ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 293330 ครั้ง)

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #240 เมื่อ28-06-2008 23:41:24 »

อิอิ มาต่อแล้วววววววววววววววววววววววววววววว

ขอสารภาพว่ายังจำชื่อทหารสลับไปมาอยู่เลยเนี่ย

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #241 เมื่อ29-06-2008 14:54:55 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #242 เมื่อ29-06-2008 15:39:44 »

นี่รอดกันแล้วใช่มั้ย

เมื่อไหร่จะได้เจอกะคนรักสักที

 :sad2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #243 เมื่อ30-06-2008 21:12:33 »

55 จำชื่อทหารสลับกันไม่แปลก เราก็ลืมๆ เหมือนกัน
ส่วนจะได้เจอกับคนรักอะป่าว  รออ่านต่อไปค้าบบ  ขอบคุณที่มาให้กำลังใจน้า

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก20 lachrymal/ความจริง

คุณหมอธารมองโรงพยาบาลในกรุงเทพ หลังจาที่ตัดสินใจเข้ามารักษา ท่านนายพลพิภพรีบจัดการเรื่องต่างๆจนเสร็จ คุณหมอหนุ่มหลับตาลงเมื่อคำนึงถึงผู้กองหนุ่ม

“ธารวันนี้พ่อซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยที่ลูกชอบมาด้วย”

ท่านนายพลชูถุงพลาสติกขึ้น หลังจากที่ต้นธารายอมเข้ารับการรักษาจริงๆจังๆในกรุงเทพฯ ผู้เป็นบิดาก็มาเฝ้าไข้ทุกๆวัน วันละสองสามชั่วโมงก่อนจะไปทำงาน ต้นธาราเอ่ยขอบคุณบิดา เขาลงจากเตียงหยิบถ้วยมาเทโจ๊กร้อนๆ ชายหนุ่มนั่งลงตรงกันข้ามบิดา ท่านแต่งชุดทหารมาเยี่ยมไข้เช่นเคย

“ทานซะนะ วันนี้หน้าลูกดูซีดๆจัง จะให้พ่อเรียกหมอมาตรวจไหม?”

ต้นธาราส่ายหน้า เขาตักโจ๊กจรดริมฝีปาก สีหน้าครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ

“พรุ่งนี้หมอก็นัดตรวจแล้วครับ พ่อว่างไหม”

ชายหนุ่มวางช้อน เอนหลังพิงโซฟา มองจานโจ๊กครึ่งค่อนชาม แล้วเงยหน้า สบตาเข้มกร้าว

“ว่างสิ วันนี้พ่ออยู่ไม่ได้นานหรอกนะเดี๋ยวต้องไปประชุมกับกรมฯอีก เย็นๆพ่อจะมาหาลูกนะ”

ท่านนายพลลุกขึ้น ต้นธาราส่งบิดา ก่อนจะกลับมานั่งยังโซฟาตามเดิม ความรู้สึกกระอักกระอ่วนกินลึกในอก พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯเหมือนกับตัวจะลูกบีบจนเล็กเท่ามดตัวจ้อย คิดจะทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกสิ่งต้องถือฐานะหน้าตาเป็นหลัก คุณหมอกวาดสายตามองทั่วห้อง วันเวลาช่างเชื่องช้านัก นิ้วเรียวหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจจนเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางพยาบาลสาวยิ้มหวานถือถาดยามาให้

“ยาค่ะ ท่านนายพลสั่งให้นำมาให้”

ต้นธารามองยาเม็ดกลมคละกับแคปซูล เอ่ยขอบคุณเธอหยิบยาพร้อมกับน้ำดื่มจนหมด

“ทานเสร็จแล้วก็นอนพักนะคะ วันพรุ่งนี้คุณหมอนัดเก้าโมงเช้า ขอให้หลับสบายนะคะ”

เธอว่า ต้นธารายิ้ม เขาส่งถ้วยโจ๊กคืน ก่อนจะลุกไปยังเตียง ยังไม่ค่ำเลยด้วยซ้ำแต่ต้นธาราก็เข้านอนพักผ่อนแล้ว ต้นธาราปฏิบัติแบบนี้นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาพักรักษาตัว เมื่อไม่มีอะไรทำต้นธาราก็จะเอาแต่นอน เขาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็มิอาจทำได้จึงลุกขึ้นมานั่งเล่น...เพื่อรอผลการตรวจที่จะชี้ชะตาชีวิต

------------------------------------------------

วันรุ่งขึ้นต้นธาราตื่นมา รีบจัดการล้างหน้าล้างตา นั่งรอให้นางพยาบาลเข้ามาวัดความดันแล้วก็รอบิดาบังเกิดเกล้าไปพลางๆ สายตาไล่มองนาฬิกาอย่างกังวลใจ

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำอาหารเช้ามาให้นะคะ”

นางพยาบาลเก็บสายวัดความดัน ต้นธารารออาหารเช้าซึ่งประกอบด้วยส้มเขียวหวานสองผล โอวัลตินร้อนแล้วก็ข้าวต้ม ต้นธารานั่งทานไปเรื่อยๆจนท่านนายพลพิภพกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง

“ทานข้าวอยู่รึลูก โทษทีๆพ่อมาช้า...เฮ้อ รถมันติดเหลือเกิน”ท่านบ่น ต้นธาราละมือจากการทานอาหาร รินน้ำจากเหยือกอลูมิเนียมให้แก่คุณพ่อ

“ขอบใจลูก เมื่อคืนนอนหลับดีใช่ไหม”

ศีรษะได้รูปผงกตอบรับ ท่านนายพลโล่งใจ

“พ่อคิดว่าธารจะกลุ้มใจเสียอีก”

เสียงหัวเราะร่วนดังจากปากต้นธารา

“ผมจะกลัวอะไรครับพ่อ เอ่อ พ่อทานข้าวมายังครับ”

ชายหนุ่มถาม ท่านนายพลโบกมือ

“โฮ้ย...พ่อไม่หิวหรอก แล้วคุณหมอมารึยัง”

บุตรชายส่ายหน้า

“ยังไม่นึกเวลาเลยครับ”

ชายหนุ่มทานข้าวต่อ นายนายพลมองนาฬิกาก่อนจะพึมพำ

“ยังไม่ถึงเวลาจริงๆด้วย เฮ้อ...ธารรินน้ำให้พ่ออีกสักแก้วสินั่งนานๆชักคอแห้ง”

ท่านนายพลสั่ง ต้นธารารินน้ำเย็นจากเหยือกให้บิดาอีกแก้ว ท่านยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย หลังจากที่วางแก้วลงบนโต๊ะ นางพยาบาลก็เข้ามาตาม

“อีกสิบนาทีคุณหมอจะมาถึงนะคะ”

นิ้วเรียวที่แกะเปลือกส้มชะงักไป นายนายพลสอบถามเรื่องเล็กๆน้อยๆจากนางพยาบาลที่ดูแลบุตรชายจึงทำให้ต้นธาราทานส้มที่อยากกินจนเกือบหมด ชายหนุ่มแกะอีกผลยื่นให้บิดา

“ธารทานเถอะ พ่อไม่หิว”

ท่านว่าด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม เขาจึงทานคนเดียวจนหมดแล้วส่งถาดอาหารคืน คุณหมออายุอานามแก่กว่าต้นธาราหลายปียกมือไหว้แขกผู้ใหญ่ ใบหน้าติดออกจีนยิ้มจนตาหยี

“สวัสดีครับท่านนายพลพิภพ”

คุณหมออดิเรกทัก นายพลพิภพยกมือรับไหว้

“เป็นเกีรยติอย่างยิ่งครับที่ได้รับใช้ท่านนายพล เห็นหมอประกิตติดต่อมาก็ตกใจแทบแย่”

คุณหมออดิเรกว่า รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าและดวงตา

“ต้องรบกวนคุณหมอหน่อยแล้วละครับ”

ท่านนายพลกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน คุณหมออดิเรกหันมาทางต้นธารา

“นี่คือคุณหมอต้นธาราบุตรชายของท่านนายพลสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมนายแพทย์อดิเรกครับ”

ต้นธารายกมือไหว้ผู้แก่วัยกว่า เสร็จสิ้นการแนะนำตัว คุณหมออดิเรกก็เริ่มเข้าเรื่อง

“ตามที่ผมได้อ่านแฟ้มประวัติของคุณหมอต้นธาราแล้วช่างน่าเป็นห่วงเสียจริงนะครับ”

คำพูดเกริ่นของนายแพทย์ดิเรกส่งผลให้ผู้ฟังตีสีหน้าทุกข์ใจ

“อันตรายขนาดนั้นเลยรึครับ”

“ครับ แต่ก็มีโอกาสหายครึ่งต่อครึ่งครับ ใจเย็นๆไว้”

นายพลพิภพทำหน้าโล่งอก

“ผมเคยได้ยินหมอประกิตบอกว่าถ้าจะหายก็ต้องปลูกถ่ายไขกระดูกกับทำเคมีบำบัดแล้วสองอย่างนี้ โอกาสหายมีกี่เปอร์เซ็นต์ครับ?”

นายพลแห่งกองทัพบกถาม นายแพทย์อดิเรกหยิบแฟ้มให้ดูประกอบกับอธิบาย

“การคีโมนั้นค่าใช้จ่ายถูกกว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่การทำเคมีบำบัดจะได้รับผลกระทบเยอะอาทิเช่นผมร่วง อาเจียนแต่ก็สามารถรักษาหายเช่นกันแต่ถ้าจะให้ขายขาดจากโรคอีกวิธีหนึ่งก็คือการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งเป็นวิธีที่แพงมากค่าใช้จ่ายในการรักษาก็ราคา1-3แสนบาทเป็นอย่างต่ำ มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่คุณหมอต้นธาราเป็น คือมะเร็งชนิดเรื้อรังแล้วอาการค่อยๆปรากฏเป็นชนิดแบบเฉียบพลันผมถึงบอกว่าอาการของคุณหมอธารน่าห่วงมากๆ”

นายแพทย์อดิเรกแตะแขนขาวซีด

“จากรายงานที่อ่าน คุณหมอต้นธาราได้ทานยาอยู่สม่ำเสมอ อื้ม...มันช่วยลดความผิดปกติของตับและม้ามได้พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้เพราะคุณหมอไม่ได้เข้ารับรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ”

คิ้วของท่านนายพลเลิกขึ้น

“ยังไงครับ?”

อดิเรกจึงขยายความให้ท่านนายพลฟัง

“ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นจะมีอัตราการรอดชีวิตตามภูมิต้านทาน อาการที่จะเกิดขึ้นก็จะแสดงตามโรค เช่นกรณีของคุณหมอต้นธารานั้นจะมีอาการซีดเหลือง เลือดออกง่ายโดยเฉพาะเลือดออกตามใต้ผิวหนังจะปรากฏให้เห็นเป็นรอยจ้ำๆตามแขน ขา และยังพบอาการ ตับ ม้ามและต่อมน้ำเหลืองโตซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการทำงานของไขกระดูกผิดปกติจึงทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น”

สายตาอ่อนโยนจับจ้องบุคคลทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยต่อ

“ส่วนการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นเป็นวิธีที่ยุ่งยาก ซับซ้อนเนื่องจากต้องอาศัยเนื้อเยื่อไขกระดูกที่เข้ากันได้กับคนที่เป็นโรคนี้เท่านั้นจึงจะปลูกถ่ายได้ ประกอบกับขั้นตอนต่างๆตั้งแต่การเก็บไขกระดูก การปลูกถ่ายไปจนถึงการดูแลผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็มีปัญหายุ่งยากมากเป็นพิเศษ”

นายแพทย์อดิเรกเว้นไป รอให้คนฟังทำความเข้าใจกับคำพูดก่อน

“ครับ...แล้วการปลูกถ่ายกระดูกนี้มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง”

พอมาถึงจุดนี้ นายแพทย์อดิเรกหยิบแผ่นผับขึ้นมาส่งให้แก่บุคคลทั้งสอง

“อันดับแรกคือต้องหาไขกระดูกที่เข้ากันได้กับคุณหมอต้นธารามาก่อนครับ ซึ่งโอกาสมันหายากมาก”

ท่านนายพลทำสีหน้าว่าเข้าใจเพราะตนก็ตรวจดูไขกระดูกแล้ว ไม่อาจเข้ากับลูกได้

“เราไม่รู้ว่าใครจะมีไขกระดูกตรงกับคุณหมอบ้าง เลยต้องใช้วิธีรักษาแบบเคมีบำบัดไปพลางๆก่อน”

นายแพทย์แนะนำ ท่านนายพลวางเอกสารลง

“แล้วผมต้องทำอย่างไรดีครับ รู้สึกว่าเจอทางตันเสียเหลือเกิน”

น้ำเสียงแฝงความกลุ้มใจ ต้นธาราที่นั่งนิ่งมานานมองดวงตาแกร่งที่วูบไป

“พ่อครับ...”ชายหนุ่มเรียกเสียงอ่อน ใบหน้านั้นดูจริงจัง

“ให้ผมรักษาแบบเคมีบำบัดเถอะครับ”ท่านนายพลจ้องหน้าบุตร

“ธารพ่ออยากจะให้เจ้าหายขาดนะ...”

ท่านว่า ต้นธาราเข้าใจดีถึงความหวังดีและความปรารถนาของบิดา

“ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อนะ หากเจ้าจากไปอีกคนพ่อก็คงใจสลาย”

ท่านว่า ต้นธาราเงียบกริบ นายแพทย์อดิเรกมองสองพ่อลูกก่อนจะเอ่ยแทรก

“ยังมีความหวังห้าสิบ-ห้าสิบครับท่านนายพล”

แม้จะรู้ว่ามีความหวังครึ่งต่อครึ่ง หากในใจลึกๆของผู้เป็นบิดาย่อมทุกข์เป็นธรรมดา

“หากสงสัยอะไรก็ปรึกษาผมได้ตลอดนะครับ”

ท่านนายพลหันมองนายแพทย์อดิเรกก่อนจะเอ่ยความทุกข์ในอก

“ผมกลุ้มอยู่ว่าจะหาไขกระดูกที่ตรงกับของธารได้จากที่ไหน หากหาก็นาน”

ท่านบ่นด้วยความเศร้าสร้อย คุณหมออดิเรกมองแฟ้มประวัติ

“คุณหมอต้นธารากรุ๊ปเลือดBหากต้องการปลูกถ่ายไขกระดูกใหม่ก็ต้องหาที่ตรงกับผู้ป่วยมากที่สุดโดยตรวจจากองค์ประกอบของเลือดหรือHLAไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิต วิธีที่ง่ายสุดก็น่าจะประกาศหาผู้บริจาคน่ะครับถึงมันจะนานไปก็เถอะ แต่ก็ทำให้มีโอกาสสูงที่จะหาย หากมีผู้รับบริจาค การบริจาคอันดับแรกก็ต้องตรวจองค์ประกอบของเลือดก่อนโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะเจาะเลือดประมาณ20ซีซีเพื่อนำไปตรวจ หากมีองค์ประกอบเข้ากันได้แพทย์ก็นะนัดพบอีกครั้ง การบริจาคจะมีอยู่2ขั้นตอนนั้นก็คือการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดทางกระแสเลือด วิธีนี้จะคล้ายกับการบริจาคเลือด หากวิธีนี้ใช้เวลานานคือประมาณสามชั่วโมงโดยทั่วไปจะเก็บ2-4ครั้งเพื่อให้ได้จำนวนเซลล์ที่มากพอแต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้บริจาค”

นายแพทย์อดิเรกหยุดไป แล้วก็กล่าวบอกแก่ท่านนายพลเมื่อเห็นสีหน้าของท่าน

“ในการบริจาคผู้บริจาคจะได้รับการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวก่อนบริจาคทุกวันวันละหนึ่งครั้งเป็นระยะเวลา4-5วัน เราจะเก็บเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อนำไปปลูกถ่ายแล้วส่งเลือดที่เหลือกลับคืนสู่ผู้บริจาค แต่ในการบริจาคจะทำให้ผู้บริจาคเกิดอาการชาก็ไม่ต้องห่วงอีกเหมือนกันครับเพราะทางผู้บริจาคจะได้แคลเซียมไปรับประทาน อาการผลข้างเคียงของการบริจาคเซลล์ก็คือจะชารอบปาก ปลายมือปลายเท้าเราจะฉีด calcium gluconateให้ในรายที่มีอาการมากๆ”

นายแพทย์อดิเรกเงียบเมื่อนางพยาบาลสาวมาเสิร์ฟน้ำ ต้นธาราจึงมีโอกาสเอ่ยแทรก

“พ่อครับผมอยากจะ...”

ท่านนายพลพิภพรู้ดีว่าลูกชายคิดอะไรอยู่จึงส่งสายตาบอกให้เงียบ ต้นธาราจะอ้าปากค้านอีกสุดท้ายก็แพ้ นายแพทย์รอให้สองพ่อลูกคุยกันจนเสร็จจึงเอ่ยต่อ

“เรามาต่อวิธีที่สองกันเลยนะครับ วิธีที่สองก็คือการเก็บไขกระดูกจากโพรงกระดูก โดยวิธีนี้จะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กโดยแพทย์จะวางยาสลบแล้วทำการเจาะเอากระดูกจากบริเวณสะโพกของผู้บริจาคโดยสองอาทิตย์ก่อนบริจาคผู้บริจาคต้องมาบริจาคเลือดเก็บไว้ที่ธนาคารเลือด เพื่อใช้หลังบริจาค อาการหรือผลกระทบของการบริจาคในครั้งนี้ก็คือ เมื่อฟื้นจากยาสลบผู้บริจาคอาจรู้สึกเจ็บคอ คอแห้ง คลื่นไส้อาเจียนโดยอาการต่างๆจะหายไปในไม่ช้า หากผู้บริจาคเกิดปวดแผลซึ่งจะมีอาการ2-3วันทางแพทย์จะสั่งยาแก้ปวดให้แล้วผู้บริจาคจะได้รับเลือดที่ตัวเองบริจาคไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากทำแผลโดยที่ผู้บริจาคต้องทายยาบำรุงเลือดสักระยะหนึ่ง นี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับการบริจาคครับ”

นายแพทย์หนุ่มสรุป ท่านนายพลถอนใจเฮือก

“หากได้ผู้รับบริจาคแล้วต้องทำแบบนี้ใช่ไหมครับ ผมอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมอีก คุณสมบัติของผู้บริจาคต้องเป็นอย่างไรครับ”

นายแพทย์อดิเรกรื้อเอกสารจากในแฟ้มขึ้นมา ท่านนายพลรับมากวาดสายตาดูคร่าวๆก่อนจะรับฟังคุณสมบัติของผู้บริจาค

“เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของผู้บริจาคมีดังนี้ครับ เป็นผู้ที่มีอายุระหว่างถึง20-55ปี น้ำหนักไม่ต่ำกว่า45กิโลกรัม เพราะหากน้ำหนักน้อยจะไม่สามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดได้เพียงพอต่อการปลูกถ่ายไขกระดูก ข้อสองต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีประวัติการติดเชื้อต่างๆเช่นตับอักเสบ เอดส์ สามเป็นผู้ที่มีเชื้อสายเอเชียตะวันออกหรือเอเชียใต้เพราะถ้าเป็นเชื้อชาติอื่นจะมีเซลล์ต้นกำเนิดที่เหมือนผู้ป่วยน้อยมากแต่ในการบริจาคนี้จะต้องได้รับการยินยอมจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัวก่อนเพราะมันเคยมีกรณีที่ไขกระดูกตรงกันแต่คู่สมรสหรือว่าทางครอบครัวไม่ยอมให้บริจาคเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก”

นายพลพิภพเคาะแผ่นกระดาษกับตัว

“แล้วสองวีธีนี้วิธีไหนดีกว่ากันครับ”

“โดยทั่วไปแล้วส่วนมากจะเลือกวิธีที่สองครับ แต่ละวิธีก็มีข้อเสียต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพของโรคด้วย”

แพทย์หนุ่มตอบคำถามของท่านนายพล ต้นธาราสบสายตาบิดาอีกครั้ง ท่านนายพลพิภพเอ่ยอย่างมุ่งมั่น

“พ่อจะหาคนบริจาคให้ลูกให้ ธารอดทนหน่อยนะ”

สายตาแรงกล้าของผู้เป็นบิดาทำให้ลูกชายซึ้งใจ ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะตายมันกลับสั่นคลอนแคลน เขาทำตัวแบบนี้พ่อก็ยังรัก เฝ้าทนุถนอมดูแล

“ผมขอบคุณครับ”ชายหนุ่มยกมือไหว้บิดา ท่านนายพลใช้ดวงตาอ่อนโยนมองดูบุตร

“พ่อทำให้เจ้ามีความสุข พ่อก็ดีใจแล้ว...”

สิ่งที่พ่อเคยบอกมาตลอด หลังมือขาวสะอาดเช็ดน้ำตาที่ไหลซึม

“ต้องขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ”

คำขอบคุณทำให้ดวงตาคุณหมอยิ้มตาหยีอีกครั้ง อดิเรกลุกขึ้น

“เสร็จแล้วครับ เชิญท่านนายพลและคุณหมอต้นธาราพักตามสบายนะครับ หากมีสิ่งใดเรียกใช้ก็เรียกใช้ได้ตามสะดวกนะครับ”

ต้นธาราอยู่กับบิดาตามลำพัง ท่านใช้สายตาจับจ้องเสี้ยวหน้าซีดขาว

“ธารแม้มันจะลำบากแต่รู้ไว้นะว่าพ่อทำเพื่อลูกเสมอ เรื่องบางเรื่องเจ้าอาจจะไม่เข้าใจพ่อดีนักพ่อก็ขอโทษ”

ชายหนุ่มก้มหน้าสำนึกผิด

“ผมเข้าใจครับ บางครั้งผมก็ดื้อแพ่งกับพ่อมากเหมือนกัน”

คุณหมอหนุ่มว่า ท่านจับแขนเย็นๆ

“เจ้ายังคิดถึงเรื่องผู้กองนาคีอยู่รึ”

ต้นธาราผงกหัว

“...มันลืมยากเหลือเกิน คิดจะลืมก็กลัวทุกที”

ต้นแขนรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ

“แล้วเรื่องของผู้กองภานุล่ะเจ้าคิดอย่างไร พ่อไม่เข้าใจเจ้าเลยนะธาร”

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #244 เมื่อ30-06-2008 21:14:11 »

พอเอ่ยชื่อผู้กองหนุ่ม ต้นธาราก็อึกอักตอบไม่ถูก

“เจ้ายังคิดพิเศษกับเขาอยู่สินะ...ธาร...คนเราสมควรจะตื่นจากความฝันสักที จำไว้ว่า ความฝันหนึ่งพอหลับตาเจ้าจะมีความสุขแต่พอเจ้าลืมตาก็จะพบกับความทุกข์....ความรักของเจ้ามันหนักหนาสาหัสนัก บางคราพ่อก็ไม่ชอบใจเหมือนกันที่เจ้าทำตัวราวกับโหยหาเขา ธาร คุณค่าของหัวใจลูกอยู่ที่ใด ลูกคิดดีแล้วรึที่จะอยู่กับคนๆนั้นทั้งๆที่เขาไม่มีใจ สุดท้ายคงเหลือแต่เจ้าที่เจ็บปวดเดียวดาย พ่อไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย แต่หากเจ้าเลือกเส้นทางเจ้าแล้ว พ่อก็ไม่อาจห้ามได้แต่เฝ้ามองดูห่างๆ ขอบเขตและขอบข่ายเรื่องนี้เจ้ารู้ดีใช่ไหม?”

ต้นธาราผงกหัว...เขารู้ดีว่าพ่อหมายถึงศักดิ์ศรี เกรียติยศ หน้าที่การงานของเขาและของภานุเอง อีกทั้งการรักษาหน้าของนายพลผู้เป็นใหญ่ ต้นธาราทำให้ตระกูลอัปยศแต่ก็ได้รับอภัยและให้ความรักความช่วยเหลืออย่างท่วมท้น ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงเสียงกระซิบแผ่วตอบรับ

“ครับ....ผมรู้ดี”

หากดวงตาคู่นั้นตื่นขึ้นจะมองเห็นสิ่งใดกัน ภาพของผู้กองภานุ...สลักลงในใจที่ไม่อาจตัดขาดแม้จะได้รับการเตือนสติก็ตาม...ขอแค่เคียงข้างมอบ หัวใจให้ แม้จะยอมถูกว่าโง่เขลา เขาก็อยากรักตลอดกาล

....สัญญาว่าจะพาไปดูประเพณีชนชาวเขา...ต้นธาราระลึกได้เสมอ สิ่งนี้บ่งบอกว่าแม้จะไม่ชอบใจหากก็เปิดรับแม้จะเสี้ยวใจ....ขอแค่สักครั้ง.... รอก่อนเถอะ....รอ....จนถึงวันที่หัวใจสองดวงเชื่อมโยงถึงกัน

------------------------------------------------

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #245 เมื่อ30-06-2008 21:52:28 »

รอวันนั้นมาถึงคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #246 เมื่อ01-07-2008 04:04:46 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

เจ้าขิ่นเรียกพระเอกของเราว่าลุง อิอิ

ครับผม ขอให้เป็นการรอคอยที่คุ้มค่านะครับ คุณหมอธาร

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #247 เมื่อ01-07-2008 13:28:53 »

ทางโน้นก้น่าห่วง ทางนี้ก็เป็นกังวล

สู้ๆ ต่อไป เรนน้อย

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #248 เมื่อ01-07-2008 14:53:23 »

มาดันให้พิมเท่ร๊ากก กะ น้องนู๋เรน  :m1:

ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #249 เมื่อ01-07-2008 15:43:59 »

เข้ามาเป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียน กะ คนโพส

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #249 เมื่อ: 01-07-2008 15:43:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #250 เมื่อ02-07-2008 07:09:27 »

ทามมายตอนนี้ มันเศร้า จังเรยอ่า


รอตอนต่อ ไปนะค่ะ

 :bye2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #251 เมื่อ04-07-2008 20:46:58 »

ต่อเลยน้า  เศร้าเหรอ  เรื่องนี้มันเศร้าฝังลึก อิอิ 
แต่หนูขิ่นเรียกพระเอกเราว่าลุงนี่ก็นะ 555 

+++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก21 dream/ ความฝันหนึ่งและความเป็นจริงของหัวใจ

ความเจ็บปวดเป็นยารักษาที่ดี ภานุรำลึกไว้เสมอ ชายหนุ่มแตะที่แผลของตัวเอง ตอนนี้เขากำลังตามหาพรรคพวก เจ้าเด็กหนุ่มชาวพม่าตามรอยเก่งนัก ไม่กี่วันก็ตามหารอยของสมัครพรรคพวกของเขาจนเจอ ทุกคนต่างดีใจที่ได้ประสบพบหน้ากัน

“คิดว่าผู้กองจะ...เสียแล้ว”

จ่าแม้นว่าพลางหัวเราะอย่างโล่งใจ ภานุแค่ยิ้มเจื่อนๆ

“ต้องขอบคุณเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ที่ทำให้ผมรอด”

ชายหนุ่มพยักหน้าไปทางเจ้าขิ่น เด็กหนุ่มชาวพม่าสอดส่องสายตาไปรอบๆ

“คราวนี้จะเอากันครับ ในเมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว”

รังสรรค์เอ่ยขึ้น ทุกคนมองใบหน้าหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเดนตาย

“จะอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เสียด้วย...ผมว่าเรากลับไปที่ฝั่งไทยก่อนเถอะครับ”

อานุภาพเสนอ ทุกคนเห็นด้วยจึงหันมามองเด็กหนุ่ม

“เอ็งจะว่าอะไรไหมถ้าเอ็งนำทางให้พวกข้า จะเรียกเอาเงินเท่าไรก็ได้”

ภานุหันมาสื่อสารกับเด็กหนุ่ม เจ้าขิ่นหยุดเคี้ยวต้นหญ้า มองใบหน้าของภานุอย่างเมินเฉย

“ฉันจะช่วยลุงแต่เงินไม่ต้อง เพราะนายสั่งไว้”

เด็กหนุ่มว่า ภานุหันมาอธิบายให้แก่ทุกๆคนฟัง ธีรเดชจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มแล้วนิ่งเสียใบหน้าของเด็กหนุ่มดูคุ้นตา เจ้าเด็กหนุ่มอาจจะลืมเลือนใบหน้าเขาแต่ธีรเดชจำแม่น...เจ้าหนุ่มที่อยู่กับแม่หญิงกลิ่นเอื้อง!

ความคิดของเขาเป็นจริงรึนี่ ธีรเดชกลืนน้ำลาย เพราะไม่อยากเชื่อที่ข้อสงสัยของตัวเองเป็นจริง...แต่เธอจะรู้ได้ไงว่าเขามายังที่นี่ ธีรเดชสบตาเจ้าเด็กหนุ่มนามว่าขิ่น อยากจะถามแต่ก็คงไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยอะไรออกไปเสียด้วยสิ

“จะออกเดินทางไปยังเขตแดนไทย จากนี้ไปก็อีกสองวันอดทนกันไหวไหมลุง”

เจ้าเด็กหนุ่มว่า ทุกคนผงกหัว เมื่อตกลงได้สำเร็จต่างหาที่พักกัน

“เมื่อกี้เห็นคุณมองเจ้าขิ่นมีอะไรหรือเปล่า?”

ภานุถามเพราะเห็นสังเกตมานาน

“ผมหรือครับ”

ธีรเดชแกล้งทำเป็นไก๋ ไม่รู้เรื่อง ภานุเงียบไปสบดวงตาแกร่งหาความจริง

“ใช่ว่าผมจะลืมเจ้าเด็กหนุ่มนั่น...เขาเป็นคนที่อยู่กับแม่สาวที่คุณตามจีบอยู่....”

ภานุว่าพลางล้มตัวนอน ธีรเดชกลืนน้ำลาย

“คุณรู้...”

ผู้กองหนุ่มคราง ภานุยิ้มน้อยๆก่อนผงกหัว

“ใช่...ที่แรกก็นึกไม่ออก พอนึกไปนึกว่าก็ถึงบางอ้อ....รู้สึกเด็กหนุ่มคนนี้จะถูกสงมาจากนายที่ชื่อกิ่งไผ่นะ”

ภานุเอ่ยอย่างรำพึงเพราะชื่อนี้สะกิดหูเขา พอเจอช่วงวุ่นๆก็เลยลืม

“กิ่งไผ่รึครับ...”

ธีรเดชรำพึงบ้าง สองหนุ่มมองหน้ากันราวกับความคิดถูกเปิดออก

“เอ๋...เหมือนกับที่ธารเคยพูดไวเลยว่ารู้จักกับคนที่ชื่อว่ากิ่งไผ่”

คำพูดสะกิดใจของชายหนุ่ม มันทำให้เขานึกถึงตอนที่เพื่อนรักตาย ภานุซ่อนใบหน้านั้นไว้

“ชักมีเงื่อนงำเยอะเสียแล้วสิ มันจะเกี่ยวเนื่องกันไหมนะกับเรื่องภารกิจของเราถูกเปิดเผย”

ภานุเอ่ย มองไปยังลูกน้องใต้บังคับบัญชาและมองไปยังเด็กหนุ่มแหงนหน้ามองพระจันทร์

“ยังไงครับ”

ธีรเดชไม่เข้าใจ กระซิบถามเสียงต่ำในลำคอ

“ผมก็ยังไม่แน่ใจนัก เลยยังไม่กล้าด่วนสรุปอะไร”

ชายหนุ่มตอบ ธีรเดชทิ้งตัวอ่อนแรง

“อีกสักหน่อยเราก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเองแหละ ตอนนี้ผมคิดอย่างเดียวว่าอยากกลับบ้านแล้ว”

ภานุว่าก่อนจะลุกขึ้น ธีรเดชมองบาดแผลอักเสบ

“คิดอยากกลับแล้วรึครับ เพราะอะไรกัน”

คนถามขมวดคิ้ว มองเห็นรอยยิ้มประดับบนสีหน้าแกร่ง ร้อยเอกธีรเดชสงสัยในรอยยิ้มนั้น คิดอยากจะถามแต่เขารู้ว่าควรเงียบไปเสียดีกว่า เมื่อภานุล้มตัวนอน เขาก็ลุกขึ้นเดินไปหาเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มผูกมิตร เจ้าขิ่นหันมองนายทหารไทย มันระแวดระวังตัวยิ่งนัก เด็กหนุ่มเขยิบกายถอยห่าง ธีรเดชจึงชะงักงัน

“ฉันมีเรื่องจะถามสักหน่อยจะได้ไหม”

ชายหนุ่มพูดพลางใช้ภาษามือกำกับ เจ้าขิ่นปิดปากเงียบมันทำหน้างงๆกับกิริยาอาการนั้น ธีรเดชลองพยายามใหม่อีกครั้ง

“ฉันอยากจะถามเกี่ยวกับเอ่อ... ชื่อของนายของเธอ...นายของเธอน่ะ”

เด็กหนุ่มยังคงนิ่ง ทำหน้าไม่เข้าใจอยู่เช่นเคย จนกระทั่งชายหนุ่มยอมแพ้เอง

“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร”

ธีรเดชลุกขึ้น สายตาของเจ้าขิ่นมองท่าทีร้อนใจ กระวนกระวายของชายหนุ่ม เขาก็อยากจะพูดแต่ไม่รู้ว่าถ้าพูดไปนายของเขาจะโกรธหรือเปล่า มันจึงได้แต่เงียบ ค่ำคืนนี้เงียบสงบ ทุกคนจึงรู้สึกไว้วางใจ เจ้าขิ่นรู้สึกทนง่วงไม่ไหวจึงล้มตัวนอนบ้าง มันหลับสนิทท่ามกลางพวกทหารที่ตัวเองช่วยออกมา

------------------------------------------------

เจ้าโจรกระเหรี่ยงหลังจากที่ปะทะกับทหารไทยจนบาดเจ็บล้มตายจนเกือบหมดนั้น มันรีบไปบอกข่าวแก่หัวหน้าใหญ่ที่สั่งมันมา มันเดินโซซัดโซเซไปยังค่ายกองโจรกู้แผ่นดิน นายใหญ่ทราบข่าวว่ามีสายมารายงานผลก็รีบไปดูทันที

“ทำไมเป็นแบบนี้”

เสียงนายของมันคำรามก้อง ดุดันและเกรี้ยวกราด

“นาย อีกนิดเดียวผมจะจัดการกับพวกมันได้แล้วแท้ๆแต่ไอ้ทหารไทยดันมีคนมาช่วย”

เจ้าคนบาดเจ็บรายงาน มันกุมแผลไฟลวกไว้ หน้าตาบูดๆเบี้ยวๆเพราะถูกตีนหนักๆเตะเข้าอย่างจัง

“มันเป็นใคร”

ท่าทีของ ‘นาย’ น่ากลัว ดวงตาวาวเป็นเพลิงพิโรธ

“เห็นว่าเป็นคนของคุณกิ่งไผ่ครับ มันเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ด สิบแปดปี”

เจ้าโจรกระเรี่ยงรายงานพลางก้มหน้าลงต่ำ ด้วยความกลัวว่า ‘นาย’จะลงโทษมันอีก

“คนของคุณไผ่งั้นรึ?....เอาตัวมันไปรักษา”

นายสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบเย็น คนเจ็บถูกพาไปรักษา ชายหนุ่มหันหลังขึ้นเรือน กิ่งไผ่โผล่หน้าออกมาดูเพราะเห็นกฤษดาทำหน้าบึ้งเดินขึ้นมา

“ไปไหนเหรอครับ หายไปนานเชียว”

กิ่งไผ่อดทักไม่ได้ ดวงตาของกฤษดาสบกับดวงตาสีนิล เหมือนกับเห็นดวงตาแค้นเคืองวาววับเพียงครู่เดียวมันก็มลายหาย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

กิ่งไผ่ถามระหว่างจัดเตรียมอาหารไปให้นายพลอินคานผู้เป็นบิดา

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

ท่าทีของชายหนุ่มดูมีลับลมคมนัย กิ่งไผ่ขมวดคิ้ว เขาเดินไปยังห้องบิดาโดยหารู้ไม่ว่าสายตาคมจับจ้องแผ่นหลังบอบบางอยู่ตลอดเวลา ร่างโปร่งเดินจวนจะถึงห้องของท่านนายพลอินคานอยู่แล้ว กฤษดาจึงเดินเข้าหา กอดเอวบางไว้หมับ คนถูกกอดสะดุ้งตกใจจนกระทั่งของในถาดหล่นแตกเพล้ง เศษแก้วน้ำกระจายเกลื่อนปนกับเศษถ้วยข้าวต้มร้อนๆ กิ่งไผ่ดิ้นขลุกๆให้หลุดพ้นจากการกอดรัด

“ทำอะไรน่ะ!?”

กิ่งไผ่ว่าอย่างโมโหไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะกล้าทำแบบนี้กับตน ท่านนายพลอยู่ในห้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงจานแตก ท่านลุกจากเตียงถามอย่างเป็นห่วง

“ไผ่...ลูกทำอะไรรึ”

กิ่งไผ่ที่ยืนอยู่ด้านนอกตะโกนตอบ

“ไม่มีอะไรหรอกครับผมแค่ทำถาดหลุดมือเท่านั้น”

กิ่งไผ่เหลือบมองมีดที่จ่อหลัง ใบหน้านั้นเชิดขึ้น เรือนผมยาวสลวยถูกมือแกร่งดึงไว้

“คิดจะทำอะไรกัน”

กิ่งไผ่ถามเสียงเย็น ร่างบางกว่าตั้งสติให้มั่นคง คอยมองท่าทีของเจ้าลูกครึ่ง

“เห็นแล้วมันทนไม่ได้น่ะ”

เสียงของกฤษดากระซิบริมหู กิ่งไผ่หลับตาลงด้วยความขยะแขยง

“พูดบ้าๆผมไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย”

กิ่งไผ่ตอบกลับพลางเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่คอยซุกไซร้เรือนผม ช่างน่าอับปยศเสียจริง เขาทำอะไรไม่ได้เสียด้วยสิเพราะอยู่ในท่าที่เสียเปรียบแถมยังอยู่หน้าห้องบิดาที่กำลังป่วยด้วย ชายหนุ่มจึงเก็บงำความแค้นไว้ในใจ

“อย่างไรคุณก็ดีกว่าพวกผู้หญิงอีก มีมันสมอง...ฉลาด...และอีกอยางคุณน่าจะรู้นี่ว่าผมมองคุณมานานแล้ว”

คำพูดที่ชวนขนลุก วงแขนแกร่งโอบรอบเอวบาง ใบหน้าของคนถูกกอดดวงหน้าร้อนฉ่า เพราะนิ้วของชายหนุ่มลูบไล้ผ่านหน้าท้องเพรียว

“ไอ้บ้าเอ้ย”

เมื่อทนไม่ได้ กิ่งไผ่จึงสะบัดอีกฝ่ายจนหลุด ดวงตากระจ่างวาวโรจน์ รอยยิ้มของอีกฝ่ายแสยะเมื่อเห็นร่างโปร่งกุมเท้าที่ถูกเศษแก้วบาดเอาไว้แน่น คราบเลือดสีแดงไหลย้อมพื้นไม้ ข้นเหนอะหนะ ดวงหน้างามพยายามข่มความเจ็บ

“คิดขัดขืนหรือ”

เสียงโครมครามดังก้อง ท่านนายพลลุกขึ้นไปดูด้วยความเป็นห่วงบุตร ประตูเปิดออก ดวงตาหวาดหวั่นมองประตูที่เปิดกว้าง

“พ่อ...อย่าออกมา”

สายไปเสียแล้วเมื่อท่านนายพลเปิดประตูออกมา เห็นบุตรชายนั่งลงกุมเท้าไว้ ส่วนนายกฤษดายืนกอดอกด้วยสีหน้าชั่วช้า ใบหน้าของท่านงุนงงแกมสงสัย

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ท่านนายพลอินคานถาม กฤษดาเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีดุจมัจจุราชปลิดชีพ

“อย่าทำอะไรพ่อฉันนะไอ้เลว”

กิ่งไผ่ตวาด เขากัดฟันลุกขึ้นมาขวางไว้ หากแต่ถูกผลักออกจนร่างเซถลาไปชนกับบิดากลิ้งไปกับพื้น นายพลแก่ชราหอบหายใจไอแค่กๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

ท่านเริ่มสำเหนียกถึงอันตรายที่จะเกิดกับตัวเองและบุตรชาย

“คุณจะทำอะไรรึคุณกฤษ”

สายตาของท่านขุ่นมัวลุกขึ้นไปหากฤษดาหากแต่ถูกผลักล้ม

“ถอยไปไอ้แก่ แกจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งอยู่แล้วอย่ามายุ่ง ถ้าอยากมีชีวิต”

คำพูดรุนแรง ท่านนายพลดวงตาวาวโรจน์

“เอ็งพูดอะไรว่ะไอ้ชาติหมา”

นายพลอินคานด่า ทำให้กฤษดาหันมาต่อยท่านล้มคว่ำ ร่างแก่ชราเซตามแรงหมัดล้มแน่นิ่ง กิ่งไผ่เห็นจึงร้องลั่น

“พ่อ! ไอ้ชั่ว...แกมันเป็นไอ้ชั่วจริงๆ”

กิ่งไผ่ลุกขึ้นเดินเขยกไปดูท่าน เลือดจากบาดแผลไหลเป็นทาง ดวงตาคู่งามวาวโรจน์

“ในที่สุดก็เผยก็โฉมหน้าออกมาจริงๆสินะ”

กิ่งไผ่เอ่ย โล่งใจเพราะพ่อของตนแค่สลบไป เจ้ากฤตดาหัวเราะ เสียงของมันช่างระคายหูนัก กิ่งไผ่ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มโดยตรง

“คิดจะทำอะไรได้...”

คำถามนั้นทำเอากิ่งไผ่ใจหายวาบ ดวงตาของเขาเริ่มมีรอยหวาดหวั่นปรากฏ

“หมายความว่า...”

กิ่งไผ่เอ่ยอย่างรู้ดี เขาจะเรียกให้ลูกน้องของตัวเองเข้ามาช่วยทว่าอำนาจของเขากลับถูกยึดไปเสียแล้ว

“หมายความว่านับแต่นี่ผมคือนายของที่นี่น่ะสิ ไอ้กองโจรกระจอกๆวันๆยึดติดอุดมการณ์ไร้แก่นสารมีรึจะรอด ใครเขาอยากสวามิภักดิ์ต่อไอ้แก่ใกล้ตายกัน รบไปก็มีแต่เสียกับเสีย ทางดีๆมันมีอยู่ทุกคนเลยต้องไขว่คว้าไว้สิ”

กิ่งไผ่หน้าเผือดไปกับคำพูดดูถูก เขากำหมัดแน่น ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก่อเกิดเพราะเขาหน้ามืดด้วยแรงโกรธ

“จะบอกเอาบุญให้นะ...ผมถูกส่งมายังค่ายนี้เพื่อแทรกซึมและขยายกองกำลังค้ายาเสพย์ติด ท่านนายพลคือหมากชั้นดี หากไม่อยากโดนฆ่าทิ้งก็ทำตัวดีๆซะ”

สำนึกสุดท้ายหลุดลอยเมื่อถูกตบอย่างจัง

“เฮ้ย พวกแกจับมันไปขังไว้ก่อน”

ลูกน้องที่รอเตรียมพร้อมขึ้นมา จับสองร่างมัดไว้นำไปขังยังโกดัง กฤษดามองใบหน้างามเผือดอย่างหมาดหมาย

“ตอนมันตื่น เอามาที่ห้องฉัน”

ลูกน้องใต้อาณัติรับคำ ก่อนชายหนุ่มจะหัวเราะก้องสื่อถึงอำนาจที่มีอยู่ในมือเต็มเปี่ยม

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #252 เมื่อ04-07-2008 20:48:29 »

ดวงตากระพริบถี่ๆเพราะรับรู้ถึงความเย็นเฉียบแตะแก้ม กิ่งไผ่ลืมตาขึ้น เห็นท่านนายพลใช้ชายเสื้อที่ฉีกมาซับหน้าให้ เขาลุกขึ้นด้วยความรวดร้าวตามร่างกาย

“พ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ”

เมื่อสติกลับคืนเขาก็ถามถึงบิดาอย่างเป็นห่วง ท่านนายพลอินคานถอนใจ

“พ่อไม่เป็นอะไรหรอก ลูกนั่นแหละเจ็บแผลที่เท้าไหม?”

กิ่งไผ่มองดูเท้าของตัวเอง เศษผ้าของบิดาพันห้ามเลือดไว้แน่น

“เจ็บแค่นี้ผมทนได้ครับ แต่ไอ้นรกนั่นมัน...”

กิ่งไผ่เอ่ยอย่างแค้นเคือง ท่านนายพลถอนใจกับความสะเพร่าและการไว้เนื้อเชื่อใจของตนเอง

“พ่อมองคนผิดไปจริงๆ”

ท่านเอ่ยอย่างขมขื่น มองรอบกาย ท่านและบุตรชายถูกขังในห้องมืดๆ กิ่งไผ่พ่นลมออกจากจมูกราวกับระบายความชิงชัง เขาแอบมองผ่านรอยรั่วของสังกะสีและเห็นยามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนของเขามาก่อนยืนถือปืนเฝ้าเต็มหน้าห้อง

“พ่ออย่าพูดเลยครับ ไอ้ชาติหมานั้นมันชั่วโดยสันดานของมันอยู่แล้ว ถ้าผมออกไปได้ มันตายแน่”

คำอาฆาตกล่าวทิ้งท้าย ท่านนายพลลุกขึ้นเคียงนั่งข้างบุตร

“ตอนนี้ทางเราถูกยึดกำลังไว้ และยังไม่รู้ว่าคนที่หันไปสวาภักดีฝ่ายนายกฤษดามีมากเท่าไร...อืม...”

กิ่งไผ่ครุ่นคิด ท่านมองบุตรชายด้วยความปลาบปลื้ม แม้จะถูกจับเป็นเชลยแต่ก็ยังไม่สิ้นหวังที่จะเอาชนะ

“เราต้องคอยมองหาโอกาส อย่างน้อยๆคนพวกนี้ก็เคยเป็นพวกเรา ถ้าเราขอร้อง เขาอาจจะช่วยเราก็ได้”

ท่านนายพลเสริมให้ บุตรชายมองสีหน้าของบิดา

“พ่อแน่ใจหรือครับว่าไอ้พวกนกสองหัวนี่จะไม่หักหลังเราภายหลัง”

บุตรชายถามอย่างข้องใจ เพราะเห็นๆอยู่แล้วว่าคนที่เคยเป็นลูกน้องแปรพักตร์ไปอยู่กับอีกฝ่ายหมด

“กิ่งไผ่...เราทำการสงครามใช่ว่าเราจะมองผิวเผิน ครั้งหนึ่งเราอาจจะพลาดแต่ครั้งหน้าเราจะเป็นต่อ การเชื่อใจข้าเก่าเต่าเลี้ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างน้อยๆพ่อก็ไว้ใจพวกเขากึ่งหนึ่ง”

ท่านปลอบ

“เชื่อใจเหรอครับ”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ ท่านนายพลผงกหัว บุตรชายยอมจำนนต่อคำของบิดา

“ครับ...ผมจะลองดู แต่ถ้ามันแว้งกัดเมื่อไร เมื่อนั้นผมไม่ไว้หน้าพวกมันแน่”

เล็บของชายหนุ่มจิกเจ้าไปในเนื้อเพราะกำหมัดแน่น

“พ่อครับ...งานนี้ผมขอจัดการเองได้ไหมครับ ถึงมันจะอันตราย ถึงแม้ว่าผมจะตาย แต่ผมขอสักครั้งเถอะ...ผมอยากฆ่าไอ้คนที่มันดูถูกพ่อ ดูถูกศักดิ์ศรีอุดมการณ์ของพ่อ มันดูถูกผมด้วย...”

นายพลอินคานมองดวงตาจรัสแสง ท่านผงกหัวอนุญาต นานๆครั้งที่จะเห็นกิ่งไผ่เป็นเช่นนี้...ศักดิ์ศรี เกียรติยศ เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนนั้น...แม้ชีวิตและเลือดเนื้อก็สละได้ ท่านกุมหลังมือบุตรไว้

“พ่อไว้ใจเจ้านะไผ่...ระวังตัวด้วย”

กิ่งไผ่ผงกหัว ในสมองครุ่นคิดถึงแผนหลบหนี

------------------------------------------------

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #253 เมื่อ04-07-2008 21:39:39 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #254 เมื่อ05-07-2008 04:21:27 »

มารให้กำลังใจเหมือนกัน ดันด้วย คึคึ  :oni1: :oni1:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: ห้วงรักเสน่หา $
«ตอบ #255 เมื่อ05-07-2008 13:04:48 »

กรี้ดดดดดดดด

สงสารน้องไผ่

ผู้กองธีร์จ้าาาาา มาช่วยด่วน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2008 19:56:59 โดย Junrai_Hyper »

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #256 เมื่อ05-07-2008 17:10:58 »

เริ่มจะพอเข้าใจแล้ววววววววววววววววววววว แต่คุณหมอหายไปเลยน่ะเนี่ย

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #257 เมื่อ06-07-2008 03:49:07 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ครับผม สู้ๆครับผม

พระเอกกับนายเอกของเราจะได้เจอกันแล้วครับ

เป็นกำลังใจให้เสมอครับ สนุกมากครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #258 เมื่อ07-07-2008 15:26:51 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ตื่นเต้น


กิ่งไผ่สู้ๆ


ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #259 เมื่อ07-07-2008 18:42:11 »

เข้ามาดันเพือนสาวแรงๆๆ   :laugh: :oni1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
« ตอบ #259 เมื่อ: 07-07-2008 18:42:11 »





ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #260 เมื่อ09-07-2008 22:58:37 »

ขอโทษทีน้า  มาต่อช้าไปหน่อย  แบบว่าป่วยในรอบสี่ปี แงแง 

ต่อเลยเน้อ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก22 Back To home/กลับสู่ฐาน

ฝ่ายผู้กองหลังจากที่ดั้นด้นเพื่อจะออกไปจากเขตแดนพม่าก็หยุดพัก เจ้าขิ่นหันมองสีหน้าของผู้กองหนุ่ม ซีดเผือดแฝงความอ่อนล้าโรยรา

“อีกไม่กี่กิโลก็จะเข้าเขตฐาน หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะติดต่อหน่วยทหารลาดตะเวนได้”

ร้อยโทอานุภาพว่า ดื่มน้ำจากกระติก เจ้าเด็กหนุ่มชาวพม่าพิงต้นไม้กวาดตามองเหล่าทหารไทยที่เหนื่อยอ่อน

“นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะมีชีวิตรอดมาจนป่านนี้”

รังสรรค์กล่าว มองท้องฟ้าที่สดใส จ่าแม้นหัวเราะหึๆท่ามกลางเสียงลมพัด

“ยังดีใจไม่ได้หรอกลุง หากไม่พ้นเขตชายแดนพม่าก็ยังวางใจไม่ได้”

เจ้าขิ่นเอ่ยสายตาทุกคู่จับจ้องเป็นตาเดียว

“หมายความว่า...”

ธีรเดชถามเมื่อได้รับคำแปลจากจ่าแม้น เจ้าขิ่นแสยะยิ้ม

“ก็หมายความว่าถ้าลุงรอดไอ้พวกโจรกระเรี่ยงมันก็อยู่ไม่สุขเหมือนกัน มันจะตามล้างตามล่าผลาญชีวิตของพวกลุงให้ได้ เพื่อปิดเป็นความลับไงล่ะ”

เด็กหนุ่มเอ่ย ท่าทางไม่ยี่หระเลยสักนิด ธีรเดชมองสีหน้าซีดเผือดของทุกๆคน อยากจะรู้ที่เจ้าเด็กหนุ่มพูดนั้นหมายความว่าอะไร เพราะมีอุปสรรคทางด้านภาษา

“เอ็งหุบปากไปเถอะ...”

ภานุเอ่ย ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น เจ้าเด็กหนุ่มที่ถูกว่าหันหน้าหนี

“...อย่างลุงจะทำอะไรได้ บาดเจ็บเจียนตายแบบนั้น จะหนียังเอาตัวไม่รอดเลย”

ภานุจ้องเขม็ง เจ้าขิ่นกลับทำตัวสบายๆ ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ข่มอารมณ์ไว้ได้ ไม่ถือความกับคำพูดนั้น

“เอ็งจะให้ออกเดินทางต่อรึ”

เจ้าขิ่นผงกหัว ในใจไม่สบายใจเลย

“ใช่...ผมก็อยากกลับไปหานายของผมเหมือนกัน ผมส่งพวกลุงได้แค่ชายแดนเท่านั้นแหละ ไม่อาจข้ามไปได้”

ภานุพยักหน้า เขาก็อยากกลับไปที่ประเทศไทยเหมือนกัน

“ลุงหายเหนื่อยกันยังล่ะ ถ้าหายแล้วก็รีบๆลุก”

ขิ่นสั่งอย่างมีอำนาจ ภานุหันไปบอกแก่ลูกน้อง ทุกคนต่างเก็บสัมภาระออกเดินทางต่อ

------------------------------------------------

กิ่งไผ่เดินพล่านรอบๆห้องขัง ร่างโปร่งกัดฟันเพราะยังไม่รู้เลยว่าจะหาทางออกไปจากที่คุมขังเช่นไรดี ท่านนายพลอินคานมองบุตรชายอย่างเป็นห่วง สายตาของกิ่งไผ่มองประตูที่ปิดสนิทด้วยความเคร่งเครียด เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่รีบนั่งลงเคียงข้างบิดา ประตูเปิดออกแสงสว่างลอดเข้ามา ผู้คุมซึ่งเคยเป็นนายทหารของท่านนายพลวางถาดอาหารให้โดยไม่มองหน้า ทางเบื้องหลังยังมีผู้คุมอีกคนถือปืนอาก้า ใบหน้าของมันเหมือนลืมนายไปเสีย ชายหนุ่มมองถาดอาหารจะใช้ขาเตะ ส่งผลให้ท่านนายพลต้องจับแขนไว้เรียกสติ ลูกชายจำต้องเก็บงำอารมณ์อย่างเสียไม่ได้

“อย่าอาละวาดนะไผ่...เจ้าทำแบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก คิดจะทำให้ตัวเองอดตายหรือไง”

กิ่งไผ่ไม่ฟัง เขาอยากทุ่มถาดอาหารทิ้ง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะชายหนุ่มยังเป็นห่วงบิดาที่ยังป่วยอยู่

“พ่อทานเถอะครับ...”

กิ่งไผ่เอ่ยด้วยเสียงอ่อนๆ นายพลชราหยิบถาดอาหารขึ้นมา ท่านเหลือบเห็นยาวางไว้ในถาดจึงยิ้ม

“ไผ่เอ้ย ลูกทานอาหารเสียเถอะ อย่าอดเลย การอดอาหารจะทำให้เจ้าหมดแรงแล้วไม่มีปัญญาทำอะไร...”

ท่านเตือนสติ ชายหนุ่มจึงหยิบถาดอาหารขึ้นมา กินอย่างฝืนๆ ระหว่างนั้นก็เฝ้ามองบิดาที่ทานอาหารช้าๆ ท่านส่ายหน้าเมื่อบุตรชายตักข้าวยัดใส่ปากอย่างประชดประชัน

“ไผ่ ทานดีๆสิลูก ถึงเจ้าไม่อยากก็อย่าประชดแบบนั้น คิดจะสำลักข้าวตายหรือไง”

กิ่งไผ่กลืนอาการคำโตลงคอแล้วสำลักไอแค่กๆ ผู้เป็นบิดาหยิบแก้วน้ำส่งให้

“เจ้าอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้าย ในพวกที่ทรยศก็มีพวกที่ภักดีปนอยู่ ลูกต้องใจเย็น”

กิ่งไผ่ไม่ยอมฟัง เขาหงุดหงิดเสียจนต้องขว้างจานทิ้ง เสียงจานแตกเพล้ง นายพลอินคานถอนใจ ประตูเปิดออก นายท่านพลมองผู้คุมที่กวาดสายตามองเศษข้าวกระจัดกระจายปะปนกับเศษถ้วยชาม

“ไม่มีอะไรหรอก...”

ท่านนายพลตอบลูกน้องที่เคยอยู่ใต้อาณัติ มันผงกหัวก่อนจะปิดประตูลง สายตาของกิ่งไผ่มีแววเดือดดาด

“พ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ พูดว่าให้ไว้ใจไอ้พวกนกสองหัวแบบนั้น ผมไม่เข้าใจจริงๆ”

ท่านนายพลวางถาดข้าวลง ถึงเวลาที่ต้องอธิบายแล้วสินะ

“ไผ่...ความเป็นจริงที่ลูกเห็นอาจไม่ใช่เช่นนั้นก็ได้ ทำไมพ่อถึงเชื่อใจพวกเขา นั่นก็เพราะว่าเขายังมีความจงรักภักดีเราน่ะสิ ความวางใจเพียงน้อยนิดเป็นสิ่งที่ทำให้เรารอดนะไผ่ พ่อทำงานกับพวกเขามานานย่อมรู้จักนิสัยพวกเขาดี”

นายพลชราอธิบาย บุตรชายรับฟังเงียบๆ

“เอาล่ะไผ่ ลูกทานข้าวของพ่อซะ”

กิ่งไผ่ส่ายหน้า

“พ่อทานเถอะครับ ผมไม่อยาก”

สายตากร้าวบังคับ กิ่งไผ่จำต้องหยิบถาดข้าวขึ้นมาถือไว้

“พ่ออดไม่เป็นไรหรอกแต่เจ้าจะอดข้าวจนเหนื่อยล้าไม่ได้”

สายตาของผู้เป็นบิดามองอย่างพึงพอใจที่บุตรชายยอมตักข้าวเข้าปาก

“ดีแล้ว...”

ท่านเอ่ยชม หยิบน้ำที่เหลือขึ้นมาดื่ม

“พ่อจะหลับสักนิดนะ เจ้าจะนอนก็ได้ พวกนั้นมันยังไม่กล้าทำอะไรเราหรอก”

นายพลอินคานหลับตาลง กิ่งไผ่ถอดเสื้อนอกห่มให้บิดา คงเหลือไว้แต่เสื้อกล้ามสีเขียว ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองประตู

...ไว้ใจงั้นรึ เขาไม่รู้ว่าบิดาคิดอะไร...

ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าจากประสาทตรึงเครียด จึงล้มตัวนอนเอาแรง บุ่มบ่ามไปก็คงไม่ได้ความจริงๆ ร่างโปร่งหาที่นอน ข่มใจหลับตา ท้ายที่สุดก็จมอยู่ในห้วงนิททรา

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #261 เมื่อ09-07-2008 23:00:18 »

เสียงกิ่งไม้หักส่งผลให้ขบวนเดินทางชะงัก เจ้าขิ่นซึ่งเป็นฝ่ายนำหน้าเหลียวมองล่อกแล่ก

“คงเป็นลมพัดหัก”

ธีรเดชที่ได้ยินออกความเห็น แต่จ่าแม้นส่ายหน้า

“ไม่ใช่....ผมได้ยินเสียงฝีเท้าตามเรามาตั้งนานแล้ว”

ภานุที่เดินตามเงยมองท้องฟ้า พลางสั่งให้เงียบ

“เดินไปตามปกติ...เฮ้ย...ไอ้หนุ่ม นอกจากแกแล้วยังมีคนอื่นอีกรึที่นายเอ็งส่งมาให้ช่วย”

ขิ่นส่ายหน้า มันก็กังวลเหมือนกัน ภานุได้ฟังคำตอบแล้วกำมือแน่น ทุกคนทำตามปกติตามที่ภานุสั่งไว้ เดินไปได้สักพักก็หยุด

“แยกย้ายอย่ารวมกลุ่มกัน ไปเจอกันที่ต้นไม่ตรงหน้า”

ภานุชี้ไปยังต้นมะค่าสูงเหยียดฟ้า เมื่อได้รับคำสั่งก็วิ่งสลับฟันปลา หาที่หลบ ทันใดนั้นเสียงปืนก็กราดขึ้น ต่างคนต่างหมอบแล้วชักปืนยิงสุ่มไปทางเสียง

“วิ่ง...”

ภานุสั่งแล้วรู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองไปลาดตะเวน เหล่าทหารไทยที่หมอบคู้อยู่นั่นวิ่งตามที่หัวหน้าสั่ง เสียงปืนดังก้องอีกครั้ง ร่างของผู้กองรังสรรค์ล้ม เจ้าขิ่นชี้ให้ดู

“นี่...เขาถูกยิง”

ภานุหันกลับมาดู ผู้กองรังสรรค์โบกมือไล่ ส่วนตัวเองพยายามลุกขึ้น แต่เลือดไหลชุ่มโชกที่ขานั้นไม่อาจขยับได้สะดวก

“ไปซะ ทิ้งผมไว้”

ผู้กองรังสรรค์เอ่ยด้วยเสียงแตกพร่า เจ้าขิ่นเห็นภานุวิ่งกลับมา จ่าแม้นยิงสวนให้ ก็ล้มไปอีกราย

“จ่า...”

ภานุหน้าซีดเผือด ธรีเดชทิ้งปืนเข้ามาดูอาการของจ่าชรา

“อีกไม่กี่เมตรจะถึงเขตแดนไทยไปเสีย”

จ่าแม้นว่า ธีรเดชส่ายหน้า

“ผมไม่ทิ้งใครไว้ที่นี่จะตายก็ต้องตายด้วยกัน หมวดครับช่วยผู้กองด้วย”

อานุภาพที่ยิงสกัดวิ่งมาร่างร่างของผู้บาดเจ็บหลบหลังต้นไม้ใหญ่ เจ้าขิ่นหอบหายใจแฮ่กๆ เพราะลากร่างอันหนาหนักของผู้กองรังสรรค์เข้ามา

“มันคงไม่กล้าบุ่มบ่าม ธีรเดชคุณหยิบผ้ามาที”

ภานุชี้ยังผ้าขาวม้า แรกๆชายหนุ่มอิดๆเอื้อนๆ สุดท้ายก็ส่งให้ ภานุจัดการปฐมพยาบาลให้แก่ร้อยเอกรังสรรค์

“อานุภาพ คุณติดต่อทางไทยด่วน ธีรเดช คุณเป็นคนระวังหลังให้เราได้หรือไม่ เจ้าขิ่นนำเราไปยังชายแดนด่วน หากไปถึงที่นั่นเราจะรอด”

ภานุแบกผู้กองรังสรรค์ที่สิ้นสติเพราะเสียเลือดขึ้น อานุภาพติดต่อกับทางฝ่ายประเทศไทยจนสำเร็จ เจ้าขิ่นกลืนน้ำลายเพราะเริ่มกลัวที่ถูกตามล่า

“แน่ใจหรือว่าเราจะรอด”

มันถามเสียงสั่นๆ ภานุตอบเสียงหนักแน่น

“เราต้องรอด”

เขาไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว อานุภาพแบกจ่าแม้นขึ้น ต่างกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดกันสุดฤทธิ์

“เร็วๆเข้า”

เจ้าขิ่นเร่ง ภานุกัดฟันแบกเพื่อนร่วมงานที่บาดเจ็บมาด้วยแรงทีเหลือเชื่อ ธีรเดชที่วิ่งตามหลังคอยมองระวังหลังอยู่เสมอ จ่าแม้นกุมแผลที่บ่าไว้

“ปล่อยผมเถอะหมวด ผมจะไปช่วยผู้กองธี”

หมวดอานุภาพส่ายหน้า

“แบบนั้นคงไม่ดีแน่ผู้กองภานุคงไม่ยอม”

เจ้าขิ่นได้ยิน จึงหันมายังสองคน

“ต่อจากนี้ลุงคงนำทางได้ใช่ไหม ฉันจะไปหลอกมันให้ โชคดีละลุง”

เจ้าเด็กหนุ่มวิ่งไปทางธีรเดชที่ตามหลังมา เสียงปืนก้องเป็นระยะๆ ภานุได้ยินนึกโล่งใจที่ธีรเดชยังรอด ชายหนุ่มหันมองรอยยิ้มของเจ้าขิ่น

“อย่างห่วงไปเลยน่า...”

รอยยิ้มของมันราวกับจะบ่งบอกเช่นนั้น ภานุจึงแบกผู้กองรังสรรค์จนถึงเขตแดนไทย

“แบบนั้นผู้กองธีคงจะ...”

จ่าแม้นเอ่ย ทุกคนมองชายป่าที่เกิดการต่อสู่ ภานุวางร่างของผู้กองรังสรรค์อย่างระมัดระวัง

“อย่าคิดในแง่ร้าย ผู้กองธีต้องรอดผมเชื่อเช่นนั้น”

เสียงปืนเงียบหาย ทุกคนต่างรอแล้วหวั่นใจเพราะผู้กองธีรเดชยังไม่ออกมาเสียที

“ผมว่าเราควรตามไหมครับ”

หมวดอานุภาพถาม คว้าปืนลุกขึ้น ภานุกลับรั้งไว้

“อย่า...เราควรรอ”

ผ่านไปนับชั่วโมง เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังมาแต่ไกล ทุกคนแหงนหน้ามอง

“แจ้งไป...บอกให้ส่งแพทย์มาดูผู้กองรังสรรค์กับจ่าแม้นด้วย หมวดอานุภาพ คุณกลับไปซะ บอกหน่วยที่ตามมาทีหลังว่าผมไปตรวจพื้นที่หน่อย”

ผู้กองภานุวิ่งหายลับไปยังเขตแดนพม่า หมวดอานุภาพมองผู้บาดเจ็บ จนกระทั่งทหารลาดตะเวนชายแดนมาถึง พาทุกคนกลับสู่ฐาน ส่วนหนึ่งก็คอยตรวจตามชายแดน และตามภานุไป

ผู้กองภานุมองต้นไม้ที่ถูกยิงจนพรุน รอบๆมีศพของฝ่ายตรงข้ามนอนแน่นิ่งสนิทอยู่ประปราย รอยเท้าก็สับสนจนแยกไม่ออก ชายหนุ่มกวาดสายตาหาผู้กองธีรเดชแต่ก็ไม่พบเห็นแม้แต่ศพ ชายหนุ่มนึกหวั่น กลัวว่าจะถูกจับไปด้วย แต่มีเจ้าขิ่น เขาคงวางใจได้หรือเปล่านะ สายตาแกร่งมองเพื่อนๆในค่าย

“ผู้กองบาดเจ็บกลับไปก่อนเถอะครับ ทางนี้เราจะจัดการเอง ผู้พันท่านอยากทราบข่าวคราวด้วย”

ภานุถูกกันออกจากเหตุการณ์ เขาก้าวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ด้วยใจที่อ่อนล้า แพทย์ต่างเข้ามารุมตัวชายหนุ่มไว้และคอยตรวจ

“ผู้กองทราบหรือเปล่าครับว่าคุณหมอต้นธารานั้นออกจากค่ายไปแล้ว”

ภานุลืมตาตื่นขึ้น เขาส่ายหน้า

“แล้วย้ายไปทำไมครับ”

ชายหนุ่มถามแต่ความง่วงงุนเกาะกุม บวกกับฤทธิ์ยาสลบจึงทำให้ชายหนุ่มหลับไป ในความฝัน...เขารู้สึกว่าสูญเสียคนที่รักที่สุดไป...

------------------------------------------------

หลังจากที่ปะทะกับฝ่ายตรงข้าม กระสุนของธีรเดชก็หมด ครั้นจะบรรจุใหม่ก็ช้า ชายหนุ่มตกใจที่เจ้าขิ่นกลับมาหา

“กลับมาทำไม”

ชายหนุ่มตะโกนถาม เจ้าเด็กหนุ่มกลับยิ้มแฉ่ง ธีรเดชหัวเสียยิ่งนัก เขาต้องวิ่งมากระชากเจ้าหนุ่มพม่าหลบจากวิถีกระสุน

“คิดจะมาตายด้วยกันหรือไง”

ชายหนุ่มตะคอก เจ้าเด็กหนุ่มกลับยิ้มเพียงอย่างเดียว

“ถ้าทิ้งลุงไว้ นายก็เสียใจสิ”

ขิ่นเอ่ย อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจหรอก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว ในสองครุ่นคิดหาทางรอด กระทั่งเจ้าเด็กหนุ่มลากเขาให้ออกวิ่ง

“ลุงไปทางนั้น มันไม่รู้หรอกว่าตามใครบ้าง”

แรกๆธีรเดชไม่ยอม ชายหนุ่มมองรอบป่ากว้าง หันกลับมาอีกครั้ง เจ้าเด็กหนุ่มก็หายไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่วิ่งไปทางที่เจ้าเด็กหนุ่มไปเท่านั้น

------------------------------------------------

กิ่งไผ่ขยับกาย เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ถาดอาหารยังคงวางให้เช่นเคย กิ่งไผ่มองมันอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะปลุกให้บิดาตื่นขึ้นมา

“พ่อครับ ตื่นขึ้นมาทานข้าวเถอะครับ”

นายพลอินคานสะดุ้งตื่น ท่านหยิบถาดอาหารขึ้นมา เห็นจดหมายจึงนำขึ้นมาอ่าน แต่ก็ต้องซุกไว้อย่างรวดเร็วเมื่อประตูห้องขังเปิดออกอีกครั้ง

“นายเรียก”

เจ้าผู้คุมเข้ามาฉุดกระชากกิ่งไผ่ขึ้น ชายหนุ่มดิ้น

“อะไรอีกวะ อ้ายชาติหมานั่นต้องการอะไร”

นายนายพลเข้ามายื้อยุดฉุดกระชาก บุตรชายจากการดึงตัวไป

“พ่อปล่อยเถอะครับ”

กิ่งไผ่เอ่ยยามที่บิดาถูกฟาด ท่านนายพลจำยอมปล่อย กิ่งไผ่ถูกลากหายลับไปจากสายตา คนเป็นพ่อร้องเรียกดังลั่นห้องขัง

“มึงจะเอาลูกชายกูไปไหน มึงเอาเขาคืนมา”

นายพลอินคานรู้ว่าการที่เจ้ากฤษดานำบุตรชายไปนั้นต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ ท่านกุมบ่าที่ถูกฟาดด้วยปืนไว้ ข่มความเจ็บปวด ล้วงจดหมายที่ซุกไว้มาอ่าน อาศัยเพียงแสงน้อยนิด ท่านก็เข้าในใจรหัสที่บอกไว้ ท่านฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสยะยิ้มขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

------------------------------------------------

กิ่งไผ่ถูกลากเข้าห้องของกฤษดา เจ้าชาติชั่วนอนยิ้มกริ่มอยู่บนเตียง สายตาของร่างสูงโปร่งมองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เจ้าลูกสมุนของกฤษดาออกไปข้างนอก ปิดประตูให้สนิทอย่างรู้งาน ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงเดินมาหากิ่งไผ่ช้าๆ

“ผมให้เวลาคุณอาละวาด”

กฤษดาเอ่ยอย่างเย็นชา คนที่ถูกยั่วกลับนิ่ง อีกฝ่ายนั่งลง เชยคางใบหน้างดงามขึ้น หากถูกถ่มน้ำลายไล่ กฤษดาแตะใบหน้าของตัวเอง มือหนาฟาดเข้าไปที่ใบหน้านั้นจังๆ คนถูกตบสะบัดหน้า แก้มขาวสะอาดปรากฏเป็นรอยมือ มุมปากมีเลือดไหลซึม

“คิดพยศไปถึงเมื่อไร...ยอมกันดีๆก็แล้วเรื่องแล้วราว อันที่จริงผมก็ไม่อยากทำร้ายพ่อคุณกับคุณหรอกนะ แต่เพราะคุณมันโง่...โง่ๆมากๆ”

น้ำเสียงมันเหี้ยมเกรียม กิ่งไผ่เยาะ

“โง่แล้วมีปัญหาอะไร ไอ้โรคจิต ไอ้หมาขี้เรื้อน”

กิ่งไผ่ด่ากลับ กฤษดาที่ไม่คิดจะทำร้ายแต่กระชากกิ่งไผ่ขึ้น

“มึงจะฆ่าก็ฆ่า ที่แน่ๆกูจะไม่ยอมให้มึงมาดูถูกกันแน่ๆ”

ศอกของกิ่งไผ่ประเคนเข้าที่ท้อง กฤษดาจุกไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโต้ตอบกลับ ใบหน้าของกิ่งไผ่เชิดขึ้น ผมที่ยาวสลวยนั้นคลุมแผ่นหลังและซีกหน้าเอาไว้ มองดูน่ากลัว

“แก...”

หมัดหนักๆประเคนเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลา ตามด้วยเท้า เสียงโครมครามข้างในส่งผลให้เจ้าลูกน้องที่นั่งเฝ้าข้างนอกมอง มันคิดจะเข้าไปดูแต่ก็ถูกเพื่อนรั้งไว้

“อย่าเลย เดี๋ยวมึงก็ถูกเป่าขมองดับ...เจ้านายนี่ก็ร้อนเร่าไม่เบานะ”

“ก็แหงสิวะ นายกิ่งไผ่ออกจะสวย สวยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกว่ะ”

ว่าแล้วพวกมันก็ส่งเสียงหัวเราะ นั่งเล่นไพ่ กินเหล้าฮาเฮตามประสา ภายในห้องร่างสูงที่ถูกเตะกลิ้งชิดเตียงลุกขึ้น โทสะจริตเข้าครอบงำ จึงเดินเข้าหากิ่งไผ่ช้าๆ

“เมื่อกี้ยอมให้เฉยๆ”

กฤษดาด้วยสีหน้าแสยะยิ้มก่อนยกเท้าเตะร่างโปร่ง กิ่งไผ่หลบได้หวุดหวิด แต่หลังกลับติดกำแพง เขารู้ดีว่าเจ้ากฤษดาเอาจริงแล้ว หากเผลอสติ เขาคงโดนฆ่าทิ้งเสียเอง แขนเรียวยกกั้นขณะที่อีกฝ่ายเตะสูง กิ่งไผ่เซปะทะกำแพง กฤษดาไม่ปล่อยเอาไว้ ต่อยเข้าที่ท้อง กิ่งไผ่เซปะทะโต๊ะที่ตั้งแจกันไว้ล้มลงมาแตก คนถูกต่อยทรุดฮวบลงกับพื้น หาทางรอดด้วยการปัดขาของอีกฝ่ายล้มโครม จะลุกขึ้นหากกฤษดาไวกว่าลุกขึ้นเข้ามาจิกผมไว้ ดวงตาดุจปีศาจมองตรงมายังคนที่อยู่ใต้ร่างหนาหนัก

“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

ฝ่ามือหนักๆตบเข้าที่แก้ม กิ่งไผ่สะบัดตามแรง เจ็บจนร้องไห้ ยังไม่ทันไรแก้มอีกข้างก็ถูกฝ่ามือหนักๆฟาดอีกครั้งคราวนี้มองเห็นดาวเลยทีเดียว เลือดไหลกลบปากและจมูก เจ้าปีศาจละจากการตบใบหน้าเปลี่ยนเป็นบีบลำคอขาวๆ ร่างโปร่งดิ้น ใบหน้าที่แตกยับเยินพยายามไขว่คว้าหาอากาศ เหมือนทุกอย่างลบเลือนราง เขาไม่อยากตายเพราะเจ้าคนชั่ว กิ่งไผ่รวบรวมเรี่ยวแรง มือคว้านหาอาวุธก่อนกระทบถูกเศษกระเบื้อง กิ่งไผ่กำมันไว้แน่น แทงสุดแรงเกิดเข้ายังแผ่นหลังของกฤษดา มันส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างโปร่งฉวยโอกาสนั้นผลักอีกฝ่ายออก ไอแค่กๆ สูดหาอากาศเข้าปอด เขาแทงพลาดเป้าไป มือหนาแตะบ่าเลือดชุ่ม เหล่าลูกน้องที่เห็นข้างในเอะอะผิดปกติจึงลุกขึ้น จะเปิดประตูเข้ามา แต่แล้วเสียงระเบิดตูมก็ดังขึ้น

“เฮ้ย...อะไรวะ”

พวกมันต่างแตกตื่นเมื่อเสียงปืนดังก้องแต่แล้วมันก็ส่งเสียงร้องลั่นยามที่เสียงปืนดังสะนั่น กิ่งไผ่และกฤษดาที่อยู่ในห้องต่างสงสัย ร่างโปร่งกำลังงุนงงๆและลังเลต่อเสียงปืนที่ได้ยิน กฤษดาก็หยิบปืนที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาง้างไก กิ่งไผ่หันมองสายตาถูกตรึงเอาไว้ด้วยปลายกระบอกปืน ดวงตากร้าวของทั้งคู่จ้องกันไม่กระพริบ

“ยิงสิ ลังเลแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

กิ่งไผ่เชิดหน้าขึ้นเอ่ยท้าทาย เขาเตรียมพร้อมที่จะรับคมกระสุนเพราะรู้ดีว่าไม่อาจรอดพ้น นิ้วแกร่งเหนี่ยวไกปืนก่อนจะยิง

..แชะ...

ไม่มีกระสุน กิ่งไผ่ที่เดิมพันโชคชะตาเอาไว้รู้สึกใจชื้น เช้าชาร์จเข้าหาอีกฝ่าย ต่อยจนสลบ รีบคว้าปืน ตรวจดูกระสุน มันยังเต็มแม็ก กระสุนคงด้าน ร่างโปร่งนึก ก่อนจัดการไม่ให้ลำกล้องขัด เสียงปืนยังคงดังเป็นตับ กิ่งไผ่เปิดประตูไม่ออกจึงใช้ปืนยิ่งทำลายสลัก ถลาออกไปด้านนอก ขวดเหล้าแตกกระจาย ยามที่นั่งเฝ้าข้างนอกล้มตายเกลื่อน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ร่างโปร่งไม่เข้าใจว่าคืออะไรกันแน่ เขาจึงรีบวิ่งออกไปดูด้านนอกแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นศพนอนตายตาเหลือกค้างพาดอยู่บนบันได มองลงไปยังพื้นข้างล่าง บางศพถูกระเบิดจนเละ บางศพถูกยิงสมองไหลเยิ้ม ภาพตรงหน้าเป็นความฝันงั้นรึ กิ่งไผ่ไม่อยากจะเชื่อเมื่อไฟไหม้ทั่วค่าย เสียงปืนยังคงดังก้องในความมืดมิด แสงสว่างตัดกับขอบฟ้าสีดำ สีส้มอมแดงของเปลวเพลิงมันช่างงามและน่าหวาดกลัว

นายกฤษดาที่กิ่งไผ่ทำลายจนสลบลุกขึ้นอีกครั้งและเดินโซเซเข้ามาหา ร่างโปร่งรู้ว่าอยู่นี่นานไปคงได้เสร็จมันแน่ ดังนั้นจึงนำร่างที่สะบักสะบอมจากการถูกซ้อมลงจากเรือน สอดส่ายตาหาบิดา กฤษดาฟื้นจากการสลบไสลคว้าปืนจากคนตายก็ตามมาติดๆในใจของกิ่งไผ่ร้อนรน เขาพยายามมองหาบิดาในความมืดมิดและพบว่าท่านกำลังเกาะต้นไม้ ประคองสติเอาไว้ กิ่งไผ่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดโผเข้าหาท่าน นายพลอินคานกอดบุตรแน่น

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

ลูกชายถาม ท่านนายพลลูบศีรษะ

“พวกที่ยังจงรักภักดีเราอยู่เสี่ยงช่วยเราเอาไว้ แล้วบอกให้รีบหนีไป”

บุตรชายมองหน้าของบิดาอย่างไม่เชื่อ

“เราจะทิ้งเขาไว้ได้ไงครับ อีกฝ่ายมีกำลังมากกว่าเรานะครับ”

สายตาของท่านมองบุตรชายอย่างอ่อนโยนที่เห็นบุตรชายห่วงใยลูกน้องที่เคยว่าทรยศ

“ไผ่...พวกเขาจะตามเราไปทีหลัง...”

กิ่งไผ่พาบิดาลุกขึ้น เขารีบพาร่างอันอ่อนล้าหนีตาย ทว่าเจ้ากฤษดาก็ตามมาทันจนได้ ไอ้ชาติชั่วกลับชักปืนออกมาและเตรียมยิง เป้าหมายคือกิ่งไผ่ ร่างโปร่งบังบิดาไว้ หากมันยิงมาเขาเท่านั้นที่ต้องเป็นฝ่ายตาย!

ร่างโปร่งที่ไม่อาจหลบได้หลับตาแน่น ร่างกายไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดและของเหลวข้นไหลจากต้นแขนของท่านนายพลอินคาน

“พ่อ”

ท่านนายพลอินคานดึงลูกชายออกเอาตัวเองบังกระสุนแทน กฤษดาที่ยิงพลาดเป้าหมายก็ขัดใจจะซ้ำอีกรอบ

“หนีไป...ลูก”

เสียงของท่านนายพลแผ่วละโหย กิ่งไผ่นิ่งอึ้ง สติเกือบดับวูบไป เขาบีบมือแน่นเมื่อเห็นบิดาถูกยิง ไม่ฟังคำสั่ง กลับดึงบิดาขึ้น มือข้างหนึ่งคว้านหาปืน แล้วยิงสกัด อีกฝ่ายหลบกระสุนที่ยิงมาส่งๆ เมื่อจะตามมาอีกก็ยิงซ้ำอีกรอบ คราวนี้เจาะถูกแขน เจ้ากฤษดาร้องลั่นทรุดลงกับพื้น กิ่งไผ่กับบิดาก็อาศัยจังหวะนั้นเดินกะโผลกกระเผลกหลบหนีไปในป่าข้างเขาติดชายแดนไทยแทนที่จะเข้าไปในป่าพม่า

กิ่งไผ่ภาวนาขออย่าให้เจ้าขิ่นมาในตอนนี้เลย ใจสังหรณ์โดไม่รู้ตัวเกรงว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่เป็นเหมือนน้องเพียงคนเดียวจะโผล่มากะทันหัน น้ำตาไหลลงจากดวงตาวาว บิดาของเขาเริ่มอ่อนกำลัง ดวงตาชรามองทุกอย่างพร่าเลือน รับรู้เพียงว่าลูกชายกำลังแบกท่านไปลัดเลาะตามพุ่มไม้ แม้หนามจะเกี่ยวหน้าเกี่ยวตาก็ไม่สน แม้จะเจ็บปวดตามร่างกายและรับรู้ถึงเลือดติดหนึบ กิ่งไผ่สนแค่เพียงบิดาและเขาต้องรอด ท่านนายพลรับรู้ถึงเสียงสะอื้นเงียบๆของบุตร ท่านทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในที่สุดคนที่วิ่งมาตลอดต้องสะดุดรากไม้ล้ม ร่างของท่านนายพลเซไปอีกทาง ส่วนร่างกิ่งไผ่นอนหน้าคว่ำ ปวดแปลบข้อเท้า

“ปล่อยพ่อไว้เสียแล้วเจ้าก็หนีไป เสียงปืนหยุดลงแล้ว พวกที่ภักดีต่อเราคงหนีไปได้ อีกฝ่ายมันคงตามหาเจ้ากับพ่อ”

กิ่งไผ่ส่ายหน้าไม่ยอมปล่อยไว้

“ไม่...คำสั่งนั้นผมไม่รับฟัง”

เขาประคองบิดาอีกครั้งหากถูกปัดออก

“ไผ่ เจ้าก็รู้ว่าพ่อเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ไม่อาจไปไหนไกลได้อีกแล้ว”

บิดาตะคอก มองใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของกิ่งไผ่

“ยังไงผมก็จะตายกับพ่อ ผมทิ้งพ่อไม่ได้ ผมไม่ทำ”

นิ้วเรียวปาดน้ำตาที่ไหลริน ดึงร่างชราลุกขึ้น หากแต่ท่านนายพลก็อ่อนล้าโรยแรง

“ไผ่...เชื่อฟังพ่อ”

ศีรษะได้รูปปฏิเสธ เรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิง ท่านนายพลมองแล้วก็ร้องไห้เมื่อมองเห็นภาพซ้อนของภรรยา

“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่พ่อไม่อยากให้ตายไป มนัสหยาแม่เจ้า พ่อก็ไม่อาจปกป้องได้ พ่อไม่อยากให้สิ่งสำคัญสูญเสียไปอีกแล้ว เจ้าไปซะก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป!”

คนทั้งสองทะเลาะกัน กิ่งไผ่ดื้อ ไม่ยอมจากไป เสียงย่ำใบไม้แห้งดังขึ้น สองพ่อลูกตัวแข็งทื่อ คิดว่าเป็นเสือ กลิ่นสาบของมันชัดขึ้น ร่างโปร่งสำรวจกระสุนในมือ หมดทางที่จะหลบหนี หากว่ามันกลับเปลี่ยนทิศกะทันหัน กลิ่นสาบสางจางไปกับสายลม พร้อมกับร่างที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏ

“ขิ่น”

กิ่งไผ่อุทาน แล้วหน้าเผือดไป เพราะกลัวว่ามันคงเป็นความฝัน แต่เจ้าขิ่นกลับวิ่งหน้าตื่นลงมาหา

“เอ็ง....เอ็ง...”

กิ่งไผ่ละลักละล่ำ พูดไม่ออก เจ้าขิ่นเข้ามาดุอาการเจ้านายและท่านนายพลก่อนจะว่า

“ขิ่นได้กลิ่นเลือด ไอ้ขิ่นคนนี้ช่วยทหารไทยสำเร็จคนพวกนั้นกำลังกลับไปยังฟังไทย แล้ว ขิ่นคนนี้กำลังกลับแต่ได้ยินเสียงปืนคิดว่าเกิดเหตุร้ายจึงหลบมาก่อน แล้วได้กลิ่นสาบเสือจนกระทั่งมาเจอกับนายท่าน”

เจ้าขิ่นว่า อย่างรวดเร็ว ท่านนายพลจ้องหน้าบุตร หูของท่านได้ยินรางเลือน...ทหารไทยงั้นรึ นี่มันเรื่องอะไรกัน

“เอ่อ หยุดพูดเถอะขิ่น พาพ่อฉันหนี ฉันจะเป็นตัวล่อพวกมัน พาท่านหนีไป”

เจ้าขิ่นงุนงงๆ แต่กิ่งไผ่ส่งร่างของท่านนายพลให้

“รีบไป”

ดวงตาของทั้งสามเห็นแสงคบเพลิง เจ้าขิ่นรู้ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายจึงพาท่านนายพลหลบไปก่อน

“แล้วพี่ไผ่ล่ะ...”

เจ้าเด็กหนุ่มถาม กิ่งไผ่ยิ้ม

“ถ้าฉันไม่กลับไป เอ็งต้องดูแลพ่อแทนฉันนะ”

นั่นเป็นคำสั่งเสีย กิ่งไผ่วิ่งไปอีกทางเจ้าขิ่นอึ้ง

“นายครับ...ยังมีนายทหารไทยอีกคนที่ยัง...”

มันรีบตะโกนบอก แต่สุดท้ายก็เงียบเพราะคิดว่าทหารไทยที่เขาช่วยไว้คนสุดท้ายนั้นคงปลอดภัยแล้ว กิ่งไผ่ยิ้มกับตัวเองที่ได้ยินว่าเหล่าทหารไทยปลอดภัย เขาก็หมดข้อกังวลแล้ว ร่างโปร่งวิ่งสุดแรงเกิดตัดไปอีกทาง คราวนี้เขาต้องล่อให้ไอ้พวกทรยศไปให้ไกลจากบิดาให้ได้ สายตากระจ่างมองดวงดาว...แล้วคิดว่านี้อาจเป็นดวงดาวสุดท้ายที่จะได้เห็น

------------------------------------------------

เสียงปืนแว่วตามสายลม กลุ่มควันไฟตัดขอบฟ้า ธีรเดชหวั่นใจ เขาดันหลงติดอยู่ในป่าจนได้ ชายหนุ่มอยากจะฆ่าตัวเองทิ้งที่เดินหลงจนกระทั่งค่ำ เสียงปืนดังแว่วๆ แสงไฟตัดกับขอบฟ้าสีดำ มันเกิดอะไรขึ้นกัน ชายหนุ่มเดินลุยตามลำธาร ในความเงียบเสียงแมลงดังระงม ชายหนุ่มที่อยู่ในป่าคนเดียวนั้นกลัวต่อความมืด ข่มใจเอาไว้ เดินสอดส่ายถือปืนอย่างระมัดระวัง น้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ ดวงจันทร์โผล่ออกจากก้อนเมฆทำให้มองเห็นทางรางเลือนและแล้วสายตาของนายทหารหนุ่มมองเห็นเงาตะคุ่มๆ มือที่ยกปืนสั่นระริก เงานั้นไม่ไหวติง นอนอยู่บนโขดหิน แสงจันทร์ส่องให้เห็นเรือนผมยาวสลวยคลุมใบหน้า แขนข้างหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ เสื้อกล้ามสีเขียวขาดวิ่นเผยให้เห็นผิวขาวสะอาดสะท้อนแสงจันทร์เป็นยองใย นายทหารหนุ่มเกือบช๊อกและร้องดังลั่น คิดว่าเป็นนางไม้ผีสาง ลมพัดปลิวเส้นผมที่ปกคลุมขึ้น ยิ่งทำให้ตื่นตะลึง ร่างที่นอนอยู่บนโขดหินนั้น...ไม่อยากจะเชื่อ แม่หญิงกลิ่นเอื้อง!

ธีรเดชขยี้ตา รีบวิ่งเข้าไปหา เขากำลังมองเห็นภาพลวงตาอยู่หรือ ชายหนุ่มประคองร่างที่ยังหลงเหลือไออุ่นเพียงเล็กน้อยขึ้นมาแนบอก เห็นเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง ตามเนื้อตัวถลอกปอกเปิก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้างามเขียวช้ำริมฝีปากแดงกลับซีด ด้วยความสังหรณ์ใจและหวาดกลัวจึงยกมือเกลี่ยเส้นผมออกและอังจมูก ลมหายใจแผ่วๆแต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มยิ่งตกใจมากยิ่งกว่านั้น...เธอกลับเป็น...

------------------------------------------------

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #262 เมื่อ09-07-2008 23:40:34 »



ผู้กองธี ได้เจอกั กิ่งไผ่แล้ว  :m1:
หรือ...นี่คือ ชะตากรรม ของสองคนนี้หรือเปล่าหนอ   :m13:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #263 เมื่อ10-07-2008 01:04:28 »

 :m4: เจอกันแล้วผู้กองธีกะนู๋ไผ่ รอวันผู้กองหม่ำนู๋ไผ่  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #264 เมื่อ10-07-2008 12:52:28 »

ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีน่ะเนี่ย

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #265 เมื่อ10-07-2008 18:46:00 »

อ้างถึง
ขอโทษทีน้า  มาต่อช้าไปหน่อย  แบบว่าป่วยในรอบสี่ปี แงแง 


พี่พิมพ์ป่วยหายยังค่ะ...รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ น้องเป็นห่วง   :L1: :L1: :L1:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #266 เมื่อ10-07-2008 19:43:39 »

รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #267 เมื่อ10-07-2008 20:45:40 »

ในที่สุดก็เจอกันซะที

ลุ้นคู่นี้อยู่นะเนี่ย

เอามาอยู่เมืองไทยเลย :a2:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #268 เมื่อ11-07-2008 01:30:30 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ค้างอย่างแรงตอนท้ายอะครับ

เธอกลับเป็นอะไรอะ เธอกลับเป็นผู้ชาย ป่าวครับ

เดาถูกป่าวครับผม อิอิ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
«ตอบ #269 เมื่อ13-07-2008 16:15:31 »

อ้างถึง
ขอโทษทีน้า  มาต่อช้าไปหน่อย  แบบว่าป่วยในรอบสี่ปี แงแง 


พี่พิมพ์ป่วยหายยังค่ะ...รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ น้องเป็นห่วง   :L1: :L1: :L1:

นู๋เรนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พิมอะถึกจะตายไป  :laugh: แล้วนี่หายรึยังอะมีใครป้อนยาให้รึยัง คึคึ คนป้อนมาถึงยังจ๊ะ  :จุ๊บๆ: ดูแลตัวเองด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด