ์แล้วครับ ถ้าหากตาม อาจหมายถึงภารกิจที่วางในครั้งนี้ล้มเหลว”

ร่างสูงได้แต่ยอมรับ ฟันขบกรอดๆ การตัดสินใจในครั้งนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ล้มเหลวเป็นครั้งที่สอง ไม่นับเรื่องที่เพื่อนรักของเขาสิ้นชีพไปต่อหน้าต่อตา นาคี...แกอยู่บนสวรรค์แกเห็นความโง่เขลาของฉันไหม ในวันที่เสียแกไปฉันก็ทำผิดพลาดแบบนี้ มันเป็นเพราะอะไรล่ะ แกไม่น่าตายจากฉันไปเลยนาคี ทุกอย่างเหมือนกับหาทางออกไม่เจอ แกตายไม่นานนัก ฉันรู้...แต่พอมองความจริง ทำไมมันช่างดูแสนนานนักล่ะ ร้อยเอกหนุ่มแตะแผลฉกรรจ์ จนจ่าแม้นขมวดคิ้ว

“เจ็บหรือครับ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ดวงตามั่นคงขึ้นกว่าเดิม

“เปล่า...แผลน่ะพอทนได้ แต่ความรู้สึกที่อัดแน่น มันก็ยากที่จะทานทน”

คำพูดเป็นปริศนา คนทั้งสองมองอย่างข้องใจ

“แน่ใจนะครับ”

ภานุหันมายิ้ม น้อยครั้งนักที่เขาจะยิ้มแบบนี้ ยิ้มอย่างอ่อนโยน...ไร้ซึ่งความเลือดเย็น

------------------------------------------------

ร้อยเอกรังสรรค์และร้อยเอกธีรเดชแฝงกายอยู่ในความมืดมิด นัยน์ตาเป็นจุดเดียวที่เห็นชัดบนใบหน้าเปื้อนไปด้วยผงถ่าน ภายในแววตาที่ฉายชัดในความมืด สื่อความหวั่นใจออกมา อากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลย้อยเต็มแผ่นหลังและใบหน้า มันไหลซึมตามเส้นผมที่ซ่อนเบื้องหลังหมวกเหล็ก ธีรเดชรอคอยให้รองหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนส่งสัญญาณมือ ดวงตาเขม่นมองในที่อับแสง แขนข้างขวาของรองหัวหน้าหน่วยชูขึ้นออกไปทางข้างเหนือระดับไหล่เล็กน้อย หันฝ่ามือไปด้านหน้า ก่อนจะโบกมือไปมา เป็นสัญญาณว่าเตรียมพร้อม เพราะการลาดตระเวนซุ่มโจมตีต้องงดใช้เสียง หรือทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ธีรเดชกลั้นลมหายใจ ชายหนุ่มกระชับปืนตัวกระสุนในรังเพลิง มือข้างที่ว่างคว้านหาของในกระเป๋ากางเกง หยิบกล้องปลย11.มาติดเพื่อใช้ส่องในความมืดมัว ห้ามไกปืน ปรับศูนย์ วางอาวุธคู่กายไว้บนตัก ก่อนจะเขยิบกายแนบชิดหลังต้นไม้ รอฟังสัญญาณมือชุดต่อไปของผู้บังคับบัญชาการ

ผู้กองรังสรรค์เห็นลูกทีมของตนเตรียมตัวพร้อมก็เหยียดแขนไปข้างหลังระดับไหล่ หันหน้าไปทางทิศที่ต้องการแล้วก็เหวี่ยงแขนขึ้นเหนือศีรษะโบกไปทางทิศหน้า คว่ำฝ่ามือเป็นการบอกให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ผู้กองธีรเดชวิ่งสลับฟันปลา ก้มหน้าต่ำไปยังจุดที่หัวหน้าชี้สั่งแล้วจึงหยุดตามสัญญาณที่ส่งมา พร้อมลดความเร็วลง ดวงตาเห็นแสงไฟวิบวับตัดกับความมืด เสียงคุยเบาๆท่าทางเคร่งเครียดดังมาจากอีกฝั่ง ธีรเดชซ่อนกายแนบชิดพุ่มไม้ ชูปืนขึ้นชี้ปลายกระบอกปืนไปทางข้างศึก ร้อยเอกรังสรรค์ที่รออยู่แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลมาประเมินกำลังของข้าศึก แล้วเริ่มคิดคำนวณถึงความเสี่ยง ประเมินความเสียหายในใจเสร็จสรรพจึงสั่งให้ธีรเดชหยุดและเฝ้ารอ ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องนาฬิกาพราย มันเรืองแสงสีเขียวในความมืดมิดประหนึ่งตาปีศาจที่เฝ้ามองเหยื่ออันโอชะ...หนึ่งสัญญาณที่ต่างฝ่ายต่างเฝ้าคอย เพื่อพร้อมปฏิบัติการภารกิจครั้งสำคัญ

------------------------------------------------

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #221 เมื่อ23-06-2008 22:25:34 »

จิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม อิอิ


ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #222 เมื่อ24-06-2008 18:29:41 »

โอ้ย  :serius2:  ตื่นเต้น

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #223 เมื่อ24-06-2008 18:51:08 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับ มาส่งกำลังใจครับผม ชอบๆๆ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #224 เมื่อ24-06-2008 18:55:59 »

อึดอัดจัง

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #225 เมื่อ25-06-2008 17:47:32 »


ต้องขอบคุณท่านนักอ่านทุกท่านด้วยค่ะที่มาเป็นกำลังใจและเฝ้าติดตาม ขอบคุณพี่พิมพ์สักหมื่นรอบก็ยังไม่พอ...ได้แต่กล่าวคำว่าขอบคุณค้าที่เป็นกำลังให้อีกครั้งหนึ่ง :m1:


อึดอัดจัง

บรรยากาศของเรื่องนี้คืออึดอัด!ต้องขออภัยสำหรับบางท่านไม่ชอบทำเรื่องเศร้า(แต่เจ้าของเรื่องชอบ???)

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับ มาส่งกำลังใจครับผม ชอบๆๆ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีมาตลอดค้า>_<

โอ้ย  :serius2:  ตื่นเต้น

ขอบคุณที่ติดตามค้า :L1:

จิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม อิอิ



ขอบคุณที่ช่วยจิ้มน้า

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #226 เมื่อ25-06-2008 23:05:08 »

อิอิ  ท่านน้องเรนมาเอง 
ต่ออีกตอนเลยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:18 sabotage/หลีกหนี

รองหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนเริ่มสั่งการ โดยบอกให้ลูกน้องภายใต้สังกัดเดินหน้า ธีรเดชทำตาม เขยิบกายเข้าสู่แสงสว่างอีกนิดแล้วหยุด ขอสัญญาณเตรียมยิง แต่รังสรรค์กลับหามไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงลดปืนลง เสียงพูดคุยแว่วๆมาตามลม คนที่ฟังไม่ออกพยายามจะจับสำเนียง การรอช่างทรมานเหลือเกิน อยู่ใกล้ศัตรูแค่ปลายจมูกยื่นกลับต้องนั่งทื่อ ธีรเดชอยากบ้าระห่ำลุกขึ้นกราดปืนเสียจริง เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเปื้อนถ่าน ดวงตาที่มองเห็นแต่ตาขาวสบผู้บังคับบัญชา

“สิบแปดคน จะให้จัดวางกลยุทธ์อย่างไร?”

ชายหนุ่มขยับปากโดยไม่มีเสียง รังสรรค์อ่านสัญญาณปากก่อนจะสั่งให้ลอบโจมตีให้มันกระจายกำลังให้ได้ ธีรเดชจึงผงกหัว โผหาตำแหน่งตั้งรับใหม่โดยกะจากตำแหน่งวิถีกระสุนและความปลอดภัย หัวใจหวาดหวั่นว่าอาจจะตายในการสู้รบครั้งนี้ก็ได้ หลังมือปาดเหงื่อที่ซึมตามใบหน้า ค่อยๆคลานเงียบๆอาศัยเงาของต้นไม้เป็นที่บังกาย สายตากวาดไปรอบๆ เห็นหัวของเจ้ากองโจรกะเหรี่ยงโผล่พ้นพุ่มไม้ ธีรเดชจึงเริ่มเปิดฉาก โดยยกปืนเล็งอย่างประณีต จุดเป้าหมายอยู่ที่ขมับ รังสรรค์คอยมองลูกน้องก่อนจะยกมือเริ่มยิง กระสุนจึงพุ่งไปหาเป้าหมาย เสียงดังปังแล้วร่างเจ้าทหารโจรเคราะห์ร้ายล้มตึง เลือดไหลปนสมองส่งกลิ่นคละคลุ้ง ดวงตาเหลือกค้า ปิดไม่สนิททำเอาพวกที่รวมอยู่เป็นกลุ่มวอกแวก ส่งเสียงเอะอะไม่เป็นภาษา ก่อนค่อยๆแตกกระจายออก

"ไอ้ห่- ตั้งสติกันสิวะ ยิงไปทางเสียงปืนซิ !”

เจ้าหัวหน้าตะโกนเมื่อลูกน้องแตกร่นไม่เป็นขบวน ไม่มีใครเชื่อฟังเพราะว่าพวกมันกำลังตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก ธีรเดชส่งลูกตะกั่วให้เจ้าโจรชั่วกินอีกลูก เจ้าคนดวงชะตาขาดล้มคว่ำเข้าหากองไฟ ดิ้นพราดๆ ก่อนแสงไฟสีส้มจะไล่เลียร่างของมันอย่างเริงร่า เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับผีเปรตอรุกาย แม้แต่ธีรเดชเองยังสยองขวัญ รังสรรค์สั่งตะโกนให้ถอย ก่อนจะช่วยยิงกราด ร่างของเจ้าพวกโจรล้มราวกับใบไม้ร่วง คนที่ถอยร่นไปได้ต่างหลบซ่อนหาโอกาสตอบโต้

“ผู้กองว่าเรามีโอกาสเต็มร้อยไหม?”

ธีรเดชหันไปถาม หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ดวงตาของผู้กองรังสรรค์ยังคงจ้องเขม็งไปยังสนามรบตรงหน้า

“ผมไม่แน่ใจ แต่มันยังเหลือกันอีกเยอะ ที่ล้มตายไปก็แค่ห้า มันชำนาญพื้นที่ดีกว่าเรา เราต้องระวัง”

ใบหน้าของธีรเดชซีดลง เมื่อเห็นดวงตาวิตกกังวลและความเงียบที่ราวกับป้าช้า ไฟที่ไหม้ร่างของเจ้าทหารกะเหรี่ยงค่อยๆมอดลง คงเหลือแต่กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง สภาพศพม้วนหงิกงอ

“แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ก็ยังดี...เอาล่ะ เราต้องร่นถอยไปเงียบๆแล้ว คราวนี้พวกมันเอาคืนเราแน่”

สองร่างค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในป่าลึก หาที่หลบกายตั้งรับต่อ

------------------------------------------------
เสียงปืนดังก้อง เล่นเอาไอ้ขิ่นสะดุ้งโหยง มันรีบเผ่นลงจากยอดมะค่า

“เอาแล้วไหมล่ะ ไอ้ทหารไทยเอ๋ย...”

เด็กหนุ่มสบถด่า ก่อนค่อยๆหาทางลัดเลาะหลบ หาทางไปยังที่ซ่องสุมของพวกโจรกะเหรี่ยง แต่มันได้กลิ่นไหม้เสียก่อนจึงไม่คิดเสี่ยง มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางที่เหล่าทหารไทยใช้พักพิงแทน

------------------------------------------------

ภานุแทบจะลุกขึ้น หยิบปืนถลาตามเสียง ถ้าไม่ถูกกดบ่าไว้และการขอร้องยกมือไหว้ของจ่าแม้น ป่านนี้ชายหนุ่มคงลุกไปอย่างขาดสติแน่

“อย่าเลยครับ ผู้กอง อย่าเพิ่งเสี่ยงไปดูเลยเสียงปืนนัดแรกเป็นของผู้กองธีกับผู้กองรังสรรค์แน่แล้วเสียงปืนที่เงียบไปแบบนี้อาจเป็นสัญญาณดีก็ได้ครับว่าผู้กองรังสรรค์อาจจะฝ่าวงล้อมศัตรู คอยดูสถานการณ์สักพักก่อนเถอะครับ”

จ่าแม้นร้องขอ ภานุต้องนั่งจิกเล็บเข้าที่มือ แค้นใจที่ได้แต่นั่งรอเวลาเฉยๆ

“ผู้หมวด ช่วยหน่อยเถอะ”

จ่าแม้นหันไปกล่าวกับผู้หมวดอานุภาพซึ่งนั่งระวังหลังให้ อานุภาพหันมาทางผู้กองหนุ่มไม่พูดอะไรทั้งนั้น จ่าแม้นยิ่งรับศึกหนัก

“เป็นแบบนี้ทางกองโจรกะเหรี่ยงอาจจะแตกพ่ายมา ผู้กองคิดจะรบกับพวกที่หลงมาอย่างไรครับ?”

อานุภาพกลับย้อนถาม ภานุสงบนิ่งทันทีที่ได้ยินคำถาม

“ก็ไม่ต้องทำอะไร มันดาหน้าเข้ามาก็ฆ่ามัน ล้างโคตรมันทิ้งให้หมด”

ผู้กองตอบเสียงกร้าว พยายามจะยกปืนแต่ก็ต้องปล่อยเพราะเจ็บที่แขน

“โธ่...ให้ผมไหว้ก็ได้ล่ะ ผู้กองอย่าเพิ่งใช้กำลังแขนเลย แผลมันจะยิ่งอักเสบ”

สายตาของจ่าชรามองตรงแผลที่มีเลือดซึมปนกับน้ำหนอง ภานุแม้จะเจ็บแต่เขาก็ไม่ทำตัวให้อ่อนแอเด็ดขาด

“ผมขอโทษครับจ่าที่ทำให้ผู้กองเดือด”

ร้อยตรีอานุภาพว่า จ่าแม้นนั่งลงแปะอย่างอ่อนแรง เหนื่อยกับผู้กองหนุ่มที่บ้าดีเดือดได้ดีเหลือเกิน จ่าแม้นที่ทำหน้าเหนือชันตัวขึ้นเมื่อหูได้ยินเสียงแซ่กๆคล้ายกับมีอะไรย่ำผ่าน จ่าแม้นหยิบปืน แล้วบอกให้ทุกคนระวังตัว อาการเครียดขมึงจึงเคลือบคลุม

“ผมจะออกไปดูเองครับ”

ผู้หมวดหนุ่มลุกขึ้น ปลดห้ามไกปืน ค่อยๆเดินย่ำเบาๆ ระมัดระวัง ต้นกำเนิดเสียงพลันโผล่ออกมา ผู้หมวดอานุภาพยกปืนประทับ แต่ต้องยั้งมือไว้เพราะคนที่โผล่ออกเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด แถมสีหน้าของมันก็ร้อนใจ การที่เขาชะงักทำให้เด็กหนุ่มแปลกหน้าพ่นภาษาพม่ามาเป็นชุดๆ แถมยังโบกมือไล่ให้ชายหนุ่มกลับไปยังฐานที่มั่นพร้อม ผู้หมวดหนุ่มละล้าละหลังปนกับงงๆ จนจ่าแม้นที่ตามมาที่หลังชะงัก

“นี่มันใครครับ”

จ่าชราเตรียมยกปืนขึ้นเล็งทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มชาวพม่ายิ้มแฉ่ง แต่อานุภาพกลับกันไว้

“เอ้า อะไรอีกล่ะเนี่ย”

จ่าชราเกาหัว เพราะผู้หมวดกลับห้ามเสียนี่

“ผมว่าเด็กคนนี้แปลกๆนะครับ ไม่ใช่ทั้งพวกโจร อาจจะเป็นคนที่นำน้ำมาให้พวกเราก็ได้”

ชายหนุ่มสรุป จ่าแม้ทำหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ต้องนำเจ้าเด็กหนุ่มแปลกหน้า เข้าไปหาผู้กองภานุ ทันทีที่เข้าไปหา เด็กหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อเห็นแววตาจับจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นั่นมัน...”

ผู้กองภานุถามตวัดสายตามองเด็กหนุ่มแปลกหน้า อานุภาพจึงอธิบายให้ฟัง

“ผมพบเด็กคนนี้โผล่พรวดออกมา แรกๆตั้งใจจะยิงแล้ว แต่ผมว่าเด็กคนนี้มีอะไรแปลกๆนะครับ เสียดายที่ผมพูดภาษาพม่าไม่คล่องนัก”

จ่าแม้นนั่งลง ตรงหน้าเจ้าเด็กหนุ่มหน้าซื่อ

“มาจากไหนล่ะเรา”

จ่าแม้นลองถาม เด็กหนุ่มก็ตอบตรงๆ

“ฉันชื่อขิ่น มาจากป่านู้น นายส่งให้มาช่วยพวกท่าน ฉันก็เลยทำตามที่สั่ง”

ขิ่นตอบ สีหน้าจ่าแม้นและผู้กองมีร่องรอยประหลาดใจ

“ใครกันนายของเอ็ง”

เจ้าเด็กหนุ่มกลับปิดปากเงียบ ภานุลุกขึ้นนั่งตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ไม่ได้พันธนาการไว้

“เอ็งโกหกรึเปล่า จ่าค้นตัวมันสิ มีอะไรซุกซ่อนไว้ไหม”

ผู้กองหนุ่มไม่เชื่อสั่งให้คนค้นตามร่างกาย เจ้าขิ่นก็ยอมง่ายๆ ย่ามของมันถูกปลดออกเทของทั้งหมดออกมา ลูกดอกอาบยาพิษกระจายเกลื่อน พร้อมกับปืนพกด้ามหนึ่ง ภานุเห็นลูกดอกอาบยาพิษแล้วนิ่งไป

“หวังว่าแผลของคุณคงไม่ถึงชีวิตนะครับ เรื่องของนายผม ผมไม่อยากพูด คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไมนายต้องทำแบบนี้”

สีหน้าของเจ้าขิ่นเรียบเฉย ผู้กองหนุ่มวางลูกดอกอาบยาพิษลง จ่าแม้นหยิบมาดูอย่างสนใจกับพิษสีดำอาบไว้บนปลาย

“โดนเข้าไปดอกเดียวรับรองจอดไม่มีแจว”

จ่าแม้นเอ่ยแค่นั้น น้ำเสียงปนสยองขวัญ

“เฮ้ย...ไอ้หนุ่มยังไงๆเอ็งก็น่าสงสัยอยู่นา”

เจ้าขิ่นกอดอก ถอนใจอย่างเหนื่อยๆ

“ตาสงสัยอะไรฉันอีกเนี่ย ถ้าฉันจะฆ่าพวกตาล่ะก็ ป่านนี้นอนกองเป็นศพเหมือนกับไอ้โจรห้าร้อยนั้นแล้ว จริงไหมครับท่าน”

เด็กหนุ่มมองใบหน้าขมึงถึงของภานุ

“แล้วฉันคงไม่ใจดีหาน้ำหาท่ามาให้ดื่มร๊อก”

ได้ทีเด็กหนุ่มก็ขี่แพะไล่เสีย จนผู้ใหญ่ที่ได้ฟังอยากเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้

“เออ...เอ็งน่าไว้ใจ...แล้วผู้ก็จะเอายังไงกับมันดีล่ะครับ”

จ่าแม้นหันมาถามหลังจากสืบสวนเจ้าหนุ่มน้อยเสร็จ เมื่อไม่พบรอยพิรุธ คนที่ตัดสินใจก็คือภานุว่าจะจัดการกับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เช่นไรดี ภานุมองใบหน้าและดวงตา ไม่ปรากฏร่องรอยของความอาฆาตพยาบาทจึงคิดว่า หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก บางทีเด็กคนนี้อาจจะช่วยลูกทีมของเขาให้รอดก็เป็นได้

“ปล่อยไป เอ็งบอกว่าเอ็งมาช่วยรึ แล้วจะช่วยยังไงล่ะ?”

ภานุตั้งคำถาม เจ้าขิ่นสบดวงตากร้าวแล้วถอนใจเฮือก

“ช่วยได้แล้วกันน่า ผมชำนาญพื้นที่นี้ จะพาฝ่าออกไปเอง แล้วการที่ลูกน้องของท่านนั้นไปแหย่พวกโจรกะเหรี่ยง ระวังจะถูกเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า”

เด็กหนุ่มว่า ภานุรู้สึกสนใจเจ้าเด็กหนุ่มแปลกประหลาดคนนี้ไม่น้อย

“งั้นเรอะ ถ้ามันเอาคืนฉันก็จะสนองให้มันเจ็บๆเหมือนกัน”

น้ำเสียงกร้าว ดวงตาลุกวาว แม้คนสนิทชิดเชื้อยังกลัว เจ้าขิ่นเห็นสายตานั่นแล้วก็กลัว เหมือนกับเป็นหมาบ้า หากไร้คนควบคุมก็เที่ยวกระโดดกัดไปทั่ว

“เอ่อ...ก่อนจะเอาคืน ผมว่าพวกท่านไปตามลูกน้องสองคนกลับมาดีกว่า เอ้อ...หรือว่าไม่ต้องตามดีล่ะเพราะเจ้าพวกโจรกระเหรี่ยงอาจจะจัดการฆ่าทิ้งไปแล้ว”

เด็กหนุ่มพูดเยาะ แอบกัดเล็กๆ ภานุพยายามจะไม่ถือโทษ สั่งให้อานุภาพตามติดผู้กองรังสรรค์กับธีรเดช จ่าแม้นอาสาไปด้วย ดังนั้นคงเหลือแต่เจ้าเด็กหนุ่มพม่ากับผู้กองหนุ่มเท่านั้น

"คิดไงถึงมาที่นี่”

เจ้าขิ่นถาม หยิบมีดคมกริบออกมาเหล่าไม้ให้เรียวแหลม ภานุระวังตัว เตรียมยิงทุกเมื่อหากเห็นท่าทีผิดปกติ

“แล้วเด็กอย่างเอ็งคิดว่ามาเดินเล่นหรือไง”

ภานุย้อน เจ้าขิ่นเกาหัวอย่างเซ็งๆ

“รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก...เอาเป็นว่าผมถามไปงั้นแหละ ก็รู้ดีอยู่แล้วนะมาทำอะไรกันพวกน้ำน้อยแพ้ไฟ”

คำพูดแฝงนัย ชายร่างสูงเข้าใจทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มาจากที่ไหน

“เอ็งเป็นพวกกองโจรกู้แผ่นดินรึ ที่เข้ามาปล้นในไทย”

คำว่าปล้นทำให้เด็กหนุ่มย่นหน้า

“ลุงรู้อยู่แล้วยังจะถามอีกทำไม”

เจ้าขิ่นตอบกวนๆบ้าง ภานุอดใจไม่ไหวต้องเขกมะเหงกประทานให้แก่ศีรษะทุยๆ

“ตอบมา เดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก”

ชายหนุ่มขู่เล่นๆ จับจ้องสีหน้าท้าทาย

“ปู้โธ่!ลุงจะให้ตอบอะไรเล่า”

เจ้าขิ่นรู้ว่า ชายผู้นี้คงไม่ทำอย่างที่พูดจึงกล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย

“แล้วนายเอ็งเป็นใคร ทำไมนายเอ็งต้องมาช่วยพวกฉัน”

ชายหนุ่มยิงคำถาม เจ้าขิ่นพยายามเก็บปากเก็บคำ แต่มันก็ถูกบังคับให้พูดจนได้

“นายของผมคือนายกิ่งไผ่ ท่านเป็นลูกของนายพลอินคาน ท่านสั่งให้มาช่วยพวกท่าน ก็ไม่รู้เหตุผลอะไรมากหรอกนะ รู้แต่ว่าท่านสั่งก็ต้องทำ”

มันตอบเท่าที่มันจะตอบได้ ภานุที่ได้ฟังต้องหลับตาลง เพราะก็ไม่ได้อะไรเพิ่มมากขึ้นแม้แต่น้อย

“พอนายน้อยได้ยินว่าทหารไทยรุกเข้ามาในพื้นที่นี้ นายน้อยก็ร้อนใจ เพราะท่านรู้ว่ามีคนลอบทำลาย”

คำพูดนั้นสะกิดใจภานุ

“ทางเอ็งรู้เบาะแสของพวกเราได้อย่างไรก็ในเมื่อภารกิจนี้มันเป็นความลับ...”

ร้อยเอกภานุกำลังนิ่งอึ้ง เพราะคำตอบมันก็ประมวลออกมาให้หมดแล้ว

“หรือว่ามีคนทรยศจริงๆรึนี่”

ชายหนุ่มพึมพำ เจ้าขิ่นมองอย่างเป็นห่วง เพราะแววตาแกร่งปิดลงอย่างเจ็บปวด

“ลุง...ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของภานุไม่ดีนัก

“ไม่ ขอบใจเอ็งมาก”

ฝ่ามือแกร่งบีบบ่า เจ้าขิ่นนึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างปุบปับ สิ้นคำพูดเสียงปืนก็คำรามอีกระลอก คราวนี้มายังทิศทางที่ร้อยตรีอานุภาพกับจ่าแม้นออกตามร้อยเอกธีรเดชกับร้อยเอกรังสรรค์ เจ้าขิ่นผุดลุกขึ้น

“ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะงานนี้”

มันทรุดนั่งกลับตามเดิมยังใจเย็นอยู่ได้ ภานุรู้อยู่แล้วว่าเหตุที่มันไม่ตกใจมากนักคงเพราะออกร่วมรบบ่อย

“คิดว่าลูกน้องของลุงยังไม่ตายหรอกนะ”

เจ้าขิ่นบอกเมื่อเห็นสายตาแกร่งจ้องเขม็ง

“เสียงปืนนั่นไม่ใช่ของทางฝั่งพวกกองโจรอยู่แล้ว”

ภานุเอ่ยขึ้นมาบ้าง เด็กหนุ่มเลิกคิ้วนิดๆ...ก็รู้นี่ ทำไมยังทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นนะ

“แล้วถ้ารอดไป ลุงจะทำอะไรต่อ”

เจ้าขิ่นลองเปลี่ยนคำถามไปเป็นเรื่องอื่นบ้าง สายตาของชายหนุ่มอ่อนลงอย่างน่าแปลกใจ

“คิดว่าจะรอดออกไปได้ด้วยรึ”

คำถามนั่น ทำให้เจ้าขิ่นเงียบ

“รอดสิ ต้องรอดแน่ๆ แล้วถ้ารอดจะทำอะไรละเป็นสิ่งแรก”

เด็กหนุ่มถามซ้ำ คนที่แก่วัยกว่ากลับยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนผิดกับท่าทางเมื่อครู่ดีเหลือเกิน

“ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร”

เจ้าขิ่นไม่อยากเซ้าซี้ให้มากความ มันจึงตัดบทแทน ภานุเห็นจึงตอบด้วยน้ำเสียงทอดเบาราวกับโหยหา

“กลับไปคงไปกอดคนที่รักมั้ง”

สายตาของเจ้าขิ่นเหลือบมอง พลางนึกในใจว่าลุงดุๆทำตัวราวกับหมาบ้านี้มีคนรักด้วยรึ

“ใครล่ะ”

เด็กหนุ่มอดใจถามไม่ได้ ก่อนจะต่อให้...ที่รักคนที่ดูไร้หัวใจอย่างลุง...ภานุอ่านสายตาออก ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มซ่อนความนัย

“อยากจะรู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”

กับคำพูดที่เอ่ยออกมา ดวงตาวาดฝันพลันหม่นลง เจ้าขิ่นนิ่งเงียบ...บางทีเรื่องที่ถาม ควรจะพอเสียดีกว่า หากละลาบละล้วงไป ท้ายสุดเขาอาจจะซวยเอาได้กับสายตาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #227 เมื่อ25-06-2008 23:06:19 »

ผู้กองรังสรรค์วิ่งข้ามท่อนไม้พุๆ ก่อนจะยิงเงาคนไวๆ เมื่อสำเร็จก็เดินไปดูผลงาน ธีรเดชที่รั้งท้ายยิ้มให้ชู้นิ้วโป้งขึ้น

“ดูท่าจะมีความหวังแล้วล่ะ”

ผู้กองธีรเดชเอ่ย พลางปาดเหงื่อชุ่มหน้า หลังจากที่หลอกล่อกันมานานจึงเอ่ยอย่างดีใจ เสียงปืนที่ดังเป็นตับอยู่ทางซ้ายทำให้ทั้งสองหลบฉากแทบไม่ทัน

“คิดว่าเป็นเสียงปืนใครครับ ”

ธีรเดชสงสัยต่อเสียงปืนปริศนา รังสรรค์ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้

“ชักยังไงๆแล้วสิ หรือว่าทางค่ายของเราถูกโจมตี”

คำสัญนิฐานที่เอ่ยอย่างหวั่นๆ ผู้กองรังสรรค์บอกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะทิศนั้นไม่ใช่ที่ค่าย

“แล้ว...”

ธีรเดชจะเอ่ยต่อ แต่แล้วต้องตื่นตะลึง เพราะเสียงไฟป่าดังคุขึ้น แสงสีส้มลุกโชนจับขอบฟ้า ใบไม้สีเขียวม้วนตัวหงิกหงอกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วค่อยๆกลายเป็นเศษผุยผง

“มันเล่นเราจนได้ มันฆ่าเราไม่ได้ก็เลยจะให้ตายไปพร้อมกับมัน”

ไอร้อนของไฟแรงจนต้องอังหน้าไว้ เห็นท่าไม่ดีนัก ทั้งคู่จึงวิ่งหนีเพลิงป่าอย่างไม่คิดชีวิต เสียงไฟลามใบไม้เเห้งลั่นเปรี๊ยะปร๊ะ ลมพัดโหมกระหน่ำยิ่งทำให้มันคุโชน จนกระทั่งทรุดลงอย่างเหน็บเหนื่อย

“นั่นมันใครครับ”ธีรเดชชี้มือไปทางกลุ่มควัน เงาที่ซ่อนอยู่ดูคุ้นตายิ่งนัก

“เอ๊ะ นั่นมันผู้หมวดอานุภาพกับจ่าแม้นไม่ใช่รึ ทำไมถึง...”

รังสรรค์กู่ปากร้องเรียก นายทหารต่างยศสองนายที่หนีตายจากไฟป่าหันควับแล้วเผยสีหน้าดีอกดีใจทันที

“มาทำไมครับแล้วผู้กองภานุล่ะ?”

รังสรรค์ละลักละล่ำถาม จ่าแม้นบอกให้เย็นไว้ เสียงไอแค่กๆปะปนมาด้วย

“โอ้ย เย็นไว้ครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง หนีออกไปจากป่านรกนี้ก่อนเถอะ”

ทุกคนต่างวิ่งกลับไปทางค่ายโดยที่ไม่สนใจแล้วว่า ฝ่ายพวกโจรกะเหรี่ยงจะเป็นเช่นไร

------------------------------------------------

ออฟไลน์ Ryze

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #228 เมื่อ25-06-2008 23:21:15 »

เมามัน

หุหุ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #229 เมื่อ26-06-2008 00:17:09 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับถ้าจำไม่ผิด..คุณหมอธารได้ช่วย กิ่งไผ่ไว้ จากการรบครั้งแรก จนทำให้ผู้กองนาคีตายใช่ป่าวครับ

เร็วๆครับ ความจริงจะได้ถูกเปิดเผยซะที ผู้กองภานุจะได้เลิกโทษคุณหมอซะทีว่า ทำให้เพื่อนเค้าตาย อิอิ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #229 เมื่อ: 26-06-2008 00:17:09 »





ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #230 เมื่อ26-06-2008 10:55:47 »

ลุ้นระทึกอีกแล้ววววววววววววว

ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #231 เมื่อ26-06-2008 12:03:58 »

ลุ้นกันตัวโก่งเลยเรา

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #232 เมื่อ26-06-2008 14:07:31 »

โอยยยย ลุ้น! :o

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #233 เมื่อ26-06-2008 17:42:33 »

โอยๆๆๆ

ตื่นเต้นๆๆ

ลุ้นๆๆ

ขอให้รอดๆๆ

อยากให้ธีได้เจอกะกิ่งไผ่ง่ะ :oni2:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #234 เมื่อ26-06-2008 18:06:45 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #235 เมื่อ27-06-2008 15:14:17 »

  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ดันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆดันๆๆๆๆ

แล้วจะรุ่งเอง มาส่งกำลังใจครับผม  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :oni2: :L2: :L2: :L2: :L1: :L1: :L1:

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #236 เมื่อ28-06-2008 05:29:26 »

 :serius2: นู๋เรน พี่เข้าไปเม้นท์เวปโน้นไม่ได้ เข้าไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้ว  :o12:  :o12: เศร้าและเซ็งจิต

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #237 เมื่อ28-06-2008 17:06:44 »

อิอิ  กำลังลุ้น  ต่อเลยๆๆๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:19 Fabian /สิ้นสุด

พระเพลิงที่โหมกระหน่ำ รอบกายร้อนอบอ้าว ผิวเนื้อแสบร้อน สี่นายทหารหนุ่มพยายามฝ่าควันไฟสีเทาปนดำออกไปจากเพลิงนรกพิโรธให้ได้ กลิ่นเนื้อไหม้ ฝูงนกบินว่อนทั่วท้องฟ้า

“ไม่ไหวแฮะ...”

ร้อยตรีอานุภาพว่า ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลหยดย้อน จ่าแม้นฉุดกระชากผู้หมวดหนุ่มที่ชะงักงันให้วิ่งตาม ร้อยเอกรังสรรค์ยิ่งไอโขลกๆ ยังดีที่ได้ผ้าปิดจมูกเอาไว้

“เมื่อไรจะพ้นไอ้ไฟนรกสักทีครับ”

ธีรเดชว่า เขาจะทนไม่ไหวแล้ว หากไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์ เขาคงต้องตายแน่ๆ ไฟยิ่งโหมแรงเพราะลมพัดกระหน่ำให้มันคุ

“เราวิ่งสะเปะสะปะนอกทางแล้ว ป่านนี้ผู้กองภานุจะเป็นอย่างไรบ้างนะ”

มือหน้านำผ้าชุบน้ำปิดจมูกออก พยายามจะสูดเอาออกซิเจนเข้าไป แต่ได้เพียงมลพิษเท่านั้น

“ตอนนี้อย่าเพิ่งห่วงใครเลย ผมว่าเรา ต้องออกไปจากไอ้ไฟป่าที่พวกโจรบ้าจุดขึ้นมาเสียดีกว่าครับ”

อานุภาพว่า เกิดความตึงเครียดขึ้น

“แบบนี้ก็เห็นแก่ตัวสิครับ”

ธีรเดชโพลง เขาทำหน้าไม่พอใจกับคำพูดที่เห็นแก่ตัว

“จะมาบ้าทะเลาะอะไรกันตอนนี้”

ผู้กองรังสรรค์ลุกขึ้นขวางคนที่จ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นั่นสิครับ จ่าว่าทุกคนหลบก่อนดีกว่า ผู้กองธีไม่ต้องห่วงผู้กองภานุหรอกครับรับรองสองคนนั้นต้องปลอดภัยแน่ๆ”

บุคคลทั้งสามเงียบกริบ ธีรเดชจะเอ่ยบางอย่างแต่ถูกรองหัวหน้าสั่งให้เงียบ ชายหนุ่มจึงเงียบ

“อย่างที่จ่าแม้นบอกผู้กองอาจจะปลอดภัยก็ได้”

ธีรเดชสงสัยว่าผู้กองภานุจะปลอดภัยได้อย่างไรก็ในเมื่อบาดเจ็บอยู่แถมยังอยู่เพียงคนเดียวในวงล้อมข้าศึก

“จะเอาอะไรเป็นประกันล่ะครับว่าผู้กองปลอดภัย”

ธีรเดชถาม เขาจ้องหน้าทุกๆคน

“มีคนช่วยผู้กองภานุอยู่แล้ว...”

จ่าแม้นตอบ แล้วพยักเพยิดให้ดูพระเพลิงที่ลามเลียกินไปทั่ว

“ผมว่าเราต้องเอาชีวิตรอดแล้วละ ที่นี่ร้อนอย่างกับนรก แล้วอีกอย่างปืนอาจจะระเบิดได้ จะเอาอย่างไง ข้างหน้ามีป่าเขียวขจีที่ไฟป่าไม่อาจลามไปถึง”

ธีรเดชละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามสมัครพรรคพวก ใจยังห่วงผู้กองภานุไม่คลาย หากผู้กองตายก็ถือว่าเป็นความผิดเขาเอง เขาอุตส่าห์สัญญากับตัวเองแล้วจะทำให้ต้นธารามีความสุข ชายหนุ่มชะงักเพราะเสียงปืนกราดใส่ ทุกคนก้มหมอบราบกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน

“ไอ้บัดซบเอ้ย”

เสียงคำรามดังมาจากปากผู้กองรังสรรค์ จ่าแม้นโงหัวขึ้นไปดูแล้วทำหน้าเคียดแค้น

“มันเล่นเราอีกแล้วครับผู้กองจะให้ทำอย่างไรดีครับ”

จ่าแม้นหันมาถาม มือก็สาละวนบรรจุลูกกระสุน

“จ่าแม้นโอบปีกซ้าย ผมให้เวลาจ่าห้านาทีในการจัดการสังหารพวกมัน ส่วนหมวดคอยระวังแนวหลัง ผมกับผู้กองธีจะดูปีกขวาเอง”

จ่าแม้นรับคำสั่ง ห้านาทีกับการแข่งกับเวลา บรรยากาศเครียดขึ้น จ่าแม้นที่หมอบราบไปกับพื้นค่อยๆคลาน
สอดสายตาหาศัตรูท่ามกลางควันไฟ...นั่น...เงาที่กำลังผลุ่บๆโผล่ อยู่ลัดๆ ท่ามกลางพุ่มไม้ จ่าชรายกปืนเล็งประณีตลั่นกระสุนใส่ร่างเป้าหมาย มันล้มคว่ำหน้า หมดโอกาสหายใจ จ่าแม้นยกมือเป็นสัญญาว่าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้หมวดที่ตามหลังมาส่งสัญญาว่าทางด้านหลังปลอดภัย มองไปทางผู้กองรังสรรค์และผู้กองธีก็ไม่พบความผิดปกติ ทหารทั้งสี่นายก็รีบลุกขึ้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังจุดนัดหมาย พอออกห่างจากเปลวไฟนรกได้ เรี่ยวแรงก็หดหายลงเสียดื้อๆ

“ผู้กองรังสรรค์คิดว่าพวกโจรจะเหลืออยู่กี่คนครับ”

จ่าแม้นปาดเหงื่อ กลิ่นฉุดจากตัวลอยอวลอยู่ในอากาศ ไม่มีใครบ่นว่าเพราะคุ้นชินกับมันดี เสื้อผ้าสกปรกมอม
แมมจนแยกสีไม่ออก

“ผมไม่รู้”

ผู้กองรังสรรค์ตอบ หยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลขึ้นมา จัดการกับแผลพุพอง

“หากมันมาก็ยิงเสียให้หมด”ธีรเดชคำราม ดวงตาขวาง

“แล้วผู้กองภานุล่ะครับ”ชายหนุ่มกลับสติมาเป็นผู้กองหนุ่มคนเดิม ถามถึงผู้กองภานุ

“อีกไม่ช้าก็คงได้พบ”

จ่าแม้นตอบลึกลับ ธีรเดชมองนาฬิกา เกือบเที่ยงแล้วที่พวกเขาเผชิญกับเหตุการณ์อันแสนตึงเครียด

“ทุกคนหาที่พัก”

พอได้ยินคำว่าที่พัก ความเหนื่อยอ่อนก็เข้าจู่โจม แข้งขาอ่อนล้าก็ลุกขึ้น เมื่อไม่มีแรงก็ใช้ปืนยันกาย

“หวังว่าที่หมายข้างหน้าคงช่วยเราได้”

ผู้กองธีเอ่ย การบุกป่าฝ่าดงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทุกคนเดินเรียงเดี่ยวผ่านดงเฟิร์น รองเท้าคอมแบตย่ำไปบนพื้นเฉอะแฉะ ต่างคนต่างก้มหน้าเดินเงียบๆ ดูเซื่องซึมกันเหลือเกิน

“ข้างริมธารนั้นคงใช้ได้”

ผู้กองรังสรรค์ชี้นำ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้า พอไปถึงข้างลำธารใสแจ๋ว ทุกคนต่างกวักน้ำเย็นๆลูบไล้ล้างหน้าล้างตา หยดน้ำแสนเย็นช่วยชำระคราบสกปรก บางก็กวักน้ำดื่มอย่างกระหาย พอได้พักก็พักตามอัธยาศัย ไร้การป้องกันตัว

“สวรรค์ขอให้ได้เอนหลังอย่างนี้สักพักเถอะ...”

จ่าแม้นรำพึง ผู้กองรังสรรค์ยิ้มเจื่อนๆ

“ผมว่าคงยังไม่มีใครมาในตอนนี้หรอกครับ”

คำตอบนั่นทำให้ใบหน้าของทุกคนคลายความกังวลลง

“พักอีกสักหน่อยเดี๋ยวเราจะออกตามหาผู้กองภานุกัน”

รังสรรค์มองนาฬิกา อีกครั้ง เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง พวกเขามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่จะพักผ่อน

“แล้วผู้กองจะหนีไปยังทิศไหนล่ะครับ”

ธีรเดชที่คับข้องใจเอ่ยถาม จ้องจ่าแม้น จ่าชราถอนใจ เกาหัว

“ผู้กองมีคนช่วยอยู่แล้วครับ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเห็นบอกว่าได้รับคำสั่งให้มาช่วยเราจากนายของมันให้มาช่วยเรา”

ธีรเดชได้รับฟังก็สงสัยใคร่รู้

“นาย??? ให้คนมาช่วยเรา ใครล่ะจะใจดีขนาดนี้”

ผู้กองรังสรรค์กังขา จ่าแม้นหันไปทางผู้หมวดอานุภาพ ส่งให้เป็นคนเล่า

“ก็ไม่ทราบครับ เจ้าเด็กหนุ่มที่มาช่วยเราก็เป็นคนๆเดียวกับคนที่นำน้ำดื่มมาให้ จู่ๆมันก็เข้ามา บอกว่ามาช่วยเรา ท่าทีก็ไม่มีพิษมีภัย นายที่ว่าอาจจะเป็นทหารกองโจรกู้แผ่นดินก็ได้ ผมแค่สัณนิฐานเท่านั้น”

ผู้กองรังสรรค์ไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามขบคิดหลายๆแง่

“หากเป็นฝ่ายตรงข้ามจริงแล้วมาช่วยเราทำไม”

“หรือว่าเป็นกับดักครับ?”

จ่าแม้นโพล่ง ธีรเดชที่ได้ฟังฉุกใจคิด เด็กหนุ่ม น้ำ...อะไรจะประจวบเหมาะเช่นนี้ สิ่งที่เขาข้องใจมาตลอดเป็นจริงรึ ไม่น่าเชื่อ....ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าเรามา...ความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาในหัวใจ ชายหนุ่มนิ่งไว้ก่อน

“ไม่น่าจะใช้ หากเป็นแผนลวงจริงก็ไม่น่าจะทำแบบนี้”

ธีรเดชอดปากไม่ได้ สายตาของทุกคนจับจ้องเขาเป็นทางเดียว

“อะไรทำให้ผู้กองมั่นใจถึงขนาดนั้น?”

ร้อยเอกอานุภาพว่า ธีรเดชอึกอัก

“ลองคิดดูสิครับ เด็กนั่นไม่ได้เกี่ยวกับพวกกองโจรนั้นเลย หากเกี่ยวข้องกันจริงก็น่าจะช่วยกันทำลายเรา ไม่น่าปล่อยไว้แบบนี้”

กับความคิดของธีรเดช ทุกคนต่างเห็นด้วย

“อีกฝ่ายมีเจตนาใด จะดีหรือร้ายก็ต้องตามผู้กองภานุก่อน”

รังสรรค์รั้งกลับมาสู่เรื่องเดิม ทุกคนเก็บสัมภาระตัวเอง ลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเป่า ร้อยเอกธีรเดชหันไปทางผู้กองรังสรรค์

“จะเริ่มตามผู้กองภานุจากตรงไหนครับ เราพลัดถิ่นมาแบบนี้แถมยังหลงทางกันด้วย”

ทุกคนเริ่มสนใจ ธีรเดชล่วงแผนที่ที่เก็บพับไว้ในกระเป๋าออกมา ลองเทียบทิศทางดู

“เราจะย้อนกลับขึ้นไปหรือว่ายังไงครับ?”ร้อยเอกรังสรรค์ตัดสินใจ

“เราจะเดินหน้า หากสิ่งที่คุณเล่ามาเป็นจริง เด็กหนุ่มนั่นต้องนำผู้กองฝ่ามาแถวนี้แน่ เพราะไม่มีทางที่จะข้ามกลับไปฝั่งไทยได้”

ร้อยตรีอานุภาพมองรอบๆป่าก็ค้านขึ้น

“แล้วเรื่องของพวกกองโจรล่ะครับ เรายังไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดเลยว่า มันมีกองกำลังอยู่เท่าไรและตายไปกี่ศพ พวกมันอาจรุกฆาตเราก็ได้”

คำพูดน่ากลัว รองหัวหน้าหน่วยหนักใจ

“เราเลือกไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป!”

เหล่าขณะนักรบถึงแม้จะหนักใจ หากก็ไม่อาจทิ้งหัวหน้าไปได้ พวกเขาจึงออกเดินทาง...โดยมีจุดหมายลมๆแล้งๆ

------------------------------------------------




ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #238 เมื่อ28-06-2008 17:07:49 »

ภายในที่ซ่องสุมของกองโจรกู้แผ่นดินเงียบผิดปรกติ นายกฤษดาเดินออกมาดูรอบค่ายอันแสนเงียบสงบ รอยยิ้มเป็นต่อผุดขึ้น...อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นานเลย ที่กองโจรพวกนี้จะแตกพ่าย กิ่งไผ่โผล่หน้าออกมาจากประตู เขาหงุดหงิดใจเพราะเจ้าขิ่นไม่มาส่งข่าวเสียที แล้วก็นึกหวั่นเพราะเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งโขมงจับขอบฟ้า สายตาหรี่ลงเพราะเห็นคนที่ไม่ชอบใจอย่างรุนแรง จึงหลบเข้าห้องเสีย พ่อของเขาก็อาการดูไม่ดีเลย ชายหนุ่มจึงเปิดประตูห้อง

“พ่อแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร พ่อนอนแบบนี้มาสองวันแล้วนะครับ”

ลูกชายถามเสียงอ่อน อดีตผู้นำแห่งเวียงนวรัฐะยิ้ม

“พ่อแค่เหนื่อยเองลูก มาว่าพ่อเอาแต่นอนก็ไม่ได้น่า คุณกฤษดาเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้คุยอะไรกับลูกหรือเปล่า”

กิ่งไผ่กอดอก ทำท่าอ่อนใจ

“คุย?...จะให้เขาคุยเรื่องไหนล่ะครับ”

ลูกชายย้อนทำหน้าเบื่อหน่าย

“ไผ่ เขาเป็นคนสนับสนุนเงินให้เราซื้ออาวุธนะ”

เรื่องอาวุธ กิ่งไผ่ยอมรับว่ามันต้องใช้เงินเยอะเหมือนกัน แถมยังต้องหาซื้อในตลาดมืดซึ่งราคามันสูงจนเกินกำลัง

“ผมรู้ครับพ่อ ว่าเขาให้เงินสนับสนุนเรา เรื่องนี้พ่อคุยกับเขาเองแล้วกันครับ ผมไม่อยากยุ่ง”

กิ่งไผ่บอกปัด ท่านนายพลทำหน้าสงสัย

“มีอะไรล่ะลูก ถึงไม่อยากคุยกับคุณกฤษดา”

กิ่งไผ่ไม่พูด เขากอดอกแทน ท่านนายพลเตรียมสั่งสอนแต่เจ้าลูกชายตัวดีเหมือนจะรู้แกว จึงเสหยิบแก้วน้ำขึ้นมา

“พ่อทานยาเถอะครับ”

ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างเตียงยื่นยาให้

“พ่อทานยาดีกว่าครับ”

ท่านนายพลเอื้อมมือลูบหัวบุตรชาย สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยน รอยยิ้มของบุตรชายเผยออก

“พ่อครับ ผมก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ”

อดีตท่านนายพลลุกขึ้นพิงหมอนใบโต

“ลูกไม่ใช่เด็ก ลูกก็ควรไปคุยกับคุณกฤษดาให้เรียบร้อยเสีย มันคือผลประโยชน์เราทั้งนั้น ถึงเราไม่ชอบเราก็ต้องพึ่งเงินของเขา”

กิ่งไผ่จับแก้วแน่น ทำหน้าไม่ชอบใจชัดเจน

“ไผ่...กองทัพเดินด้วยท้อง เราน่าจะรู้ดีไม่ใช่รึ ทุกอย่างภายในนี้ต้องใช้เงินทั้งนั้น”

แก้วน้ำในมือของกิ่งไผ่หล่นลงพื้นแตกละเอียด สีหน้าโกรธเคือง

“ผมรู้ดีทุกอย่างแหละครับพ่อ นับแต่เวียงนวรัฐะล่ม นับตั้งแต่แม่ถูกฆ่าตายแล้วผมต้องไปที่เวสพอยท์ ผมอยู่เพื่ออะไร เพื่ออุดมการณ์ที่จะกู้บ้านกู้เมืองคืน ต้องปล้นเงินทองเขาต้องขอคนอื่นใช้เพื่อความฝันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง....ผมรู้สึกขมขื่นกับมันมาตลอดเลยนะครับ”

บิดาที่ได้รับฟังไม่กล่าวโต้ตอบอะไรทั้งนั้น เพราะรู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“พ่อเข้าใจไผ่ เอาเถอะหากเจ้าไม่คิดจะคุยกับคุณกฤษดาพ่อก็ไม่ว่าอะไร”

บิดาเลี่ยงที่จะโต้เถียง กิ่งไผ่ระงับความรู้สึก

“ผมขอโทษครับพ่อที่เอาอารมณ์ใส่อีก ผมรู้ว่าพ่อคาดหวังกับผม...คาดหวังมาตลอด แต่ผมกลับเหลวไหลเสียได้”

ผู้เป็นบุตรว่า กุมหน้าผากเกลี้ยงเกลาของตัวเองไว้

“อย่าโทษตัวเองเลยไผ่ พ่อต่างหากที่กดดันเจ้ามาตลอด พ่อเองที่สมควรจะขอโทษเจ้า”

กิ่งไผ่ร้องไห้...คิดถึงอดีต... มันโหดร้ายเกินไปกับความจริงที่ได้รับรู้ เจ้าหญิงมนัสหยาแห่งสิเรียม มารดาผู้แสนอ่อนโยนกลับต้องตายต่อหน้าต่อตาสามีตนเพียงเพราะคนๆหนึ่งบ้าอำนาจ ท่านนายพลเกลียดมัน...เกลียดเข้ากระดูกดำ ไอ้นกสองหัว ใจมันคิดไม่ซื่อ อดีตท่านนายพลยังไม่บอกกล่าว่าศัตรูของท่านเป็นใคร กิ่งไผ่มีความเจ็บปวดเต็มบ่า แม้ท่านอยากจะบอกกล่าวแต่ท่านต้องข่มไว้ สายตาของท่านเฝ้าสังเกตบุตรชายทุกครั้ง...กิ่งไผ่ผู้รักสงบ นิสัยอ่อนโยนที่ได้รับถ่ายทอดจากภรรยาจนไม่น่าเชื่อกลับกลายมาเป็นเครื่องจักรสังหารคนได้อย่างเลือดเย็น ท่านหวั่นใจอยู่เสมอยามที่เห็นบุตรชายเหม่อ เพราะท่านไม่อาจเข้าใจได้ว่า ลูกชายตัวเองคิดสิ่งใด

“พ่อครับ...ผมจะแสดงความอ่อนแอเป็นครั้งสุดท้าย...แล้วผมจะเข้มแข็งเพื่อนำเวียงนวรัฐะกลับคืน”

นายพลอินคานลุกจากเตียงรั้งร่างสูงของลูกชายมากอด

“พ่อขอบใจลูกที่ลูกทำเพื่อพ่อ ทำเพื่อชาติบ้านเกิดโดยสละความสุขของลูกทั้งหมด”

นายพลอินคานบีบบ่าของบุตรชายแน่น...ไอ้สารเลวนั้นต้องได้รับผลกรรม!...เจ้าคะฉิ่น....น้องชายแท้ๆของท่านนายพลเอง

------------------------------------------------

เจ้าขิ่นร้องลั่นทันทีที่เห็นควันไฟ มันรีบบอกให้นายทหารบาดเจ็บลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มยังนิ่ง

“เฮ้ยยยย เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

เด็กหนุ่มละล้าละหลัง สีหน้าของภานุยังสงบ จนกระทั่งเจ้าเด็กหนุ่มอดทนไม่ไหวนั่นแหละจึงเข้ามาฉุดมาดึง เก็บข้าวของให้อย่างรวดเร็ว จึงรอดพ้นมหันตภัยได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ทั้งคู่เดินโซเซเพราะความสูงไม่เท่ากัน ไฟป่าที่เจ้าพวกกองโจรจุดก็ได้ลุกลามอย่างรวดเร็ว เจ้าขิ่นมองเสี้ยวหน้าที่ทรหดอดทน ภานุสะบัดวงแขนที่ประคองออก

“เอ็งเก็บของไปก็พอ”

ภานุสั่ง ให้เก็บสัมภาระจำเป็นหนีไฟป่าที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เแรกๆเจ้าขิ่นก็ไม่ยอม พอภานุมองตาดุๆเท่านั้นแหละจึงทำให้ยอมจนได้ ทั้งสองกระเสือกกระสนหนีไฟป่ามาจนถึงที่ปลอดภัย นายทหารหนุ่มจึงล้มลง

“ป่านนี้พวกนั้นจะเป็นอย่างไรนะ”

ชายหนุ่มเฝ้ามองควันไฟ ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย ภาพของพองเพื่อนถูกย่างสด ชายหนุ่มขนลุก

“โฮ้ย...แค่ไฟป่า พวกของคุณน่าจะหนีได้หรอกน่า”

เจ้าขิ่นปลอบเมื่อเห็นแววตาของคนขลาดหวาดหวั่น ไม่ยักจะรู้ว่าคนๆนี้แสดงอารมณ์และสีหน้าแบบนี้ได้ด้วย

“นี่เรายังต้องเดินทางอีกไกล ลุงลุกขึ้นดีกว่า”

เด็กหนุ่มว่า รอให้ภานุลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ขยับเขยื้อน สายตามองกองเพลิงแล้วนึกถึงวันที่เพื่อนรักตายต่อหน้าต่อหน้า ร่างของนาคีทอดเหยียดยาว หลังเต็มไปด้วยเลือดไหลหยดซึมออกมาจากเสื้อลายพรางกลายเป็นสีคล้ำ ใบหน้าของเจ้าเพื่อนรักมีความกังวลใจเหลืออยู่ มันซ่อนทับภาพของคุณหมอต้นธาราร้องไห้ตอนที่เห็นเพื่อนรักของเขาตาย เหมือนความรู้สึกโศกลึกซึ้งเจือลงในใจ เจ้าขิ่นเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงอย่างสนใจ แววตาแกร่งสั่นระริก แม้จะไม่คิดเสียใจ สุดท้ายความรู้สึกนั่นก็เข้าครอบคลุมจิตใจ ชายหนุ่มพยายามข่มความเสียใจไว้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจทำได้ เจ้าขิ่นเห็นสภาพของภานุถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เมื่อเห็นใบหน้าแกร่งมีหยาดหยดน้ำตาไหลอาบ อยากจะถามถึงเหตุผลที่มาของสายน้ำตาไหลรินแต่รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควร เด็กหนุ่มรอให้หยาดหยดน้ำตานั้นหมดไป ภานุจึงลุกขึ้นได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ไปเถอะ”

ชายหนุ่มสั่ง เจ้าขิ่นมองตามแผ่นหลังแกร่ง เหมือนกับจะกักเก็บสะสมความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลไว้

“ผมไม่รู้ว่าลุงเสียใจเรื่องอะไร แต่ว่าความหวังยังไม่สิ้นสุดหรอกนะ สิ่งที่เราคาดหวัง เราจะประสบความสำเร็จ เพราะแรงใจของเราเอง”

เจ้าขิ่นว่า ภานุหันมามอง

“นั่นใครสอน”

ชายหนุ่มเอ่ยปากถามอย่างขรึมๆ

“ไม่มีใครสอนหรอก ผมคิดเองน่ะ...เพราะต้องคอยอยู่ท่ามกลางสภาพที่สิ้นหวังมาตลอด มีเพียงสิ่งเดียวที่จะปกป้องเจ้านายและความขลาดกลัวได้ก็คือการให้กำลังใจเอง”

ภานุยิ้มให้ เจ้าขิ่นก็ยิ่งประหลาดใจอีก

“มีเพียงคนสองคนที่ทำให้ผมประหลาดใจได้กับอารมณ์...นั่นก็คือนายของผมกับลุง....นายผู้ซึ่งกักเก็บความอ่อนแอเอาไว้ ส่วนลุงจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า”

ภานุใช้คำถามนั้นถามตัวเอง...สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร...ความรู้สึกจริงๆของตัวเอง

“ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอ”

ภานุตอบ เจ้าขิ่นเบ้ปาก

“คนที่พูดแบบนี้ก็อ่อนแอทุกคนล่ะครับ”

นายทหารจากไทยยิ้มให้

“นั่นสินะ...อาจจะอ่อนแอกว่าที่คาดก็ได้”

ชายหนุ่มทิ้งปมไว้ เดินห่างจากเด็กหนุ่ม ทิ้งความรู้สึกเดียวดายอ้างว้างเอาไว้เบื้องหลังไฟป่าที่โหมกระหน่ำ

------------------------------------------------

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #239 เมื่อ28-06-2008 19:03:58 »

:serius2: นู๋เรน พี่เข้าไปเม้นท์เวปโน้นไม่ได้ เข้าไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้ว  :o12:  :o12: เศร้าและเซ็งจิต

 :o มันเป็นอะไรล่ะนั่น เด็กดี??? ปกติเราก็เข้าได้นี่น่า??? รึมันเอ๋อเป็นช่วงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด